Group Blog
 
All blogs
 

จดหมายจากฆาตกร (Tegami) คือ.. ร้องไห้เยอะมาก


Tegami / จดหมายจากฆาตกร  
ฮิงาชิโนะ เคโงะ_เขียน /  เสาวณีย์ นวรัตน์จำรูญ_แปล
สำนักพิมพ์ Jbook  พิมพ์ครั้งแรก  ตุลาคม 2549


ซึโยชิ เป็นเด็กหนุ่มจิตใจอ่อนโยน เพราะยากลำบากตั้งแต่เล็ก เขาจึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสียให้ นาโอกิ น้องชายได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่เมื่อความจำเป็นบีบรัด ซึโยชิตัดสินใจขโมยของและพลั้งมือฆ่าหญิงชราเจ้าของบ้าน  

ชะตาชีวิตทั้งสองพี่น้องผันนับจากนั้น ซึโยชิต้องโทษจำคุก 15 ปี นาโอกิถูกสังคมกีดกันและตราหน้าว่าเป็นน้องชายฆาตกร ซึโยชิมีเพียงจดหมายระหว่างเขากับน้องชายเป็นแสงสว่างเดียวของชีวิต ส่วนนาโอกิกลับทุกข์ทรมานทุกครั้งที่เห็นจดหมายของพี่ชาย เพราะมันเป็นจดหมายจากฆาตกร



หลังจากติดอกติดใจในผลงานนิยายของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ จากเรื่อง พระอาทิตย์เที่ยงคืน ที่รีวิวไปครั้งก่อน จึงเสิร์ชอินเตอร์เน็ตหาข้อมูลเป็นการใหญ่ว่าเขาเขียนเรื่องอะไรน่าสนใจอีกบ้าง ก็พบว่าพลอตน่าสนใจเกือบทุกเล่มที่มีแปลนั่นแหละค่ะ แต่เลือกสองเล่มนี้มาอ่านก่อน เพราะเสิร์ชเจออยู่ในร้านหนังสือมือสอง หากอ่านจากรีวิวตามอินเตอร์เน็ตจะพบว่า "ความลับ" เป็นเรื่องที่ได้ใจคนว่าสุดยอด แต่ที่เราหยิบ  "จดหมายของฆาตกร"  มาอ่านก่อน เพราะเป็นคนที่ชอบเรื่องราวของความสัมพันธ์พี่น้องเอามากๆ 



จากที่อ่านพลอตเรื่องตรงปกหลัง ก็เป็นไปตามคาดคือ ร้องไห้เยอะมาก ซึ่งคงมีส่วนมาจากความชอบในเรื่องราวของพี่น้องด้วยนั่นเอง  มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราถึงกับสะอื้นเลยทีเดียว  การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครดีมากจริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่การสืบสวนนะคะ  เป็นนิยายดราม่าว่าด้วยความสัมพันธ์และการต่อสู้ชีวิต เศร้าใจแต่ก็ซาบซึ้งด้วย  

ในหนึ่งชีวิตของคนเรา ใครบ้างไม่เคยพลั้งพลาด  แต่ในบางความผิดพลาดของชีวิตนอกจากไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้แล้ว ยังไม่สามารถจะทำปัจจุบันหรืออนาคตให้ดีขึ้นได้เลย เรื่องของ ซึโยชิ เป็นอุทธาหรณ์ได้ดีมากๆ ถ้าหากเรายอมอ่อนข้อให้กับศีลธรรมอันดีสักครั้ง ผลลัพธ์ของมันอาจกลายเป็นบาปกรรมในชีวิตที่คาดไม่ถึง

ยามที่ชีวิตกำลังสิ้นไร้ไม้ตอก หัวใจที่รักน้อง และความรู้สึกรับผิดชอบต่ออนาคตของนาโอกิ    ซึโยชิแค่ต้องการเงินจำนวนหนึ่งที่จะดูแลให้น้องได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย การโขมยเงินจากบ้านหญิงชราที่ร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้คนหนึ่ง..สักครั้ง คงไม่ถูกจับได้  คงไม่เป็นไร  

แต่มันก็เป็นไปแล้ว เขาถูกพบเห็น เขาพลาดพลั้งฆ่าคนตาย  ถูกจับและต้องโทษจำคุก

ซึโยชิ ในเรือนจำ เฝ้าเขียนจดหมายถึงนาโอกิทุกเดือน โดยไม่รู้เลยว่าน้องชายต้องเผชิญชีวิตภายนอกอย่างยากลำบากอย่างไร  ชีวิตที่ต้องต่อสู้เพียงลำพังของนาโอกิ ท่ามกลางสังคมที่กีดกันแบ่งแยก เพราะชีวิตนั้นถูกตราหน้าด้วยคำว่าเป็น  "น้องชายของฆาตกร"  ความรังเกียจอาจไม่ได้แสดงออกมาชัด เพราะมนุษย์นั้นยังมีสิ่งที่เรียกว่ามนุษยธรรมค้ำใจอยู่ แต่พวกเขาก็อึดอัดที่จะข้องแวะ หรือหลีกเลี่ยงที่จะยุ่งเกี่ยวด้วย 

ทำไมการมีญาติพี่น้องก่ออาชญากรรม  คนละคนกันแท้ๆ  ทำไมมันถึงเป็นปัญหานัก ในเมื่อบ้านเรา เด็กวัยรุ่นติดยา ลักโขมย หรือ ผู้คนปล้นชิงทรัพย์ ข่มขืน ฆาตกรรม เป็นข่าวโครมๆ ไม่เว้นแต่ละวัน  ถ้าเราไม่เคยดูซีรีย์ญี่ปุ่นลักษณะอย่างนี้มาบ้าง คงจะมีความกังขาอยู่ในใจ ว่าการถูกเลือกปฏิบัติ ถูกมองไม่ดี ถูกเลี่ยงหลบที่จะข้องแวะเกี่ยวข้อง  มันหนักหนา มันมีผลต่อชีวิตคนๆ หนึ่งถึงขั้นนั้นเชียวหรือ  นั่นคงเป็นเพราะสังคมญี่ปุ่นไม่คุ้นชินกับเรื่องแบบนี้ 

Someday, some place where the sun shines  ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของหญิงสาวที่ต้องโทษจำคุก 7 ปี ในคดีที่เธอฉ้อโกงเงิน มันไม่สำคัญหรอกว่าเหตุผลของการกระทำผิดนั้นคืออะไร  เพราะถึงอย่างไรมันก็ถือเป็นการกระทำความผิดอยู่ดี  ชีวิตหลังพ้นโทษ เธอแทบไม่มีที่ยืนในสังคม ไม่เป็นที่ต้อนรับแม้แต่ในครอบครัวของเธอเอง  ครอบครัวที่ทำธุรกิจ ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับเธอให้เสียภาพลักษณ์ น้องชายที่กำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวจากครอบครัวที่ดี คงไม่อาจจะเป็นที่ยอมรับ หากเขามีพี่สาวเคยถูกจำคุก นั่นเป็นเหตุผลที่ครอบครัวได้คัดชื่อของเธอออกจากทะเบียนบ้าน การหางานทำไม่ใช่เรื่องง่าย การจะมีเพื่อนบ้าน มีคนรัก ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปได้ง่ายเช่นเดียวกัน

Evenso, I will be living on เมื่อเด็กหญิงคนหนึ่งถูกฆาตกรรม  การกลับมาพบกันในอีก 15 ปีต่อมาระหว่าง  พี่ชายของเหยื่อ  และ น้องสาวของฆาตกร ถ่ายทอดผลกระทบอันเกิดขึ้นจากอดีตที่ไม่เคยจางหายไป  ครอบครัวของฆาตกร ที่ต้องถูกตราหน้าและแบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้ตลอด ยากจะมีโอกาสได้ทำงานดีๆ เพื่อลืมตาอ้าปาก  กับ  ครอบครัวของเหยื่อหยื่อ..ที่ความสูญเสียได้กลายเป็นบาดแผลอันเจ็บปวดของทุกคน และนำครอบครัวไปสู่ความแตกร้าว

White Spring ฤดูใบไม้ผลิสีขาว  อดีตยากูซ่าฆ่าคนตายที่จำคุก 8 ปี หลังได้รับการปล่อยตัวออกมา กรรมของคนเคยผิด คือยากที่จะหาคนเปิดใจยอมรับได้ง่ายๆ ยี่ห้อ "คนขี้คุก" ย่อมเป็นตราติดอยู่บนหน้าผาก โอกาสในสังคม  โอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และการสร้างครอบครัว เป็นไปได้ยาก โดยแก่นของเรื่องนี้ คือการที่อดีตนักโทษคนหนึ่งจะมีโอกาสเป็นพ่อให้กับเด็กหญิงคนหนึ่งได้ไหม  ลูกของเขาที่แฟนสาวได้ตั้งท้องตอนที่เขาเข้าคุกไป และเธอได้เสียชีวิตหลังจากนั้น 

การได้ดูซีรีย์เหล่านั้น ทำให้เราพอจะเข้าใจปัญหาของนาโอกิ แม้เขาจะไม่ใช่ตัวฆาตกรเอง  แต่การกระทำของพี่ชาย ก็ส่งผลกระทบถึงเขาด้วย อุปสรรคต่างๆ นานา ที่นาโอกิต้องเผชิญ และเขาทำอะไรกับมันไม่ได้เลย เพราะนั่นคือสิ่งที่ผู้อื่นคิดและรู้สึกที่จะกีดกันเขาออกไป 

แต่ถามว่าทำไมเรื่องราวเหล่านี้จึงซาบซึ้งใจนัก  เพราะในท่ามกลางคนทั่วไป จะมีคนที่แตกต่าง อาจไม่มากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้  คนที่เข้าใจ ยอมรับ ปรารถนาดี คนที่เป็นเพื่อนแท้ และคนที่มีรักแท้จากใจจริง 

นอกจากสองพี่น้อง  ซึโยชิ และ นาโอกิ แล้ว  ยูมิโกะ  มีส่วนสำคัญมาก ที่ทำให้เราชอบนิยายเรื่องนี้ ผู้หญิงที่ถูกผลักไส  ถูกรำคาญ  แต่เธอก็ไม่ได้หนีไปไหน  พร้อมจะเป็นกำลังใจคอยกระตุ้นให้นาโอกิให้เผชิญหน้าต่อสู้กับความจริงเสมอ 


ในเรื่องราวที่เกิดขึ้น สร้างความรู้สึก สงสาร เห็นใจ ทั้ง ซึโยชิและนาโอกิเป็นอย่างมาก จดหมายจากฆาตกรแต่ละฉบับ มีความหมาย สะท้อนความรู้สึก มากกว่าแค่การบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตทั่วๆ ไป  และในขณะที่เราสงสารเห็นใจ เราก็นึกโทษสังคม นึกโทษความใจแคบของคน อะไรต่อมิอะไรเหมือนนาโอกินั่นแหละ แต่เราก็ได้รู้สึกว่าเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่มันเป็นจากมุมมองของตัวละครหนึ่ง  การก่ออาชญากรรม  ก็เหมือนกับ การฆ่าตัวตายทางสังคม 

...โทษของพี่ชายคุณ ต้องรวมถึงความชอกช้ำที่คุณได้รับในตอนนี้ด้วย

...ไม่ถูกนักที่คุณจะแค้นเคืองพวกเรา ถ้าจะพูดให้ตรงประเด็นก็คือ  พวกเราย่อมต้องเลือกปฏิบัติต่อคุณ เพื่อให้อาชญากรทุกคนรับรู้ด้วยว่า การที่ตัวเองทำผิดมีผลให้ครอบครัวต้องทุกข์ทรมานไปด้วย


พี่ชาย.. ที่ทำไปเช่นนั้น  แรงจูงใจของเขามีเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือความรักที่มีต่อนาโอกิ   
แต่สิ่งที่นาโอกิต้องชดใช้ คือ สิ่งดีๆ ในชีวิต ที่เขาต้องพลาดมันไปครั้งแล้วครั้งเล่า
โอกาส ความหวัง ความฝัน ความรัก  .. ที่เขาต้องสูญเสีย 

ความรู้สึกของเขา  รัก เกลียด หรือโกรธแค้น  และคำว่า "น้องชายของฆาตกร" 
นาโอกิ...เพื่อจะดำเนินชีวิตต่อไปแล้ว เขาควรจะต้องจัดการกับมันอย่างไร ...
น้ำตาจึงไหลซะมากมาย ถึงขั้นสะอื้น

ถ้าสนใจแนวนี้ต้องลองหามาอ่านดูค่ะ  


เรื่องนี้ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยนะคะ เพิ่งมารู้ตอนหาข้อมูลหนังสือเขียนรีวิววันนี้ (อ่านจบเมื่อวาน)    ตอนอ่านนิยาย เราก็แอบแคสติ้งนักแสดงไว้ในใจเหมือนกันนะคะ   มัตสึชิม่า เคนอิจิ  รับบทพี่ชาย ซึโยชิ /  อิชิฮาระ ฮายาโตะ เป็นนาโอกิ (บทดีๆ ให้คนนี้ตลอด อิอิ คนโปรด)





พอรู้ว่าได้ทำเป็นภาพยนตร์  อยากรู้มากว่าใครเล่น  ปรากฏว่าเป็นคนที่คาดไม่ถึง แต่เห็นหน้าตาแล้วแบบมันใช่เลย   ทาคายูกิ  ยามาดะ เป็น นาโอกิ ซึ่งในปีเดียวกัน (2006) เขาก็เป็นพระเอกซีรีส์เรื่อง พระอาทิตย์เที่ยงคืน จากนิยายของ ฮิราชิโนะ เคโงะ นี่แหละค่ะ 



ทาคายามะ เท็ตสึจิ  รับบท ซึโยชิ  ดูซึ่อๆ  เศร้าๆ  แคสนักแสดงได้ดีทีเดียว


ที่ดีใจมากคือ ซาวาจิริ เอริโกะ รับบท  ยูมิโกะ เพราะเธอเป็นนางเอกหน้าตาสะสวยน่ารักมากๆ 







ชอบใจการแคสติ้นักแสดงจึงหาลิงค์ออนไลน์ดูหนังจบไปเรียบร้อยแล้ว ชอบพระเอกนางเอกมาก แม้ว่าในหนังจะไม่ชอบตรงที่มีการเปลี่ยนแปลงความฝันของนาโอกิไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง มันดูไม่เข้ากันกับคนที่มีชีวิตเศร้าโศก  แต่ในตอนท้ายก็ทำได้ซึ้งดี  ทว่าถ้าให้เทียบกันเราก็ว่าเป็นแบบในหนังสือดีกว่า ... บทเพลงแทนความรู้สึก หรือ ความรู้สึกที่ไม่อาจพูดสิ่งใดออกไปได้แม้สักคำแต่หวังว่าพี่จะเข้าใจ  

...ไม่ใช่ครับพี่ เพราะจดหมายพวกนั้นต่างหากผมถึงได้มีวันนี้ 
ถ้าไม่มีจดหมายพี่ ผมอาจไม่ต้องทุกข์ทรมาน 
แต่คงไม่มีแรงกระตุ้นให้ค้นหาทางเดินของชีวิต



และนี่คือบทเพลง ที่อยากให้พี่ชายได้ฟัง 


Imagine there's no heaven
It's easy if you try
No hell below us
Above us only sky
Imagine all the people
Living for today...
Imagine there's no countries
It isn't hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too
Imagine all the people
Living life in peace...
You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will be as one
Imagine no possessions
I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man
Imagine all the people
Sharing all the world...
You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will live as one
 (เพลง Imagine - John Lennon Cover) 




ทาเคยูกิ ยามาดะ  คนนี้นะคะ  กว่าจะรู้จักมักคุ้น ..ก็ตอนเขาเป็นหนุ่มโตมาลุคส์นี้แล้วค่ะ









ใครจะไปนึกว่าตอนเป็นหนุ่มวัยรุ่นจะหล่อกิ๊กขนาดนี้






กรี๊ดตามหลังช้าไป 10 ปี  จะสายไปมั้ย 





 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2558 23:07:13 น.
Counter : 5622 Pageviews.  

พระอาทิตย์เที่ยงคืน ( Midnight Sun Journey ) ตอกย้ำความชอบในนิยายสืบสวนดราม่า

Byakuya-ko /  พระอาทิตย์เที่ยงคืน
สำนักพิมพ์ เนชั่นบุ๊คส์  พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2554

ฮิงาชิโนะ  เคโง_เขียน  / สุริยงวรวุฒิ สิริวัฒน์กุล_แปล


ในปี ค.ศ. 1973 เจ้าของโรงรับจำนำถูกสังหารภายในตึกร้างแถวโอซาก้า รายชื่อผู้ต้องสงสัยผุดขึ้นมาคนแล้วคนเล่า หากท้ายสุดเหมือนคดีความวิ่งวนอยู่ภายในเขาวงกต คิริฮาระ เรียวจิ บุตรชายผู้เสียชีวิต และ นิชิโมโตะ ยูกิโฮะ บุตรสาวผู้ต้องสงสัย   เด็กชายผู้มีนัยน์ตาหมองหม่นกับเด็กหญิงหน้าตาสวยสดงดงาม ต่างดุ่มเดินไปในเส้นทางที่แผกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สภาพแวดล้อมคนทั้งสองบ้างแจ้งชัด บ้างผลุบหาย อาชญากรรมน่าพรั่นพรึงเกิดขึ้นคีดแล้วคดีเล่า หากไร้ซึ่ง "หลักฐาน" ใดๆ ปรากฏ     

แล้ว 19 ปีให้หลัง องค์ประกอบอันประณีตละเอียดอ่อนและรายละเอียดมหาศาลดั่งมหากาพย์ได้ขมวดปมจนลมหายใจแทบขาดห้วง นวนิยายสืบสวนสอบสวนขนาดยาวชิ้นมาสเตอร์พีซที่เขียนถึงมนุษย์ผู้สูญเสียดวงใจของตนเองไป


ตอนที่อ่านนิยายเรื่องนี้จบ เราบอกกับเพื่อนคอหนังสือในกลุ่มไลน์ว่า  มันต้องมีเหตุผลสินะ ที่เป็นหนังสือ Best seller ยาวนาน และมียอดขายกว่าสองล้านเล่มทั่วโลก  (ตามที่โปรยไว้บนปกหนังสือ) คิดว่าเนื้อเรื่องอย่างนี้ ชั้นเชิงอย่างนี้ ย่อมเป็นนิยายที่ใครได้อ่านจบแล้วคงจะต้องติดอยู่ในใจ ไม่อาจไม่รู้สึกชื่นชมในความสามารถของผู้เขียน ฮิงาชิโนะ  เคโงะ 

แต่เราได้รับการตอบกลับว่า  "ยอดขายสองล้านเล่มทั่วโลกไม่เยอะนะ... วางที่จีนก็แป๊ปเดียวป่ะ"

เอ่อ .. 2 ล้านเล่มนี่มันไม่เยอะจริงๆ หรือคะ ท่านผู้อ่าน  เพราะหนังสือที่ขายได้หลักล้านนี่เราเข้าใจว่ามันเป็นปริมาณที่เยอะมากมาตลอดเลยนะ  หรือนี่คือความคิดไปเองของคนที่มักจะรู้สึกคล้อยตามศรัทธานิยาย Best seller อย่างเรา (อาจเป็นไปได้ 555)





แต่เอาเถอะ ก็หาได้ทำให้เราช่วยถ่อมตนให้กับหนังสือเล่มนี้ไม่ เพราะคิดว่ามันดีจริงๆ นะเออ อย่างน้อยก็มีเราคนหนึ่งล่ะที่เห็นว่าเรื่องนี้มันเยี่ยม มันเริ่ดมาก 

เหตุผลนะหรือ ?

  •  เป็นหนังสือที่แม้เรานึกอยากอ่านก็ใช่จะตัดสินใจจ่ายตังค์เพื่อคว้ามาอ่านได้ง่ายๆ  ความหนาที่มาพร้อมกับราคาไม่น้อยของมัน ย่อมต้องทำให้รู้สึกลังเลไม่น้อย

  •  ความละเมียดละไมในทางสืบสวน  ที่มีผลให้ก่อเกิด "ความลึกซึ้ง" จากการที่เราได้ค่อยๆ ซึมซับความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร โดยเฉพาะ "บุตรชายผู้เสียชีวิต"  กับ "บุตรสาวผู้ต้องสงสัย"  ซึ่งหากทบทวนดูแล้วจะพบว่าเฉพาะกับสองคนนี้ที่ผู้เขียนไม่มีการบรรยายความรู้สึกนึกคิดของเขาและเธอเลย แต่เรากลับรู้สึกถึงความเจ็บปวด ความขมขื่น  ผ่านคาแรคเตอร์ ผ่านพฤติกรรม และจากความรู้สึกนึกคิดของตัวละครอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแวดล้อม  ที่ทำให้รู้สึกทึ่งกับนิยายเรื่องนี้มาก

  • คำนำสำนักพิมพ์ที่ว่า ...เรื่องราวใน "พระอาทิตย์เที่ยงคืน" กระเพื่อมราวการหย่อนหินลงไปในแม่น้ำ ที่จังหวะนึง ก่อกระทบให้เกิดการสั่นไหวต่อเนื่องไปยังอีกจุดนึง และมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ความที่เป็นเรื่องราวหนาเกือบหนึ่งพันหน้า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่ออ่านแล้วกลับวางไม่ลง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะตัวละครแต่ละตัวมีที่มาที่ไป  การใช้ชีวิตที่ไม่มีพระอาทิตย์คุ้มหัวจะเป็นยังไงกัน... เป็นความจริงแน่แท้ของนิยายเรื่องนี้ที่ทำให้อ่านแล้วรู้สึกสนุก  อ่านอย่างไม่รู้สึกย่อท้อที่จะอ่าน  อ่านอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่จะพัก  ที่ตั้งเป้าไว้ 4 วัน เป็นอย่างน้อย  กลับอ่านนิยายเรื่องนี้รวดเดียวจบ คือแบบอ่านทั้งวัน อ่านทั้งคืน นอนหลับตื่นเช้าขึ้นมาแล้วอ่านใหม่ ทั้งวัน ต่อทั้งคืน ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วอ่านต่อ เป็นเช่นนั้น 3 วันในช่วงหยุดวันฉัตรมงคล ก็จบลง (เธอว่างมาก)   

  • แม้ไม่ยากจะเริ่มสงสัยถูกคนตั้งแต่แรก  และไม่ยากจะคาดเดาความเกี่ยวข้องของคนอื่นๆ ในเวลาต่อมา  และไม่ยากจะมั่นใจว่าที่คิดไว้นั้นน่าจะใช่ในอีกไม่ช้า   แต่ถึงปมจะคลายเกลียวก็ยังไม่อาจหย่อนความสนใจไป เพราะจะอย่างไรมันก็ยังไม่เคลียร์ ไม่ชัด อะไร ทำไม อย่างไร ยังคงต้องติดตามกันต่อไปอย่างไม่ลดละ ด้วยความกระหายใคร่รู้ 

  •  แม้เนื้อเรื่องจะเป็นนิยายสืบสวนระทึกใจ  แต่เรากลับรู้สึกว่านอกเหนือจากปมอาชญากรรมมันยังถูกขับเคลื่อนไปด้วยอีกสิ่งสำคัญบางอย่าง สิ่งที่ไม่ได้มีการบอกเล่าหรือบรรยายถึงสักคำ แต่มันซ่อนอยู่ในเรื่องราวเหล่านั้น .. อีกชั้นหนึ่ง ลึกลงไป   นั่นคือ ความรัก ความเสียสละ  ความผูกพันอันยาวนานและการเดินทางของชีวิตตลอด 19 ปี  ส่วนตัวแล้วที่อยากรู้ลุ้นทรมานใจยิ่งกว่าการคลี่คลายปมคดี นั่นคือ ความคาดหวังและรอคอยที่จะมีสักครั้งของจุดนัดพบพระอาทิตย์เที่ยงคืน 

  • หาก "เด็กเก็บว่าว" นิยายอีกเรื่องหนึ่งที่เราประทับใจในความสะเทือนซาง จนรู้สึกเห็นด้วยหากจะใช้คำโปรยว่า .. กรีดเซาะทุกอารมณ์และความรู้สึก...     .. "พระอาทิตย์เที่ยงคืน"  ก็ไม่เกินเลยที่ใจะโปรยว่า .. ได้ขมวดปมจนลมหายใจแทบขาดห้วง   เพราะอ่านแล้วค่อนข้างอึดอัดใจในความหม่นมัวของมัน   และเมื่อเริ่มจะรู้ในความสัมพันธ์เป็นมาที่แท้จริงและทุกสิ่งที่กำลังจะถึงทางตันแล้วในช่วงท้าย  ทำไมถึงได้ ........ ทำไมล่ะทำไม ..... รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก  อยากจะร้องไห้ยังร้องไม่ออกเลย  

ตอนที่เราบอกกล่าวถึงหนังสือไปอย่างนี้ในกลุ่มไลน์ แล้วโดนถามว่า เกี่ยวกับอะไร ? ตอบไปว่า อาชญากรรมสืบสวน  แล้วมีความเห็นตอบมาว่า "ก็ไม่น่ามีอะไร สะเทือนอะไรวะ  เคสมันหนักเหรอ"  ประมาณว่านี่หล่อนจะสะเทือนใจอะไรนักหนา   เราถึงพึ่งมีสติระลึกได้ว่า หนังสือบางเล่มนั้น เราไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ ใครที่ไม่ได้อ่านทุกตัวอักษรร้อยเรียงแล้วรู้สึกชอบในทำนองเดียวกัน คงไม่อาจเข้าใจความเวิ่นเว้อของเราได้หรอก  เราคงจะอินและอวยนิยายเรื่องนี้เว่อร์ไปแล้วในความรู้สึกของคนอื่นๆ  จึงหยุดอวยทันที  555


 "พระอาทิตย์เที่ยงคืน" ชื่อนี้มีความหมายนัก มันครอบคลุมความนัย และเป็นแก่นความหมายของเรื่อง  อย่างที่ผู้แปลได้ว่าไว้ ถึงจะไม่เด่นสะดุดตาในแง่การขาย แต่เพราะมันใช่จึงยังคงชื่อนี้ไว้ตามที่ถอดแปลมาจากชื่อต้นฉบับ    

 "พระอาทิตย์เที่ยงคืน" อาจไม่สว่างจัดจ้าเหมือนพระอาทิตย์ตอนกลางวัน แต่ก็สว่างเพียงพอที่จะส่องหนทางให้ดำเนินชีวิตไปในยามราตรี  โลกอันมืดมิด สำหรับคนที่ไม่มีพระอาทิตย์คุ้มหัว

 "พระอาทิตย์เที่ยงคืน" จะอยู่ในความทรงจำของการอ่านว่าเป็นนิยายสืบสวนระดับมาสเตอร์พีซ

แต่นิยายจบ  คนยังไม่จบนะคะ Midnight Sun Journey เป็นชื่อเรื่องภาษาอังกฤษของซีรีส์  Byakuyakou (เบียคุยะโค) ที่สร้างมาจากนิยายเรื่องนี้ และได้รับรางวัล Television Drama Academy Award ครั้งที่ 48 ใน 4 สาขา Drama , Best Actor , Best supporting Actor , Best supporting actress   ที่จริงแล้ว ความที่เป็นคนชอบดูซีรีส์ญี่ปุ่น  ชื่อ พระอาทิตย์เที่ยงคืน ก็เคยดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก ทำไมพระอาทิตย์ต้องตอนเที่ยงคืนด้วยล่ะ ?  แต่ด้วยพระเอกนางเอกของเรื่องไม่ได้อยู่ในความนิยมชมชอบนักในขณะนั้น จึงไม่ได้หามาดู ซึ่งก็ถือว่าดีแล้วล่ะค่ะ  การได้อ่านหนังสือโดยไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนน่าจะดีกว่ากันเยอะ และถึงตอนนี้คงต้องหาซีรีส์มาดูบ้างแล้ว ในยามที่คุ้นเคยกับนางเอก อายาเสะ ฮารุกะ และรู้จัก ยามาดะ ทาคายูกิ ที่ชอบเขามาจากหนังเรื่อง Crows หนทางความอินคงจะราบรื่นสมความคาดหวัง




ความรักที่เขามีคงไม่เหมือนใคร แต่ก็เป็นรักยิ่งใหญ่จากชายคนหนึ่ง ..ที่ซึ้งมาก 







 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2558    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2558 7:02:52 น.
Counter : 6936 Pageviews.  

Tales of the Otori 1 - Across The Nightingale Floor_เหยียบถิ่นพยัคฆ์


Tales of the Otori Book 1
Across The Nightingale Floor  " เหยียบถิ่นพยัคฆ์ "
ลิอัน เฮิร์น  เขียน / วันเพ็ญ บงกชสถิตย์  แปล
แพรวสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 6 มีนาคม 2558 (ฉบับปรับปรุง)

------


"เทลส์ ออฟ ดิ โอโตริ เล่ม ๑ : เหยียบถิ่นพยัคฆ์" นวนิยายผจญภัยเชิงประวัติศาสตร์ เรื่องราวของญี่ปุ่นสมัยโบราณ การต่อสู้แย่งชิงอำนาจของขุนศึกตระกูลต่างๆ "เหยียบถิ่นพยัคฆ์" จะสร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านไม่รู้ลืม ผู้เขียนได้วางบทบาทตัวละครเอก และตัวละครอื่นๆ ได้อย่างเข้มข้น เล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม ด้วยสำนวนภาษาอ่านง่าย อีกทั้งผู้เขียนได้ศึกษาประเพณี พิธีกรรมและระบบต่าง ๆ ของญี่ปุ่นโบราณอย่างเข้าถึง ก่อนที่จะกำหนดสร้างพื้นที่ทางจินตนาการให้กับผู้อ่านจนกลายเป็นนวนิยายผจญภัยเชิงประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เล่มหนึ่งให้กับโลกการอ่านในปัจจุบัน

Smiley ภาคแรกของมหากาพย์ไตรภาคแห่งศึกสงคราม ความรัก และความภักดี ที่ครองใจผู้อ่านหลายล้านคนทั่วโลกกว่าทศวรรษ ได้รับการแปลแล้ว 36 ภาษา 
Smiley Universal Studios ซื้อลิขสิทธิ์ไป สร้างเป็นภาพยนตร์




เป็นนิยายชุดที่นอกเหนือจากปกอันเตะตาให้สนใจว่า เอ๊ะ .. อะไร Smiley  แล้วก็ไม่ต้องมีสิ่งอื่นใดมาดึงดูดความสนใจเราอีกเลย  หลังจากอ่านปกหลังแล้วพบคำว่า 'นวนิยายผจญภัยเชิงประวัติศาสตร์' ที่ภาพปกบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นญี่ปุ่นในยุคโบราณ เท่านั้นก็เพียงพอจะทำให้เกิดอาการ..น้ำลายหกได้แล้ว  

แม้ว่าในวันนั้นจะพยายามยับยั้งชั่งใจสุดความสามารถ  บอกตัวเองว่าเรื่องยาวอย่างนี้ไปหาอ่านรีวิวก่อนเหอะ  ประเดี๋ยวซื้อแล้วไม่สนุกก็จะกลายเป็นเรื่องทั้งเปลืองและค้างคาหากว่าไม่ได้อ่านให้จบ

แต่ยังไม่ทันจะอ่านรีวิว  บ่ายวันรุ่งขึ้น ก็ไปสอยเล่มแรกมาอ่านแบบรวดเดียวจบ  นั่นคือข้อเสียของการมีร้านหนังสืออยู่รายล้อมในย่านที่พักอาศัยน่ะนะคะ




เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเป็นคนชอบอะไรแนวนี้มากค่ะ เห็นหนังสือแล้วหวังว่าจะมี อณาเขต การปกครอง มีสังคมการเมือง สงครามแย่งชิงอำนาจ มีธรรมเนียม วัฒนธรรม มีขุนนาง นักรบ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี  เกียรติศักดิ์ตระกูล ..สายโลหิต อะไรเทือกนี้ที่เราจะชอบมาก 


สัญลักษณ์ประจำตระกูลต่างๆ


ที่คิดไว้ว่าคงจะปลาบปลื้มกับญี่ปุ่นในยุคโบราณ จินตนาการถึงบ้านเมืองแต่เก่าก่อนตามที่เคยเห็นในหนังหรือซีรีส์ญี่ปุ่น  เสื้อผ้าหน้าผมของบุรุษสตรี วิถีชนชั้นผู้ปกครอง นักรบและดาบซามูไร ไม่หวังอะไรมากไปกว่านี้    ตามประสาคนไม่ได้อ่านรีวิว จึงไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่า นิยายเรื่องนี้มีสิ่งเหนือความคาดหมาย

นั่นคือ  พระเอกของเราสืบเชื้อสายมาจากพวก "นินจา"

ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางเหล่า "ผู้สันโดษ"  หมู่บ้านมิโนะ
ได้รับการอุปการะต่อมา จาก ท่านชิเกรุ แห่งตระกูลนักรบ โอโตริ
แต่เบื้องหลังการกำเนิด .. เขามีสายเลือด นินจา - คิคูตะ

อยากจะกรี๊ด ณ จุดๆ นี้ .. เพราะส่วนตนแล้วเป็นคนที่โปรดปรานบรรดาตัวละครด้านมืดเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น  แม่มด ยมทูต แดร็กคิวล่า แวมไพร์  มนุษย์หมาป่า  สายลับ  นักล่า (Priest นักบุญปีศาจ, แวน เฮลซิงฯลฯ

และ "นินจา" ก็เป็นอีหนึ่งในบรรดาตัวละครในเงามืดเหล่านั้น  ที่สำคัญคือ ไม่ได้มีโอกาสเจอมากนัก ไม่ว่าในแง่ของการอ่าน ที่ไม่ได้นิยมนิยายญี่ปุ่นมาก่อน หรือในแง่ของการดูหนังดูซีรีส์  ที่ก็ไม่ได้มีแนวย้อนยุคให้ดูมากนัก เจอเล่มนี้ จึงไม่ยากกับการจะถูกดึงดูดความสนใจ

เรียกว่ามีแรงจูงใจอย่างสูง มาจากความชอบส่วนตนจริงๆ ค่ะ 

ซื้อเล่มแรกมา และค่อนข้างแน่ใจเลยว่าจะอ่านต่อให้จบได้ทั้งหมด

จะเห็นได้ว่าเล่มสีแดงนี้เป็นเล่ม ๑ แต่ไม่ใช่เรื่องเริ่มแรก พิจารณาแล้วขอเลือกอ่านตามลำดับการเขียนของผู้เขียน คือ เล่ม ๑  เหยียบถิ่นพยัคฆ์  เพราะเชื่อมั่นในความคิดแรก บรรเจิดเป็นเล่ม ๑ ก่อน น่าจะโอเคกว่าเรื่องเขียนเพิ่มภายหลัง  และน่าจะเหมาะกับการเสี่ยงเริ่มต้นอ่านนิยายเรื่องยาวนี้ด้วย 

ก่อนจะต่อด้วย เล่ม ๒  วิหคหลงรัง และ เล่ม ๓ จันทร์กระจ่างฟ้า จากนั้นผู้เขียน  ยังค้างคาใจ รึเปล่า ? จึงกลับย้อนไปเขียนเล่มปฐมบท ลิขิตแห่งสวรรค์ ก่อนจะต่อเล่มสุดท้ายให้จบสมบูรณ์ ที่เป็น เล่ม ๔ สิ้นเสียงปักษา สรุปว่า เทลส์ ออฟ ดิ โอโตริ นี้ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๕ เล่ม นะคะ  


แม้ว่านิยายจะมีบางอย่างไม่ถูกใจอยู่บ้าง นั่นคือ พระเอก นางเอก รักกันเร็วไป เพิ่งจะเจอกันแหม่บๆ ไฉนจึงรักกันปานจะกลืนกินขนาดนั้น  และการแปล ที่ตามหนังสือบอกว่าเป็นสำนวนอ่านง่าย แต่เราคิดว่าถ้าภาษาสละสลวยขึ้นอีกสักหน่อยก็คงจะดีไม่น้อย เพราะนี่เป็นนิยายพีเรียดการมีภาษาสำนวนที่สวยงามน่าจะเข้ากันได้ดีกว่า  ส่วนที่ขัดใจมากๆ คือการทับศัพท์ในหลายๆ คำ เช่น ชื่อดอกไม้ต่างๆ ซึ่งจุดนี้ไม่ทราบเจตนาผู้แปลว่าเป็นการจงใจจะคงไว้เช่นนั้นหรือเป็นเพราะไม่ได้ค้นคว้าว่าเป็นดอกอะไร 

แต่สิ่งที่ถูกใจและทำให้อ่านสนุกมากจนวางไม่ลงก็มีอยู่มาก เล่ม ๑ นี้ที่โดนใจเป็นการเฉพาะก็คือ  "นินจา"  และ "พื้นไนติงเกล" (Nightingale Floor)

ในถิ่นพำนักของพยัคฆ์ร้าย  พื้นไนติงเกลถูกสร้างขึ้นรายล้อมเพื่อเตือนภัยป้องกันการลักลอบสังหาร  หากพื้นนี้ถูกเหยียบย่ำ...จะส่งเสียงอันไพเราะเหมือนเสียงนกไนติงเกลร้อง ว่ากันว่าแม้แต่นินจาก็ไม่อาจหลบเลี่ยงไม่ให้เกิดเสียงนี้ได้  -- แต่นินจาก็ย่อมความสวรรค์ มีความสามารถแตกต่างกัน  และนินจาผู้หนึ่งนั้นก็หวังจะข้ามพื้นไนติงเกลเข้าไปเหยียบพยัคฆ์ให้จงได้ 

ชื่อของเขาคือ"โทมาสึ" ได้รับการเลี้ยงดูขึ้นมาในหมู่ผู้สันโดษ เป็นผู้รอดชีวิตจากหมู่บ้านมิโนะที่เหล่าผู้สันโดษถูกสังหารสิ้น  เขาได้รับการช่วยเหลือจาก โอโตริ ชิเกรุ ผู้มอบชีวิตใหม่ให้พร้อมกับชื่อใหม่ "โอโตริ ทาเคโอะ" กลายเป็นบุตรบุญธรรม-และทายาทผู้สืบทอด

บุญคุณโอโตริต้องทดแทน  ความแค้นโตฮันต้องชำระ แต่สายเลือดนินจาก็ไม่อาจปฏิเสธได้

พวกนินจาคิดว่ามีสิทธิและได้อ้างสิทธินั้นเหนือชีวิตของทาเคโอะ เขาจะต้องได้รับการดูแลให้ปลอดภัย และเขาจะต้องฝึกฝนวิชาของนินจา 

"เอาละ  ข้าคิดว่าถ้าพวกผู้สันโดษเลี้ยงดูเขามา เขาก็คงไม่รู้จริงๆ ข้าจะเริ่มตั้งแต่ต้นเลย  มีนินจาอยู่ห้าตระกูลก่อนที่จะมีพวกเจ้าที่ดินและตระกูลต่างๆ พวกเขามีชีวิตอยู่กันตั้งแต่สมัยที่คาถาอาคมยังมีอำนาจมากกว่าอาวุธ และเทพทั้งหลายยังเสด็จมาท่องเที่ยวอยู่ในโลก เมื่อตระกูลต่างๆ เกิดขึ้น ผู้คนก็เริ่มรวมตัวกันเพื่ออำนาจ พวกนินจามิได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูลใด ด้วยความต้องการที่จะรักษาพรสวรรค์ของพวกเขาไว้ พวกเขาเลยกลายไปเป็นนักเดินทาง นักแสดง และนักกายกรรม พ่อค้าเร่ และนักมายากล"

"ตอนแรกพวกนี้อาจจะทำอย่างนั้น"  "แต่อีกหลายคนก็กลายมาเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพล"

"เด็กคนนี้มีลักษณะของพวกคิคูตะ นับแต่นิ้วยาว เส้นตัดตรงพาดกลางฝ่ามือ ประสาทหูดีเยี่ยมซึ่งจู่ๆ ก็เกิดขึ้นช่วงย่างเข้าวัยหนุ่ม บางครั้งก็อาจจะมีอาการพูดไม่ได้ด้วย ปกติแล้วอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นครั้งคราว แต่ก็มีบางรายที่มีอาการถาวร..." 

"เราสามารถแบ่งภาคตัวเองได้และทิ้งร่างที่สองไว้ข้างหลัง  เราสามารถหายตัวและเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าที่ตาจะมองทัน  ตาดีหูดีคือลักษณะอีกอย่าง นินจารักษาความสามารถพวกนี้ไว้ได้จากการทุ่มเทฝึกฝน และผู้คนในบ้านเมืองที่รบราฆ่าฟันกันตลอดก็พบว่าความสามารถเหล่านี้มีประโยชน์และยินดีจ่ายค่าตอบแทนอย่างงาม  สมาชิกของนินจาส่วนใหญ่จึงกลายเป็นจารชนหรือนักลอบสังหารในช่วงหนึ่งของชีวิต"

"มูโตะ เคนจิ ถูกส่งตัวไปฮากิเพราะมิตรภาพอันยาวนานระหว่างเขากับชิเกรุ เขาสอนอะไรเจ้ามากมาย แต่พวกคิคูตะต้องสอนพวกคิคูตะด้วยกันเอง"

"แต่เจ้ามีตราประทับของความเป็นคิคูตะอยู่เต็มตัว  ตั้งแต่ความสามารถในการได้ยินอย่างแจ่มชัด ความสามารถในทางศิลปะ ตลอดจนความสามารถอื่นๆ อีกมากมายที่ข้ารู้ว่าเจ้ามี รวมทั้งเส้นบนมือเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าปฏิเสธไม่ได้"

"นั่นไม่ใช่ประเด็นของประโยชน์ ..  ประเด็นอยู่ที่ว่าเจ้าเกิดมาเป็นนินจา
 และนี่คือที่ของเจ้า  เจ้าจะยังเป็นนินจาอยู่ดีแม้จะไม่มีพรสวรรค์
 แต่ถ้าเจ้ามีพรสวรรค์ทั้งมวลในโลก แต่ไม่ได้เกิดมาเป็นนินจา
 เจ้าก็จะไม่มีวันเป็นนินจาได้ และเราก็คงไม่สนใจในตัวเจ้า..."

ประโยคสุดท้ายนี้กินใจ ..ที่สุดในเล่ม  มิเสียแรงที่คาดหวัง มิเสียดายเงินที่ซื้อมาค่ะ Smiley




 

Create Date : 01 เมษายน 2558    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2558 23:13:17 น.
Counter : 5160 Pageviews.  

ฆาตกรรมระดับ 7 レベル7 คุ้มแก่การจดจำและค้นหา


レベル7  / Level 7 / ฆาตกรรมระดับ 7

ชายหญิงคู่หนึ่งตื่นขึ้นมาบนเตียง
ในคอนโดฯ ใจกลางกรุงโตเกียว
พวกเขาเกิดอาการความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้เลย
และเฟอร์นิเจอร์ในคอนโดฯ นั้น ก็เป็นของใหม่
รวมทั้งชุดนอนซึ่งตนสวมใส่ด้วย
ไม่มีสิ่งใดระบุตัวตนของสองหนุ่มสาวได้
นอกจากรอยสักบนแขนว่า Level 7
แต่กลับพบปืน ผ้าเปื้อนเลือด
และกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งที่อัดแนนด้วยธนบัตร

ต่อมาจู่ๆ ฝ่ายหญิงสาวก็เกิดตาบอดขึ้น 
เธอทำหม้อต้มน้ำตกเสียงดัง
เป็นเหตุให้ซาเองุสะชายวัยกลางคน
ผู้อาศัยข้างห้องมาพบเห็นเรื่องราวทั้งหมด
ซาเองุสะเสนอตัวช่วยค้นหาตัวตนของขายหญิงคูนี้
และที่มาของปืนกับวัตถุน่าสงสัยในห้องคอนโดฯ

การสืบหาเรื่องราวอันลึกลับจึงได้เริ่มต้นขึ้น..
ว่า Level 7 ซึ่งต่อมามีผู้เกี่ยวข้องหลายคนนั้น
หมายความถึงอะไร
และพัวพันกับฆาตกรรมหมู่นองเลือดอย่างไร




วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เคยเขียนคอมเมนต์ในบล็อกรีวิวนิยายเรื่องนี้ของคุณ 'มาช้ายังดีกว่าไม่มา' โดยเขียนไว้ว่า ไม่ต้องจดชื่อ จำชื่อ จำปกได้ อย่าให้เจอ ....

แต่ก็ไม่เคยได้เจอหรอกนะคะ พอได้อ่านเรื่อง 'คนร้ายจงฟัง' ของ 'ชิซุคุอิ ซูสุเกะ' แล้วรู้สึกว่าเราคงจะถูกโฉลกกับนิยายแนวนี้ของฝั่งญี่ปุ่นเข้าแล้ว อยากอ่านแนวนี้อีก จึงนึกถึงปกนี้ขึ้นมาอีกครั้ง และก็เริ่มเสิร์ชอินเตอร์เน็ต เสิร์ชจนปรุจึงได้หนังสือมือสองเล่มนี้มา แล้วก็ที่ดีใจมากที่ได้ปกเก่าปกนี้เพราะจะแลดูน่ากลัวอย่างไรก็ยังดูดีกว่าปกเลือดอีกอันที่ให้ความรู้สึกอย่างกับเป็นเรื่องราวสยองของฆาตรกรโรคจิต 

ปกนิยายแนวนี้ในมุมหนังสือของร้านนายอินทร์ที่จัดรวมๆ กันไว้ ถ้าไปยืนเลือกอยู่นานๆ ท่ามกลางหมู่เลือด ก็รู้สึกเครียดได้เหมือนกันนะคะ 

ที่จริงแล้วอาชนิยายมันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ถ้านิยายผีสยองขวัญล่ะก็ว่าไปอย่าง แต่ว่าแต่ละปกก็ชวนให้นึกกลัวได้ดีจริงๆ 
ย่อมจะต้องมีเหตุผล ที่ มิยาเบะ มิยูกิ ได้รับสมญาว่าเป็นราชินีแห่งอาชญนิยาย 
ทั้งยังเป็นนักเขียนมือรางวัล ยามาโมโตะ ชูโคโร รางวัลนาโอกิ และรางวัลอื่นๆ อีกมาก

อ่านฆาตกรรมระดับ 7 ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานชื่อดังของเธอแล้วก็เข้าใจ ว่านั่นคงจะเป็นค่าที่คู่ควร

' เปิดเรื่องด้วยไปเดียรุนแรงตามสไตล์ของมิยาเบะ นั่นคือกระตุ้นให้สงสัยด้วยเรื่องราวของชายหญิงคู่หนึ่งที่ตื่นขึ้นมาในที่ซึ่งตัวเองไม่คุ้นเคยพร้อมกับสูญสิ้นความทรงจำ โดยมีรหัสแปลกๆ บนแขนของทั้งคู่ว่า Level 7 อันเป็นปริศนาและร่องรอยเดียวของการตามหาความเป็นมาของตน ก่อนจะนำผู้อ่านให้ดิ่งสู่โลกปริศนาและการฆาตกรรมตามแบบของมิยาเบะมีมักแฝงการวิจารณ์สังคมสมัยใหม่ไปด้วยในตัว' (คำนำสำนักพิมพ์)

'ขึ้นต้นด้วยเรื่องซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กันเลย แต่ก็มาบรรจบกันได้อย่างกลมกลืนด้วยการวางเค้าโครงเรื่องอย่างชาญฉลาด และทำให้มองเห็นภาพราวกับชมภาพยนตร์ตื่นเต้นเรื่องหนึ่ง แถมด้วยการหักมุมครั้งแรกครั้งเล่าจนยากแก่การเดาตอนจบ ยิ่งทำให้นิยายเรื่องนี้ชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง'(คำนำผู้แปล)

เปิดเรื่องได้น่าสนใจดีค่ะ เมื่อไม่มีเวลาพอจะอ่านให้จบ ยังพะวักพะวนถึงอยากจะอ่านต่อ อยากจะรู้เร็วๆ ซะที  รู้สึกอย่างนั้นเมื่อจำต้องวางหนังสือลง แล้วพักไปนาน เห็นมันวางอยู่บนโต๊ะทุกวันๆ ก็อยากอ่านนะ แต่อยากจะมีเวลาพอที่จะอ่านแบบรวดเดียวจบ ไม่อยากคาใจ  

เมื่อได้กลับมาอ่านอีกครั้ง ช่วงแรกจะรู้สึกว่าการดำเนินเรื่องผ่านตัวละครครหลายคน  ทางนี้ตามหาตัวตนของคนสองคน  ทางโน้นก็ตามหาอีกคนๆ หนึ่งที่หายไป  เหมือนคนละเรื่อง คนละปัญหา ไม่น่ามาเกี่ยวกัน แต่พอเข้าสู่กลางเรื่อง ในรายละเอียดเริ่มมีการเฉียดกันไปมาผ่านคนรู้จัก ผ่านสถานที่พบผ่านแห่งเดียวกัน เริ่มมีร่องรอยที่อาจจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แต่ไม่อาจเดาได้ว่าควรจะเกี่ยวในแง่ไหน อย่างไร   ทำให้อยากรู้มากถึงขนาดต้องหักห้ามใจอยู่หลายครั้งไม่ให้ไปพลิกหาเฉลย (ก็เข้าใจว่าไม่ควรทำเช่นนั้นในการอ่านหนังสือ แต่มันอยากรู้มากจริงๆ )  ยิ่งเข้าสู่ช่วงหลังยิ่งใจจดใจจ่อ วางไม่ลง อะไร ยังไง อยากรู้ๆ 

อ่านจบแล้ว  เข้าใจแล้วล่ะ รีวิวที่เคยอ่านผ่านตา  บางคนใช้คำว่า  เหนือชั้น  บางคนว่า อภิมหา..ฆาตกรรมเหนือเมฆ  ส่วนในความคิดของเราก็เห็นด้วยนะ เพราะมันน่าทึ่งในสติปัญญาของคนเขียนว่า  .. คิดได้ไง? การหักมุมคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับนิยายแนวนี้ แต่ที่ซับซ้อน พลิกผันสองสามตลบนี่.. ต้องขอชม  การมีตัวละครหลายคน  และดำเนินเรื่องมาจากสองทาง มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายอย่างก่อนจะมาบรรจบเป็นเรื่องเดียว เหมือนมันจะยากมากๆ ที่จะต้องปิดช่องโหว่ให้หมด ไม่พลาดให้ผู้อ่านโต้แย้งได้ในจุดไหนว่าไม่สมเหตุ.. สมแรงจูงใจ

มีเหตุผลสำคัญหนึ่งที่ทำให้รู้สึกสนใจนิยายญีุ่่ปุ่นขึ้นมามากกว่าแต่ก่อน คือการสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ที่มักทำให้เกิดความเข้าใจและเกิดอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครได้ง่าย   นิยายเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้น

แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ คือ การดำเนินเรื่องแบบคล้ายจะเรื่องของใครของมัน  แต่ว่าทุกคน ทุกอย่าง ล้วนวกเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวกันนี่แหละ ที่ทำให้รู้สึกว่านิยายเรื่องนี้สนุก 

ทำให้นึกอยากอ่าน 'ปริศนาฆ่าหั่นศพ'  ขึ้นมาอีกเรื่อง แม้จะมีชื่อชวนสยอง แต่ตอนนี้ได้เรียนรู้แล้วว่า อาชนิยายมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หรืออย่างที่เห็นบนภาพปก

เหตุที่คิดว่ามันน่ากลัวนี่เอง จึงพลาดของดีมาซะนาน กว่าจะอยากอ่าน หนังสือก็หายากซะแล้ว




 

Create Date : 29 มีนาคม 2558    
Last Update : 1 มิถุนายน 2558 21:59:48 น.
Counter : 1409 Pageviews.  

Simply Irresistible สุดห้ามใจรัก หนึ่งค่ำคืนเร่าร้อน ที่ทำให้เธอได้พบรักแท้


Rose Publishing , พิมพ์ครั้งแรก มกราคม ๒๕๕๘


โบราณว่าไว้ ถ้าอยากได้ลูกเสือ ก็ต้องเข้าถ้ำเสือ 
แต่แม่เสือที่ จอห์น โควอลสกี้ ต้องเข้าปะทะ 
เขาไม่อาจใช้ทักษะในกีฬาฮอกกี้มาช่วยต่อสู้ได้ 
และอีกอย่างคือ เขารู้สึกผิดต่อแม่เสือคนนี้อยู่ไม่น้อย 

เมื่อหลายปีก่อน จอห์นพบกับ จอร์แจน ฮาวเวิร์ด
 ในพิธีแต่งงานระหว่างเธอกับเจ้านายของเขา 
การพบกันของทั้งคู่ไม่ได้จบลงแบบสวยงามนัก 
ในเมื่อเขาช่วยพาเธอหนีงานแต่ง แล้วก็ทิ้งเธออย่างไม่ไยดีที่สนามบิน 
ทั้งที่เพิ่งผ่านคืนอันร้อนเร่ามาด้วยกันหมาดๆ มาวันนี้ 
ลเขาอยากอุทิศตนเป็นพ่อให้ลูกสาวตัวน้อยๆ ของเธอใจจะขาด
 แต่เขาอาจต้องการมากกว่าความโชคดี
 เพื่อโน้มน้าวใจให้คุณแม่ยังสาวคนดีหันมารักเขา



ทิ้งแล้วท้อง
...........  ..Smiley ..นิยายฝรั่งก็มีน้ำเน่าเหมือนนิยายไทยเราเหมือนกันนั่นแหละ 

คำนิยม

อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก - A Girl, Books and Other Things

การผสมผสานระหว่างความรัก ความขบขัน และการกีฬ - All About Romance

ขำ ประทับใจ สมบูรณ์แบบ - Elizabeth Lowell
Smiley

อ่านแล้วไม่เห็นจะมีความขบขัน ที่ชวนให้ขำสักกิ๊กเดียว นอกจากจะไม่ขำแล้ว 
คำว่า อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก  ประทับใจ สมบูรณ์แบบ ก็ยังห่างไกลจากความรู้สึก
ไม่ใช่ไม่ชอบค่ะ   เรื่องนี้ชอบนะคะ  แค่เพียงความชอบนี้ไม่ได้มากขนาดนั้น Smiley

จอร์แจน ฮาวเวิร์ด  Smiley ไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก การเลือกที่จะแต่งงานกับชายสูงวัยฐานะร่ำรวยอาจเป็นทางเลือกที่ดีสักครั้งในชีวิต แต่สุดท้ายเธอก็ทำไม่ได้อย่างที่คิด ต้องขอเปลี่ยนใจยกเลิกงานแต่งงาน แต่ในเมื่อเจ้าบ่าวไม่ยินยอมพร้อมใจจะเลิกด้วยกัน เธอจึงตัดสินใจที่จะหลบหนีการแต่งงาน

เวอร์จิล ดัฟฟี  คือเจ้าบ่าวผู้โชคดีเหลือแสน อายุก็โคแก่ปานนั้นยังอุตส่าห์จะได้ภรรยาเป็นหญ้าอ่อน ที่ทั้งสวยทั้งอวบอัด ชวนขบเคี้ยว และที่สุดแสนจะเด่นชัดต้องตาที่สุด คือหน้าอกสะบึมที่ชวนให้ชายใดได้เฝ้ามองแล้วจะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ใครจะคาดคิดว่าเวอร์จิล ดัฟฟี จะตกม้าตายกลายเป็นเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายบนแท่นพิธีวิวาห์

จอห์น โควอลสกี้ นักกีฬาฮอกกี้หนุ่มคนดัง ของทีม "ชินุกส์" ผู้มีฉายาความแข็งแกร่งว่า "เดอะวอลล์"  ก็รับเชิญมาร่วมงานแต่งงานนี้ เพราะเวอร์จิล เป็นเจ้าของทีมชินุกส์ เป็นเจ้านายของเขาในอาชีพนักกีฬาฮอกกี้

ใครจะไปคาดคิดว่าผู้หญิงหุ่นสะบึมในชุดสีชมพูผูกโบว์รัดติ้วที่เขายอมให้ติดรถมาด้วย จะประกาศตนว่าเป็นเจ้าสาวผู้หนีงานแต่งงานที่เขาเพิ่งจากมา  
"มุกนี้ไม่ฮาสักนิด จอร์แจน" Smiley



แม่นแล้ว  มันไม่ฮา นี่มันซวยสุดๆ   นี่มันคือการตัดช่องทางทำมาหากินของตัวเอง ชีวิตที่ก็เละเทะอยู่แล้วส่อแววจะบัดซบยิ่งกว่าเดิม   ถ้าเวอร์จิลรู้ว่าเขาเป็นคนพาเจ้าสาวหนีงานแต่งงาน อนาคตของจอห์น โควอลสกี้ ต้องจบเห่เอวังอย่างแน่นอน

ผู้หญิงที่ยอมตกลงแต่งงานกับผู้ชายแก่คราวพ่อ จะมีเหตุผลอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เงิน ที่ร้ายกว่านั้นคือเธอเปลี่ยนใจไม่อยากได้ผู้ชายแก่ๆ มาเป็นสามี จึงทิ้งงานแต่งเสียดื้อๆ ซะอย่างนั้น เวอร์จิล เจ้านายเป็นมีชื่อเสียง เขาถูกทิ้งกลางพิธีแต่งงาน นั่นมันเรื่องน่าอับอายขายหน้าระดับหายนะเลยทีเดียว 

จอห์นรู้จักคนอย่างเวอร์จิลดี และเขาจะไม่ฆ่าตัวตายด้วยการแตะต้อง จอร์แจน ฮาวเวิร์ด

แต่ก็นะ .. เมินก็แล้ว หงุดหงิดรำคาญก็แล้ว พยายามอย่างไร สุดท้าย ช่างแม่งเวอร์จิลเถิด

หลังจากความสัมพันธ์ชั่วคราว และชั่วคืนเดียว .. ผิดหรือ ที่เขาหันหลังให้เธอในวันนั้น จอห์นไม่แน่ใจนักว่าเขาทำผิด เพราะเขาคิดว่าเขาทำดีที่สุดแล้วในสถานการณ์ที่เป็นอยู่  แต่สำหรับจอห์น จอร์แจน หรือที่เขาเรียกเธอว่า "จอร์จี้" นั้นทำผิดต่อเขาแน่นอน เมื่ออีก ๖ ปี ต่อมา เขาได้พบและรู้ว่าความจริงว่า เธอท้อง  ท้องกับเขาโดยไม่ยอมบอกให้เขารู้ เธอเลี้ยงดูลูกเพียงลำพัง ปล่อยให้ลูกไม่มีพ่อ ปล่อยให้เขาไม่เคยได้มีโอกาสเป็นพ่อให้กับลูกของตัวเอง

เธอทำได้อย่างไร ถ้าเธอจะโกรธเขาแต่ก็ไม่ควรทำเรื่องแบบนี้

เล็กซี่ Smiley  เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาด้วยเหมือนกัน เป็นลูกสาวของเขาทั้งคนเลยเชียวนะ!  

จอร์แจนโกรธเก็บและเจ็บช้ำ ที่เขาทิ้งเธอไว้ที่สนามบินอย่างไม่เหลียวหลังวันนั้น
จอห์นโกรธเคืองเธอ และเสียใจที่เขาไม่เคยได้มีโอกาสเป็นพ่อให้ให้ลูกของตัวเอง 

จอร์แจนจะต้องชดใช้เรื่องนี้  เขาต้องการสิทธิของความเป็นพ่อ และสิทธิของการเลี้ยงดู
Smiley

เขาต้องการทนาย  จอร์แจนรู้ดีว่าในศาลเธอจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย เธอจึงต้องการจะทำข้อตกลง

เพื่อ เล็กซี่ ที่รับรู้มาตลอดว่าพ่อของเธอตายไปแล้ว  การจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้น จอร์แจนอ้างว่าอยากจะขอเวลาเพื่อให้เล็กซี่ปรับตัว แต่ลึกๆ แล้ว เธอหวังอย่างยิ่งว่าจอห์นจะเบื่อ และคงจะเปลี่ยนใจไม่อยากจะเป็นพ่อคนขึ้นมาจริงๆ แล้วถึงเวลานั้น เขาจะจากไป โดยที่เล็กซี่ไม่ต้องรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ และไม่มีใครต้องเจ็บปวด โดยเฉพาะหัวใจของเธอเอง



พลอตค่อนข้างน้ำเน่านะคะ  แต่โดยรวมแล้วถือว่าเข้าทีดีทีเดียว   คนสับสนในชีวิตสองคน ต่างคนต่างก็มีปัญหาของตัวเอง ได้มาพบกันในวันว้าวุ่น จุดอารมณ์..รัก ใคร่ ปรารถนา..เร่าร้อน  แต่มันกลับมอดลงรวดเร็วในเช้าวันถัดมา ที่เห็นได้ชัดว่ามีเธอคนเดียวเท่านั้นที่เป็นฝ่ายรัก แต่สำหรับเขา นอกจากความใคร่แล้วไม่มีเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ ก็แค่ง่ายๆ ทางใครทางมัน 

แต่ถึงอย่างนั้น  เล็กซี่ ก็ไม่ใช่ความผิดพลาดที่ต้องกล้ำกลืนของจอร์แจน  เธอมีความสุขเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง เหมือนได้รับพร ได้รับของขวัญสุดพิเศษในชีวิตโดดเดี่ยวไม่มีใครของเธอที่จะมีใครสักคนให้เธอรักและเป็นคนของเธออย่างแท้จริง จอร์แจนจึงไม่ต้องการจะแบ่งปันของขวัญนี้ให้กับใครแม้แต่กับจอห์น โควอลสกี้ 

เมื่อพบกันอีกครั้งก็ผ่านวันเวลามานานหลายปี  เธอ..สามารถพึ่งพาตัวเองได้ มีชีวิตดีๆ ที่มั่นคง กลายเป็นผู้หญิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและภาคภูมิใจในตัวเอง  ส่วนเขา..ก็หยุดทำร้ายชีวิตตัวเอง เติบโตขึ้น และอยากจะมีครอบครัวลงหลักปักฐานแต่งงาน มีลูก กับใครสักคน  

และแล้วก็พบว่า เขามีลูกแล้วกับจอร์แจน  ผู้หญิงที่เขายังเฝ้าฝันถึงคะนึงหาในช่วงเวลาค่ำคืนนั้น ผู้หญิงที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวและยังไม่มีใคร  มันช่างเหมาะเจาะจะลงตัว 

แต่  ปมความรู้สึกในหัวใจของเธอฝังลึก  เขาเป็นชายชั่วที่ทิ้งเธอไป

ส่วนเขา เธอเป็นผู้หญิงที่..บทจะร้ายก็ร้ายสุดขั้ว ใจดำอำมหิตอย่างไม่ต้องสงสัย 

ความโกรธแค้นในอดีต และความโกรธเคืองในปัจจุบันของทั้งคู่ ก่อเกิดเป็นกำแพงทิฐิ แม้จะรุ่มร้อนลุกเป็นไฟในทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน แต่ไม่มีใครยอมรับว่า ในความรักมีความใคร่ ในความใคร่มีความรัก




จอห์นรักเล็กซี่ ลูกสาวของเขาอย่างสุดหัวใจ  แถมยังอยากได้แม่ของแกด้วยแทบจะขาดใจ

จอห์นกับจอร์แจน ต่างโหยหากันในความสัมพันธ์ทางกาย  แต่ในทางจิตใจต่างฝ่ายต่างตั้งกำแพงว่าไม่ใช่ 'ความรัก' เซ็กส์กับความรัก เป็นคนละเรื่องกัน เขาต้องการเธอ แต่เขาไม่ได้รักเธอ

อยากจะมีกันแต่ไม่ได้รักกัน  .. มันออกจะเป็นความซับซ้อนต้องใช้เวลา ที่คนใจแข็ง กับคนปากแข็ง กว่าจะเข้าใจและยอมรับว่าเรารักกัน 

ความจริงแล้ว เรื่องราวก็ค่อนข้างจะธรรมดานะคะ  ไม่มีอะไรให้ประทับใจเป็นพิเศษ และเป็นเรื่องที่เดาได้ เมื่อเวอร์จิลรู้เรื่องเข้า  ปัญหาในอาชีพของจอห์น สิ่งที่เขาเลือกและสิ่งที่ต้องแก้เกม แต่นิยายเรื่องนี้ได้ความรู้สึกชอบอยู่มาก เพราะมี "เล็กซี่" หนูน้อยวัยหกขวบ ที่จอห์นตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง แล้วก็ถอนตัวไม่ขึ้นอีกเลยนับจากนั้น 

คุณพ่อเป็นนักกีฬาฮอกกี้ ตัวสูงใหญ่ กับลูกสาวตัวเล็กๆ จินตนาการแล้วจะเห็นภาพที่น่ารักมาก

แต่ละฉากและแต่ละตอน ที่จอห์นเริ่มเข้าหาเล็กซี่ ในฐานะ "เพื่อนของแม่"

ความรู้สึกของจอห์น การจับมือลูก การที่ลูกเอนแผ่นหลังเล็กๆ มาแนบอก ..สัมผัสใกล้ชิดครั้งแรก

ความรู้สึก ยามเฝ้ามองดูลูกสาว จูบแม่ของแก ด้วยความรัก แบบที่จอห์นไม่เคยมีโอกาสได้รับ

การที่ลูกเรียกเขาว่า "พ่อ" ครั้งแรก  การที่ลูกบอกว่า "หนูรักพ่อค่ะ" ครั้งแรก
ถ้าจะถามว่าอะไรคือความชอบที่น่าจดจำของนิยายเรื่องนี้ Smiley
เราชอบ จอห์น กับ เล็กซี่ คุณพ่อตัวใหญ่กับลูกสาวตัวน้อยๆ  คู่นี้เลยค่ะ  น่ารักมาก Smiley





 

Create Date : 28 มีนาคม 2558    
Last Update : 28 มีนาคม 2558 17:44:37 น.
Counter : 2484 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.