ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

ช่วงนี้คำฮิต!! รู้มั้ยจัณฑาล...คืออะไร

ช่วงนี้คำฮิต!! รู้มั้ยจัณฑาล...คืออะไร






















จัณฑาล...ชีวิตแสนลำเค็ญ

คนอินเดียราว 170 ล้านคน (บางข้อมูลว่าถึง 300 ล้านคน)  เกิดมาในกลุ่มที่เรียกว่า อวรรณะหรือ ถูกเรียกว่าจัณฑาล   หรือ อธิศูทร และคนกลุ่มวรรณะจัณฑาลคือกลุ่มที่ถูกรังเกียจ และถูกเลือกปฏิบัติมากที่สุดในสังคมอินเดียในขณะนี้  
ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูเกี่ยวกับเรื่องวรรณะในอินเดียนั้น  วรรณะมี 4 ชั้น คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร โดยมีบทบาทความสำคัญในสังคม ตามลำดับ แต่เมื่อมีการแต่งงานข้ามวรรณะ บุตรที่เกิดมาก็จัดเป็นพวกจัณฑาล 
คนวรรณะจัณฑาลถูกคนวรรณะอื่นรุมรังเกียจจนถึงกับไม่กล้าจับต้องพวกเขา กลัวว่าจะติดเชื้อโรค นี่เป็นคำสอนกันมาแต่โบราณและยังเชื่อกันในทุกวันนี้  
อาชีพของพวกเขาก็คือ กวาดถนน ล้างท่อระบายน้ำ เก็บขยะ เป็นต้น ถ้าจะทำการเกษตรก็ทำได้เพียงเช่าที่เขาทำ ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดิน ไม่อนุญาตให้ใช้ของบางชนิดซึ่งคนในวรรณะใช้ และจะอาศัยแถวๆ กองขยะหรือตามแหล่งเสื่อมโทรม
เมื่อเกิดมาเป็นอธิศูทร ก็ต้องมีชีวิตอยู่อย่างอธิศูทร และตายไปอย่างอธิศูทร ที่สำคัญพวกเขาเองก็ยอมรับว่าพวกตนถูกพระเจ้าสาปให้เกิดมาใช้กรรมใช้เวร  เขาจึงเป็นคนที่แตกสลาย ไร้อนาคตอย่างที่เขาเรียกตัวเองว่า ดาลิต 
เรื่องระบบชนชั้นวรรณะในอินเดียนั้นถูกฝังรากลึก อยู่ในวัฒนธรรมของชาวอินเดียมาอย่างช้านาน  แม้จะมีกฎหมายออกมาห้ามการเลือกปฏิบัติเช่นนี้มากว่า 50 ปีแล้วก็ตาม (ตั้งแต่ปี 2498)  แต่ด้วยความเชื่อที่ฝังลึกในเรื่องวรรณะนี้จึงไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย   แม้กฏหมายเปลี่ยนไป แต่ความเชื่อของคนยังไม่เปลี่ยนแปลง  มีเจตนารมณ์ทางการเมืองที่จะให้ยุติการเลือกปฏิบัติต่อคนจัณฑาล แต่อคติที่มีต่อคนกลุ่มนี้ฝังรากลึก ไม่สามารถทำให้หมดไปได้
มีโรงเรียนรัฐบาลในอินเดียถึงร้อยละ 38 ซึ่งเด็กจัณฑาลต้องแยกโต๊ะรับประทานอาหารกับเด็กวรรณะอื่น และมีโรงเรียนถึงร้อยละ 20 ซึ่งเด็กจัณฑาลไม่ได้รับอนุญาติให้ดื่มน้ำ ร่วมแหล่งเดียวกับเด็กวรรณะอื่นๆ  ถ้าเด็กเหล่านี้ได้เข้าโรงเรียน ก็จะต้องนั่งแถวหลังสุด  !
แต่ที่แย่ไปกว่านั้น ก็คือเคยเกิดกรณีครูลงโทษนักเรียนจัณฑาลอย่างรุนแรง 

ชายผู้หนึ่งกล่าวว่า เขาลาออกจากโรงเรียนเมื่อ 38 ปีก่อน เพราะถูกลงโทษด้วยการตีด้วยขาเก้าอี้ เพียงเพราะจ่ายค่าเล่าเรียนไม่ตรงเวลา ในขณะที่นักเรียนคนอื่น ที่ทำแบบเดียวกับเขา แต่อยู่ต่างวรรณะกัน เพียงแค่ถูกตักเตือนเท่านั้น นอกจากนี้นักเรียนจัณฑาล ยังคงต้องนั่งอยู่หลังห้อง และไม่ได้รับการเหลียวแลจากครูผู้สอน
เขาเล่าต่ออีกว่า ร้านขายของชำในหมู่บ้านในอุตรประเทศ ไม่ยอมรับเงินจากมือโดยตรงของลูกค้าจัณฑาล และอีกหลายหมู่บ้านที่คนจัณฑาลถูกก่อกวนรังควานเมื่อสวมเสื้อผ้าใหม่ บางคนถูกบังคับให้เหน็บกิ่งไม้ไว้ที่หลัง เพื่อให้ช่วยลบรอยเท้าเวลาเดิน หรือแม้จะจัดงานแต่งงาน ก็ยังถูกวรรณะอื่นที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกดดันให้เลิก  ครูผู้หนึ่งเล่าว่า ครอบครัวของเขาเตรียมจัดงานใหญ่โต แต่ทันทีที่เขาเดินออกจากบ้าน เพื่อไปหาลูกสาว ชาวบ้านบางคนที่อยู่ในวรรณะสูงกว่า ออกมาด่าทอว่า วรรณะจัณฑาลไม่ควรมีพิธีแต่งงานที่เอิกเกริก
แม้คนจัณฑาลยังคงถูกเลือกปฏิบัติอยู่ แต่ก็ยังคงมีการรณรงค์ตามหมู่บ้าน เพื่อให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ   เพื่อให้คนจัณฑาลได้รู้สึกเชื่อมั่นว่าการศึกษา ยังคงเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ
แต่ทุกคนก็เห็นว่ามันยากอยู่   หากคนวรรณะอื่น ๆ ไม่ร่วมมือที่จะมองและปฏิบัติต่อกันให้สมกับที่เขาเป็นมนุษย์เหมือนกัน

ขอบคุณที่มาจาก ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
//variety.teenee.com/foodforbrain/74106.html




 

Create Date : 09 มกราคม 2559   
Last Update : 9 มกราคม 2559 13:46:26 น.   
Counter : 839 Pageviews.  

มนตราเรียกคนรัก !! คาถาเรียกคนรัก…ให้กลับมาหาอีกครั้ง!!

มนตราเรียกคนรัก !! คาถาเรียกคนรัก…ให้กลับมาหาอีกครั้ง!!
























มนตราเรียกคนรัก ซึ่งหลายคนอาจจะประสบปัญหาการถูกบอกเลิกหรือการติดต่อคนรักไม่ได้ ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไร วันนี้จะแนะนำวิชาคาถาอาคมมนตราเรียกคนรัก แต่คุณจะใช้ได้จริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝน
วิธีการมีดังนี้

ต้องเรียนรู้พระเวทย์อาคมอันศักดิ์สิทธิ์ พระเวทอาคมบทนี้ชื่อว่า “มนตราเทพรำลึก” มีมาแต่โบราณนิยมใช้เรียกคนรักกลับบ้าน คาถาท่องว่า ให้ทำทุกวันให้ครบ 7 วัน “ โอม รำลึกมหารำลึก รำลึกถึงกูทุกค่ำเช้า ทุกวันคืน จิปิเสคิ เอหิมะมะ จิตและตัวของ…(ชื่อ)อยู่แห่งหนตำบลใด ให้มันร้อนรนดั่งถูกไฟเผา ร้อนอกร้อนใจ ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งจิต พะทะนะมะ ให้มึงรีบเร่งมาหากู ด้วยนะโมพุทธายะ สะสุมัง “
ในขณะท่องให้ทำจิตทำใจเชื่อมั่นว่า พระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์นี้จะชักพาคนรักให้รีบเร่งมาหาคุณแต่จะเร็วแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับสมาธิและความเชื่อมั่นของคุณ ฤกษ์ยามในการท่องพระเวทย์เรียกคนรัก ใน 1 วันจะมีแค่ 2 ช่วงเวลาเท่านั้นที่คุณจะทำได้ตามฤกษ์ดังนี้
วันอาทิตย์ 13.30-15.30น. และ19.30-21.00น. เป็นช่วงเวลาที่ท่องคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ตามด้านบนและนึกถึงคนรักหรือโทร ติดต่อไปหาคนรักในช่วงฤกษ์ยามนี้ก็จะถือว่าอำนวยความสำเร็จให้ได้พูดคุยกัน ในเรื่องการวางแผนปรับความเข้าใจได้ดี
วันจันทร์ 15.00-16.30น. และ00.00-01.30น. เป็นช่วงเวลาที่ท่องคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ตามด้านบนและนึกถึงคนรักหรือโทร ติดต่อไปหาคนรักในช่วงฤกษ์ยามนี้ก็จะถือว่าเป็นฤกษ์ยามที่ขอความเห็นใจได้ดี
วันอังคาร 10.30-12.00น. และ03.00-04.30น. เป็นช่วงเวลาที่ท่องคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ตามด้านบนและนึกถึงคนรักหรือโทร ติดต่อไปหาคนรักในช่วงฤกษ์ยามนี้ก็จะถือว่าอำนวยความสำเร็จในการเร่งให้มาหา ตามวันเวลาที่นัดหมายได้ดี
วันพุธ 07.30-09.00น. และ00.00-01.30น. เป็นช่วงเวลาที่ท่องคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ตามด้านบนและนึกถึงคนรักหรือโทร ติดต่อไปหาคนรักในช่วงฤกษ์ยามนี้ก็จะถือว่าอำนวยความสำเร็จในการเจรจาพูดขอ โอกาสและสิ่งของ ข้าวของได้ดี
วันพฤหัส 09.00-10.30น. และ03.00-04.30น. เป็นช่วงเวลาที่ท่องคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ตามด้านบนและนึกถึงคนรักหรือโทร ติดต่อไปหาคนรักในช่วงฤกษ์ยามนี้ก็จะถือว่าอำนวยความสำเร็จในการพูดคุยถึง การสร้างอนาคตร่วมกันได้ดี
วันศุกร์ 07.30-09.00น. และ19.30-21.00น. เป็นช่วงเวลาที่ท่องคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ตามด้านบนและนึกถึงคนรักหรือโทร ติดต่อไปหาคนรักในช่วงฤกษ์ยามนี้ก็จะถือว่าอำนวยความสำเร็จในเรื่องการวาง ตัว การปรับลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพให้ดีกว่าเดิม
วันเสาร์ 16.30-18.00น. และ04.30-06.00น. เป็นช่วงเวลาที่ท่องคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ตามด้านบนและนึกถึงคนรักหรือโทร ติดต่อไปหาคนรักในช่วงฤกษ์ยามนี้ก็จะถือว่าอำนวยความสำเร็จในเรื่องการปรับ ตัวไม่ให้จุกจิก ขี้บ่นหรือไม่ให้มีปัญหาแบบเดิมๆอีกต่อไป
“กำลังใจและสัจจะ กำลังใจคือมีกำลังใจเชื่อมั่นในพระเวทย์คาถาที่ได้ให้คำแนะนำไป มีสัจจะคือการทำตามในสิ่งที่ได้พูดไปดังที่ฤกษ์ยามได้กำหนดหรือสิ่งที่ได้พูดไปในระหว่างฤกษ์ทำพิธี ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของ“มนตราเรียกคนรัก”
หวังว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน

ที่มา :: ธูปพยากรณ์หนึ่งเดียวในโลก แขวงคำม่วน ประเทศลาว




 

Create Date : 09 มกราคม 2559   
Last Update : 9 มกราคม 2559 13:45:21 น.   
Counter : 10979 Pageviews.  

กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน
























เคยสงสัยไหมว่าในการเลือกผักมาปรุงอาหารนั้น ผักชนิดไหนควรทานดิบๆ หรือผักชนิดไหนควรทำให้สุกเสียก่อน เพื่อให้ผักนั้นยังคงคุณค่าทางอาหารไว้ ซึ่งผักแต่ละชนิดนั้นมีกระบวนการรักษาคุณค่าทางอาหารแตกต่างกัน บางชนิดปรุงสุกจะดีกว่า ซึ่งบางชนิดทานดิบๆจะดีกว่า เรามีตัวอย่างผักที่หลายๆคนยังกังขากันอยู่ว่าวิธีการปรุงแบบไหนจะดีกว่ากัน

กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

หน่อไม้ฝรั่ง ควรทานแบบปรุงสุก

ในหน่อไม้ฝรั่งมีโฟเลตอยู่มาก ซึ่งมีความจำเป็นต่อความสมบูรณ์ของทารกสำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งที่ปอดได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของกำมะถันเป็นยาขับปัสสาวะได้ดีตัวหนึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยที่เป็นโรคขัดเบา และยังใช้รักษาโรคหลายชนิด เช่น โรคเส้นประสาทอักเสบ โรครูมาติซึม และบรรเทาอาการปวดฟันได้ด้วย หน่อไม้ฝรั่งเมื่อนึ่งสุกแล้วจะมีประสิทธิภาพในการต้านมะเร็งได้มากกว่าการทานดิบๆ
กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

บีทรูท ควรทานแบบดิบ

บีทรูทหัวสีแดงมีเบทานินสูง (betanin)ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง น้ำบีทรูทจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะรักษามะเร็ง นอกจากนั้นยังช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ในหัวบีทรูทยังมีโฟเลตสูง แต่การทำให้สุกจะทำให้สูญเสียกรดโฟเลตในตัวเองไปประมาณ 25% เพราะโฟเลตจะถูกทำลายได้ด้วยความร้อน ซึ่งการทานดิบจะช่วยรักษาสารอาหารส่วนนี้ไว้
กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

บล็อกโคลี่ ควรทานแบบดิบ

แปลกแต่จริง คนไทยไม่คุ้นเคยกับการทานบล็อกโคลี่ดิบๆ นักโภชนาการแนะนำว่า ควรเลือก หน่อหรือต้นอ่อนของบร็อกโคลี่ เพราะยังมีน้ำย่อยไมโรซีเนสที่มีปริมาณที่มากกว่าบร็อกโคลี่ต้นที่โตแล้ว ดังนั้นการกินบร็อกโคลี่ควรทานทั้งหน่อและต้นอ่อนของผัก จะให้ประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าการกินอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว และการรับประทานบร็อกโคลี่เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุดนั้น จะต้องไม่ผ่านกรรมวิธีการปรุงอาหารที่มีระยะเวลานานเกินไป นอกจากนี้เจ้าเอมซายด์ ไมโรซีเนสยังช่วยให้ตับสะอาด และช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้
 ทางเลือกอีกทางนึงคือการทานบล็อกโคลี่โดยการลวก หรือผัด ที่ผ่านความร้อนที่ไม่สูงและนานจนเกินไป
กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

เห็ดต่างๆ ควรทานแบบปรุงสุก

เห็ดส่วนใหญ่มีแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ ปราศจากคลอเลสเตอรอล มีธาตุโปแตสเซียมสูง จึงมีคุณสมบัติช่วยลดความดัน และยังมีสารซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง แถมยังอุดมด้วยวิตามินบี เฉพาะในเห็ดหอมสดจะมีวิตามินซีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เพื่อเสริมกระดูกและฟัน อย่างไรก็ตาม การทานเห็ดสดหรือเห็ดที่ปรุงโดยความร้อน ไม่ว่าจะโดยวิธีใด จะต้ม จะย่าง จะอบ ควรใช้ความร้อนไม่สูงนักและใช้เวลาไม่นาน จะให้คุณค่าของสารอาหารมากกว่าเห็ดที่ปรุงสุกหรือผ่านความร้อนเป็นเวลานาน อย่างไรก็ดีไม่ควรทานเห็ดดิบๆเนื่องจากมีสารบางอย่างจะไปยับยั้งการดูดซึมของอาหารในระบบย่อยอาหารได้
กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

หัวหอม ควรทานแบบดิบ

วิธีการทานหัวหอมที่ดีที่สุดคือการสไลท์แล้วทานเลย เพราะเอนไซม์ และสารอาหารต่างๆที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหัวหอมจะลดลงเมื่อผ่านความร้อน ทางออกที่ดีถ้าหากไม่คุ้นชินกับการทานแบบดิบๆ คือการผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

พริกหวานและพริกต่างๆ ควรทานแบบดิบ

เช่นเดียวกับ หัวหอม และกระเทียม พริกหวานควรทานแบบดิบๆมากกว่า เพื่อรักษาคุณค่าทางอาหารและวิตามินต่างๆที่มีประโยชน์ไว้ เพราะส่วนมากพืชและสมุนไพรกลุ่มนี้จะสูญเสียคุณค่าทางอาหารบางส่วนไปในขณะการปรุงด้วยความร้อน ถ้าหากการทานแบบดิบๆไม่ถูกปากแล้วหล่ะก็ การย่างหรือการผัดแบบเร็วๆ ก็เป็นทางออกที่ดีที่ยังให้คุณค่าทางอาหารและยังรักษาประโยชน์ไว้ได้
กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

ผักโขม ควรทานแบบปรุงสุก

การปรุงผักโขมให้สุก จะช่วยเพิ่ม แคลเซียม ธาตุเหล็ก และแม็กนิเซี่ยมได้ เพราะการกินผักโขมให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ควรกินแบบปรุงสุก มากกว่าการดิบๆ เนื่องจากในผักโขมมีกรดชนิดหนึ่ง ชื่อ ออกเซลิค แอซิด ในปริมาณสูง กรดดังกล่าวจะส่งผลให้ร่างกายของเราไม่สามารถดูดซับธาตุเหล็กที่มีมากในผักโขมได้ การนำผักโขมไปทำให้สุกก่อนถือเป็นวิธีช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

มะเขือเทศ ควรทานแบบปรุงสุก

เรื่องจริงที่คนส่วนใหญ่อาจจะประหลาดใจ ที่ต้องแนะนำให้ทานมะเขือเทศแบบปรุงสุกมากกว่าการทานแบบดิบๆนั้น เนื่องจากในมะเขือเทศมีไลโคปีนอยู่มาก เป็นสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ในกรณีของมะเขือเทศเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง จึงทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้การทานมะเขือเทศแบบปรุงสุกจึงทำให้สรรพคุณเรื่องการต้านมะเร็งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นนั้นเอง
กินดิบ หรือ ปรุงสุก ผักชนิดไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน
ที่มา lovefitt
//variety.teenee.com/foodforbrain/74113.html




 

Create Date : 09 มกราคม 2559   
Last Update : 9 มกราคม 2559 13:44:43 น.   
Counter : 1537 Pageviews.  

วันเด็กปีนี้ รัฐบาลชวนดู ไดโนเสาร์ บุกทำเนียบ พบ ลุงตู่ผู้ใจดี

วันเด็กปีนี้ รัฐบาลชวนดู ไดโนเสาร์ บุกทำเนียบ พบ ลุงตู่ผู้ใจดี

























วันเด็กปีนี้ รัฐบาลชวนดู 'ไดโนเสาร์' บุกทำเนียบ พบ 'ลุงตู่ผู้ใจดี'

รัฐบาลเปิดทำเนียบต้อนรับวันเด็ก ชวนเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมพบ 'ลุงตู่ผู้ใจดี' -นั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่ง พร้อมตื่นตากับ 'ไดโนเสาร์' บุกทำเนียบรัฐบาล

ไดโนเสาร์บุกทำเนียบจ้าๅ!!!!! เตรียมกับ ไดโนเสาร์สายพันธ์ต่างๆ ในงานวันเด็กแห่งชาติ ของทำเนียบรัฐบาล หน่วยงานต่างๆ เตรียมจัดซุ้ม แบะนำไดโนเสาร์ มาจัดแสดงหน้าตึกสันติไมตรี ในวันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2559 อย่าลืมแวะมากันเยอะ นะค่ะ แล้วยังสามารถเดินช้อป แชะ ชิม สินค้าราคาถูกได้ที่ตาดคลองผดุงฯ อีกด้วย

สำหรับกิจกรรมที่จัดขึ้นล้วนแล้วแต่สอดคล้องกับคำขวัญที่ท่านนายกฯ มอบให้แก่เด็ก ๆ คือ “เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต” 

วันเด็กปีนี้ รัฐบาลชวนดู ไดโนเสาร์ บุกทำเนียบ พบ ลุงตู่ผู้ใจดี


วันเด็กปีนี้ รัฐบาลชวนดู ไดโนเสาร์ บุกทำเนียบ พบ ลุงตู่ผู้ใจดี


วันเด็กปีนี้ รัฐบาลชวนดู ไดโนเสาร์ บุกทำเนียบ พบ ลุงตู่ผู้ใจดี


วันเด็กปีนี้ รัฐบาลชวนดู ไดโนเสาร์ บุกทำเนียบ พบ ลุงตู่ผู้ใจดี


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก VOICE TV และภาพจาก ตลาดนายก.com

เครดิต : //tnews.teenee.com/etc/130035.html




 

Create Date : 09 มกราคม 2559   
Last Update : 9 มกราคม 2559 13:37:16 น.   
Counter : 771 Pageviews.  

บทความดีๆที่ผู้หญิงควรอ่าน (และแชร์) รักตัวเองให้มากหน่อย

บทความดีๆที่ผู้หญิงควรอ่าน (และแชร์) รักตัวเองให้มากหน่อย

บทความดีๆที่ผู้หญิงควรอ่าน (และแชร์) รักตัวเองให้มากหน่อย

บทความดีๆที่ผู้หญิงควรอ่าน (และแชร์)

การที่หญิงสาวจะได้พบกับผู้ชายดีๆคนหนึ่ง 
ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องมีความเป็นผู้ใหญ่เพียงพอ 
เพราะเมื่อใดที่ผู้หญิงมีความเป็นผู้ใหญ่
พอที่จะพึ่งพาตัวเองได้ เมื่อนั้นก็แปลว่า...

"เธอไม่เคยพบเจอกับผู้ชายดีๆเลยแม้แต่คนเดียว"

เธอจงจดจำไว้ 
การเลือกชีวิตคู่นั้นไม่มีเงื่อนไขอื่นใด 
นอกเสียจากเลือก "คนที่เขารักเธอ" 
ไม่ว่าเขาจะมีเงินมากมายเท่าใด ?
ชอบช่วยเหลือคนอื่นสักแค่ไหน? 
จะมีความสามารถเพียงใด ?
จะฉลาดสักเท่าใด ?
จะกตัญญูอย่างไร ?
จะหล่อปานไหน ?
จะพูดเก่งยังไง ?

เขาไม่รักเธอ จะมีประโยชน์อันใด!!!

จิตแพทย์ได้กล่าวไว้ว่า...
“ต่อให้เธอรักผู้ชายคนนั้นสักแค่ไหน 
จุดเริ่มต้นของความรักเริ่มจากผู้ชาย 
หากชายคนนั้นไม่ได้รักเธอ 
เสียเขาไปคือความคุ้มค่ากว่าเสียอีก”

ไม่มีคู่อาจเงียบเหงาบ้าง แต่สามารถมีความสุขได้ 
เธอสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกได้เพียงลำพัง 
เธอสามารถพูดคุยกับผู้ชายได้ทุกเพศวัยอย่างสบายใจ 
เธอสามารถเลือกกลับบ้านหรือไปเดินห้าง
หลังจากเลิกงานได้ด้วยตัวเธอเอง

ความเหงาตอนโสดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิด
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ...
เมื่อมีคู่ชีวิตแต่เธอกลับรู้สึกเหงาต่างหาก!

คุณพ่อท่านหนึ่งได้เตือนสติลูกสาวของเขาว่า...

“คนบางคนเหมาะสมกับลูก แต่เขาไม่รักลูก 
คนบางคนรักลูกแต่เขาไม่เหมาะสม 
หากอยากจะรู้ว่าเขารักลูกหรือเปล่า? 
อย่าใช้หูฟังแต่จงใช้ตามอง 
ดูว่าเขาทุมเทต่อลูกสักเพียงใด ?
หากอยากรู้ว่าเหมาะสมกันหรือเปล่า ? 
อย่าตัดสินว่าเพราะเขามีอะไร? 
แต่จงตัดสินจากรอยยิ้มของลูกและน้ำตาที่ต้องหลั่งไปเพราะเขา

คนที่ทำให้ลูกร้องไห้อยู่เสมอ 
ต่อให้เพียบพร้อมสักแค่ไหนก็อย่าเลือกฝากชีวิตไว้ 
คนที่ทำให้ลูกยิ้มได้ ต่อให้ฐานะยากจนเพียงใด
ก็คุ้มค่าที่จะฝากชีวิตไว้

จงเลือกเหนื่อยเพราะหัวเราะ 
อย่าเลือกสบายแต่ต้องร้องไห้ทุกวัน”

เลือกคนที่กล้าเก็บรูปของเธอไว้ในกระเป๋าสตางค์ 
เลือกคนที่กล้าลงรูปเธอไว้หน้าไทม์ไลน์ของเขา
เลือกคนที่กล้าให้เธอรู้ความเคลื่อนไหวของเขา 
เลือกคนที่เขากล้าทุ่มเทความรักให้กับเธอ

หากการคบหากัน 
เขาคนนั้นไม่ได้ทำให้เธอดูดีขึ้นในสายตาคนอื่น
ขอแสดงความเสียใจด้วย
"เธอเลือกคนผิดเสียแล้ว!"
เพราะหากเขารักเธอจริง 
เขาจะไม่ทำให้ผู้หญิงของเขาดูแย่ในสายตาของใครๆ

ผู้ชายบางคนที่รักเธอ เขาต้องการใช้ชีวิตกับเธอทั้งชีวิต 
ผู้ชายบางคนที่รักเธอเขาต้องการใช้ชีวิตกับเธอเพียงชั่วครู่

คนที่ต้องการใช้ชีวิตกับเธอทั้งชีวิตเขาอาจไม่ได้ซื้อข้าวของ 
หรือบอกรักเธอทุกๆวัน 
เพราะเขาพยายามสร้างตัวเพื่อเธอและครอบครัว

คนที่ต้องการใช้ชีวิตกับเธอเพียงชั่วครู่ 
เขาจะประเคนทุกสิ่งอย่างให้กับเธอ 
เสมือนว่า "ขาดเธอแล้วเขาจะขาดใจ"
(ซึ่งจริงๆไม่มีใครตายเพราะความรัก 
มีแต่ตายเพราะความหลงและโง่งมงาย)

ดังนั้น "ผู้ชายดีๆจะคิดถึงการร่วมชีวิต"
"ผู้ชายเลวๆจะคิดถึงการร่วมหลับนอน"

หญิงสาวเอ๋ย 
เธอรักตัวเองมากเท่าไหร่ 
เธอก็มีค่าต่อตนเองและผู้อื่นมากเท่านั้น 
อย่าเอาอกเอาใจใครๆ จนลืมห่วงใยตัวเอง 
ชีพหนึ่งไม่ยาวนาน...
เธอจงจำไว้ "รักตัวเองให้มากหน่อย!!!"

- นุสนธิ์บุคส์ -

ขอขอบคุณผู้เขียนและเพื่อนผู้แบ่งปันบทความดีดีครับ. 

บทความดีๆที่ผู้หญิงควรอ่าน (และแชร์) รักตัวเองให้มากหน่อย
ขอบคุณที่มาจาก Roeng Raithun

//variety.teenee.com/foodforbrain/74053.html




 

Create Date : 06 มกราคม 2559   
Last Update : 6 มกราคม 2559 9:09:08 น.   
Counter : 3971 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  

tukdee
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add tukdee's blog to your web]