Group Blog
 
All blogs
 

อิซากะ โคทาโร : ไม้บรรทัดของยมทูต_ความตายที่มาพร้อมกับไออุ่น




คำโปรย

(ปกหน้า)

เรื่องราวของยมทูตหนุ่ม
ผู้ปรากฏตัวในวันฝนพรำ
เพื่อชี้ชะตาชีวิมนุษย์
ผลงานแนวแฟนตาซีพร้อมไออุ่น
ที่ได้รับการสร้างเป็นภาพยนต์มาแล้ว

(ปกหลัง)

ผมชื่อชิบะ ถูกส่งมายังโลกเพื่อประเมินความตายของมนุษย์
แค่เข้าตีสนิทเป้าหมาย พบปะพูดคุยเล็กน้อยเพื่อเก็บข้อมูล
ก่อนตัดสินใจ 'รับไว้' หรือ 'ปล่อย' ภายในเวลา 7 วัน
งานแสนง่ายดาย มีอิสระ แถมเหลือเวลาให้ยืนฟังเพลงในร้านซีดีโปรด
ส่วนเรื่องความตายของมนุษย์
ใครจะอยู่หรือสิ้นใจไม่มีความหมายสักนิด
เพราะสิ่งที่ยมทูตอย่างพวกผมทำ
...เป็นแค่หน้าที่

ผลงานแนวแฟนตาซีจากนักเขียนชื่อดัง
เจ้าของรางวัลโยชิกาวา เอจิ รางวัลฮนยา รางวัลยามาโมโตะ ชูโคโร และอีกมากมาย

>>>>>>>>><<<<<<<<<<


มันอาจจะมีหลายๆ เหตุผลที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ขายได้ นักเขียนมีผลงานเป็นที่รู้จัก มีชื่อเสียง เป็นนักเขียนมือรางวัล และผลงานเคยถูกนำไปสร้างภาพยนตร์ ซึ่งนั่นไม่สำคัญหรอก เพราะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น แต่ที่ซื้อหนังสือเล่มนี้มา มันมีอยู่แค่เหตุผลเดียว

ชื่อเรื่องมันเท่

“คุณคิดอย่างไรกับความตาย”

“เธอไม่ใช่มนุษย์สินะ”

นี่ก็เป็นตัวอย่างประโยคเท่ๆ จากหนังสือเล่มนี้ที่มีชื่อเท่ๆ ว่า 'ไม้บรรทัดของยมทูต'

เขียนโดย อิซากะ โคทาโร (ไม่รู้จัก)
แปลโดย ฐิติพงศ์ ศิริรัตน์อัสดร (ไม่รู้จักอีกเช่นกัน)

แต่ที่รู้จักอย่างหนึ่งคือ การมองโลกอย่างซื่อตรงของยมทูต อันเป็นเสน่ห์ตรึงใจเหมือนอย่างในหนังสือเรื่อง The Book Thief จอมโจรหนังสือ ( ชื่อนี้ก็เท่เหมือนกัน) จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจเรื่องของยมทูตชิบะในเรื่องไม้บรรทัดของยมทูตนี้ด้วยเช่นกัน

เพื่อจะยืนยันแก่ตนเองว่าไม่ได้จะแสดงความคิดเห็นต่อหนังสือเรื่องนี้เพราะรู้สึกคล้อยตามคำนำสำนักพิมพ์ ขอเอ่ยถึงการอ่านหนังสือหลายเล่มของ นิโคลัส สปาร์ก ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อโรมานซ์และหลายเรื่องก็ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ทุกครั้งที่ตกลงใจซื้อหนังสือของนิโคลัส ก็เพราะคำนิยมจากใครๆ ที่มักจะโปรยไว้ที่ปกหลังของหนังสือ แม้อ่านแล้วจะปฏิเสธไม่ได้ว่านิโคลัสเขียนนิยายได้ดีมากจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นให้ตัวเองเกิดความดื่มด่ำ หรือลึกซึ้งตรึงใจอย่างที่ใครๆ ให้คำนิยมไว้ แต่ก็ยังคาดหวังกับคำโปรยเหล่านั้นเล่มแล้วเล่มเล่า ไม่ใช่ไม่เข็ดหรอกนะคะ แต่เพราะ “ไม่ลึกซึ้งกินใจ” ไม่ได้หมายความว่า “ไม่น่าสนใจ” หรือ “ไม่มีดี” เพราะขนาดไม่ลึกซึ้งตรึงใจ มันก็ยังดีกว่าของใครๆ เรื่องอื่นๆ

ไม้บรรทัดของยมทูต ไม่มีคำนิยมอะไรให้เห็น จนกว่าจะเปิดมาเจอคำนำสำนักพิมพ์ และก็เห็นด้วยอย่างจริงใจแท้จริง

ขอคัดลอกคำนำสำนักพิมพ์มาบางส่วนดังนี้

เป็นผลงานจากปลายปากกาของ อิซากะ โคทาโร่ นักเขียนรุ่นใหม่ที่ไม่เพียงไฟแรง แต่ยัง “แนว” ทั้งตัวตนและงานเขียน

ผลงานของเขามักสอดแทรกอารมณ์เสียดสีเจ็บๆ คันๆ และเป็นที่กล่าวขวัญว่ามีชั้นเชิง เท่ และมีสไตล์

แม้เรื่องราวในนิยายเรื่องนี้จะถูกแบ่งเป็นตอนสั้น แต่อิซากะกลับถ่ายทอดอย่างมีชั้นเชิง จนได้รสชาติกลมกล่อมลงตัว ทั้งหกตอนในเล่มเป็นเรื่องราวมนุษย์แต่ละคน แต่ผูกโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียว โดยมี “ชิบะ” เข้าไปตรวจสอบชีวิตบุคคลนั้นๆ และ “ความตาย” ที่กำลังจะมาเยือนเป้าหมายเป็นสื่อกลาง



ใช่แล้วค่ะ เรากำลังจะเอ่ยถึงเรื่องราวของยมทูต

“ชิบะ” ยมทูตแห่งความตายที่เป็นตัวเอกหรือพระเอกของเรื่อง ชิบะผู้เฉยเมิน เย็นชา ไม่เคยแยแสกับความตายของมนุษย์

“เป้าหมาย” คือหนึ่งชีวิตมนุษย์ที่โลดแล่น ชีวิตที่ถูกกำหนดให้มีโอกาสตาย ซึ่งยมทูตจะต้องทำการ ‘ตรวจสอบ’ เพื่อเป็นข้อมูลตัดสินว่าเขาหรือเธอคนนั้นสมควร ‘รับไว้’ เพื่อส่งสู่โลกหน้า หรือ ‘ปล่อย’ ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป

“มุมมองต่อความตาย” ที่เป้าหมายรู้สึก และยมทูตที่เรียนรู้สิ่งใหม่จากมนุษย์อยู่เสมอ

จินตนาการสุด ‘แนว’ ที่ทำให้ยมทูต กลายเป็น ‘การมีอยู่’ อย่างสุดเท่ ปลอมแปลงปะปนอยู่ในโลกมนุษย์เพื่อ ‘ทำงาน’

ยมทูต สิ่งมีชีวิตหรือเปล่าไม่รู้ แต่มีตัวตนอยู่ อย่างธรรมดา และเจ้าหน้าที่ยมทูตก็มีอยู่หลายประเภท ทั้งพวกที่ไม่สนใจเป้าหมาย และที่ยืนยันว่า ไหนๆ ฝ่ายนั้นต้องตายอยู่แล้ว ควรมอบความสุขให้ก่อนจะถึงวาระสุดท้าย ด้วยการสนองตอบความปรารถนาของเป้าหมาย ทำงานก็มีทั้งประเภทที่จริงจัง ทำแบบขอไปที ขี้เกียจบ้าง สะเพร่าบ้าง เกลียดรถติด และรักเสียงเพลง

กฎของยมทูต ห้ามสัมผัสแตะต้องตัวมนุษย์ด้วยมือเปล่า เพราะเมื่อมนุษย์ถูกยมทูตสัมผัสจะหมดสติและอายุสั้นลงหนึ่งปี

ผมไม่เข้าใจหรอกว่าช่วงหนึ่งปีสำหรับคนผู้นั้นสัญแค่ไหน

งานของยมทูตคงมีมากมายหลายอย่างที่ผู้เขียนไม่ได้เขียนถึงทั้งระบบเพื่อให้เกิดความเข้าใจทั้งระบบ เพราะแม้แต่ชิบะเองก็ไม่สนใจระบบ แต่ทำงานตามหน้าที่ของตนเอง ในที่นี้มีให้รับรู้การมีอยู่ของแผนกข้อมูล มีหน้าที่คัดเลือกและหาข้อมูลของมนุษย์เพื่อสมควรตาย จากนั้นแผนกตรวจสอบจะใช้ข้อมูลนั้นเป็นพื้นฐานในการตรวจสอบวัดผล ชิบะเป็นยมทูตแผนกตรวจสอบ ที่ชิบะทำ คือการ ‘หาข้อมูล’ การหาข้อมูลคือการเข้าหาเป้าหมายก่อนถึงกำหนดหนึ่งสัปดาห์ พูดคุยกันสองสามครั้งกับเป้าหมาย แล้วทำการประเมิน เพื่อเขียนรายงาน ‘รับไว้’ หรือ ‘ปล่อย’ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของยมทูตแต่ละตน จะว่าไปการหาข้อมูลนั้นเหมือนการทำแค่พอเป็นพิธี เพราะถ้าไม่มีอะไรพิเศษก็จะรายงานว่า ‘รับไว้’ ยมทูตบางตนไม่ได้ทำการตรวจสอบเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงทำสุดท้ายก็รายงานว่า ‘รับไว้’ อยู่ดี

แต่ยมทูตชิบะนั้นจริงจังและต้องตรวจสอบให้ดีให้แน่ใจก่อนรายงาน
ยมทูตจะรับข้อมูลจากแผนกข้อมูลที่จะให้เท่าที่อยากให้ เล็กน้อยเท่านั้น เว้นแต่จะซักไซ้ถามเอง ซึ่งความจริงข้อมูลมากหรือน้อยก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน จากนั้นคือการพบกับเป้าหมาย ประเมินและส่งรายงานไปยังแผนกที่รับผิดชอบ หาก ‘รับไว้’ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น) แผนกที่ว่าก็จะจัดการให้เป้าหมายได้พบกับ ‘ความตาย’ โดยยมทูตก็จะรอดูเป้าหมายตายให้เรียบร้อยก่อน จึงจะถือว่างานเสร็จสมบูรณ์ งานหาข้อมูลนี้ต้องทำภายใน 7 วัน นั่นหมายความว่า ถ้า ‘รับไว้’ เป้าหมายจะถูกจัดให้ตายในวันที่ 8

เสน่ห์ความเท่ของยมทูต ไม่ใช่แค่การเป็นผู้ตัดสินชี้ชะตาหรือจัดตายให้แก่มนุษย์เพื่อสร้างภาวะ ‘สมดุล’ ของโลกเท่านั้น แต่เท่ในความซื่อตรงตามแบบของยมทูตที่ไม่อาจจะเข้าใจความความคิด การกระทำ หรือ ภาษาพูดที่ซับซ้อนของมนุษย์ได้ สิ่งหนึ่งที่ยมทูตญี่ปุ่นในเรื่องนี้เหมือนกับยมทูตฝรั่งใน The Book Thief คือการถ่ายทอดความคิดของยมทูตที่สายตามองผ่านพฤติกรรมของมนุษย์ มันคือวิธีที่ผู้เขียนใช้เสียดสีพฤติกรรมมนุษย์ดีๆ นี่เอง

“แต่อย่าคิดว่าพายุนี่หวานหมูมันอาจยาวนานกว่าที่คิดก็ได้นะ”
“หวาน?” “พายุมีรสหวานด้วยหรือครับ”

(นี่คือความข้องใจของยมทูตอย่างหนึ่ง เพราะยมทูตจะไม่ค่อยเข้าใจภาษาศัพท์สำนวนที่ความหมายมันไม่ตรงตัวลักษณะนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยมทูตนี่น่ารักจริงๆ เลยค่ะ)

“พูดเป็นนามธรรมฟังยาก” มนุษย์แปลกประหลาดเพราะสื่อสารกันด้วยคำพูดแบบนี้

โดยส่วนใหญ่ ไม่มีสิ่งใดไร้ความน่าเชื่อถือเท่าคำอธิบายของมนุษย์อีกแล้ว

ผมไม่ใช่มนุษย์ ผมตื่นตลอดเวลา น่าเสียดายที่บอกความจริงไม่ได้

ผมไม่รับรู้รสชาติอาหาร และไม่จำเป็นต้องได้รับสารอาหารด้วย แต่แม้จะไม่สนใจเรื่องกิน ผมจัดการอาหารสำหรับสองคนจนเรียบ

อาจฟังเหมือนเอาใจใส่ แต่ความจริงผมแค่ลองพูดประโยคที่บ่งบอกอะไรไม่ได้เลย คำพูดไร้แก่นสารมักมีไว้กลบเกลื่อนช่องว่างในบทสนทนา พวกมนุษย์ชอบใช้วิธีนี้กัน

ผมประหลาดใจ ไม่คิดว่าเพื่อนร่วมงานจะสนใจความตายของมนุษย์ ซึ่งอย่างน้อยผมก็ไม่สน

แผนกข้อมูลขอบทำตัวเขี้ยวลากดิน ไม่เกรงใจคนอื่น คล้ายพวกมนุษย์เลยว่าไหม

ผมไม่เคยเจอพวกมนุษย์ที่มีคำตอบให้ตัวเองมาก่อนเลย

โดยส่วนตัวผมคิดว่าการกระทำส่วนใหญ่ของมนุษย์ไร้เหตุผลอยู่แล้ว

มนุษย์มักเข้าใจผิดกันด้วยเรื่องงี่เง่า

ไม่รู้ทำไมพวกมนุษย์ชอบหาข้อต่างในเรื่องน่าเบื่อเพื่อให้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่า เป็นกันแบบนี้ตั้งแต่เด็กคงสายเกินแก้

ผมอดประทับใจอีกไม่ได้ มนุษย์มักสนใจว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับตน สิ่งมีชีวิตประเภทนี้มีอยู่ไม่มาก

แม้ท่ามกลางความมืดของรัตติกาล ผมยังหลงเฝ้ามองหิมะสีขาวตกต่อเนื่องอย่างดื้อรั้นและมุ่งมั่น ผมคิดว่าทิวทัศน์ควรมีสีเดียว จะเป็นขาวหรือดำ โลกมนุษย์มีสีสันมากเกินไป

ความจริงผมไม่รู้ว่ามนุษย์คนนั้นถูกเลือกด้วยเงื่อนไขอะไรและไม่เคยสนใจด้วย

ในหมู่เพื่อนร่วมงานมีบางคนให้บริการพิเศษแก่มนุษย์ผู้ใกล้ถึงความตาย แต่ผมไม่ใจดีขนาดนั้น


นี่ล่ะค่ะคือตัวอย่างความเท่ความน่ารักของยมทูต ที่รับรู้และค่อนข้างไร้ความรู้สึก ยมทูตที่ถูกกำหนดให้มีสภาพเป็นมนุษย์อาจะเป็นคนแก่ เป็นวัยกลางคน เป็นคนหนุ่มสาว หน้าตาธรรมดา หรือดูดี ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่พวกเขาต้องเข้าไปตีสนิท มนุษย์อาจไม่รู้ว่ายมทูตมีตัวตน แต่บางครั้งพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเยือก ความหดหู่ และความแปลกที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นบรรยากาศของความตายที่กระจายอยู่รอบๆ ตัวยมทูตนั่นเอง
ชิบะผู้เย็นชา แต่ว่าเป็นนักเรียนรู้ และเขาน่ารักมากกกกกก

สิ่งหนึ่งที่ยมทูตชิบะแตกต่างไม่เหมือนใคร เขาไม่เคยเห็นดวงตะวัน ไม่เคยเห็นท้องฟ้าสดใส เพราะเมื่อไหร่ที่ชิบะออกทำงาน เมื่อนั้นอากาศจะแย่อยู่ร่ำไป

"เห็นว่าเวลานายทำงาน อากาศแย่ตลอด" เขาพูด "ขนาดในแผนกตรวจสอบยังเลื่องลือกันเลย"

"ประมาณนั้นแหละ"

"ฉันได้ยินว่านายไม่เคยเห็นท้องฟ้าแจ่มใสสักครั้ง จริงหรือเปล่า"

ผมยักไหล่ "ประมาณนั้นแหละ"

สำหรับชิบะ สิ่งเลวร้ายที่มนุษย์สร้างขึ้นคือรถติด และสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์มีคือเสียงเพลง ยมทูตทุกตนรักเสียงเพลง พวกเขาจะพักผ่อนหย่อนใจด้วยการฟังเพลงในร้านซีดี ถ้าเป็นที่ร้านขายซีดีเพลงล่ะก็ ยมทูตจะพบเพื่อนเร่วมงานที่นั่นเสมอ ส่วนพวกทูตสวรรค์นั้นชอบหนังสือ และพวกเขาจะพบเจอกันตามห้องสมุด

ในการอ่านหนังสือ จินตนาการของตัวละครไม่ค่อยได้ออกมาเป็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนหรอกค่ะ แต่ก็มีบางครั้งที่ผุดออกมาเป็นหน้าตาแบบเฉพาะเจาะจง อย่างนิยายแปลฝรั่ง ก็มีบางครั้งที่อ่านแล้ว เห็นเป็นหน้า แอน แฮทธาเวย์ (Amagedon , Lord of the ring, Love & other drugs ฯลฯ) เบรค ไลฟ์ลี ( เซเรน่า Gossip Girl) แอมเบอร์ เฮิร์ด (The ward , Drive angry) ไม้บรรทัดของยมทูตก็ไม่ได้มีจินตนาการออกมเป็นใครโต้งๆ แต่มีอยู่สองตอนเมื่อ ชิบะ ต้องมีร่างเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ปี และ 25 ปี (ถ้าจำไม่ผิด) อ่านแล้วมันผุดออกมาเป็นใบหน้าของซุปตาร์ที่รู้จัก และซุปตาร์ที่ได้รับเกียรตินี้ได้แก่ ...ของ คาเมนาชิ คาซึยะ (คาเมะ) อาจเป็นเพราะซีรีส์เรื่องล่าสุดคาเมะรับบทบาทเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่คนด้วย หล่อเหลา ดวงตาเฉยสงบ แลดูหนาวเย็น



เข้าใจอารมณ์ของพวกที่ทำหน้าที่แคสติ้งละครเลย เหมือนอ่านบทแล้วภาพมันออกมาว่า น‘ใคร?’ เพราะละครเรื่องที่ไม่ใช่คนของคาเมะเรื่องนั้นน่ะ ก็รู้สึกเหมือนกันว่า ต้องเป็คาเมะเท่านั้น (55 เชียร์อีกละ ลูกรักของแม่ …ยก ) แต่เห็นว่าหนังสือเล่มนี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว ผู้รับบทพระเอกคือ ทาเคชิ ทาเคโนชิโร่ อืม ก็ได้อยู่นะคะ

ไม้บรรทัดของยมทูต นอกจากคุณสมบัติต่างๆ นาๆ ของยมทูตที่ดึงดูดใจแล้ว เรื่องราวชีวิตของเป้าหมายแต่ละคนก็สนุกด้วย อ่านแล้วรู้สึกสนุก มีความสุขที่ได้อ่าน และรู้สึกดีกับหนังสือจริงๆ ค่ะ

สมแล้วที่ได้รับรางวัลเรื่องสั้นจากสมาคมนักเขียนนิยายสืบสวนแห่งญี่ปุ่น เพราะทั้ง 6 ตอนที่รวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้ แม้จะใช้สไตล์การเล่าเรื่องที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดนั้นก็รวมออกมาเป็นผลงาน เท่ และ แนว เสียจริงๆ ยิ่งได้รู้ว่าเป็นนักเขียนคนเดียวกันกับ เรื่อง อะฮิรุ โตะ คะโมะ โนะ คอยน์ล็อกเกอร์ (review ภาพยนตร์) เรื่องราวของพระเจ้าในตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญ หุหุ รู้อย่างนี้ยิ่งตอกย้ำความแนว

ถ้ายมทูตมีตัวตนอยู่จริงและเดินทางมาหาเราในวันใกล้ตายก็คงจะดีสิคะ เพราะอย่างน้อยเราก็อุ่นใจได้ว่า ใครคนหนึ่งจะคอยเฝ้าดูการตายของเราและส่งเราไปสู่โลกหน้าอย่างเรียบร้อย

และนั่นจะไม่ทำให้การตายเป็นเรื่องเดียวดายจนเกินไป




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2554    
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 22:22:01 น.
Counter : 1496 Pageviews.  

Remember When รอยจำในดวงใจ_จูดิธ แมคนอธ



คำแนะนำหนังสือ : ที่มา www.naiin.com


ไดแอนา ฟอสเตอร์ สุภาพตรีสาวสมบูรณ์แบบที่ทั้งงดงามและเฉลียวฉลาด ผู้เป็นภาพลักษณ์ของนิตยสารบิวตี้ฟุลลิฟวิ่ง ธุรกิจสำคัญของครอบครัวเธอ ถูกหยามเกียรติบนหน้าปกหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ด้วยข่าวคู่หมั้นของเธอทิ้งไปแต่งงานกับสาวน้อยทายาทมรดกชาวอิตาลี เธอต้องฝืนกล้ำกลืนเชิดหน้าออกงานสังคมสำคัญที่ใครต่อใครพากันซุบซิบนินทาและ ....

โคล แฮร์ริสัน คือคนที่ขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือ เขาประมูลสร้อยคอล้ำค่าให้เธอ เสนอไวน์ให้เธอเล็กน้อย และพาเธอไปแต่งงาน! โคล มหาเศรษฐีหนุ่มอดีตคนเลี้ยงม้า เพิ่งโดนตาของเขายื่นคำขาดว่า จะแต่งงานแล้วพาภรรยากลับบ้าน หรือสูญหุ้นก้อนใหญ่ในธุรกิจที่กำลังรุ่งของเขาเองให้คนอื่นไป ในงานสังคมที่เขาจำต้องไป โคลพบว่าไดแอนาลงตัวกับบทบาทภรรยาชั่วคราวของเขาพอดี

เพราะเธอทั้งสวย รวย และเพียบพร้อม ที่สำคัญเธอกำลังลำบากเพราะเสียภาพลักษณ์จากการที่ถูกคู่หมั้นทิ้ง ทว่าความรักไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ยิ่งความรักของผู้ชายที่หัวใจแข็งดังหิน กับผู้หญิงที่ฉลาดอ่อนหวานและนุ่มนวลราวกลีบดอกแมกโนเลียอย่างเธอด้วยแล้ว การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ครานี้ จึงกลายเป็นเรื่องราวแสนหวานเย้ายวนจนคุณวางไม่ลง




ตอนที่แวะเข้าไปในร้ายนายอินทร์ มีลิตท์รายชื่อหนังสือที่อยากจะซื้อหามาอ่านในมืออยู่แล้ว ต้องดูจากเว็บไซด์ดูให้ปรุจนจุใจแล้วเลือกเอาไว้ก่อนค่ะ เพราะหากมัวไปยืนเลือกในร้านล่ะก็ ต้องเสียเวลามากเลยล่ะ เพราะเป็นคนที่ทั้งเรื่องมากและเลือกยากในการจะซื้อหนังสือสักเล่ม ...ก็มันแพงนะคะ (แต่ตอนขาออกจากร้านที่กระเป๋าเงินแฟบ มันก็ค่อนข้างเป็นอะไรที่สวนทางกันอยู่นะกับคำว่าเรื่องมากและเลือกยากน่ะ) หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีอยู่ในลิตท์แต่แรก บังเอิญแค่เห็นชื่อ จูดิธ แมคนอธ กับปกสวยๆ กับข้อความโปรยเรียกร้องความสนใจ

"นวนิยาย Bestseller ที่น่าหลงใหลมากที่สุดเล่มหนึ่งของนิวยอร์กไทมส์"

"Bestseller ของ นิวยอร์กไทมส์" นี่คือคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ร่ายมนต์สะกดผู้เขียนให้สูญเสียเงินกับค่าหนังสือมานักต่อนักแล้ว ส่วนผลลัพธ์ของการอ่านที่จะเห็นว่ามันสมควรเป็น Bestseller หรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

สำหรับ Remember When ส่วนตัวคิดว่าก็ควรค่ากับการเป็นนวนิยายระดับ Bestseller ยิ่งเป็นผลงานของจูดิธ แมคนอธด้วย มันไม่ยากที่จะไต่ระดับไปเป็น Bestseller หรอก แต่อ่านแล้วก็ไม่ได้รู้สึกถึงขั้น "หลงใหล" อย่างที่เขาโปรยไว้หรอกนะคะ เทียบความรู้สึกกับการอ่าน Perfect ( ตราบหัวใจอุ่นไอรัก) Paradise (วิมานใจ) หรือ Almost Heaven (สาปสวรรค์) คิดว่า Remember When สนุกน้อยกว่าค่ะ ปัญหาที่มันสนุกน้อยกว่าคือการเฉลี่ยเนื้อหาที่ไม่ค่อยสมดุล มันค่อนข้างยืดเยื้อเกินความจำเป็นในครึ่งเล่มแรก ที่เป็นการปูทางให้ โคล และ ไดแอนา รู้จักมักคุ้นกันในตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว เพื่อจะแสดงนิสัยใจคอที่อยู่ในความทรงจำประทับใจ เพื่อจะจากกันไปและกลับมาพบกันอีกครั้งในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้า พระเอกที่มุมานะสร้างเนื้อสร้างตัว ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี และกลับมาเจอกันอีกครั้ง ในยามที่ทั้งคู่ต่างมีปัญหาเรื่องการแต่งงาน คนหนึ่งจะแต่งอยู่รอมร่อ ชุดเจ้าสาวก็รอพร้อมทดลองสวมใส่ แต่ดันถูกคู่หมั้นทิ้งไปแบบสายฟ้าฟาด คนหนึ่งไม่เคยคิดจะแต่งงาน ไม่ต้องการจะมีลูก แต่โดนบังคับให้แต่งแบบหมดหนทางปฏิเสธ คนหนึ่งต้องการกู้หน้ารักษาศักดิ์ศรี อีกคนต้องการสิ่งที่พึงมีพึงได้จากเงื่อนไขของการตกลงแต่งงานนั้น ...แล้วเมื่อมีความรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนในอดีต การยอมรับอีกฝ่ายเพื่อร่วมเป็นหุ้นส่วนของการแต่งงานกำมะลอจึงง่ายเข้า และนำไปสู่การแต่งงานแบบสายฟ้าแล่บ เหมือนจูดิธปูทางมาครึ่งเรื่องเพื่อการนี้ ก็เข้าใจได้แต่มันยืดไปหน่อย และทำให้น่าเบื่อในช่วงครึ่งแรก กว่าโคลและไดแอนาจะพบกันแบบจริงจังที่เป็นแก่นเนื้อหาของเรื่องจริงๆ นั่นคือ การแต่งงานอย่างมีเงื่อนไข ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งเล่มแล้ว และครึ่งเล่มหลังนี่แหละที่ทำให้วางไม่ลง หลังจากที่ครึ่งแรกนั้น ต้องใช้ความพยายามอยู่เหมือนกันที่จะไม่วางทิ้งไว้นานจนเลิกอ่านไปซะก่อน

ไดแอนา เป็นนางเอกที่เรียบร้อย อ่อนหวาน เยือกเย็น เก็บความรู้สึก ซึ่งก็เป็นความน่ารักแตกต่างชัดจากนางเอกเรื่องอื่นๆ ส่วน โคล แฮร์ริสัน ถึงจะหนีไม่พ้นการเป็นชายหนุ่มที่ หล่อ รวยระดับมหาเศรษฐี (อีกแล้ว) แต่ก็ถือว่า "ซอฟท์" กว่าพระเอกเรื่องอื่นๆ แล้วนะ แม้ว่าจะเป็นพระเอกแนวติดดินที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนติดปีกบินสู่ฟ้าไม่ต่างจาก แมตต์ แฟร์เรลล์ ใน Paradise ก็เหอะ เพราะแมตต์จะให้ความรู้สึกที่กร้าวแกร่งทะนงตนมากว่า ซึ่งเหตุผลก็คงเป็นเพราะ การปากกัดตีนถีบของแมตต์นั้น มีบาดแผลในใจเป็นแรงผลักดันมากกว่า

แต่สิ่งหนึ่งที่สนุกเป็นจุดเด่นในใจสำหรับนวนิยายของจูดิธ แมคนอธ คือการสร้างปมความขัดแย้ง ในเรื่องวิมานใจ เรื่องการเทคโอเวอร์ การข่มขู่ เงือนไขการต่อรอง เล่ห์เลี่ยมการพยายามเข้าครอบครองโดยไม่เป็นมิตร (ศัพท์นี้เคยเจอในซีรีย์เกาหลีเรื่อง Midas ด้วยเหมือนกัน) ทำให้อ่านแล้วเพลิดเพลิน ในเรื่อง Remember When ก็เช่นกัน ปัญหาการเข้าครอบครองธุรกิจที่ถูกตั้งข้อหาว่ามีการวางแผนปั่นราคาหุ้น วัตถุประสงค์ซ่อนเร้นของการซื้อขาย ที่ทำให้พระเอกของเราโชว์พาวความเป็นนักธุรกิจชั้นนำระดับมหาเศรษฐีที่ต้องเจรจากับบุคคลระดับวุฒิสมาชิกของสภา มีศัตรูเป็นว่าที่ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มีคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์คอยจดจ้องไล่บี้ ... ไหมล่ะ พระเอกของจูดิธ แมคนอธ จะธรรมดาสามัญได้ยังไง ถ้าเป็นเรื่องย้อนยุคก็ต้องมีเชื้อสายเลือดผู้ดีระดับแนวหน้าของสังคมไฮโซชั้นสูง ถ้าเป็นเรื่องยุคปัจจุบันก็ต้องนักธุรกิจชั้นนำระดับชาติ ( ว่ากันเข้าไป ) นี่ถ้าจูดิธ ไม่ไฮโซ จะเขียนเรื่องไฮโซ พวกนี้ได้ดีหรือเปล่ายังสงสัยอยู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มักจะสัมผัสได้เสมอคือ การเสียดสีสังคมไฮโซและผู้ดีชั้นสูงเหล่านั้น.. แสดงว่าจูดิธก็มีหนึ่งสมองสองตาและความจริงใจ ที่เขียนเสียดสีออกมาเนียนๆ ให้เข้าใจได้ว่า มันไม่ได้งดงามไปซะทุกอย่าง มันคือความจอมปลอม ไร้สาระ และโง่เขลาได้เหมือนกัน

เพราะยืดเยื้อมาซะครึ่งแรกของเล่ม ขณะที่เนื้อเรื่องจริงๆ ของเรื่องควรจะอยู่ที่ครึ่งเล่มหลัง ก็เลยรู้สึกว่าเนื้อหาช่วงหลังมันห้วนๆ ไปสักหน่อย พระเอกนางเอกรักกันเร็วมาก ปมขัดแย้งต่างๆ ก็คลี่คลายอย่างรวดเร็ว เหมือนมันต้องรวบรัดให้จบในปริมาณความยาวเท่านั้นแล้วล่ะ ทั้งที่การแต่งงานของโคล กับไดแอนา เหมือนเพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆ ของเรื่องเท่านั้น ความจริงคือหลังจากนั้นไม่ทันไรเรื่องก็ดำเนินไปจนใกล้จบ

แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่ามันจะไม่สนุก (หมายถึงครึ่งเล่มหลังนะ) ตอนที่ชอบมากที่สุดในเรื่อง คือ งานประมูลการกุศล (พระเอกอย่างแมนและเท่มาก) ตอนมอมเหล้าเจ้าสาวให้เมาก่อนเข้าพิธีวิวาห์ (โรแมนติกร้าย) และคงเป็นเพราะปมปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการทำธุกิจในเรื่อง Remember When ที่สนุกนี่แหละ ส่งผลให้ต้องงัดบัตรสะสมแต้มของร้านนายอินทร์ออกมานับ เพราะหมายตา "Double Standards เล่ห์ร้ายลิขิตรัก" ไว้เป็นเรื่องต่อไป เพราะเนื้อหาของเรื่องนั้นคือ การล้วงความลับทางธุรกิจ (คิดว่าพระเอกคงเก่งโพด รวยโพด อีกเช่นเดิม) เมื่อพระเอกเป็นนักธุรกิจและมีคู่แข่งทางธุรกิจ มันน่าจะมีปมเรื่องราวเกี่ยวกับรักและธุรกิจที่น่าสนุกอีกตามเคยล่ะนะ

หวังใจ ไว้เช่นนั้น









 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 22:20:12 น.
Counter : 2752 Pageviews.  

Paradise วิมานใจ_ จูดิธ แมคนอธ



คำแนะนำหนังสือ : ที่มา www.naiin.com


แมเรอดิธ แบนครอฟต์ มีชีวิตที่สมบูรณ์ดี เธอคิดว่าเธอกำลังจะได้รับตำแหน่งที่ใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต แม้ว่าพ่อเธอจะมีอคติกับผู้หญิงและไม่อยากมอบหมายให้ เธอกำลังจะได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่ตนแอบใฝ่ฝันถึงตั้งแต่เริ่มเป็นสาว แม้เธอจะนึกสงสัยอยู่เสมอว่า ความรักที่แท้จริงควรจะเรียบง่ายแบบนั้นหรือเปล่า

แมตต์ แฟร์เรลล์ คิดว่าเขามาไกลแล้วจากเมื่อสิบปีก่อน ด้วยสมองและความมุ่งมั่นเขาถีบตัวเองจากบ้านไร่ในเมืองเล็กๆ มาสู่ห้องทำงานสุดหรูในเมืองใหญ่ พร้อมกับสร้างชื่อเสียงให้ตนเองในฐานะนักธุรกิจผู้เก่งกาจหากโหดเหี้ยมและเพลย์บอยคนดังที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงที่ผู้หญิงคนไหน

แต่ทั้งแมเรอดิธและแมตต์ต่างมีความลับในอดีต ความลับที่เชื่อมโยงทั้งคู่ให้เกี่ยวข้องกันโดยไม่เต็มใจ ความสับสนที่อาจทำให้ปัจจุบันและอนาคตของทั้งคู่ไม่เป็นอย่างที่ฝันไว้ แต่ก็เป็นความสับสนอันหวานฉ่ำ และระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินเกมอย่างรอบคอบเพื่อกลบฝังมัน ต่างก็ต้องปกป้องหัวใจที่ยังคงเรียกร้องจากภาพความทรงจำแสนเร่าร้อนและไม่เคยเลือนไปจากใจ



ชอบมากๆ เลยค่ะ กับผลงานของ จูดิธ แมคนอธ เรื่องนี้ ดีใจด้วยค่ะที่แพรวซื้อลิขสิทธิ์มาทำ และก็ทำปกสวยด้วย โดยปกตินิยายโรมานซ์มักจะเห็นเป็นปกแบบผู้หญิงผู้ชายกอดกัน มันชวนให้คนเข้าใจผิดในตัวคนที่ถือมันอ่านอยู่ว่าอาจเป็นพวก "ฝักใฝ่" แล้วก็เป็นเหตุผลให้ไม่กล้าถือออกนอกบ้านด้วย แต่จะว่าไปผู้เขียนก็อ่านนิยายโรมานซ์มาตั้งแต่อายุขึ้นต้นด้วยเลขหนึ่ง แก่แดดไหมละคะ เพราะอย่างที่รู้กันนิยายโรมานซ์นั้นจะมีบทเลิฟซีนอีโรติคอย่างขาดไม่ได้ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่กับสาวน้อยวัยเยาว์ ทว่าเมื่อก่อนไม่มีเงินซื้อหนังสือหรอกค่ะ อาศัยเป็นคนชอบอ่าน ใครทำตกหล่น วางเรี่ยราด ผ่านมือผ่านตามาถึงก็อ่านดะทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่การ์ตูนขายหัวเราะหรือนิยายเล่มละสิบบาทด้วย อ่านเป็นตั้งๆ แบบไม่มีการเลือกเลย

ปัจจุบันที่โตแล้ว (และเริ่มจะแก่แล้ว) นี่ซะอีกที่อ่านนิยายน้อยกว่าสมัยเป็นเด็กเยอะเลย แต่อ่านมากก็ใช่ว่าจะจำชื่อนักเขียนได้มากนักหรอกนะคะ และเมื่อไหร่ที่จำได้ นั่นหมายถึงนักเขียนท่านนั้นได้มีผลงานทีเป็นที่ติดใจแล้วจริง ทั้งติดใจในแบบที่ชอบ และติดใจแบบเจอชื่อนี้จะไม่อ่านอีก แต่สำหรับชื่อนี้ จูดิธ แมคนอธ เป็นชื่อที่จำได้ และพอรู้ว่าเขียนเรื่องอะไรมาบ้างก็นึกได้ว่า อ๋อ เรื่องนั้น เรื่องนี้ เราเคยอ่านมาก่อนนี่นา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นผลงานของเธอนั่นเอง อย่างเรื่อง Whitney, My Love กับ Something wonderful ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ชอบมากด้วย

จูดิธ แมคนอธ

เมื่อก่อนไม่คิดว่าอยากจะอ่านของจูดิธทุกเล่มหรอกนะคะ ยังไงต้องขออ่านพล็อตเรื่องเพื่อพิจารณา อย่างเรื่อง Paradise ถ้าอ่านแค่พล็อตเรื่องในปกหลังก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ถ้าหากว่าแมตต์ และ แมเรอดิธ จะไม่ไปโผล่ที่เรื่อง Perfect (ตราบหัวใจอุ่นไอรัก ) ที่ติดอกติดใจหนักหนา ซึ่งก็คิดว่า นั่นน่ะ เยี่ยมที่สุด หลังจากอ่าน Once and Always (รักนี้เพียงเธอ) แล้วก็ Almost heaven (สาปสวรรค์) ก็คิดว่าสนุกมากอยู่แล้ว แต่พอมาเจอ Paradise (วิมานใจ) ถือว่ากินขาดทุกเรื่องจึงคิดว่า (ตั้งใจว่า) จะอ่านเรื่องอื่นๆ ของจูดิธทุกเรื่องเลย (ถ้าหาได้)

โดยส่วนตัวมีความเห็นว่า พระเอกนางเอกในนิยายของจูดิธนั้น มักจะมีบุคลิกคล้ายๆ กัน แตกต่างเพียง ชื่อ ฐานะ ยศหาบรรดาศักดิ์และบทบาทที่ดำเนินอยู่ในแต่ละเนื้อเรื่อง ไม่รู้ผู้อ่านท่านอื่นจะรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่านะคะ พระเอกนิยายโรมานซ์ก็จะคล้ายๆ กัน คือ หล่อมาก รวยมาก สูงศักดิ์มาก และถ้าเป็นพระเอกนิยายของจูดิธ ถ้ารวยก็ต้องไม่รวยธรรมดา ต้องระดับมหาเศรษฐี ถ้าเป็นนักธุรกิจก็ระดับเจ้าพ่อของวงการ (แบบแมตต์ แฟร์เรลล์) ถ้าสูงศักดิ์ก็ต้องระดับดยุคเท่าน้านนนน และถ้าหล่อรวยสูงส่งประกอบเข้าด้วยกัน ก็จะต้องยโสโอหัง ร้ายๆ แล้วก็เย็นชาเข้าไว้ ซึ่งแมตต์ แฟร์เรลล์ ก็หนีไม่พ้นคุณสมบัตินี้

แต่ไม่เพียงแค่นั้นน่ะสิ เพราะอ่าน Paradise แล้วกลับรู้สึกว่าแมตต์มีคุณสมบัติ "มากกว่า" ซึ่งถือเป็นความแตกต่างที่ทำให้ แมตต์ แฟร์เรลล์ โดดเด้งออกมาจากพระเอกในเรื่องอื่นๆ ไม่มีใครที่จะได้ใจมากเท่านี้ เท่าแมตต์ ฟาเรลล์ ผู้ชายที่ให้ความรู้สึกแบบยังไงดีล่ะ คือความ “ยิ่งใหญ่” น่ะค่ะ นอกจาก อัมราน กัสตี พระเอกเรื่อง มาลาเค ของป้มทมฯ แล้ว ยังไม่เคยเจอพระเอกเรื่องไหน ที่จะมีอำนาจ มีอิทธิพลแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดชนิดที่ไม่มีใครบังอาจมาทัดทานได้ แม้ว่านิยายหลายๆ เรื่องที่เคยอ่านจะมีพระเอกจะเป็นท่านชี้ค ท่านชาย เจ้าทะเลทราย หรือเป็นกษัตริย์ครองแคว้นก็ตามเหอะ ท่านๆ เหล่านั้นก็ใช่จะมีมีอำนาจแบบเป็นต่อสั่งเอาคำเดียวได้ทุกอย่าง ก็มีท่านอัมราน กับแมตต์ แฟร์เรลล์นี่แหละ ที่รวยล้นเหลือและเด็ดขาดถึงขั้นจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องเด่นอะไรต่อเนื้อหานักหรอก เพียงแค่เป็นส่วนเสี้ยวของบุคลิกลักษณะที่ประกอบขึ้นเป็นตัวละคร เพราะความจริงแล้วความเท่ของแมตต์ที่ชัดเจนกว่าความอำนาจของความรวย คือความใฝ่ฝัน ความมุ่งมั่นทะเยอทะยานที่มีความเจ็บปวดเป็นแรงผลักดัน และทำให้แมตต์เป็นตัวละครที่เหมือนมีอีกตัวตนหนึ่งที่เป็นทั้งความเข้มแข็ง กร้าวแกร่ง ขอใช้คำเชยๆ ว่า เป็นผู้ชายที่ให้ความรู้สึกแบบคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาอย่างทรหดอดทน มีความทะนงองอาจในศักดิ์ศรีของตนเอง แต่ก็มีความอ่อนโยนจริงใจอยู่ภายใต้เปลือกนอกที่ร้ายกาจ เป็นเจ้าพ่อธุรกิจ เป็นนักล่า (เทคโอเวอร์) ที่ไร้ความปราณี ชอบความเด็ดเดี่ยวของแมตต์ด้วย แบบว่ารักก็รัก แต่ต้องรักอย่างมีศักดิ์ศรี ชอบวิธียื่นข้อเสนอที่เด็ดขาดกับความรักราวกับกำลังยื่นเงื่อนไขข้อต่อรองทางธุรกิจ

“จะเอาหรือไม่เอา ถ้าไม่เอาก็ไปซะ”

“ส่งมือคุณมาให้ผม ถ้าไม่ ... เราก็สิ้นสุดกันตรงนี้เถอะ”


นั่นน่ะแมตต์ นายเท่มาก

เรื่องนี้...จึงชอบพระเอกมากกว่านางเอกอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างก็เจ็บปวดเพราะความรัก ความลับ ความเข้าใจผิด แต่มักจะรู้สึกว่าแมตต์เป็นฝ่ายถูกกระทำมากกว่า จึงพลอยเจ็บหัวใจไปกับพระเอกมากกว่านางเอกเยอะ เรื่องละเอียดมาก ยาวมาก อ่านตั้งแต่คืนวันเสาร์อ่านจบเมื่อเที่ยงคืนกว่าๆ ของวันอาทิตย์ อ่านต่อเนื่องแบบวางไม่ลง เนื้อเรื่องยาวแต่การดำเนินเรื่องเร็วค่ะ ที่สำคัญคือ เป็นเนื้อเรื่องที่สนุก

11 ปีแห่งความหลัง มีอดีตความรัก ความพลั้งพลาด การแต่งงานในวัยแรกรุ่น ที่จบลงด้วยความร้าวราน 11 ปี ที่แมตต์และแมเรอดิธต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดและสร้างตนให้เติบโตและเข้มแข็ง แมเรอดิธกลายเป็นผู้นำในการบริหารธุรกิจห้างสรรพสินค้าระดับประเทศ และ แมตต์ กลายเป็นนักธุรกิจชั้นนำที่ถือเป็นคนสำคัญระดับเจ้าพ่อของวงการ

เมื่อเขาและเธอ กลับมาพบกันอีกครั้ง พร้อมกับความยุ่งเหยิงของปัญหาที่เคยคิดว่าจากลาและจบลงไปแล้วในอดีต แท้ที่จริงยังคงมีรากเหง้าของความยุ่งเหยิง และการพยายามจะแก้ปัญหาที่คาราคาซังนี้ร่วมกัน กลับยิ่งกลายเป็นการค้นพบ "ความจริง" บางอย่างที่จะยิ่งผูกมัดสองหัวใจให้ผูกพันแน่นขึ้น

อย่างนี้เขาเรียกว่า "งานเข้า" ทั้งความสัมพันธ์ของหัวใจ และเงื่อนไขต่อรองทางธุรกิจ ตัดไม่ตายขายไม่ขาด คือเยื่อใย คือความรัก

และนี่คือเรื่องที่ชอบที่สุดสมกับเป็นผลงานสร้างชื่อของ จูดิธ แมคนอธ






 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 22:19:35 น.
Counter : 5361 Pageviews.  

2012 วันสิ้นโลก : คำเตือน ถ้ากลัว อย่าอ่าน!



อารัมภบทจากปกหลัง


เตรียมตัว... เตรียมใจ...

เวลานับถอยหลังของโลกเรามาถึงแล้ว...ลอว์เรนซ์ อี. โจเซฟ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จะทำให้เราต้องหันกลับมามองถึงความหายนะของโลกในอนาคตอันใกล้ของเรามากยิ่งขึ้น

อะไร??? .. คือสาเหตุแห่งความวิบัติที่ไม่สามารถหลบได้หรือหนีพ้น

Smiley เมื่อ 60 ล้านปีที่แล้ว ไดโนเสาร์ได้หายสาบสูญจากโลกนี้ และในปี 2012 คือช่วงเวลาแห่งการเวียนบรรจบของการล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่

Smiley สนามแม่เหล็กโลกที่คอยปกป้องเราจากรังสีอันตราย กำลังเกิดรอยปริแตกที่ไม่สามารถหาสิ่งใดประสานได้

Smiley ระบบสุริยะของเรากำลังเคลื่อนตัวสู่อวกาศซึ่งมีสภาวะที่ไม่เป็นมิตร

Smiley ภูเขาไฟที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน พร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ นั่นหมายความว่า มนุษย์โลกต้องพบกับฤดูหนาวนิวเคลียร์ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตตายเกือบหมดโลก

Smiley กัมมันตภาพรังสีของดวงอาทิตย์เข้าสู่จุดห้วงแห่งความวิกฤตอีกครั้ง (ในปี 2012) ช่วงนั้นพายุบนดวงอาทิตย์จะมีความรุนแรงและปั่นป่วน พัดโหมกระหน่ำเข้าถล่มโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อุบัติภัยธรรมชาติทั้งปวงจะรุนแรงยิ่งกว่าเฮอร์ริเคนหลายร้อยลูกรวมกัน

Smiley เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ล้วนสอดคล้องกับคำทำนายของชาวมายา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่แม่นยำที่สุดในเรื่องของเวลา พวกเขาพยากรณ์เอาไว้ว่างทุกสิ่งจะสิ้นสุดลงในปี 2012

คุณ........พร้อมจะเผชิญกับมันหรือยัง ...!?!?




หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้ยืนยันว่าในปี 2012 โลกจะถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน
แต่หนังสือเล่มนี้ บอกเล่าเรื่องราวมากมายที่บ่งชี้ว่า อีก 3 ปี โลกจะแตก!

เรื่องราวของปี 2012 ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราได้ยินว่า

"ปฏิทินของชาวมายา หรือ "คำทำนายของชาวมายา"

แต่เป็นทั้งความเชื่อ และเป็นทั้งหลักฐานจากนักวิทยศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ
ทั้งผืนดิน ผืนน้ำ ท้องนภา อากาศ อุณหภูมิ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี คัมภีร์ และศาสนา

ทุกอย่าง ล้วนเบนเข็มชี้อภิมหาอลังการภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในปี 2012 ซึ่งอาจนำโลกใบนี้ไปสู่กลียุค และสิ้นสุดสมัยของมวลมนุษย์ เช่นที่เผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์เหลือไว้แต่เพียงซากฟอสซิลให้เห็นต่างหน้าแต่งเติมจินตนการใส่เนื้อหนังแล้วทำออกมาเป็นหนัง Jurassic Park ให้เราดู

ดูท่าจะไม่ใช่แค่เพียงเรื่องล้อกันเล่นๆ ขำๆ ของชาวมายาซะแล้ว เพราะเป็นหนังสือที่อธิบายถึง

ความยิ่งใหญ่ของเอกภพ และหายนะของโลก
ที่แม้แต่ความไร้ขอบเขตของจินตนาการก็ไม่อาจจะคิดไปถึง

หนังเรื่อง 2012 วันสิ้นโลกน่ะหรือ? เด็กๆ ไปเลย

รอยปริแตกของสนามแม่เหล็กโลกที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีวิธีการแก้ไข
ระบบสุริยะ กับสภาวะอวกาศที่ไม่เป็นมิตร ระบบสุริยะใหญ่โตแค่ไหน ก็ยังเป็นแค่เพียงส่วนย่อยๆ ที่โคจรไปในห้วงอวกาศกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่ามนุษย์ ดาวเทียม ยานอวกาศ หรือเครื่องมือใดจะรู้ได้ว่ามันไปสิ้นสุดที่ตรงไหน เพราะเอกภพเป็นเอกพันธ์ (ไม่สามารถระบุได้) รู้แต่เพียงว่าระบบสุริยะกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ "เส้นทางอันตราย"

ภูเขาไฟมหึมา ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงบอกชาวโลกให้รู้ว่าพร้อมแล้วสำหรับการระเบิด เพียงแต่ไม่รู้จะเลือกวันเวลาไหน และหากระเบิดขึ้น ความพิโรธของเทพแห่งไฟจะส่งควันและเขม่าขึ้นปกคลุมชั้นบรรยากาศโลกครอบคลุมทั้งทวีปอเมริกาเหนือ ทำลายการเกษตร เศรษฐกิจ และจะมีผู้เสียชีวิตนับร้อยล้านคน

จุดดำบนดวงอาทิตย์ที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ และพายุบนดวงอาทิตย์ที่สัมพันธ์กับมหาภัยพิบัติทางธรรมชาติบนโลกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เช่น เฮอร์เคนพิฆาตแคทรีนา ริตา และวิลมา ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย และมหาพายุลูกใหญ่ๆ ลักษณะนี้ดูท่าจะไม่มีอะไรไปหยุดยั้งหรือป้องกันไหว (ก็อิทธิพลมันส่งมาจากดวงอาทิตย์โน่น ใครล่ะจะไปทำโล่ห์บังมันไว้ได้)

อ่านแล้วรู้สึกเครียดกันบ้างมั้ยคะ เป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องเครียด

แต่เป็นอีกครั้งที่ต้องใช้คำอุทานอันไม่สุภาพว่า "พับผ่าสิ! อ่านแล้วมันสนุกจริงๆ"

แม้ไม่อาจเข้าใจคำศัพท์ทางวิทยาศาตร์มากมายในหนังสือเล่มนี้ แต่อ่านโดยรวมแล้วก็ไม่ยากแก่การเข้าใจว่าผู้เขียนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่

วิทยาศาตร์เป็นเรื่องของ "ความฉลาด" ที่มิบังอาจไปทำความเข้าใจหรือเสนอหน้าไปร่ำเรียน
ในสายวิชาเหล่านั้น แม้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัว หากมองให้ดี คิดให้ลึกลงไป ทุกสิ่งทุกอย่าง
ล้วนเกิดจากวิทยาศาตร์

เพราะวิทยาศาสตร์ คือ ความรู้ และความรู้เป็นสิ่งที่ไร้ขอบเขต

ซึ่งมนุษย์อย่างเราๆ ไม่อาจจะรู้ไปซะทุกเรื่อง
(ต่อให้เป็นคนชอบเรียนรู้ หรือชอบยุ่งเรื่องของชาวโลกก็ตามเถอะ)

และหนังสือเล่มนี้ อ่านแล้วยังเผลอรำพึงกับตัวเองว่า "ไม่เห็นเคยรู้เรื่องอย่างนี้มาก่อนเลย"

ชาวมายา ?
ก็เพิ่งเคยได้ยินมาพร้อมๆ กับการเปิดตัวของหนังเรื่อง 2012 นี่แหละ

ดวงอาทิตย์ป่วย ? จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์ของเรากำลังไม่ฉะบาย โซลาร์มินิมัม และโซลาร์แมกซิมัม ซึ่งสัมพันธ์กับความปั่นป่วนบนดวงอาทิตย์คืออะไร และในปี 2012 ดวงอาทิตย์จะเข้าสู่ช่วงโชลาร์แมกซิมัม และความปั่นป่วนที่ดวงอาทิตย์เป็นอยู่ขณะนี้ ไม่อาจเทียบได้กับอาการป่วยไข้ที่จะเกิดขึ้นในช่วงนั้น

แม้แต่พระเจ้าแห่งจักรวาลผู้ทรงพลานุภาพอย่างดวงอาทิตย์ ก็หนีไม้พ้นวัฏจักรแห่งอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าของชาวพุทธเราทรงตรัสรู้ เกิด ( Bigbang) แก่ (เต็มไปด้วยจุดดำ เป็นกระขึ้นทั่วดวง) เจ็บ (สภาวะที่ไม่เป็นมิตรของอวกาศ ก่อให้เกิดความปั่นป่วน และอาจทำให้ดวงอาทิตย์ประสบกับโรคภัยหรืออุบัติเหตุขั้นร้ายแรง) ถ้าเป็นอย่างนั้น ดวงอาทิตย์ที่มนุษย์เคยเชื่อว่าจะไม่มีวันดับสูญ จะเป็นแสงสว่าง ให้ความอบอุ่น ให้พลังงาน ให้ชีวิตและการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ไปชั่วนิรันดร์ ก็ถูกสั่นคลอนเสียแล้ว ดวงอาทิตย์ก็เป็นหนึ่งในสรรพสิ่งที่มีมีอายุขัย และวันหนึ่งวันใดก็อาจตายได้เหมือนกัน ไม่ต่างจากสิ่งใดๆ ตามกฏของธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

อย่าเพิ่งสิ้นหวังค่ะ .. เพราะหากโลกรอดพ้นไปจากปี 2012
ในอนาคตอาจมีการค้นพบวีธีจุดไฟบนดวงอาทิตย์ก็ได้

ว่าแต่ขั้นแรก ต้องคิดวิธีการเดินทางไปถึงดวงอาทิตย์ให้ได้ก่อน



Smiley ภาค 1 .. เวลา Smiley

คำทำนายของชาวมายา

"คำทำนาย" เป็นคำที่ใช้กันถูกต้องแล้วหรือ เพราะสำหรับชาวมายาดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่คำทำนาย แต่เป็นความรู้จากการเฝ้าสังเกตท้องฟ้าของชนเผ่าที่หลงใหลและทุ่มเทในด้านดาราศาสต์ ผ่านการคิดคำนวณด้วยภูมิปัญญาเกินกว่าจะเห็นมันเป็นความเชื่อ และไม่กล้าจะคิดว่ามันเป็นเพียงความเหลวไหล

ที่น่าแปลกคือ ชาวมายา ดูจะไม่นิยมเล่าเรื่องลึกลับทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาของตัวเอง และไม่ชอบพูดถึงปี 2012 มากนัก เพราะชาวมายามองปี 2012 เป็นแค่ปีแห่งการสิ้นสุดและเริ่มต้นใหม่ ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว

ชาวมายามองเห็นวัฏจักรของท้องฟ้าและดวงดาราอย่างลึกซึ้งก็จริง แต่วันเวลาที่ผ่านมายาวนาน อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้บางสิ่งบางอย่างบิดพลิ้วไปจากปฏิทินโบราณเก่าแก่ที่คำนวนล่วงหน้ามากว่าสองพันปี วัฏจักรอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ชาวมายาเคยมองเห็น และนี่คือความหวังเดียวของมนุษย์เรา หวังว่าชาวมายาจะคำนวณผิด!

แต่ ความจริงก็คือ เราไม่ควรเหยียบย่ำภูมิปัญญาที่ว่านั้น ว่าเป็นเรื่องไร้สาระและมองข้าม เพราะปี 2012 ของชาวมายา จะเป็นเพียงแค่คำทำนาย หรือ สารจากความเมตตาของพระเจ้า (ที่พระองค์บอกกล่าวไว้) ใครล่ะจะรู้ได้

ชาวมายา ไม่ได้มีแค่ปฏิทินชวนโลกผวา ที่น่าสนใจคือ คัมภีย์นับพันเล่มของชาวมายา ที่ถูกเผาทำลายไปในสมัยสเปนเข้ายึดครองดินแดนนั้น คัมภีร์เก่าแก่หลงเหลือและตกมาอยู่ในมือของชาวตะวันตกเพียง 4 เล่มจริงหรือ? ว่ากันว่ายังมีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อีกมากซึ่งผู้พิทักษ์บันทึกและผู้เฒ่าของเผ่าต่างๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขาห่างไกลเก็บรักษาเอาไว้ ( ผู้พิทักษ์คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ? นี่มันหนังฮอลลีวู้ดเลยนะเนี่ย ..นึกถึงซีรีย์ฝรั่งเรื่อง Legend of the seeker ขึ้นมาตระหงิดๆ )

วันที่ 13.0.0.0.0 ของชาวมายา คือวัน 21/12/12 ในปีปัจจุบัน
13 คือรอบ Baktuns หรือช่วงเวลา 400 ปีของชาวมายา ซึ่งเท่ากับ 144,000 วัน
เลข 13 เป็นเลขอัปมงคลของฝรั่ง แต่เลข 13 เป็นเลขศักดิ์สิทธ์ตามหลักจักวาลของชาวมายา
1 ปีของดวงอาทิตย์คือ 1,872,000 วัน หรือเท่ากับ 13 X 144,000
หรือเท่ากับ 5,200 ปี เมื่อนับตามปี 360 วันตามแบบของชาวมายา

....ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เลข 144,000 นั้น ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์วิวรณ์ โดยกล่าวว่าเป็นจำนวนของมนุษย์ที่จะได้รับการปกป้องและได้ไปรับใช้พระผู้เป็นเจ้าในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายก่อนที่พระคริสต์องค์ที่สองจะลงมาจุติ.. ( หน้า 45 )

พระคัมภีร์วิวรณ์ คือ คัมภีร์ของศาสนาคริสต์ที่กล่าวถึงการกลับมาของพระเยซู และถ้าทั้งโลกจะเหลือกันอยู่แค่ 144,000 คน ขอวอนเถิดพระผู้เป็นเจ้า ลูกขอสมัครใจอยู่ในกลุ่มของคนส่วนใหญ่และอยู่เคียงข้างบุคคลอันเป็นที่รัก

... เมื่ออาทิตย์สิ้นสุดลงหนึ่งรอบ ปฏิทินลองเคาท์ก็จะเริ่มต้นรอบใหม่ ดังนั้นวันที่ 22/12/12 .. ..หนึ่งวันหลังจาก 21/12/12 วันที่โลกสิ้นสุด ซึ่งหามันมาถึงชาวมายาก็จะเริ่มนับใหม่เป็นวันที่ 0.0.0.0.1 (หน้า 45)

หวังว่าจะยังมีชีวิตเหลืออยู่ให้เริ่มนับนะ หากแม้ว่าเราไม่ได้อยู่จนเห็นยุคใหม่
เอาเถอะ อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตเราจะได้เป็นซากฟอสซิล

เรื่องของชาวมายาและการคำนวณต่างๆ นี้ ถูกเปิดประเด็นไว้เป็นภาค 1 ของหนังสือเล่มนี้เลยทีเดียว เพราะต้นเรื่องวันสิ้นโลกเท่าที่รู้น่าจะบูมมาจากปฏิทินนี้ และจากการศึกษาทางวิทยาศาตร์ของผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ หลากหลายแขนง อะไรๆ ในโลกใบนี้ ดูจะเข้าข่ายลางแห่งหายนะในปี 2012 ด้วยกันทั้งสิ้น อาจเรียกได้ว่าเฮโลเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับชาวมายา

21/12/12 ระบบสุริยะซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางจะบังศูนย์กลางของทางช้างเผือก
ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้จากโลก และเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นครั้งเดียวในรอบ 26,000 ปี

นักดาราศาสตร์ชาวมายาโบราณเชื่อว่า จุดดังกล่าวเป็นมดลูกของทางช้างเผือก
(มดลูกคือสิ่งให้กำเนิด)

......ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีหลักฐานหลายชิ้นสนับสนุนว่า จุดดังกล่าวเป็นต้นกำเนิดของดวงดาวต่างๆ ในกาแล็กซี นักดาราศาสตร์ปัจจุบันตั้งข้อสงสัยว่า ตรงกลางนั้นมีหลุมดำซึ่งจะดูดกลืนทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสสาร พลังงาน และเวลา ซึ่งจะกลายเป็นวัตถุดิบในการก่อให้เกิดดาวดวงใหม่ๆ ในอนาคตได้.. (หน้า 56)

ดูสิ เหนือฟ้ายังมีฟ้า แม้แต่ดวงอาทิตย์ที่ว่าแน่ ยังมีสิ่งยิ่งใหญ่ทรงพลังกว่า หนึ่งในนั้นคือ ศูนย์กลางของทางช้างเผือกที่อาจมีหลุมดำอำพรางไว้ล่อลวงทุกสรรพสิ่งในจักรวาล

ถ้าดวงอาทิตย์หายเข้าไปในนั้น ? นั่นคือหลุมที่ที่ดวงอาทิตย์จะถึงแก่ความตายหรือ? ชาวมายาเชื่อว่า เมื่อพลังงานของดวงอาทิตย์ถูกบดบัง การที่มนุษย์ถูกตัดขาดจากพลังงานที่เป็นศูนย์กลางของกาแล็คซีนี้ กลไกที่สำคัญของโลกและร่างกายของคนเราจะหยุดทำงาน

วัฒนธรรมลึกลับของชาวมายาที่พยากรณ์ถึงวันสิ้นโลกเอาไว้แล้วตั้งแต่เมื่อสองพันปีก่อน จะไม่เขย่าขวัญสั่นประสาทเท่าไรนัก ถ้าหากความคิดของชาวมายาไม่ได้ชื่อว่า เต็มไปด้วยตรรกะ และความเที่ยงตรง แล้วแม่นยำเรื่องวันเวลายิ่งนัก

มาดูกันค่ะ ระหว่างชาวมายา กับนอสตราดามุส ใครจะแน่กว่ากัน

นอกจากเรื่องของชาวมายาแล้วต่อไปนี้คือเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจและสนุกจนลืมเครียด

อสรพิษกับเสือดาว
จักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม


กล่าวถึงสองพี่น้องคนทรงชาวมายา คาร์ลอส กับเจอร์ราโด ความหลงตัวเองของนักวิชาการ (ที่ไม่ใช่ชาวมายา และหนีไม่พ้นเป็นชาวตะวันตก) อคติที่มีต่อวัฒนธรรมทำให้ผู้เฒ่าผู้แก่ของชาวมายาผู้ทรงภูมิปัญญาถูกเหยียบย่ำ ประวัติศาตร์และวัฒนธรรมแท้จริงถูกบิดเบือน

Smiley ภาค 2 ... โลก Smiley

ปากทางสู่ปี 2012

... หากพระเจ้าหรือสิ่งใดก็ตามที่มีอำนาจเหนือกว่านั้น หรือสิ่งใดก็ตามที่เรานับถือ เสนอสิ่งที่เราสมควรจะได้รับไปตลอดชีวิต ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น เราจะรับข้อเสนอเหล่านั้นหรือไม่ ... (หน้า 74)


นักฟิสิกส์ธรณีวิทยาผู้เชี่ยวชาญ กับเรื่องราวของ สนามแม่เหล็กโลกที่อ่อนกำลังลง ซึ่งเป็นสัญญาณแรกของการพลิกขั้วแม่เหล็กโลก หรือจะเรียกว่าการสลับขั้วแม่เหล็ก ที่เข็มทิศจะชี้กลับตาลปัตร นกจะหลงทิศ ปลาจะหลงทาง แสงออร่าที่ขั้วโลกเหนือจะเปลี่ยนมาเกิดที่บริเวณเส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศจะวิปริต เส้นทางความรุนแรงของพายุเฮอร์ริเคน ทอร์นาโดและพายุแม่เหล็กจะเปลี่ยนไป

ในเมื่อมันเคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อ 780,000 ปี ตอนนี้มันกำลังจะเกิดอีกหรือไม่ การเคลื่อนตัวของผิวโลกที่เป็นอยู่ (แคนาดาและทวีปแอนตาร์คติกาเคลื่อนที่ถึงปีละ 20-30 กิโลเมตร) อาจจะทำให้ขั้วโลกเกิดการเคลื่อนที่ได้อย่างง่ายดาย

ข่าวดีคือ วันนั้นจะไม่เกิดขึ้นให้เราได้พบเห็น
เพราะข่าวร้ายคือ ก่อนจะถึงจังหวะนั้น พวกเราตายกันไปหมดแล้วเพราะโรคมะเร็ง เนื่องจากการอ่อนกำลังของสนามแม่เหล็ก ทำให้วงแหวนรังสีแวนอัลเลน ( ที่เกิดขึ้นจากสนามแม่เหล็กคอยเบี่ยงเบนรังสีจากดวงอาทิตย์) จะปั่นป่วน เป็นอันตราย และความสามารถของสนามแม่เหล็กในการป้องกันรังสีให้แก่โลกจะลดลงด้วย รังสีต่างๆ จากอวกาศจะกระหน่ำใส่เรา (คงจะแบบรัวเร็วแบบเอ็มสิบหก หรือไม่ก็หนักหน่วงแบบเอ็มเจ็ดสิบเก้า)

การสลับขั้วอาจเป็นเพียงข้อสงสัย ที่ไม่มีใครรู้ได้แน่นอนในอนาคต (อันใกล้) แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจโล่งใจ เพราะมีเรื่องใหญ่พอกันเป็นความจริงอยู่แล้วขณะนี้ รอยแยกของสนามแม่เหล็กโลก เกิดขึ้น 9 ชั่วโมงต่อครั้ง ครั้งละประมาณ 100,000 ไมล์ เกิดขึ้นบริเวณมหาสมุทรที่อยู่ระหว่างประเทศบราซิลกับแอฟริกาใต้ (ชื่อ รอยแยกแอตแลนติกใต้) รอยแยกจะทำให้รังสีจากดวงอาทิตย์และอวกาศทะลุเข้ามา กระทบต่อสารเคมีในชั้นบรรกาศ ก่อเกิดอุณภูมิความร้อนและช่วยเผาชั้นบรรยากาศให้บางลง และคงทำให้การเผายางในกรุงเทพมหานครกลายเป็นเรื่องดีงามไปเลย

ไฟโลกันต์


เกาะเซิร์ทซี แผ่นดินใหม่ล่าสุดที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากท้องทะเลในปี 1963 มันเกิดขึ้นมาเพราะการระเบิดของภูเขาไฟกว่าสี่ปีลึกลงไปใต้ทะเล เกาะขนาดครึ่งตารางไมล์ที่โผล่ขึ้นมาในมหาสมุทรภายใต้อณาเขตของไอร์แลนด์นี้ นอกจากจะไม่จมลงไปยังทำให้แถบนั้นเป็นเขตที่มีพายุมากที่สุดในโลก


ภาพเกาะเซิร์ทซีในไอร์แลนด์ จาก //www.thebestinsure เกาะแปลกๆ บนโลกนี้


ภูเขาไฟยักษ์เยลโลว์สโตน เทพโลกันต์ที่รอวันระเบิดอัคคีองค์นี้สถิตอยู่ที่อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของอเมริกา (ชื่ออุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน) หากเกิดการระเบิดขึ้น ลาวาคงไม่อาจเผาน้ำในมหาสมุทรข้ามมาถึงเมืองไทยได้ก็จริง แต่ถ้าเพื่อนมนุษย์ถูกย่างเกรียมไปเกือบครึ่งโลก บรรยากาศก็คงไม่น่าอยู่สักเท่าไร ภูเขาไฟที่เคยไว้ใจได้ลูกนี้ กำลังไว้ใจไม่ได้อีกต่อไป

ประวัติศาสตร์ของมันคือการระเบิดทุกรอบ 600,000- 700,000 ปี และปัจจุบันเรากำลังอยู่ในตารางเวลาของการระเบิดครั้งต่อไป ซึ่งไม่ทันแล้วที่เราจะเกิดให้เร็วกว่านี้


ภาพ Rumbling hits Yellowstone จาก //redgreenandblue.org/tag/swarm/


ข่าวดีคือ ขณะนี้มีการติดตั้งระบบเตือนภัยที่แจ้งข้อมูลได้รวดเร็วที่สุดไว้รอบๆ อุทยานแห่งชาติ
ทั้งเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวและตรวจจับอุณภูมิ
(แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้อมูลจะถูกรายงานไปที่ไหน และใครเป็นผู้ตัดสินใจ)

แต่ข่าวร้ายคือ ปัจจุบันไม่มีวิธีใดที่จะหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟยักษ์ได้ อีกทั้งขนาดและความรุนแรงของมันก็มากเกินไป เกินกว่าจะหาทางป้องกันไหว

ข่าวร้ายมากกว่าอีก เทพโลกันต์อีกองค์ที่มีชื่อว่า ลองวัลเลย์ในรัฐแคลิฟอเนียร์ก็กำลังพิโรธกรุ่นๆ
มี "ความเคลื่อนไหว" และ "ไม่สงบ" มากกว่าเยลโลว์สโตน และไม่รู้จะระเบิดความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อมนุษย์ขึ้นมาวันไหน อำนาจทำลายล้างของท่านเทพองค์นี้ อาจไม่ทรงฤทธาเท่าเยลโลล์สโตน แต่ก็มากพอจะทำให้ซีกโลกเหนือทั้งหมดตกอยู่ในภาวะฤดูหนาวนิวเคลียร์

นี่ยังไม่นับภูเขาไฟยักษ์ทั่วโลกที่ยังมีอยู่อีก และยังไม่ได้นับจำนวนที่ไม่รู้ของภูเขาไฟใต้สมุทร ซึ่งอาจระเบิดขึ้นมาทำให้ทะเลเดือด และช่วยกันโหมไฟย่างเกรียมโลกได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาจากดาวหางหรือดวงอาทิตย์มาจุดไฟให้


Giant Volcano Under Yellowstone Park Stirring To Life -
Five Inch Increase At The Uplift Anomaly ภาพจาก //www.lampholderpub
Volcano watch


สู่ทะเลสาบอติลัน พบ ฮวน มานูเอล เมนโดซา ดาวรุ่งในวงการจิตวิญญาณของชาวมายา ( คนทรง) การถามถึงปี 2012 กับชาวมายา คำตอบยังคงเป็นไปในแง่ดี (ที่ทำใจเชื่อว่ามันจะดีได้ลำบาก) สำหรับชาวซานดิอาโก อาติลัน ที่ประชากร 95% เป็นชาวมายาเผ่าชูทูฮีล ยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างสงบ ความกลัวเกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะชาวมายารู้สึกว่ามันไม่มีอันตราย "ราวกับอยู่ในรังนก ราวกกับอยู่ในอ้อมกอดโลก"

...แต่อย่างไรก็ตาม ในจิตวิญญาณของชนพื้นเมืองที่ผูกพันอยู่กับสิ่งแวดล้อมนั้นมีบางสิ่งที่เชื่อถือได้ แม้ว่ามันจะดูไร้สาระก็ตาม ในความเชื่อที่ผิดจากกความเป็นจริงนั้น อาจมีภูมิปัญญาที่แท้จริงซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้ (หน้า 114)

และถ้าคุณรู้ถึงวิธีฝึกคนทรงชาวมายา คุณจะรู้สึกว่า ..คำพยากรณ์ใดๆ มีความน่าเชื่อถือกว่าที่เคยเป็น

และไม่ว่าจะเพียรพยายามถามชาวมายาสักกี่ครั้ง มนุษย์เราคงไม่ได้รับคำจากชาวมายาเพื่อยืนยันความหวาดกลัวของตัวเองให้แน่ชัดได้

Smiley ภาค 3... ดวงอาทิตย์ Smiley


รูปภาพจาก //www.vcharkarn.com/vcafe/102291/4



รูปภาพจาก //www.vcharkarn.com/vnews/5811



ดวงอาทิตย์และจุดดำ

ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของจุดดำบนดวงอาทิตย์กับพายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้นทั่วอเมริกาเหนือ ที่นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเอ่ยคำ "ใครจะไปบอกได้!"
มหกรรมของการศึกษาดวงอาทิตย์ในช่วงนี้ ที่ต้องระดมทุนทั้ง เวลา เงิน และมันสมองจำนวนมาก
เป็นสัญญาณแห่งการค้นพบและมีความกลัวที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?


เฮอร์เคนแคทรีนา พายุหมุนเขตร้อนที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
25 Aug 2005 ภาพจาก //www.wikipedia เฮอร์ริเคนแคทรีนา



น้ำแข็งละลาย / อุณภูมิของอากาศที่ร้อนที่สุดในรอบ 50,000 ปี (ภาวะโลกร้อน) / กรรมวิธีการวัดอายุเพื่อตอบคำถามที่ว่า "เรารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อพันๆ ปีก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ในยุคนั้นไม่มีการบันทึกอะไรทั้งสิ้น"

เมื่อดาวพฤหัสเรียงกับดาวอังคาร
เต้นแทงโก้ไปด้วยกัน เรารู้จักเรื่องของปี 2012 จากเรื่องของดาวทั้งหมดเรียงตัวกันซะเป็นส่วนใหญ่ แต่หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย นอกจากพูดถึงแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวในทางทฤษฏีว่าน่าจะมีผลมากที่สุดเมื่อดาวทั้งหมดเรียงตัวกันและทำมุม 0 องศา หรือทำมุมฉาก 90 องศา

พลังแห่งดาวเคราะห์ ของดาวแต่ละดวงจะส่งผลให้เกิดแรงดึงดูดกระทบต่อลูกไฟมโหฬารอย่างดวงอาทิตย์ให้เกิดการประทุของพื้นผิวและระเบิดรังสีออกมาหรือไม่ ดาวจะเรียงตัวในปี 2012 และในช่วงนั้นเป็นช่วงที่จะเกิดจุดดำมากที่สุดบนดวงอาทิตย์ เทพเจ้าดวงนี้จึงถือได้ว่าจะเข้าสู่ภาวะป่วยขั้นโคม่า

Smiley ภาค  4 ...อวกาศ Smiley

เมฆหมอกพลังงานและจุดปั่นป่วนระหว่างดวงดาว

การเคลื่อนที่ของเฮลิโอสเฟียร์ (แสงทรงกลมของระบบสุริยะที่มีศูนย์กลางอยู่ตรงจุดที่สว่างที่สุดคือดวงอาทิตย์) ทำให้เกิดคลื่นกระแทก (เมื่อเคลื่อนที่ผ่านบรรยากาศ) นานมาแล้วที่การเคลื่อนที่นี้เคยราบรื่น แต่ปัจจุบันเฮลิโอสเฟียร์กำลังเข้าสู้เส้นทางขรุขระของอวกาศ และทำให้คลื่นกระแทกมีความรุนแรงทะลวงเข้ามาในพื้นที่ระหว่างดวงดาวและก่อกวนดวงอาทิตย์ของเราให้ปั่นป่วน

... เรากำลังโดยสารอยู่บนเครื่องบินยักษ์ที่ชื่อว่าระบบสุริยะ ซึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่พายุ หรือพูดให้ถูกก็คือ จุดปั่นป่วนระหว่างดวงดาว.. (หน้า 177)

ดาวยูเรนัสกับเนปจูนเกิดการเปลี่ยนแปลงของขั้วแม่เหล็กแล้ว
อาจเป็นไปได้ตามข้อสงสัยของนักวิทยาศาตร์ว่าโลกของเราเองก็กำลังส่อแวว
ดวงจันทร์ของดาวเสาร์เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ ที่มีลักษณะคล้ายเยลโลว์สโตนขึ้นเป็นครั้งแรก
ดาวพฤหัสได้รับอิทธิพลจากคลื่นกระแทกและทำให้สนามแม่เหล็กขยายตัวขึ้นสองเท่าจนขยายไปถึงดาวเสาร์ และการเกิดพายุแม่เหล็กขึ้นบนพื้นผิวอย่างไม่มีวันจบสิ้น
ภูเขาไฟบนดวงจันทร์ของดาวพฤหัสก็เกิดระเบิดขึ้นแล้วเช่นกัน

วิวัฒนาการอันชาญฉลาดของสายพันธุ์ในโลกมืด ที่ก้าวล่วงเข้าสู่โลกแห่งแสงสว่าง ไซยาโนแบคทีเรีย ที่พบจุดยืนของการเป็นภัยมรณะให้กับโลกนี้

การขุดเจาะทำลายทรัพยากรธรรมชาติจากมวลมนุษย์ที่ไม่เคยคำนึงถึงระบบนิเวศและรู้จักคำว่าหยุดยั้ง อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โลกจะหันหลังให้กับเราเสียแล้วหรือ

แสงแห่งนูสเฟียร์

กัปตันชราแห่งไอซ์แลนด์
ฐานใต้ดินแห่งไซบีเรียและการทดลองทางจิต

Smiley ภาค 5 ...การล้างเผ่าพันธุ์ Smiley

ไม่เหลือ


วิทยาศาสตร์แห่งยุค
ข่าวร้ายเรากำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการสูญพันธ์
วัฏจักรความแตกต่างของซากฟอสซิล ที่นักฟิสิกส์ผู้เชี่ยวชายค้นพ้นหลักฐานที่ชัดเจนและเชื่อถือได้ว่า
...โดยปกติแล้วเหตุการณ์สูญพันธ์ครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นทุกๆ 62-65 ล้านปี และโชคร้ายที่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งก่อนที่เป็นการล้างพันธุ์ไดโนเสาร์นั้นเกิดขึ้นเมื่อ 65ล้านปีก่อน เราจึงกำลังอยู่ในช่วงที่ครบกำหนดอีกครั้ง ...(หน้า 219)

เกิดช้าไปอีกแล้ว

อันตรายบนฟ้า
ดาวหาง อันธพาลครองจักรวาล
และการเสนอระบบป้องกันการพุ่งเข้าชนโลกที่ถูกหัวเราะเยาะ

...ชาวมายาทำนายว่า 2012 ระบบสุริยะจะทำคราสกสับศูนย์กลางแรงดึงดูดของกาแล็กซีซึ่งเป็นหลุมดำ วัตถุที่รู้กันว่ามีแรงดึงดูดมากที่สุดในจักรวาล และนั่นจะนำไปสู่การสิ้นโลก...(หน้า 223)


Smiley ภาค 6 ....สงครามศักดิ์สิทธิ์ Smiley

นับถอยหลังสู่จุดจบ

เมกกะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และการบูชาดวงจันทร์
ดวงอาทิตย์จะลงโทษมนุษย์ทุกผู้ที่บังอาจจ้องมองแต่ดวงจันทร์
ที่ส่องแสงล่อลวงมนุษย์และเปลี่ยนรูปร่างไปทุกคืน
เรื่องราวของศาสดามูฮัมหมัดและอาบู จาฮาล ศัตรูของพระเจ้า

ถอดรหัสไบเบิล
ลางแห่งสงคราม
กล่าวถึงสงครามอาร์มาเกดดอน ระหว่างผู้ยอมรับพระเยซูคริสต์กับผู้ไม่ยอมรับพระองค์

.. มีการตีความคัมภีร์ไบเบิลที่พยากรณ์ไว้ว่า โลกจะถึงจุดจบในปี 2012 ชาวมุสลิม คริสต์ และยิว จะมีการเคลื่อนไหวเพื่อเข้าสู่สงคราครั้งสุดท้าย ..(หน้า38)

การตอบแทนแห่งพระผู้เป็นเจ้า
ปิศาจสีเขียวผู้เข้มแข็ง ผู้นำในการประสานความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของโลก
กำจัดฝีอักเสบ เพื่อสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง

ชอบเนื้อหาตรงนี้มากเลยค่ะ

มันคงไม่มีค่าอะไร...แต่หากกลียุคหรือการเปิดเผยครั้งใหญ่เกิดขึ้นบนโลกในวันที่ 21/12/12 ผมจะเป็นคนหนึ่งที่ฉวยเอาช่วงเวลาแห่งความสงบในหตุการณ์อันน่าพิศวง ซึ่งทุกคนที่นับถือในคัมภีร์ไบเบิลและกุรอานจะรู้สึกเมื่อได้ประสบกับคำพยากรณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติซึ่งทำนายโดยคนนอกศาสนาแห่งดินแดนโดดเดี่ยวในอเมริกากลางอุบัติขึ้น พวกหัวดื้ออาจยืนยันว่าวันสิ้นโลกนั้นพยากรณ์ไว้ในรหัสลับของคัมภีร์ไบเบิล

แต่ในความเป็นจริงก็คือ คำพยาการณ์ของชาวมายานั้นเป็นคำพยากรณ์แรกสุดเกี่ยวกับวันที่ 21/12/12 บางทีพระผู้เป็นเจ้าอาจปกป้องเราจากกลียุคครั้งนี้ได้ แต่คงไม่สามารถปกป้องเราจากความผิดพลาดและความหวาดกลัวที่สุดในชีวิต เราทุกคนต่างตาสว่างได้ แต่ผู้คลั่งศาสนาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และมุ่งหวังความขัดแย้งแห่งดินแดนตะวันออกกลางนั้น ยังคงสรุปเอาเองว่า ตนเป็นพวกที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุด... (หน้า 257)


อ้อนวอนให้คงเดิม
เทมเพิลเมาท์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคริสต์และอิสลาม
พระเมซไซอาห์ใกล้เสด็จ เพื่อมาจุติแล้ว
ฝืนคำพยากรณ์

แรงดึงดูดประหลาดแห่งปี 2012
คัมภีร์อี้จิงกับคลื่นของเวลา
ความลี้ลับแห่งโลกตะวันออก
ดาวศุกร์ และระบบตัวเลขของฮินดู 6/6/12
2012 รอบโลก การสูญหายของ ทวีปแอตแลนติส
ชาวอียิปต์ มายา อินเดียนแดงเผ่าเชอโรกี และคำทำนายต้องห้ามของเผ่าโฮปิ

..ปี 2012 เป็นเส้นตายแห่งความหายนะที่กำลังจะมาถึงอย่างรวดเร็ว และการพยากรณ์ถึงจุดจบแห่งเวลาของทุกสำนักดูจะมุ่งหน้าไปตามตารางเวลาที่ชาวมายาวางเอาไว้.. (หน้า 290)

วาระสุดท้ายที่ถูกใจ
ปี 2012 มิใช่ประตูสู่ความตาย
ในมุมมองของชาวมายาก็ไม่ใช่เรื่องของความตาย
Lisa จะนำเราไป สามเหลี่ยมด้านเท่าขนาดยักษ์ขององค์การ NASA ออกแบบมาเพื่อร่อนไปตามคลื่นแรงโน้มถ่วงเมื่อโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ จะถูกส่งขึ้นไปในปี 2011 เพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงของทฤษฏีบิ๊กแบงด้วยการตรวจจับแรงดึงดูดที่ยังเหลืออยู่จากการระเบิดที่สร้างสรรพสิ่งครั้งนั้น

คลื่นไมโครเวฟ รูปแบบของรังสีที่หลงเหลืออยู่จากการระเบิดบิ๊กแบงทั่วท้องฟ้าและค้นพบช่องว่างของคำที่เต็มไปด้วยรหัส นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักปรัชญา และนักเทววิทยาชั้นยอดของโลกทำงานร่วมกันเพื่อค้นคว้าสิ่งนี้ แต่ก็ไม่สามารถถอดรหัสออกมาได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร

... ข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้คือ มันอาจเป็นสารจากพระเจ้า จักรวาล หรือพระผู้สร้าง เป็นแรงบันดาลใจ และแสงสว่างให้แก่ผู้คนจำนวนมาก อีกทั้งเป็นพลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และอบรมให้มีความนับถือต่อธรรมชาติ

......บางทีสิ่งที่เบนฟอร์ดเห็น อาจเป็นสิ่งเดียวกับที่ชาวมายาเห็นมาโดยตลอด ...บางทีพระผู้เป็นเจ้าอาจดีดสายเลเซอร์ของ LISA เล่นเป็นเพลงแห่งความอมตะแห่งพระองค์ (หน้า 300)


บางทีพระผู้สร้าง อาจอนุญาต ให้มวลมนุษย์ได้ล่วงรู้จุดกำเนิดอันเป็นความลับของเอกภพ เพื่อเป็นรางวัลปลอบใจในวันที่พวกเราต้องถึงคราวดับสูญไปก็ได้นะคะ

Smiley บทสรุป Smiley

ภาวนา ...กราบเรียนพระผู้เป็นเจ้า...
เสนอสิ่งสังเวย
การเดินทางสู่นอกโลก อาจนำมาซึ่งการลงโทษของพระแม่ธรณี
พันล้าน เพื่อการวิจัยการควบคุมปฏิกิริยานิวเคลียร์ หรือพันล้านเพื่อป้องกันหายนะของปี 2012
เตรียมใจให้พร้อม ใจกว้างกับความมืดมน (หากมันเกิดขึ้น) และเผชิญหน้ากับมันอย่างสงบ
หลีกทางให้ชาวมายา และดึงผู้เฒ่าออกมาจากถ้ำ
สู่หุบเขา แห่งความเชื่อที่ว่า "พระผู้เป็นเจ้าสร้างมนุษย์บนโลกขึ้นมาด้วยสายเลือดเดียวกัน"

และ

ขอให้ปลอดภัย

...ขอให้คุณใส่ใจกับเรื่องปี 2012 แต่อย่าตื่นกลัว วางแผนให้พร้อม แต่อย่ารีบร้อน จากวันนี้ถึงวันนั้นเรามีเรื่องต้องทำ ต้องเตรียมตัว ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม เพื่อรอรับการทดสอบที่จะมาถึง หากเราพบว่าเรากำลังรอคอยให้มันมาถึง เราก็น่าจะพบหนทางก้าวผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ ..(หน้า 320)

****

ที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้อ่านสนุก ไม่ใช่คำพูดเกินจริงเลย เพราะถึงแม้เนื้อหาจะเครียด
แต่เป็นความเครียดที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันของผู้เขียน และทำให้อดยิ้มไม่ได้ ถ้าคุณมีโอกาสได้อ่าน คุณจะรู้ว่ามันตลกจริงๆ

อ่านแล้ว อย่าเผลอคิดไปว่ากำลังอ่านนิยายอยู่ เพราะหนังสือเล่มนี้คือสารคดี หลายสิ่งหลายอย่างฮอลลีวู้ดนำประเด็นไปสร้างหนังแล้วไม่ว่าเนื้อหาจะถูกต้องมากหรือน้อยก็ตาม อาทิเช่นหนังเรื่อง The Core หรือ The day after tomorrow ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ตัวจริงท่านหนึ่ง เป็นต้นแบบของคุณพ่อในเรื่องนี้ หรือแม้กระทั่ง 2012 ที่สร้างความวินาศสันตะโรไว้อย่างน่าระทึก แต่ขอโทษเถอะ ไม่อาจเทียบเคียงความวินาศที่บรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ได้เลย

จริงๆ แล้วอยากแนะนำให้ฮอลลีวู๊ด สร้างเรื่องนี้ขึ้นมอีกสักเรื่อง
รับรองว่าต้องเป็นไอเดียอันบรรเจิด

"ไซยาโนแบคทีเรีย ภัยมรณะตัวจิ๋วจอมพิฆาต"

รับรอง .. .บูม ฮ่าฮ่า อ่านแล้วชอบจริงๆ นะเรื่องวิวัฒนาการของเจ้าแบคทีเรียผู้น่ารัก!

ประวัติผู้เขียน

Lawrence E. Joseph เป็นนักข่าวและผู้ให้คำปรึกษาด้านวิทยาศาตร์ อีกทั้งยังเขียนหนังสืออย่างกว้างขวางในหลากแขนก อาทิเช่น วิทยาศาตร์ สิ่งแวดล้อม การเมือง และเศรษฐกิจโลก เพื่อตีพิมพ์ใน New York Time , Salon และ Audobon

ปัจจุบันเขาเป็นประธานกรรมการที่ปรึกษาของแอโรสเปซ คอร์ปอร์เรชั่น ในอับลูเควอร์ก รัฐนิวเม็กซิโก

ชื่อหนังสือ : 2012 วันสิ้นโลก
ผู้เขียน : LAWRENCE E. JOSEPH
ผู้แปล : ทรงพล ศุขสุเมฆ
สำนักพิมพ์ : สยามอินเตอร์บุ้คส์ 2552
จำนวน : 336 หน้า





 

Create Date : 05 มิถุนายน 2553    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2557 22:13:10 น.
Counter : 2139 Pageviews.  

Nicholas Sparks - Dear John รักจากใจจร




หลังวันเงินเดือนออก บ่อนละลายทรัพย์ที่อันตรายที่สุด คงหนีไม่พ้น ร้านหนังสือ

อย่าได้หลงแวะเข้าไปด้วยการล่อลวงตัวเองว่า "แค่แวะไปเดินเล่น"
สุดท้าย ... ก็สอยลงมาจากชั้นวางทุกที

มีหนังสือสองเล่ม ที่โดดเด่นเข้าตาอยู่บนแผง

หนึ่ง เป็นเรื่องของสาระ และเมื่อไหร่ที่หนังสือถูกตีตรา "Bestseller"
เป็นได้ทะเล่อทะล่าซื้อมาทุกที ..ก็แหม่ .. เขาบอกว่า Bestseller นี่นา
ย่อมแสดงว่ามีคนอ่านแล้วชอบ โด่งดัง และขายดิบขายดี เว้นแต่บางทีเราอาจ
ถูกหลอก ไปกับคำโฆษณา และรู้ไม่เท่าทันกับกลยุทธ์ทางการตลาดก็ได้
ใครจะรู้ ... นอกจากเราจะรู้ตัวเองตอนที่อ่านแล้วเฮิร์ต (เสียดายตังค์วุ้ย)

ปัญหาล่ะสิ เพราะนี่คือ Bestseller

"2012"
Author : Lawrence E. Joseph


ลำบากใจแล้วซิ

เพราะนี่ก็ นิยายขายดีอันดับ 1 จากการจัดอันดับของนิวยอร์ค ไทม์

" Dear John"
Author : Nicholas Sparks


ชื่อนักจัดอันดับอย่าง นิวยอร์ค ไทม์ ช่างฟังดูมีอิทธิพลต่อความคิดซะจริง
ทั้งที่ไม่เคยอ่านหรอกว่ามันเป็นนิตยสารที่เลอเลิศสักแค่ไหนกันเชียว
(ถึงมีมาให้อ่าน ก็อ่านไม่รู้เรื่องหรอกเฟ้ย)

ส่วนท่านสปาร์ก ท่านเป็นใครมาจากไหนไม่รู้จัก รู้แต่ว่าปกหนังสือเขาใช้ชื่อ
นักเขียนเป็นจุดขาย โดดเด่นเป็นสง่ากว่าชื่อเรื่องซะอีก

เห็นชื่อ"นิโคลัส" นึกว่า นิโคลัส เคจ ปรากฏว่าไม่ใช่ เป็นใครที่ไหนไม่รู้ชื่อ
นิโคลัส สปาร์ก แต่อ่านดู คำนำ คำนิยม ท่านมีประวัติผลงานทางการเขียน
นิยายรักซาบซึ้งตรึงใจ จนได้ฉายา

"เจ้าพ่อโรมานซ์ผู้เขียนนิยายขายดีอันดับหนึ่งของนิวยอร์กไทมส์"

ผลงานสร้างชื่อ ตัวอย่างเช่น

The Notebook
Message in a Bottle
The Guardian
True Believer
The wedding
Nights in Rodanthe
A bend in the road
The rescue
A walk to remember

ซึ่งแต่ละคำนิยมที่กล่าวถึงแต่ละเรื่องและถูกหยิบยกมาไว้ในหนังสือ
Dear John เล่มนี้ ฟังดูไม่ธรรมดาสมคำยกย่อง

แต่ด้วยไม่เคยอ่านผลงานเหล่านั้นมาก่อน ว่าซาบซึ้งเพียงใด ปรากฏการณ์
คำทำนาย ตายหมู่ ที่ว่ากันว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการพิสูจน์ค้นคว้า
จนได้รับ การยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งว่ามีความเป็นไปได้
ที่จะเกิดเหตุการณ์สำคัญ หรือ พูดกันโต้งๆ สั้นๆ ว่า "วันสิ้นโลก" ในปี 2012
ก็น่าสนใจไม่น้อย

ไม่ใช่อยากอ่านเพื่อเตรียมตัว จะตายอย่างไรให้มีความสุขหรอกนะ
ไม่ได้กลัวว่าโลกจะแตก ตายด้วยกันหลายๆ คน คงไม่เหงาดี

แค่อยากอ่านเอามันส์ ( นี่ผิดวัตถุประสงค์ของผู้เขียนเขาหรือเปล่า ?)
และเผื่อจะคิดได้ว่า ชีวิตนี้สั้นนัก ทำอะไรที่ควรทำหรือยัง ..........

สารคดี กับ นิยายขายดี เอาเล่มไหนดีกว่า

ลังเลๆ .. สุดท้ายก็จับนิยายก่อนอยู่ดี

Dear John หรือชื่อภาษาไทยตั้งไว้ว่า "รักจากใจจร"

ชื่อฟังไพเราะดี

แต่อ่านจบแล้วนึกถึงคำนี้ "รักยิ่งใหญ่จากชายคนหนึ่ง"

ลองอ่านคำนิยมหลังปกที่มีต่อหนังสือเล่มนี้นะคะ



หลังจากอ่านแล้ว ...

สิ่งที่รู้สึกคือ เห็นด้วยว่าเป็นนิยายที่งดงามเรื่องหนึ่ง
แต่ถ้าถามถึงคำว่ารันทด กลับไม่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น
เวลาที่อ่านนิยายรัก ที่แปลมาจากนิยายสัญชาติฝรั่ง
ไม่เคยรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจแบบที่ติดอกติดใจลึกซึ้งซะที
อาจเป็นเพราะวัฒนธรรม มุมมองในการดำเนินชีวิตที่แตกต่าง
จะให้ซึ้ง และสุดรันทด ต้องนิยายฝ่าย Asian ของเราเท่านั้น

รักจากใจจร ... ก็เป็นความรักทั่วๆ ไป แรกรัก พลัดพราก และจากลา
เป็นหนึ่งในรักแท้ที่ยากจะลบเลือน ความรักมีอยู่ แต่ชีวิตต้องดำเนินไป
ตามเหตุและผล

ประเภท รักแท้ รักเดียวตลอดไป และฉันอยู่ต่อไปไม่ได้หากไม่มีเธอ
คงไม่ใช่แนวของฝรั่งเขา และคนเคยอกหักจะรู้ว่าในเรื่องของอารมณ์
มันเป็นอย่างนั้น รู้สึกเหมือนจะอยู่ไม่ได้และจะตายให้ได้
แต่ในความเป็นจริง คนอกหักทุกคนยังหายใจอยู่
( หากไม่มึนน้ำตาจนหลงไปกระโดดตึกซะก่อน)

เป็นเรื่องราวความรักของคนสองคน จอห์น ไทรี และ ซาวันนาห์
ที่ดำเนินไปตามช่วงเวลาและเหตุการณ์ ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ผ่านมา และผ่านไป และสิ่งต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง แม้แต่หัวใจของคน

เพราะในหัวใจของคนๆ หนึ่ง ไม่ได้ถูกจำกัดให้รักได้แค่คนๆ เดียว ....

ซาวันนาห์ นางเอกของเรื่องเป็นผู้หญิงจิตใจดี มีอุดมการณ์ และมีอิสระ
ทางความคิด การตัดสินใจเลือกทางเดินของเธอ จึงตั้งอยู่บนเหตุผล
เธอคำนึงถึงความสุขของใครอีกหลายคน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
กับสิ่งที่เธอเลือก และคนที่เธอเลือก ....

ซาวันนาห์เป็นผู้หญิงที่สมควรถูกรัก

และการ "ให้" ด้วยความรักจากหัวใจของจอห์น
ก็ยิ่งใหญ่สมกับที่มีคนให้คำนิยม

"เข้าถึงแก่นของรักแท้ที่ไร้ขอบเขตและปราศจากเงื่อนไข"

อะไรคือความหมายของรักแท้ที่เรามอบให้ใครสักคน

เนื้อเรื่องถูกเรียกร้องความสนใจด้วยประโยคมัดใจนี้

และคงต้องยอมรับว่า การเปิดเรื่องด้วยจุดจบที่รู้กันอยู่แล้ว
มันช่างเป็นการทรมานจิตใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ดึงดูดใจอย่างร้าย


"แม้เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงเพียงแค่นี้
ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า เรื่องรักของเรา
ไม่ได้ดำเนินต่อไปชั่วนิรันดร

ผมครุ่นคิดถึงเรื่องราวความหลัง และก็เหมือนกับทุกๆ ครั้ง
รอยรำลึก ได้นำพาผมย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในเวลนี้ ก็คือความทรงจำทั้งหมดเท่าที่ผมมีอยู่"


ถ้าสนใจความทรงจำในหัวใจรักของจอห์น มองหาตามร้านหนังสือนะคะ
จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน และเรื่องนี้เป็นผลงานการแปลของ

คุณ จิระนันท์ พิตรปรีชา

เธอแปลหนังสือของนิโคลัส สปาร์ก และเป็นนิยายขายดี จนต้องพิมพ์
ซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า (คำนำสำนักพิมพ์เขาบอกไว้เช่นนั้น)

แปลได้สละสลวย ให้ความรู้สึกละเมียดละไม

เพราะเคยอ่านนิยายแปลที่น่าจะสนุก แต่หมดสนุกเพราะภาษา
วัยสะรุ่นกะเปิ๊บกะป๊าบมาบ้าง ( อ่านแล้วทำใจให้สนุกลำบาก )

จึงกล้ายืนยันได้ว่า สำนวนแปลของคุณจิรนันท์ น่าชื่นชม

เป็นหนังสือซึ้งๆ เรื่องหนึ่ง ที่ไม่ได้เศร้าสุดโต่งอย่างที่คิดไว้แต่แรก
ไม่มีน้ำตาไหลให้จอห์นและซาวันนาห์ แต่มีน้ำตาซึมให้ความสัมพันธ์
ของจอห์นและพ่อ ...เพราะเสียดาย เวลาทั้งชีวิตของจอห์นที่เสียไป
โดยไม่ได้เข้าใจความจริงสักนิดเลยว่า ความรักของพ่อนั้นเป็นอย่างไร

คนหนึ่งคนที่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อจะมีชีวิตเพื่อใครสักคน

จะเป็นใครที่ไหนได้ หากไม่ใช่คนเป็นพ่อเป็นแม่
และพ่อของจอห์นในเรื่องนี้ก็พยายามเป็นคนหนึ่งคนที่ว่านั้น
ด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี ด้วยความสามารถทั้งหมดที่ทำได้

เวลาของจอห์นที่ถูกใช้ไปกับความโดดเดี่ยว ทั้งที่มีกันและกันอยู่
พฤติกรรมแย่ๆ ที่ไม่น่ารักเลยสักนิด บางอย่างอาจจะเล็กน้อย
แต่สะเทือนหัวใจอย่างยิ่ง



นิยายเรื่องนี้ถูกนำมาดัดแปลงสร้างเป็นหนัง แต่ว่ายังไม่ได้หามาดู
ใครดูแล้วมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 22:18:59 น.
Counter : 4427 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.