Group Blog
 
All blogs
 
Tokyo Tower แม่กับผม และพ่อในบางครั้งคราว



แค่เพียงมีเธอ
อยู่ที่ตรงนั้น
บรรยากาศที่นั่น
ดูสว่างไสว
แค่เพียงมีเธอ
อยู่ที่ตรงนั้น
จิตใจทุกคน
เบิกบานแจ่มใจ
ฉันเองก็ตั้งใจ
อยากเป็นให้ได้
เช่นเธอ


เยี่ยมไปเลยนะ หนังสือเล่มนี้น่ะ อ่านแล้วอยากเป็นคนที่ดีกว่านี้

Tokyo Tower Mom and Me, and somtimes Dad

โตเกียวทาวเวอร์ แม่กับผม และพ่อในบางครั้งคราว

"คนสำคัญที่สุดสำหรับผม
ครอบครัวเพียงคนเดียวของผม
คนที่มีชีวิตอยู่เพื่อผม แม่ของผม"


"BEST SELLER"
ได้รับการพิมพ์ซ้ำยอดขายถล่มทลายไปแล้วทั่วโลก
เรื่องราวความรักอันซาบซึ้งระหว่างแม่กับลูก ที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง
สร้างเป็นละครทีวีและภาพยนตร์ซึ่งกวาดรางวัลมากมาย

ผู้เขียน : ลิลี่ แฟรงกี้ (ชื่อจริง นาคางาวะ มาซายะ)
ผู้แปล : ทิพย์วรรณ ยามาโมโตะ
แพรวสำนักพิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ ๗



วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นวันหยุดที่ดีมากทีเดียว เพราะได้ทำสิ่งที่ควรทำได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่น ซึ่งรวมถึงการได้อ่านหนังสือดีๆ สักหนึ่งเล่ม

'สิ่งที่ควรทำ' ไม่ได้หมายถึง 'สิ่งที่อยากทำ' เสมอไปนะคะ

บางครั้งอาจเป็นสิ่งเดียวกัน แต่บ่อยครั้งมันก็เป็นสิ่งตรงกันข้าม และกรณีหลังนี่แหละที่มักจะต้องต่อสู้กับตัวเองในทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ต้องสู้กับการไม่อยากตื่นเช้าเพื่อมาเก็บกวาดทำความสะอาด สู้กับการไม่อยากไปเรียนภาษาอังกฤษที่เกลียดแสนเกลียด แต่สภาวะในที่ทำงานก็บีบคั้นให้ต้องพัฒนาตัวเอง เว้นแต่จะมีความสุขดีอยู่กับทักษะความรู้ที่มีเท่าหางอึ่ง ซึ่งพยายามหลอกตัวเองอยู่ตลอดว่ามันเพียงพอ แต่ก็รู้ตัวดีว่ามันยังไม่พอเพียง มันช่างเป็นสองปีที่ทรมาน กับการต้องกัดฟันสละเวลาครึ่งวันเสาร์อาทิตย์ไปกับการเรียนภาษา ถามว่าดีขึ้นบ้างไหม ก็นะ ... ก็ดีขึ้นนะ แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป ถ้าในระหว่างสองปีนี้ไม่เหลวไหลไปซะมากก็คงจะดีขึ้นกว่านี้ได้อีกเยอะ อิสระของการจัดตารางเรียนเองนี่มันช่างทำลายล้างพลังแห่งการบังคับตัวเองในทุกวันหยุดที่ลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วมีเสียงดังขรมขึ้นในหูว่า ไม่ไปเรียนสักวันดีไหม ไม่ไป ไม่ไป ไม่ไป แต่อีกเสียงเล็กๆ เบาๆ ก็แทรกขึ้นมาว่า ถ้ามัวเกียจคร้านก็เรียนไม่คุ้มราคานะ เป็นการต่อสู้ของมารขาวมารดำในจิตใจ ที่บ่อยครั้งข้ออ้างมากมายมักทำให้มารขาวพ่ายแพ้

ทำไมเรื่องดีๆ ที่ควรทำ มันถึงไม่สนุกให้อยากทำนะ เดี๋ยวนี้การออกกำลังกายก็ขาดหาย การนั่งสมาธิก็หายขาด แค่การสวดมนต์ก่อนนอนยังรู้สึกว่าพลังแห่งความตั้งใจนั้นอ่อนล้าเต็มที การอ่านหนังสือดีๆ ก็เช่นกัน เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ห่างหายมานานมาก แต่พอได้อ่านหนังสือดีเข้าไปเล่มนึง (The Brothers Karamazov ) แรงบันดาลใจในการอยากอ่านหนังสือดีก็เหมือนเป็นไฟที่ปลุกวิญญาณหนอนหนังสือให้ประทุขึ้นอย่างคุโชน

มันเป็น 'กฏของเย็นวันศุกร์' ที่เลิกงานแล้วควรตรงดิ่งกลับบ้าน เพราะถ้าเมื่อไหร่เดินเข้าห้าง กระเป๋าสตางค์จะไม่ปลอดภัย เพราะมันจะถูกดูดเอาเงินออกไปอย่างยากจะยับยั้งใจมากกว่าช่วงเวลาปกติอื่น เพราะเย็นวันศุกร์เป็นวันที่แบกสุมความเครียดความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดทั้งสัปดาห์ และ"การซื้อ" ก็คงเป็นวิธีระบายออกที่ก็พอจะรู้สึกตัว (มันเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งที่วินิจฉัยได้เอง) แต่ 'สติ' มันไม่มีแรงจะเอาชนะ วันรุ่งขึ้นเมื่อนั่งมองกองหนังสือที่ซื้อหามาตรงบ้าจึงเพิ่งตระหนักว่า "ฉันคงบ้าไปแล้ว" แล้วนี่จะอ่านมันได้หมดเมื่อไรกันล่ะเนี่ย เป็นอันว่าสิ้นเดือนนี้ถ้าไม่ฉีกหนังสือกินแทนข้าวเพราะเงินหมดก็นับว่าโชคดีแล้ว

แต่ทั้งหมดที่กองอยู่นั้น Tokyo Tower ได้รับคัดเลือกให้หยิบมาอ่านเป็นเล่มแรก (อารัมภบทมาซะยาว เพื่อประโยคนี้แหละ) นั่นอาจเป็นเพราะแรงส่งจากพลังของบทเพลง Tower of Love (Tsubomi) เพลงนี้เป็นประกอบซีรีย์ Tokyo Tower ขับร้องโดย Kobukuro ที่ยังคงฟังอยู่ทุกคืนวันและช่วยทำให้ความรู้สึกดีๆ ต่อเรื่องโตเกียวทาวเวอร์ยังไม่จืดจางไปเท่าไรนัก

ส่วนของเรื่องย่อไม่ขอลงซ้ำ เพราะเคยลงไว้แล้วในบล็อกซีรีย์ Tokyo Tower แม่ครับ ผมรักแม่



ไม่เห็นมีใครเคยบอกเลยว่า เรื่องนี้มีอารมณ์ขันอย่างน่ารัก ขณะนั่งหนังสือช่วงเริ่มแรกด้วยอารมณ์เย็นๆ จากการโซ้ยน้ำแข็งไสราดน้ำกระทิอยู่ในศูนย์อาหารในห้าง พวกคุณลุง และเด็กวัยรุ่นที่นั่งทำรายงานอยู่โต๊ะข้างๆ คงแอบคิดอยู่บ้างว่า ยัยคนนี้ท่าจะบ้าเพราะนั่งอ่านหนังสือยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียว

โตเกียวทาวเวอร์เป็นเรื่องจาก 'ลูกชาย' เล่าถึงแม่ พ่อ ผู้คน และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ผ่านมุมมองของแต่ละช่วงวัยได้อย่างรื่นไหลเป็นธรรมชาติ ช่วงวัยเด็กที่หัวใจบริสุทธิ์ รู้สึกนึกคิดอย่างซื่อตรง และความสดใสของวัยเด็กนั้นทำให้ทุกอย่างรอบตัวเป็นเรื่องให้เรียนรู้ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทุกข์ร้อน ช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อก็เริ่มหมกมุ่นอยู่กับความพึงพอใจของตนเองเป็นใหญ่ เป็นวัยต่อต้านที่แม้รู้สำนึกผิดชอบชั่วดี แต่ก็ยังมีเหตุผลต่างๆ นานาที่จะกระทำตัวเสเพล เหลวไหล และสุดท้ายก็ไหลเข้าสู่โหมดเหลวแหลก แต่จะเร็วหรือช้า หรือ ช้ามากกก ลูกชายก็ต้องโตเป็นผู้ใหญ่เข้าสักวัน มีเหตุมีผล มีความรับผิดชอบ นึกถึงตัวเองให้น้อยลง นึกถึงคนสำคัญของตนให้มากขึ้น อาจไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ดีมากนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาตัวเองและเป็นที่พึ่งให้คนสำคัญที่สุดในชีวิตได้

ด้วยสำนวนบอกเล่าที่นุ่มนวล เรียบง่าย อ่านแล้วรู้สึกสบายใจ การเปรียบเปรยแต่ละความรู้สึกนึกคิดเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ เข้าใจง่าย แต่ว่าในความง่ายนั้นก็แทงใจเหลือหลาย ส่งผลให้มีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อหาอย่างมาก และทำให้ต้องรีบร้อนกลับบ้านเพื่อมาเปิดแอร์เย็นๆ ล้มตัวลงหนุนหมอน ห่มผ้านอน แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือให้ใจเย็นฉ่ำ (ประชดอากาศร้อนแทบไหม้ด้านนอกที่มีเพียงกระจกกั้น) อ่านไป อินไป ซึ้งไป และร้องไห้

"มาอยู่ที่โตเกียวด้วยกันมั้ย"

ไม่ว่าจะฉบับซีรีย์ หรือในฉบับหนังสือนี่คือประโยคมาสเตอร์พีซของหนังสือเล่มนี้ (และซีรีย์ด้วย) เช่นเดียวกันกับถ้อยคำของแม่หลังจากได้ผ่านเวลาใคร่ครวญ ตัดสินใจ และถามย้ำอย่างนุ่มนวลอีกครั้ง การอยู่ด้วยกันนั้นจะหมายถึง 'ตลอดไป' ได้หรือเปล่า เมื่อมาคุงให้คำตอบ แม่จึงบอกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

"ถ้าอย่างนั้นก็ ....ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"

คือความรักความผูกพันของแม่กับลูกชายที่มีกันและกันอยู่เพียงสองคน เพราะพ่อนั้นก็อย่างชื่อเรื่องบ่งบอก มีพ่อแค่ "ในบางครั้งคราว" ความเหินห่างอยู่กันคนละทิศละทางเป็นเรื่องปกติ พอจะใกล้ชิดกันทีไรในบางครั้งคราวนั่นแหละคือความไม่ปกติ และจะมีระยะห่างเว้นเอาไว้นิดหนึ่งอยู่เสมอ แบบว่าใกล้นะแต่ไม่ประชิด แต่ถึงเป็นอย่างนั้นสายใยของความเป็นครอบครัวแบบแยกกันอยู่ที่คล้ายจะเบาบาง ก็ไม่เคยเปราะบางถึงขั้นขาดสะบั้น

ในทัศนคติส่วนตน ระหว่างหนังสือ กับซีรีย์ มันมีความแตกต่างที่ไม่สามารถจะนำมาหักล้างกันได้ว่าอย่างไหนดีกว่า เพราะความรู้สึกที่ได้จากการอ่านและการดูย่อมไม่เหมือนกัน เมื่อเราอ่านหนังสือเราจะสัมผัสกับความรู้สึกนึกคิดของมาคุงตลอดเวลา เรียกว่านับจากอักษรตัวแรกถึงตัวสุดท้ายก็ว่าได้ เพราะนี่คือเรื่องเล่าจากหัวใจของมาคุง และบ่อยครั้งทำให้เผลอคิดไปว่านี่คือการถ่ายทอดชีวิตจริงของตัวผู้เขียนลิลลี่ แฟรงกี้เองหรือเปล่า พอกลับไปอ่านบล็อกซีรีย์ของตัวเองกับข้อมูลที่เคยมี อ้อ .. อาจจะใช่ เพราะเรื่องนี้เขาเขียนถึงความทรงจำที่มีให้แก่แม่ที่เสียชีวิตไป เขียนถึงแม่ เขียนจากหัวใจ แล้วมันก็จับหัวใจเช่นนี้เอง

ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของการอ่านหนังสือที่ดีๆ คือ แม้ไม่มีภาพให้เห็นผ่านสายตา แต่บางครั้งหนังสือก็ยังสามารถให้ภาพที่ชัดเจนกว่าผ่านทางความรู้สึก ส่วนซีรีย์เพราะไม่อาจถ่ายทอดรายละเอียดทุกคำจากหนังสือได้ นั่นจึงเป็นการเสนอด้วยภาพของบทบาท สื่อสารเรื่องราวความรู้สึกผ่านฝีมือการเขียนบทละคร การกำกับ และการแสดงร่วมกันของตัวละคร แต่ต่อให้ทำดีที่สุดแค่ไหน ทำให้ตายก็ไม่สามารถจะถ่ายทอดอารมณ์ทั้งหมดของหนังสือออกมาได้ มาคุงมีความคิดเห็นต่อคำว่า"บ้าน" "ครอบครัว" ผู้คนรอบข้างและสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างไร เขาคิดอะไรอยู่บ้างเมื่อได้เจอพ่อในแต่ละครั้ง คิดและรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง กับแม่ ความลังเล ไม่มั่นใจ ความอึดอัด ความกังวล ความกลัว ความสำนึกในพระคุณ ความห่วงหาอาทรและอื่นๆ ทุกความรู้สึกที่อยู่ในใจเขา ตราบใดที่ไม่ได้เอาออกมาใส่ในบทพูดหรือบทบรรยาย ลำพังสีหน้าแววตาหรือกระทั่งน้ำตาทางการแสดงมันเป็นไปได้ยากที่จะรู้ความในใจได้ทั้งหมด และนี่แหละคือจุดแข็งของการบอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือ



ความพิเศษหนึ่งที่ต่างไปจากการอ่านหนังสือยามปกติคือ ภาพตัวละครที่ "ชัดเจนอย่างมาก" จากที่รู้อยู่แล้วว่า โจ โอดากิริ รับบท มาคุง ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ ที่แม้จะยังไม่เคยดูมาจนถึงป่านนี้ แต่โจก็เข้ามาอยู่เป็นมาคุงในจินตนาการแบบไร้คู่แข่งแคสติ้ง ความคุ้นเคยต่อการแสดงของโจในหลากหลายอารมณ์จากหนังหรือซีรีย์ ทำให้ในโลกของจินตนาการสามารถมองเห็นภาพแต่ละอากัปกริยาและแม้กระทั่งได้ยินน้ำเสียงของโจ ที่สวมรอยเป็นมาคุงในหนังสือได้อย่างแนบเนียน (แต่แน่นอนว่าต้องอยู่ในวัยหนุ่มและทรงผมที่ดูดีกว่านี้หน่อย) เช่นกันกับแม่เอโกะ ที่ได้ภาพของ Baisho Mitsuko มาอย่างชัด แต่น่าแปลกภาพว่าภาพคาแรคเตอร์ของเธอที่นึกภาพออกไม่ใช่บทแม่ใน Tokyo Tower แต่ดันเป็นโอบะซัง แม่บุญธรรมของเด็กหญิงรูริใน Ruri's island ต่างหาก นั่นอาจเป็นเพราะว่าเพิ่งดูซีรีย์เรื่องนี้ไปไม่นาน และโอบะซังก็มีคาแรคเตอร์บางอย่างที่คล้ายแม่ในจินตนาการเรื่องนี้ ซึ่งหากนำสองคนมาแสดงร่วมกันจริงๆ ในละคร เชื่อว่าเคมีแม่ลูกคงดูไม่เข้ากันสักเท่าไหร่ แต่เพราะนี่คือในจินตนาการ จะจิ้นอย่างไรก็ได้ ตัดปัญหาเรื่องเคมีไป

ส่วนตัวมาคุง ถ้าถามว่าทำไมถึงเห็นเป็น โจ โอดากิริ ทั้งที่ไม่เคยดูเวอร์ชั่นหนังเลยสักครั้ง ทำไมไม่เป็น Hayami Mokomichi ที่เคยดูเขาเล่นเป็นมาคุงมาแล้วจากเวอร์ชั่นซีรีย์ ๑๑ ตอน ถ้าตัดคำตอบที่ว่า "ชอบโจ" ออกไป ที่เหลือก็ยังเป็นคำตอบที่ง่ายมากอยู่ดี เพราะรายละเอียดของการเป็นหนังสือ ทำให้รู้สึกว่ามาคุงในหนังสืออ่อนโยนและหล่อกว่ามาคุงในซีรีย์ที่หน้าตาดำคล้ำเป็นอันมาก (55 จะเกี่ยวกันมั้ยละเนี่ย)

การเขียนบล็อก โดยปกติมักจะชอบคัดลอกคำคม ประโยคถ้อยคำดีๆ หรือแม้แต่เนื้อหาบางส่วนมาประกอบซะเยอะ แม้จะคำนึงถึงเรื่องผิดบาปของการเผยแพร่ส่วนถ้อยคำที่เป็นลิขสิทธิ์อยู่ทุกครั้ง แต่ทุกครั้งที่ว่านั่นก็เป็นเรื่องยากจะหักห้ามใจ แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใจอยากตัดทอนส่วนใดมาประกอบสักเท่าไรนัก เพราะไม่ว่าจะอ่านอยู่หน้าใดก็มีแต่เนื้อความดีๆ

เล่า เล่า เล่า อย่างจริงจัง และบ่อยครั้งที่ตลบหลังด้วยความไม่จริงจังอย่างเหลือเชื่อ นั่นแหละอารมณ์ขันแบบเบาๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าผู้อ่านท่านอื่นรู้สึกขำกันบ้างหรือเปล่า แต่คนเส้นตื้นอย่างเราคิดว่าเขาเขียนได้ขำดี ทำให้หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา แม้ความขำที่ว่านี้จะเริ่มลดน้อยถอยลงเมื่อมาคุงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และต้องพบกับความรับผิดชอบของชีวิต

มาคุงเล่าถึงการดูแลแม่หลังผ่าตัดมะเร็งที่เส้นเสียง

...หน้าที่หลักของผมก็คือ ใช้ที่คีบหรือคอตต้อนบัดทำความสะอาดบริเวณที่เป็นหนองและมีเลือดซึม

"แม่ เอาออกมั้ย"

พอผมเรียก แม่ก็จะนอนหงายพลางเป่าลมออกมาทางลำคอดังฟิ้วๆ ถ้าไม่คอยเอาออก แม่จะหายใจติดขัด ตอนแรกผมรู้สึกขยะแขยงอยู่เหมือนกัน แต่พอเริ่มชินผมก็ชักรู้สึกว่าตอนที่หนองมีน้อยไม่ค่อยสะใจเลย


นี่แหละคือตัวอย่างหนึ่งของการ 'ตลบหลัง' ที่มักทำให้ยิ้มได้ หรือ แม้กระทั่งในงานศพของแม่ที่โศกเศร้า สำนวนการบอกเล่าที่ว่านี้ก็ทำให้ทั้งร้องไห้และยิ้มออก หากไม่ใช่บทพูดแล้ว การบรรยายฉากสถานที่ ผู้คน และความรู้สึกนึกคิดที่แม้ว่ามันจะเป็นภาษาเรียบง่ายแต่มันก็สวยงาม ที่สำคัญกว่านั้นคือมันชวนคิด และบางอย่างก็ไม่ต้องคิด เพราะมันใช่เลย

แล้วจะคัดเอาส่วนไหนมาได้ละ เมื่อมันก็เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง ประโยคไหน ถ้อยคำใด การเปรียบเปรยส่วนใด 'เจ๋งสุดๆ ' 'โดนที่สุด' เลือกไม่ได้ ไปหามาอ่านเอาทั้งเล่มเถอะ หนังสือดีๆ อย่างนี้เมื่อมีไว้ประดับตู้หนังสือแล้วโพดจะภูมิใจว่านี่แหละหนังสือที่ฉันอ่าน ไม่เหมือนนิยายโรมานซ์ที่อ่านแล้วต้องจัดเก็บอย่างหลบๆ ซ่อนๆ คิดจะเทขายเข้าร้านหนังสือมือสองก็หลายครั้ง แต่ที่ยังยับยั้งชั่งใจไว้เพราะมักรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นคนที่รักหนังสือ ไม่ใช่ว่าแบ่งชนชั้นกระทั่งกับหนังสือหรอกนะคะ เพราะหนังสือน่ะก็แนวใครแนวมัน นิยายโรมานซ์ก็มีนักเขียนลือชื่อในสายโรมานซ์ของเขา ที่ชอบอ่านก็เพราะเนื้อเรื่องมักสนุกดีจริงๆ แต่ที่รู้สึกเขินไม่ชอบให้ใครเห็นว่ามีถือไว้ในมือหรือมีเก็บไว้ในที่เด่นชัด เพราะในนิยายโรมานซ์มันมีบท"เลิฟซีน" (อารมณ์คงคล้ายไม่อยากให้ใครจับได้ว่าแอบดูหนังโป๊ 55 )



นอกเหนือจากเรื่องความรักความผูกพันของสองแม่ลูกที่ไม่เคยเอ่ยคำใดตรงๆ จากปากว่ารักกัน อีกสิ่งหนึ่งที่ร่วมสร้างความตราตรึงใจคือมุมมองที่มีต่อโตเกียว เมืองใหญ่ที่เป็นเหมือนภาพฝันถึงอะไรบางอย่างที่ดึงดูดผู้คนให้ละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนแล้วหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วสารทิศ มาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง หวังที่จะเติมเต็มชีวิตอันขาดพร่องให้สมบูรณ์

เมื่อมาคุงได้ยืนมองมหานครโตเกียวลงมาจากโตเกียวทาวเวอร์ สิ่งที่เขาเห็น คือทุกส่วนของโตเกียวเป็นเหมือนสุสานขนาดใหญ่ มันคือสุสานขนาดมหึมาที่แผ่ขยายไปจนสุดลูกหูลูกตา บางทีที่เมืองแห่งนี้อาจเป็นสุสานของความฝัน ความหวัง ความคับแค้นใจ และความเศร้าโศกเสียใจของผู้คนที่ฝากทิ้งไว้ที่เมืองแห่งนี้

ในฐานะเป็นคนต่างจังหวัดคนหนึ่งที่เขามาทำงานในเมืองใหญ่ มีความฝันเป็นสิ่งที่อยากทำแต่ยังทำไม่ได้ มีความจริงเป็นสิ่งที่ควรทำและต้องทำด้วยการต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออะไรหลายอย่าง แล้วชีวิตจริงก็ทะยานหากจากฝันไปเรื่อยๆ พออ่านมาถึงตรงนี้ .. มันรู้สึกปวดใจนะ

ความรักของพ่อแม่เป็นรักยิ่งใหญ่สำหรับลูกทุกคน แต่ก็ไม่แน่เสมอไป สำหรับลูกบางคนมีพ่อแม่ 'บางประเภท' พ่อของมาคุงเป็นตัวอย่างของบางประเภทที่ว่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้มีชีวิตมาจากใครมา ใครคนนั้นก็เป็นพ่อและแม่ตลอดไป ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น หากบางครั้งใครบางคนอาจรู้สึกว่ามันยากเย็นที่จะรัก หากสิ่งที่คุณเคยได้รับไม่ใช่ความรักแต่เป็นความเจ็บปวด ไม่ใช่ความอบอุ่นแต่เป็นความหนาวเย็นที่โดดเดี่ยว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากบอกว่า จงรักพวกเขาเถิด รักเพื่อตอบแทนในชีวิตที่ได้รับมา ถ้าลองมองหาอย่างจริงใจก็จะพบว่าอย่างน้อยการมีชีวิตนี้ย่อมต้องมีเรื่องดีๆ อยู่บ้างแน่ๆ และนั่นแหละคือพระคุณที่ต้องรักและแทนคุณพ่อแม่ก่อนที่จะสายเกินไป แล้วต้องมานึกเสียใจที่หลังว่าเราน่าจะเป็นลูกที่ดีกว่านี้

แม่คือผู้ที่ไม่ต้องการสิ่งใด
แม่ไม่หวังให้ลูกเป็นใหญ่เป็นโต
ไม่หวังให้ลูกร่ำรวยเป็นเศรษฐี
แต่หวังจากใจจริงว่า
ขอให้ลูกสุขภาพดีทุกๆ วัน
แม่ไม่หวังสิ่งตอบแทน
ขอแค่คำพูดอันอ่อนโยนเพียงคำหนึ่ง
เท่านั้นแม่ก็สุขเกินพอ
ผู้เป็นแม่
คือผู้ที่ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น
ดังนั้นสิ่งที่ไม่สมควรทำที่สุดก็คือ
การทำให้แม่ร้องไห้

......

แม่ ที่ผ่านมาผมขอโทษนะ
และก็ขอบคุณ ผมภูมิใจที่ได้เติบโตมาในอ้อมกอดของแม่นะ


.....

จาก Tokyo Tower แม่กับผม และพ่อในบางครั้งคราว

หนังสือมีค่าที่ควรมีเก็บรักษาไว้อ่านซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง







Create Date : 22 เมษายน 2556
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 22:23:41 น. 9 comments
Counter : 4604 Pageviews.

 
Tokyo Tower ชอบมากเลยค่ะ
ดีมากๆ ไม่รู้เลยว่ามีเป็นหนังสือแล้ว
ต้องไปหามาเก็บไว้ซะแล้ว ^^

คุณprysang ชอบเวอร์ชั่นหนังใหญ่หรือซีรีย์คะ

นุ่นดูทั้งสองแบบชอบของตัวลูกเวอร์ชั่นท่านชุน แต่ชอบแม่เวอร์ชั่นซีรีย์ อิอิ




โดย: lovereason วันที่: 22 เมษายน 2556 เวลา:22:54:39 น.  

 
ดูซีรีย์แล้วค่ะ แต่หนังยังไม่เคยดูเลย แต่ก็มีแผ่นเก็บไว้แล้วล่ะค่ะ

ตัวละคร ทั้งแม่ลูกชอบแบบในหนังสือค่ะ อิอิ แต่ว่าหน้าตาลูก คือ โจ ส่วนหน้าตาแม่คือแม่ในเวอร์ชั่นซีรีย์ค่ะ รวมทั้งพ่อด้วย คงเพราะเราเคยดูซีรีย์มาอย่างเดียว ไม่เคยดูหนัง เลยแงะภาพสองคนนี้ไม่ออกน่ะค่ะ แล้วตอนแม่เล่นเป็นแม่บุญธรรมใน Ruri's island คาแรคเตอร์ก็มีส่วนคล้ายคลึงเลยติดภาพ

หนังสือแพรวสำนักพิมพ์พิมพ์ครั้งที่ 7 ค่ะ ปกหนังสือถูกเปลี่ยนใหม่ตามที่เห็นภาพแรก แต่ก็ดีแล้ว เพราะชอบปกใหม่นี้มากกว่า ^^



โดย: prysang วันที่: 22 เมษายน 2556 เวลา:23:46:44 น.  

 
ซีรีส์ญี่ปุ่นนี่ชอบทำเราซึ้งตลอดเลย ><


โดย: แฟนlinKinPark วันที่: 22 เมษายน 2556 เวลา:23:57:33 น.  

 
แวะมาอ่านหนังสือค่ะ เราเคยดูที่เป็นหนังแล้วก็ดีค่ะ เห็นหนังสือที่ร้านหนังสือซักพักแล้ว แต่ไม่เคยเปิดดูแล้ว( คิดว่าเคยดูแล้วเลยไม่ได้สนใจน่ะค่ะ ) แต่พอได้อ่านบล็อกของคุณ สงสัยต้องเปลี่ยนใจไปซื้อมาอ่านบ้างแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่แนะนำหนังสือ(ดีๆ)


โดย: juandmee วันที่: 23 เมษายน 2556 เวลา:0:53:48 น.  

 
เคยดูภาพยนตร์ค่ะ ซึ้งมาก ๆ เลย


โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 23 เมษายน 2556 เวลา:1:07:27 น.  

 
เคยดูฉบับภาพยนตร์แล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้อ่านฉบับนิยายเลยค่ะ


โดย: serverlus IP: 27.55.157.71 วันที่: 23 เมษายน 2556 เวลา:14:03:48 น.  

 
สั้นๆ ง่ายๆ ร้องไห้ทั้งหนังสือ ภาพยนต์ และซีรี่ย์ เลยครับ ฮือๆๆๆ


โดย: i.am.Victor วันที่: 23 เมษายน 2556 เวลา:16:09:57 น.  

 
ต้องไปหาหนังสือมาครอบครองโดยด่วนเลยค่ะ เพราะโนบุรักหนังเรื่องนี้มากๆ^^
ขอบคุณมากนะคะที่รีวิว หนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
ปล.โนบุเพิ่งถอยหนังสือเรื่อง
เกะ เกะ เกะ หลังบ้านนี้มีความรัก
(Ge Ge Ge no Nyobo)
เกี่ยวกับชีวิตนักเขียนชื่อดังที่ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีย์ที่ มีโอซามุ มุไค
เล่นเป็นตัวเอกด้วยค่ะ(คาดว่าคุณ prysang คงทราบข่าวแล้ว)
เดี๋ยวจะไปดูเล่ม Tokyo Tower นี้มาด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะ


โดย: nobuta wo produce วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:20:07:52 น.  

 
ดูทั้งหนัง ซีรีย์
แต่จะขาดก็ต้นฉบับหนังสือนี้แหละครับ

แต่คิดว่าคงพอแล้ว เพราะสองอย่างที่ว่า
ก็สร้างความประทับใจแตกต่างกัน


โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 7 พฤษภาคม 2556 เวลา:22:22:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.