ข้อสงสัยในหญิงคนชั่ว คำถามที่ข้าพเจ้าติดหนี้ค้างอยู่หลายปี คือคำถามจากอาจารย์ที่ปรึกษาของ คำ ผกา ที่ชื่อว่าอาจารย์โยชิฟุมิ ทามาดะ แห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต สมัยที่คำ ผกา ยังมีหนังสือตีพิมพ์เพียง 7-8 เล่ม อาจารย์ถามข้าพเจ้าว่า อาจารย์เวียงรัฐครับ ทำไมลักขณาจึงได้รับความนิยมในสังคมไทย ข้าพเจ้าได้ตอบไป ง่ายๆ ว่า คงเพราะลักขณาเธอชอบด่าและสบประมาทพวกคอนเซอร์เวทีฟมั้ง จึงสร้างความสะใจให้คนที่ไม่ใช่คอนเซอร์เวทีฟซึ่งมีอยู่ไม่น้อยในสังคมไทย แม้จะตอบไปเช่นนั้น แต่ก็ติดค้างมาตลอดว่าไม่น่าจะใช่คำตอบที่รอบด้านนัก หลายปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าจึงอ่านและฟังคำ ผกา ชนิดที่มีคำถามนี้ตามมาด้วยตลอด ช่างน่าสงสัยนักว่าหล่อนมีอะไรดี (พูดให้ถูกคือหล่อนมีอะไรเลว) จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจคนในสังคมไทยส่วนหนึ่งนักหนา และยิ่งนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นเมื่อถึงวาระที่สำนักพิมพ์อ่านได้รวมบทความของคำ ผกา ที่เคยตีพิมพ์ใน มติชนสุดสัปดาห์ ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นมา เป็น ก็ไพร่นี่คะ เล่ม 3 นี้ ข้าพเจ้าประสงค์จะตอบคำถามที่ค้างไว้หลายปีนั้นให้ได้มากขึ้น แม้จะไม่แน่ใจนักว่าจะตอบได้ดีขึ้นหรือไม่ก็ตาม
ว่าด้วยนักชาตินิยม...
จากความเป็นอื่น ในชาตินิยมทางวัฒนธรรมแบบไทยๆ ...
นับแต่นี้ไปไม่เหมือนเดิม...
ดวงตาเห็นสลิ่ม ศรัตรูของชาติหมายเลขหนึ่ง...
You Know me a Little Go (มึงรู้จักกูน้อยไป) นักชาตินิยม โมเดิร์นนิสต์ ไม่สุดโต่ง..
และ .. มันเป็นเช่นนี้ จึงเป็นที่นิยม กลับมาสู่คำถามที่ว่า ทำไมคำ ผกาจึงได้รับความนิยม อันเนื่องเพราะเธอเป็นหญิงคนชั่ว เธอจึงไม่เหมือนใคร "ความเป็นอื่น" ที่ทำให้เธอยืนอยู่นอกชาตินิยมทางวัฒนธรรมแบบไทยๆ นี้เอง มุมมองของเธอจึงเสมือนคนนอก ที่ไม่ปล่อยให้อะไรๆ ผ่านไปแบบเคยชิน (Take it for granted) แต่ทำความเข้าใจ วิพากษ์วิจารณ์ และชี้ให้เห็นแก่นแท้ของปมปัญหาได้อย่างแหลมคม ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังมีความเป็น "คนใน" มากพอที่สามารถประชดประชัด เสียดสี เย้ยหยัน ราวกับคนในครอบครัวด่ากัน มันจึงเจ็บปวดชนิดบาดร้าว และกัดเซาะจิตใจแบบส่งผลสะเทือนเป็นคลืนระลอกแล้วระลอกเล่า แม้ว่าชาตินิยมแบบไทยๆ จะมีกะลาหนาหลายชั้นครอบอยู่ให้แข็งแรงมั่นคงเพียงใด แต่ "คลื่นคำ ผกา" อาจกัดเซาะให้กะลาบางชั้นผุกร่อนไปบ้าง และคนแบบคำ ผกา ก็คือหนึ่งในบรรดาผู้ที่ทำให้แหวกกะลาออกมายืนภายนอกได้จำนวนไม่น้อย นี่เป็นเพียงบทบาทของเธอก่อนที่จะได้พบ .....
เมื่อสวมอุดมการณ์นักชาตินิยมทางการเมืองเช่นนี้ คำ ผกา จึงยึดประชาธิปไตยเป็นสรณะ และมีข้อเสนอข้อเรียกร้องต่างๆ ที่สอดคล้องกันกับสังคมประชาธิปไตย คือเคารพปัจเจกบุคคล เน้นความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน ยึดกฏหมายเป็นหลักในการปกครองและในระหว่างการสร้างชาติที่เป็นประชาธิปไตยนั้น เธอก็มีข้อเสนอหลายประการซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อเสนอให้พัฒนาแบบสมัยใหม่ (modernization) ทั้งสิ้น เช่น การศึกษา การปฎิรูปภาษา การสร้างโครงสร้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยุคสมัยใหม่ ความนิยมของเธอจึงขยายวงไปสู่มวลชนจำนวนมากที่มีความต้องการเรื่องพื้นๆ อันเป็นมาตรฐานสากลเช่นกัน โดยมีเธอสู้ด้วยปากและปากการแทนพวกเขาเช่นนี้นี่เอง หาได้มาจากความแปลกประหลาดหลุดโลกแต่อย่างใดไม่ แม้ว่าตัวตนของเธอจะเจือปนด้วยความประหลาดหลุดโลก และความล้นเกินอะไรๆ อยู่บ้างก็ตามที
...........
จากบางส่วนของคำนำข้างต้น คงพอจะช่วยให้คุณเห็นเค้าลางว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาอย่างไร อ่านแล้วทำให้ความคิดดีดดิ้นไปมา อืม เห็นด้วย (สะใจดีนะ) ใช่ๆ ..เอ่อม โคตรใช่เลย หรือ ไม่นะ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย ไม่อ่ะ ไม่ใช่ละ...เรื่องนี้ก็ว่าซะเกินไป๊ อคติรึเปล่า ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ ...
ลองอ่านอย่างเปิดใจ แล้วก็อย่าให้เกิดความชังในความคิดต่าง (หักห้ามใจไว้ )
เริ่มแรก เราคิดว่าหนังสือเล่มนี้ คือหนังสือของแดงคนหนึ่ง ที่จะทำช่วยให้เข้าใจว่าแดงคิดอะไรของแดงอยู่กันนะ แต่หลังจากอ่านไปสักพักเราก็พบว่า นี่ไม่ใช่เรื่องของสี แต่เป็นเรื่องของประชาธิปไตยที่ถูกถามหา นี่คือหนังสือที่เขียนโดยนักประชาธิปไตยคนหนึ่ง ซึ่งทุกสีอ่านได้หรือแม้แต่คนที่ไม่รู้จะสีอะไร เช่น อยากเลือกตั้ง แต่ไม่อยากได้คนโกง อยากปฏิรูปแต่ไม่อยากม็อบกดดัน ไม่รักทักษิน ไม่เลิฟลุงกำนัน สุดท้ายไม่รู้จะเอาอะไรเลยต้องทนถูกตราหน้าว่าเป็น "ไทยเฉย" ..ก็..อ่านได้เหมือนกัน อ่านเพื่อเปิดมุมมองของเรา .. บางอย่างอาจทำให้เราเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และบางอย่างก็ช่วยทำให้เราเข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้น (และสำหรับบางคน มีแนวโน้มที่อาจจะทำให้เกลียดแดงยิ่งกว่าเดิม 555)
แม้ว่าอ่านแล้วจะทำให้เครียด .. เพราะเหล่านี้คือ "ความจริง" เกี่ยวกับไทย ที่เราก็อาจรู้ดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่มีใครพูดออกมาตรงๆ และเราคงเป็นอีกหนึ่งคนที่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในกลุ่ม "คนส่วนใหญ่" เพราะไม่ต้องการจะยอมรับว่านี่คือปัญหาที่บ่มเพาะมาจาก "ความเป็นไทย"
แต่คำ ผกา เธอกล้าตีแผ่อย่างถึงพริกถึงขิง ด้วยปลายปากกาที่ทิ่มแทงใจดีแท้ (ก็หญิงชั่วนี่นะ) เธอมีความรู้ พินิจพิเคราะห์ในประวัติศาสตร์รากเหง้าทางการเมืองของไทยในแบบที่ "คนในกรอบ" อย่างเราๆ อาจไม่ได้ฉุกคิดหรือคำนึงถึง หลายคนอาจจะเคยคิด แต่ก็ลืมเลือนมันไปตามอุดมการณ์-สร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่จืดจางได้เมื่อคนเราเติบโตขึ้น หรือแก่ตัวลง และมีอะไรหลายสิ่งที่ทำให้เราไม่ค่อยได้สนใจการเมืองสักเท่าไรแล้ว เพราะข้ออ้างที่การเมืองมันน่าเบื่อหน่าย
อ่านแล้วได้อะไรเยอะเลย แม้จะเครียด แม้จะไม่ชอบเอามากๆ กับหลายๆ บทความ ก็ถือซะว่าเป็นอย่างที่ผู้เขียนกล่าวไว้
การฝึกฝนความอดทนอดกลั้นต่อความคิดต่าง เคารพคนที่คิดไม่เหมือนเรา เปิดใจฟังในสิ่งที่ไม่เคยฟัง ก็น่าจะช่วยให้สังคมไทยพ้นจากความเป็นเด็กอมมือ ไปสู่ความมีวุฒิภาวะแบบผู้ใหญ่ได้บ้าง
แต่ ....
แนะนำสำหรับคนที่คุ้นเคย หรือถ้าไม่คุ้นเคยก็มีความอดทนเพียงพอต่อภาษาไพร่ได้เท่านั้น ... เพราะถ้าคุณเป็นคนนิยมภาษาดอกไม้ ที่ไม่นิยม การประชดประชัด เสียดสี เย้ยหยัน (และด่าทอ) ขอ..ไม่แนะนำอย่างแรง!
โปรยปกหลังจากบางส่วนของบทความ
สงสัยต้องขอบาย
ทุกวันนี้ได้ยินทุกวันเหนื่อยแย่แล้วนะคะ
คุณคำผกา เคยฟังเธอขึ้นเวที สปป ค่ะ
แต่นอกนั้นยังไม่เคยติดตามเลยเหมือนกัน
ขอบคุณคุณปรายแสงมากๆค่ะ ^^