ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

ประวัติศาสตร์น่ารู้...พระปิ่นเกล้า The Second King



ประวัติศาสตร์น่ารู้...พระปิ่นเกล้า The Second King กษัตริย์ ที่หลายคนไม่รู้จัก

เมื่อช่วงผลัดแผ่นดินจากรัชกาลที่ ๓ ล่วงเข้าสู่แผ่นดินใหม่ เป็นระยะเวลาที่น่าหวาดกลัวที่สุด บรรดาข้าราชการต่างเฝ้าระวังภัยอันตรายอันเกิดจากการเปลี่ยนแผ่นดิน มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว เหตุการณ์จุกช่องล้อมวงยังคงมีอยู่เสมอมาในคราวผลัดแผ่นดิน

รัลกาลที่ ๓ ทรงมิได้มอบพระราชสมบัติให้แก่กษัตริย์ใหม่ว่าเป็นผู้ใด หากแต่ทวนให้เหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่คัดเลือกเฟ้นหา ผู้ที่มีความสามารถขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่า การเมืองสมัยนั้นก็ประกอบด้วยเจ้านายหลาย ๆ กลุ่ม ที่พยายามผลักดันกลุ่มเจ้านาย เพื่อขึ้นปกครองบ้านเมือง และเกิดมีเหตุการณ์วุ่นวายบ้างเล็กน้อยในการซ่องสุมกำลังคนตามจุดต่าง ๆ แต่ก็ผ่านพ้นมาด้วยดี

และเมื่อยามผลัดแผ่นดินมาถึง ย่ำค่ำของวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ มีการอัญเชิญเจ้าฟ้าใหญ่ (ยังทรงผนวชอยู่) และเจ้าฟ้าน้อย เข้าไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมด้วยเหล่าเสนาบดี พระสงฆ์ราชาคณะ พระบรมวงศานุวงศ์น้อยใหญ่ ข้าราชการฝ่ายทหาร

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว "พระยาพิพัฒน์โกษา" ได้กราบบังคมทูลเชิญ (มีข้อความยาวเหยียด) เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ขึ้นครองราชสมบัติพร้อมกันขึ้นสืบมหันตมหิศรราชวงศ์ ดำรงศิริราชสมบัติขัตติยราชประเพณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าลำดับต่อไป

และแล้วบ้านเมืองสยามก็บังเกิดพระมหากษัตริย์ปกครองกรุงสยาม ขึ้น ๒ พระองค์ ในส่วนของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีบวรราชาภิเษกในอีก ๑ เดือนถัดมาหากต้องการรู้ว่า "เหตุไฉนถึงมีการแต่งตั้งพระมหากษัตริย์เคียงคู่กัน ๒ พระองค์"

๑. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงไว้ในหนังสือ "นิทานโบราณคดี" เรื่อง "เมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน ๒ พระองค์"

ซึ่งเคยสงสัยว่าแรกอ่านหนังสือพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ว่าเหตุใดรัชกาลที่ ๔ จึงทรงสถาปนาสมเด็จพระอนุชาเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์ จนเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ วันหนึ่งเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ มาหา เวลานั้นท่านได้อายุ ๘๐ กว่าแล้ว แต่ความทรงจำยังแม่นยำ เมื่อสนทนากันจึงนึกถึงเรื่องที่ทูลถวายราชสมบัติทั้ง ๒ พระองค์ ถาทท่านว่าทราบหรือไม่

เมื่อรัชกาลที่ ๓ เสด็จสรรคต เหตุใดเจ้าพระยาสมเด็จพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (บิดาของท่าน เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาพระคลังฯ) ซึ่งเป็นหัวหน้าในราชการ จึงแนะนำให้ถวายราชสมบัติให้กับทั้ง ๒ พระองค์ ไม่ถวายแก่พระองค์เดียวอย่างที่กระทำมาแต่ก่อน

ท่านเล่าว่า เมื่อรัชกาลที่ ๓ ใกล้จะสวรรคต สมเด็จเจ้าพระยาฯ ไปเฝ้ารัชกาลที่ ๔ ที่วัดบวรนิเวศ กราบทูลให้ทราบว่าจะเชิญเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ขอให้ถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ซึ่งท่านเรียกว่า "ท่านฟากข้างโน้น" ด้วย เพราะพระชะตาแรงนัก ตามตำราโหราศาสตร์ว่าผู้มีชะตาเช่นนั้นจะต้องได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าทรงรับราชสมบัติพระองค์เดียวจะเกิดอัปมงคล ด้วยไปกีดบารมีของพระอนุชา

ตัวท่านเอง (เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ) อายุได้ ๑๘ ปี นั่งไปหน้าเก๋งเรือบิดา เมื่อถึงพระราชวังเดิม เป็นเวลาที่พระปิ่นเกล้าฯ ประทับอยู่แพหน้าพระราชวังเดิม เสด็จออกมารับสมเด็จเจ้าพระยา ฯ ที่แพลอย ตัวท่านอยู่ในเรือ ได้ยินสมเด็จเจ้าพระยาฯ เล่าถวายดังกล่าวมาจนทราบเรื่อง ตามแบบอย่างครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสถาปนาสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงเชื่อได้ว่าเรื่องที่เป็นจริงอย่างเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ กล่าวดังนั้นการรับรู้เรื่องดวงพระชะตา เป็นการรับทราบข้อมูลในชั้นสมัยตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา


๒. การรับรู้เรื่องราวสมัยรัชกาลที่ ๕ ในการครองราชย์ของกษัตริย์สยาม ๒ พระองค์

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงเรื่องดวงพระชะตา ดูได้จาก "พระราชนิพนธ์ราชประเพณีตั้งมหาอุปราช" ในรัชกาลที่ ๕ กล่าวว่า

"เจ้าฟ้าน้อยซึ่งเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นที่นับถือของคนเป็นอันมาก และเป็นพระอนุชาคู่ทุกข์คู่ยากด้วยกันมา ควรจะให้มียศใหญ่ยิ่งกว่าพระบรมราชวงศานุวงศ์และกรมพระราชบวรสถานมงคล ซึ่งรับพระบัณฑูรมาแต่ก่อน จึงพระราชทานพระบวรราชาภิเษกให้เป็นพระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศร มหิศวเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระบวรราชโองการพิเศษกว่าวังหน้าทั้งปวงซึ่งมีแต่ก่อน"๓. พระวันรัต (พทุธสิริทับ) วัดโสมนัสวิหารได้แสดงธรรมเทศนาในงานสมโภชพระนครครบ ๑๐๐ ปี ได้กล่าวถึงเหตุที่รัชกาลที่ ๔ สถาปนาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า

"ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ทรงพระปรีชารอบรู้การในพระนครและต่างประเทศ และขนมธรรมเนียมต่าง ๆ และชำนาญในสรรพอาวุธในการณรงค์สงครามเป็นอันมาก และแคล่วคล่องจัดเจในการทรงพาหนะ มี คชสาร เป็นต้น อนึ่งเป็นที่นิยมนับถือของพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นอันมาก ครั้นทรงพระราชดำริฉะนี้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งที่อุปราช ให้รับพระบวรราชโองการพระราชทานพระเกียรติยศยิ่งกว่ากรมพระราชวังบวร ทุก ๆ พระองค์"

วิเคราะห์ถึงการณ์ที่สยาม มีพระเจ้าแผ่นดินถึง ๒ พระองค์


๑. เหตุการณ์ที่มีการปกครองของผู้นำประเทศ ๒ ตำแหน่งไม่เป็นที่แปลกแต่อย่างใด หากแต่แปลกในการเรียกชื่อ เช่น ในสหรัฐอเมริกา มีตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี ได้ครองตำแหน่ง ๔ ปี และ ๘ ปี ดังนั้นความรู้เรื่องราวของชาวยุโรป ก็คงผ่านสายพระเนตรของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ระหว่างที่ทรงผนวช โดยผ่านทางบรรดาเหล่ามิชชันนารี

พระราชสาส์นถึงประธานาธิบดีอเมริกา พ.ศ. ๒๔๐๓


"....แลซึ่งในแผ่นดินยุไนติศเตศอเมริกามีขนมธรรมเนียมตั้งไว้และสืบมาแต่ครั้งปริไสเดนย์ยอดว์อชิงทัน ให้ราษฎรทั้งแผ่นดินพร้อมใจกันเลือนสันบุคคลี่ควรจัดไส้เป็นชั้นแล้วตั้งให้เป็นปริไสเดนต์ใหญ่ และ ปริไสเดนต์รอง ครองแผ่นดินชี้ขาดว่าราชการบ้านเมืองเป็นวาระเป็นคราวกำหนดเพียง ๔ ปีและ ๘ ปี แลให้ธรรมเนียมนี้ยั่งยืนอยู่ได้ไม่มีการขัดขวางแก่งแย่งกันด้วย ผู้นั้น ๆ จะช่วงชิงอิศริยยศกันเป็นใหญ่ในแผ่นดินดังเมืองอื่น ๆ ซึ่งเป็นอยู่เนือง ๆ นันได้ ก็เห็นว่าเป็นการอัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นขนบธรรมเนียมที่ควรจะสรรเสริญอยู่แล้ว..."๒. เรื่องการเมือง เหนือกว่า เรื่องโหราศาตร์ แต่ใช้เรื่องโหราศาสตร์ มาตอบโจทย์เรื่องการเมือง

หากจะดูในด้านความสามารถของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ นั้นโดนเด่นกว่ามาก จึงต้องแต่งตั้งให้ได้รับตำแหน่งสูงสุด โดยคงที่จะให้มีการบวรราชาภิเกษให้มีพระอิสสริยยศเทียบเท่าพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งเลย และยังเป็นการที่จะตัดปัญหาเรื่องการแย่งชิงราชสมบัติได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากรัชกาลที่ ๔ ทรงอยู่ในร่มกาสาวภักตร์นานถึง ๒๗ ปี มีความรู้ด้านการภาษา ก็มาอยู่ หากแต่ด้านการทหารคงไม่เท่ากับพระอนุชา

อีกทั้งพระอิสสริยยศ เป็นพระอนุชาร่วมพระราชมารดาเดียวกัน มีความสนิทกว่าเจ้านายอื่น ๆ ด้วยกัน และในขณะที่มีพระราชพิธีบวรราชาภิเษก รัชกาลที่ ๔ ยังไม่มีพระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ พระบาทสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่การตั้งครั้งดังกล่าวเป็นสิทธิอันชอบแล้วที่จะยกประเด็นเรื่องโหราศาตร์ มาตอบโจทย์ให้เป็นการอ้างอย่างแยบยลกว่าการอ้างเรื่องความสามารถอันโดดเด่นด้านการทหารเนื่องจากเรื่องการทหาร การปกครองอาจจะมีการโต้แย้งถึงเรื่องต่าง ๆ ได้

หากหยิบยกเรื่องพระชะตาต้องเสริมต่อกันนั้น คงยากจะมีผู้ใดโต้แย้งได้

๓. "พี่เณรจะเอาสมบัตติหรือไม่เอา ถ้าเอาก็รีบสึกไปเถอะ ถ้าไม่เอาหม่อมฉันจะได้เอา"

ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ได้เสด็จไปเฝ้าพระเชษฐาที่วัดบวรนิเวศ แล้วกราบทูลว่า "พี่เณรจะเอาสมบัติหรือไม่เอา ถ้าเอาก็รีบสึกไปเถอะ ถ้าไม่เอาหม่อมฉันจะได้เอา" อันทำให้รัชกาลที่ ๔ (พระวชิรญาณ) ทรงตอบรับการขึ้นครองราชย์กับสมเด็จเจ้าพระยาฯ ให้ทูลเชิญเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติทั้ง ๒ พระองค์

- ถ้าจะมองเรื่องการถ่วงดุลย์อำนาจในราชสำนักด้วยกันเอง ก็เป็นไปได้ว่า ฝ่ายการทหาร (โดยพระปิ่นเกล้าฯ) มีกำลังเข้มแข็งกว่ามาก สามารถถ่วงอำนานกับเหล่าข้าราชการที่รายรอบได้ (แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ พระปิ่นเกล้าฯ ทรงใช้ฐานะกษัตริย์พระองค์ที่ ๒ น้อยมาก ส่วนมากจะทรงมีพระราชดำริร่วมกันในการปกครองบ้านเมือง)

- ถ้าจะมองเรื่อง "เป็นใหญ่ได้อีก" ก็มีโอกาสได้ เนื่องจากในขณะนั้นรัชกาลที่ ๔ ยังไม่มีพระราชโอรส ที่ประสุติจากอัครมเหสี ทำให้ตำแหน่งวังหน้าได้สืบทอดราชสมบัติต่อไปหากหมดรัชสมัยของพระองค์ก็เป็นไปได้


สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระปิ่นเกล้า) เมื่อครั้งวัยหนุ่ม

reurnthai
//variety.teenee.com/foodforbrain/70270.html




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 2 กรกฎาคม 2558 8:34:25 น.   
Counter : 1225 Pageviews.  

กดตู้ขายน้ำ ของราคา 15 บาท แต่กลับต้องเสียเงิน 500 บาทแบบไม่รู้ตัว



เรื่องของเรื่องคือ วันพฤหัสที่ผ่านมา (25 มิ.ย.) ได้ไปเดินงานสหพัฒน์ที่ศูนย์สิริกิตต์ค่ะ ก็เดินชอปปิ้งตามประสาจนเหนื่อย เงินในกระเป๋าตังค์ก็หร่อยหรอ จนเดินไปเจอตู้กดน้ำในมุมของฮอลล์ค่ะ

เป็นตู้กดน้ำของบริษัท ซันร้อยแปด (Sun 108) ซึ่งในงานจะมีหลายตู้มาก ให้กดน้ำได้หลายประเภทมาก เหมือนกับของญี่ปุ่น เลยกะว่าจะกดน้ำมาดับกระหาย 

ปรากฎว่าเดินไปที่ตู้ก็มีพนักงานมาถามไถ่ ลองกดดูได้นะครับ
อะ ไอ่เราก็ไหน ลองกดดูสิ ก่อนกดก็มองละ น้ำที่จะกดราคา 15 บาท 

พอเปิดกระเป๋าดูเหลือตังค์อยู่สี่สิบบาท เหลือไว้เป็นค่าเดินทางกลับบ้าน ขี้เกียจเดินไปกด ATM อีก มองไปทีตู้ปรากฎว่ามีให้รูดบัตรได้ด้วย เลยถามพนักงาน เขาก็บอกว่า รูดได้ครับ รูดได้เหมือนเวลาซื้อของทั่วไป อะ ก็ลองรูดดู  

พอจัดการรูดเสร็จ ได้น้ำมา ก็เปิดดื่ม กำลังจะเดินออกจากโซนนั้น ปรากฎว่ามีเมสเสจแจ้งเตือนว่า เงินออกไป 500 บาท .... เงิบเลยค่ะทีนี้  ก็คุยกับเพื่อนว่าเอ๊ะ เมื่อกี้น้ำราคา 15 บาทไม่ใช่หรอ ก็ยังงงๆสงสัยอยู่ จนกระทั่งเมสเสจส่งเข้ามาอีกรอบว่า ปลายทางเป็นบริษัทซันร้อยแปด เลยเดินเข้าไปถามพนักงานชายที่คุยกับเราตอนแรก

พอเข้าไปถาม พนักงานก็ดูงงๆ อ้ำอึ้ง บอกว่าไม่นะครับ น้ำราคา 15 บาทตู้ก็จะตัด 15 บาท 500 อะไรนี่ไม่ใช่ละ  

(เมสเสจที่ได้รับ)


เราก็ยังยืนยัน โชว์เมสเสจจากมือถือให้ดูว่า เนี่ย มันห้าร้อยจริงๆ จนพนักงานชายเรียกพนักงานหญิงอีกคนมาพูดด้วย

พนักงานหญิงก็บอกว่า มันเป็นอย่างงี้แหละค่ะ ถ้าซื้อของไม่ถึง 500 บาท ตู้จะทำการตัดเงินไปก่อน 500 บาท แล้วจะคืนเงินให้ภายหลัง  

เราก็เลยถามว่าอ่าว แล้วจะคืนเงินให้เมื่อไหร่ เพราะราคาน้ำแค่ 15 บาทเท่านั้นเอง

เขาก็บอกว่าพรุ่งนี้ค่ะ พรุ่งนี้ระบบจะทำการคืนเงินให้ ถ้ายังไงน้องเอาโบว์ชัวไปก่อนนะคะ ถ้าเงินไม่คืนโทรมาสอบถามได้เลยค่ะ 

อารามเหนื่อยๆ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ในเมื่อพนักงานยืนยันหนักแน่นว่ามันเป็นระบบของเขา และจะคืนให้แน่นอนวันรุ่งขึ้นก็เลยอะ ไม่เป็นไรกลับก็ได้ แม้ในใจจะนึกเซงว่า น่าจะยอมใช้เงินสดกด แล้วยอมเดินไปกดเงินที่ตู้ ATM ดีกว่า ซวยจริงๆ พนักงานที่สอนวิธีการใช้ก็เหมือนจะไม่รู้ว่าระบบของตู้จะเป็นอย่างงี้ 

จนเวลาผ่านไป วันศุกร์ก็ไม่มีการแจ้งเตือนว่ามีเงินคืน  ก็เอ หรือว่าหนึ่งวันทำการของเขาหมายถึงทั้งวัน อะ รออีกสักวันแล้วกัน

จนวันเสาร์ ก็ยังไม่ได้เงินคืน เลยโทรไปทางบริษัทเพื่อสอบถาม ปรากฎว่าปลายสายเองก็รับเรื่องไว้ แม้จะดูงงๆ ถามคำถามจี้ไปมา ก็ตอบไม่ได้ สุดท้ายได้คำตอบมาว่าเพราะเป็นวันเสาร์ ธนารคารไม่เปิด ระบบเลยยังไม่สามารถคืนเงินให้ได้ ต้องรอวันจันทร์ ... อะ รออีกแล้ว รอก็ได้


จนวันจันทร์ บ่ายโมงแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้เงินคืน ลองโทรไปสอบถามอีกครั้ง รอบแรกปลายสายบอกว่าให้ลองเช็คสเตทเม้นดูก่อนว่าเงินเข้าหรือยัง เพราะต่ำกว่าห้าร้อยบางทีมันจะไม่แจ้ง เราก็เถียงไปว่า ไม่นะ ที่ใช้รูด ไม่ใช่บัตรเครดิต แต่เป็นบัตรเดบิต และปกติไม่ว่าบาทหรือสองบาท ก็จะได้เมสเสจตลอด เขาก็ยังยืนยันว่าให้เราไปเช็คก่อน  อะ เช็คก่อนก็ได้

เลยเดินเอาสมุดบัญชีไปอัพ ก็อย่างที่รู้ มีแต่เงิน 500 บาทที่หายไป และไม่มีการได้เงินคืนกลับมาแต่อย่างใด 

เลยโทรกลับไปหาเจ้าหน้าที่อีกครั้ง เขาก็ถามว่า หมายเลขบัตรสี่ตัวท้ายของเราใช่เบอร์นี้มั้ย อะ ใช่ เขาบอกว่าระบบแจ้งว่าตัดไปแค่ 15 บาทจริงๆ เราก็งงสิทีนี้ ถ้ามันตัดไป 15 บาทจริง แล้วไหงเงินในบัญชีถึงหายไปถึง 500 บาทเล่า  เราก็ยังยืนยันว่ามันหายไปจริงๆ เขาเลยบอกว่าให้โทรมาใหม่อีกรอบ เขาจะลองโทรไปเช็คกับธนาคาร


ผ่านไปสิบนาที โทรไปใหม่ เขาบอกว่ากำลังเช็คอยู่ ไม่ต้องห่วง ถ้าได้เรื่องยังไง จะโทรกลับมาบอกแน่ๆ แล้ววันจันทร์นั้นทั้งวันก็ผ่านไป โดยพนักงานคนดังกล่าวก็ยังไม่ได้ติดต่อกลับมา ....

จนถึงวันอังคาร (วันนี้) ก็ไม่มีการติดต่อกลับมา จนตอนเย็นประมาณสี่โมงเย็น จึงโทรไปสอบถาม ได้ความว่ายังไม่มีการติดต่อมาจากธนาคาร และจะโทรกลับมาใหม่เนื่องจากติดประชุม .. หลังจากวางสาย แน่นอนว่าหายไปเลย  ไม่มีการติดต่อกลับมาอีกอย่างเดิม ....


ตอนนี้รู้สึกเสียความรู้สึกมาก รู้สึกว่าวันนั้นไม่น่าใช้บัตรรูด น่าจะใช้แบงค์ยี่สิบหยอด จะได้ไม่ต้องมานั่งทวงเงิน มานั่งมีปัญหา แต่คิดอีกที จริงๆ ก็เป็นสิทธิ์ของเราที่จะเลือกใช้วิธีการจ่ายแบบไหนตามเราสะดวก น่าจะเป็นทางบริษัทมากกว่าที่ดูแลระบบของตัวเองให้ดีกว่านี้  จำนวนเงินอาจจะดูว่าไม่เยอะ ไม่กี่ร้อยบาท แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเสียไปฟรีๆ นี่นา .. 

จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วจะได้เงินคืนหรือเปล่า..

ปล ไม่แน่ใจว่าต้องแท็กอะไรบ้างเลย แนะนำแท็กได้นะคะ ขอบคุณค่ะ




//variety.teenee.com/foodforbrain/70274.html




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 2 กรกฎาคม 2558 8:30:43 น.   
Counter : 1748 Pageviews.  

อย่าสั่ง ล้างรถทั้งภายใน-ภายนอก กับลูกจ้างคาร์แคร์ที่เป็นคนต่างด้าว ถ้าไม่อยากร้องไห้แบบนี้



อย่าสั่ง ล้างรถทั้งภายใน-ภายนอก กับลูกจ้างคาร์แคร์ที่เป็นคนต่างด้าว ถ้าไม่อยากร้องไห้แบบนี้   แชร์ให้เพื่อนดู  

เชื่อกันว่าทุกท่านต้องเคยเข้าไปใช้บริการล้างรถในคาร์แคร์แน่นอน ถึงแม้จะไม่ใช่รถของตัวเอง ก็คงจะเป็นรถของเพื่อน ของที่บ้าน สักครั้งหนึ่งในชีวิต และอาจจะได้เห็นการแลกเปลี่ยนทางเอาเซียนอยู่มากมาย นั่นก็คือลูกจ้างต่างด้าวนั่นเองน๊ะจ๊ะ

บางคนอยู่มานานเก๋าภาษาไทยแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่บางคนมาใหม่ๆ เพิ่งเริ่มทำงานเมื่อวาน รับรองว่าน่าจะมีปัญหาด้านการสื่อสารบ้าง! และคุณจำไว้เลยนะคะว่า  อย่าสั่งลูกจ้างหน้าใหม่ๆเหล่านี้ ล้างรถแบบทั้งภายใน-ภายนอกเด็ดขาด มิเช่นั้น!! (#เอามือทาบอก ชมเองเถอะค่ะ)

คุณพระ!!พี่แกผิดตรงไหน ก็ลูกค้าบอกให้ล้างทั้งภายใน-ภายนอก ก็เปิดประตูล้างกันแบบนี้แหละ ตากแดดแปปเดียวเดี๋ยวก็คงแห้ง #ร้องไห้หนักมาก ผิดทุกตรงเลยพี่

ใครเจอแบบนี้เข้าไปก็ขอให้ใจเย็นๆนะจ๊ะ คนเรามีผิดพลาดกันได้ ด้วยความหมายของภาษาที่เป็นอุปสรรค แต่ยังไงอาเฮียเจ้าของร้านคงต้องรับผิดชอบแหละเนอะ ไม่งั้นขับไปก็ได้โดนไฟดูดไปตลอดทางกันพอดี


//variety.teenee.com/foodforbrain/70229.html




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 1 กรกฎาคม 2558 8:56:52 น.   
Counter : 2201 Pageviews.  

8 รักแท้(รอบโลก) ที่ไม่ได้มีแค่ในนิยาย

ไปพิสูจน์กัน ว่ารักแท้มีจริงๆ นะ กับ "8 รักแท้(รอบโลก) ที่ไม่ได้มีแค่ในนิยาย" ไปพิสูจน์กันเลยค่ะ!


1. ไม่มีอะไรสำคัญต่อความรักมากไปว่า "หัวใจ"

น้องๆ เคยคิดไหมคะ ว่าถ้าวันหนึ่งเราเสียโฉมขึ้นมา หรือต้องกลายเป็นคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จะยังมีใครรักเราอยู่ไหม คู่ของเทย์เลอร์ มอร์ริส และแดเนียล เคลลี คือคู่รักที่พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าไม่มีข้อแม้ใดในรักแท้ค่ะ

เรื่องเริ่มจาก มอร์ริส ทหารเรือหนุ่มประจำหน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ถูกส่งให้ไปทำหน้าที่ ณ ประเทศอัฟกานิสถาน แค่ฟังก็น่ากลัวแล้วใช่ไหมคะ และมอร์ริสก็โชคร้ายซะด้วยค่ะ เพราะไปเหยียบระเบิดแสวงเครื่องเข้า เป็นเหตุให้เขาสูญเสียแขนซ้าย มือขวา และขาทั้งสองข้าง


แต่ในความโชคร้ายมอร์ริสยังหลงเหลือเรื่องราวดีๆอยู่ เพราะ เคลลี แฟนสาวของเขายังคอยเคียงข้างดูแลเหมือนเดิมไม่ไปไหน เธอทั้งคอยแบกมอร์ริส ทั้งคอยพามอร์ริสไปหาหมอ และดูแลการใช้ชีวิตประจำวันต่างๆให้มอร์ริสอีกด้วย โอ้โฮ แบบนี้ไม่เรียกว่ารักแท้ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีแล้วค่ะ


ถ้าน้องๆ อยากเห็นว่าความรักของมอร์ริสและเคลลีในปัจจุบันเป็นอย่างไร ไปดูภาพน่าประทับใจเหล่านี้กันเลยค่ะ


เคลลีไม่เคยทิ้งมอร์ริสไปไหนจริงๆค่ะ จนปัจจุบันนี้มอร์ริสมีแขนและขาเทียมเป็นของตัวเองแล้ว ดีใจด้วยนะคะ


2. เพลงรักจากคุณตา

คุณตาเฟรด และ คุณยายลอร์เรน พบรักกันที่เมืองพีโอเรีย รัฐอิลลินอยส์ในปี 1940 ทั้งคู่ครองรักกันอย่างมีความสุขยาวนานร่วม 73 ปี ก่อนที่คุณยายลอร์เรนจะจากไป ปล่อยให้คุณตาเฟรดวัย 96 ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพัง

หนึ่งเดือนต่อมาหลังการตายของคุณยาย คุณตาเฟรดพบประกาศการประกวดแต่งเพลงเข้า จึงตัดสินใจเขียนเพลงเข้าร่วมประกวด เพลง Sweet Lorraine ของคุณตาถูกเขียนลงบนกระดาษอย่างเรียบง่ายแทนที่จะอัดเสียงในสตูดิโออย่างผู้เข้าประกวดรายอื่นๆ ทำให้สะดุดตากรรมการเข้าอย่างจัง และยิ่งเมื่อกรรมการได้อ่านเนื้อเพลงที่พูดถึงความรัก ความคิดถึง และความหวังที่คุณตาจะได้กลับไปใช้ช่วงเวลาดีๆร่วมกับคุณยายลอร์เรนอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะเลือกเพลง Sweet Lorraine ของคุณตาให้ได้อัดเสียงเป็นเพลงจริงๆ

อยากรู้ว่าเพลง Sweet Lorraine ของคุณตาเป็นยังไง คลิกฟังได้ที่ลิงก์นี้เลยค่ะ



3. รักรอได้

จอห์น เมซ และ ริชาร์ด ดอร์ พบกันครั้งแรกเมื่อทั้งคู่ยังเป็นนักเรียน ทั้งคู่ฟังเพลงคล้ายๆ กันจึงเริ่มแลกซีดีกันฟัง จนในที่สุดจากการแลกเพลงกันฟัง ก็กลายเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้สึกดีๆระหว่างกันโดยไม่รู้ตัว


เมื่อจอห์นแต่งงาน เขามีลูกชายหนึ่งคนคือพอล แต่มาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1983 ทำให้จอห์นทุกข์ใจเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าในช่วงเวลาเศร้าโศกเช่นนั้นริชาร์ดก็ไม่เคยหนีไปไหน

ทั้งคู่ต่างคบหากันอย่างเงียบเชียบภายในซอกหลืบของสังคมที่แอนตี้รักร่วมเพศ กระทั่งนิวยอร์คประกาศผ่านกฏหมายอนุญาตให้ชาวรักร่วมเพศแต่งงานได้อย่างถูกต้อง พวกเขาจึงได้เปิดตัวต่อหน้าครอบครัว เพื่อน และนักข่าว ถึงความสัมพันธ์อันมั่นคงนี้

ในที่สุด คุณตาทั้งสองคนก็ได้แต่งงานกันเมื่อปี ค.ศ. 2011 ตอนทั้งคู่อายุครบ 91 ปี โอ้โฮ ยาวนานจริงๆ ค่ะ



4. รักแท้แม้ไม่เห็นหน้า

น้องๆ เคยสงสัยไหมคะว่า ในยุคที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตนั้น มีคู่รักที่อยู่ห่างไกลกันบ้างหรือเปล่า ถ้ามี คู่รักเหล่านั้นโครจรมาพบและรักกันได้ยังไงนะ มาค่ะ พี่กวางจะพาไปดูความรักของคนคู่นี้กัน


เดวิด ย้ายถิ่นฐานจากจาไมกาสู่มหานครนิวยอร์คในปี 1907 เขาต้องทำงานหนักทุกวัน และด้วยความเหงา จึงตัดสินใจเขียนจดหมายหา อาวริล หญิงสาวที่ไม่เคยหน้ามาก่อนผ่านทางหนังสือพิมพ์ The Caribbean และค่อยๆ ตกหลุมรักกัน

หลังจากส่งจดหมายหากันเป็นเวลานาน เดวิดก็ขอเธอแต่งงานผ่านทางจดหมาย ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ในที่สุด คนทั้งคู่ก็ได้พบกันเป็นครั้งแรกในวันแต่งงานนั่นเอง
ถ้าน้องๆสงสัยว่า เอ...แล้วความรักแบบนี้จะยั่งยืนรึเปล่านะ พี่กวางก็จะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 6 คน และหลังจากอาวริลจากไปในปี 1962 เดวิดก็ไม่เคยแต่งงานใหม่อีกเลยค่ะ

แม้จะได้พบกันครั้งแรกในงานแต่ง แต่กลับเป็นรักสุดท้ายของชีวิต
5. รักไม่มีวันตาย

แอนนา และ บอริส เพิ่งแต่งงานกันได้ 3 วัน ก่อนที่บอริสจะถูกกองทัพเรียกตัวไปเข้าร่วมสงคราม แต่ระหว่างที่แอนนากำลังรอสามีกลับมาอย่างมีความหวังนั้น ครอบครัวของเธอกลับถูกสตาลินเนรเทศไปที่ประเทศไซบีเรียอย่างรวดเร็ว จนไม่มีเวลาบอกกล่าวอะไรสามี

บอริสใช้เวลาตามหาภรรยานานหลายปี แต่ไม่สำเร็จ
แอนนาเคยท้อแท้จนพยายามฆ่าตัวตาย แต่แม่ของเธอห้ามไว้ และทำลายข้าวของต่างๆที่จะทำให้เธอคิดถึงบอริสทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาพงานแต่งหรือจดหมาย และให้เธอแต่งงานใหม่ บอริสก็เช่นกัน

ผ่านไป 60 ปี นับจากวันที่แอนนาและบอริสเคยแต่งงานกัน คู่แต่งงานใหม่ของพวกเขาต่างเสียชีวิตหมดแล้ว แอนนาจึงได้กลับมายังเมืองเดิมที่เคยอาศัยอยู่ ที่นั่นเธอเห็นชายชราคนหนึ่งจากไกลๆ เธอจำได้ทันทีว่าคือบอริส ซึ่งบังเอิญกลับมาที่นี่เพื่อเคารพหลุมศพพ่อแม่เช่นกัน เมื่อคนทั้งคู่พบกัน ก็ต่างวิ่งเข้าหากัน และจบลงเหมือนกับในนิทานที่เราเคยได้ยินเลยค่ะ นั่นคือทั้งสองคนแต่งงานกันอีกครั้ง และมีความสุขตลอดไป เย้


เห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของคุณตาคุณยายทั้งสองแล้วก็กดยิ้มไปด้วยไม่ได้นะคะ

6. รักมีได้หลายรูปแบบ

นอกจากความรักฉันคนรักแล้ว ความรักระหว่างเพื่อนก็น่าประทับใจไม่แพ้กันนะคะ เช่นเรื่องนี้ค่ะ

เรื่องเกิดจากวันหนึ่งในมณฑลเหอเป่ย์ ประเทศจีน เมื่อ หลิวเสี่ยว ผู้มีความผิดปกติทางขาตั้งแต่กำเนิด ติดฝนอยู่ในโรงเรียนเนื่องจากแม่ของเขาไม่สามารถมารับกลับได้ ทำให้ หลี่ว์ซี ชิ่งที่ผ่านมาเจอตัดสินใจช่วยแบกเพื่อนไปส่งถึงบ้าน แม้ตนเองจะเตี้ยกว่า นับตั้งแต่วันนั้นหลี่ว์ซีชิ่งก็แบกหลิวเสี่ยวไป-กลับโรงเรียนทุกวัน รวมถึงแบกไปห้องน้ำด้วย

หลิวเสี่ยวบันทึกถึงเหตุการณ์นี้ในไดอารี่ว่า หลี่ว์ซีชิ่งเปรียบดังผู้ขับไล่เมฆดำออกไป และมอบแสงสว่างให้ชีวิตเขา

7. ใส่ชุดเดียวกันมา 35 ปีแล้ว

อันนี้ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับรักแท้รึเปล่า แต่พี่กวางเห็นว่าน่ารักดีค่า กับคู่ของ คุณตาโดนัลด์ เฟเธอส์สโตน ศิลปินผู้สร้างสรรค์หุ่นนกฟลามิงโก้สีชมพูที่น้องๆ คุ้นเคยกัน แต่รู้รึเปล่าคะว่านอกจากคุณตาจะสร้างสรรค์หุ่นน่ารักๆพวกนั้นแล้ว คุณตายังเป็นคนโรแมนติกมาอีกด้วย เพราะตั้งแต่คุณตาโดนัลด์ แต่งงานกับ คุณยายแนนซี มา 35 ปี ยังไม่เคยมีวันไหนที่พวกเขาจะไม่ใส่เสื้อผ้าเข้าคู่กันเลยค่ะ

แต่ละชุด ไม่รู้จะบอกว่าคุณตายอมใส่ตามใจคุณยาย หรือคุณยายยอมใส่ตามใจคุณตาดีนะ 555

8. รักไม่ย่อท้อ คือรักอมตะ

น้องๆ ยังจำกิจกรรม Ice Bucket ที่มีขึ้นเพื่อระดมทุนร่วมบริจาคให้ผู้ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS ซึ่งฮิตไปทั่วโลกอยู่พักหนึ่งได้ไหมคะ ถ้ายังจำได้ละก็ จะต้องอินกับเรื่องราวความรักของคู่นี้แน่นอน นั่นคือคู่ของ พ่อรอง (รอง เค้ามูลคดี) และ แม่ทุม (ปทุมวดี โสภาพรรณ) นักแสดงรุ่นใหญ่เจ้าบทบาทของเมืองไทยที่น้องๆ รู้จักกันดีค่ะ

ความรักของพ่อรองและแม่ทุมเริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์เป็นคนรักและแต่งงานกัน ในช่วงแรกๆ ของการแต่งงาน แม่ทุมเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไรนัก เพราะพ่อรองทั้งเพื่อนเยอะ ทั้งเจ้าชู้ แถมยังเคยเลิกกันมาแล้วครั้งหนึ่งด้วย แต่สุดท้ายพ่อรองก็กลับมา และปรับความเข้าใจกันค่ะ พอมีลูก ทั้งคู่ก็เริ่มจริงจังกับชีวิตครอบครัวขึ้นเรื่อยๆ
ครอบครัวของพ่อรองและแม่ทุมดูเป็นครอบครัวที่มีความสุข อบอุ่น อบอวลไปด้วยบรรยากาศของความรัก จนกระทั่งวันหนึ่งที่แม่ทุมล้มป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษ ตามด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS นี่แหละ ก็ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความรักที่พ่อรองมีให้แม่ทุมเลยค่ะ เพราะไม่ว่าแม่ทุมจะเจ็บป่วย จนถึงขั้นความจำเสื่อม จำไม่ได้ว่าพ่อรองคือใคร แต่พ่อรองก็ไม่ไปไหน ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อหาเงินมาใช้รักษาแม่ทุมอย่างต่อเนื่อง แม้หมอจะบอกว่าโรคของแม่ทุมไม่มีทางรักษาหายก็ตาม

    ถือโอกาสนี้ขอร่วมเป็นกำลังใจให้ครอบครัวเค้ามูลคดีผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปให้ได้นะคะ ขอให้ปาฎิหาริย์มีจริง ให้พ่อรองพาแม่ทุมกลับมาสร้างความสุขที่หน้าจอทีวีได้อีกครั้งค่ะ


dek-d.com
//variety.teenee.com/foodforbrain/70228.html




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 1 กรกฎาคม 2558 8:55:57 น.   
Counter : 1054 Pageviews.  

10 ภาพ ก่อนเสี้ยววินาที ที่พวกเขาเหล่านี้จะจบชีวิตลง!



10 ภาพ ก่อนเสี้ยววินาที ที่พวกเขาเหล่านี้จะจบชีวิตลง!

ในภายระยะ เวลาเพียงแค่ 1 นาที หรือเสี้ยววินาที อาจจะมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมาย หรือเพียงแค่เรากระพริบตา สิ่งต่างๆรอบตัวก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลในภาพต่อไปนี้

หลังจาก ที่พวกเขาได้ถ่ายภาพเหล่านั้นเอาไว้ ห่างไปเพียงเสี้ยวนาที ชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าที่พวกเขาไม่มีตัวตนอยู่บนโลกอีกแล้ว หลังจากถ่ายภาพ

1.เมื่อเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนานกลับมาเจอกัน แต่ความสุขก็อยู่กับพวกเขาเพียงไม่นาน หลังจากนั้นเพียง 10 วันเพื่อนสาวของเขาก็เสียชีวิตลง


2.ภาพสุดท้ายของพวกเขาก่อนที่หิมะจะถล่มลงมาเพราะแผ่นดินไหว

3.นายกรัฐมนตรีแห่งคองโก ก่อนที่เขาถูกสังหารณ์

4.ภาพของเจ้าหน้าที่ผู้กล้าหาญ เขาช่วยชายคนนี้และกำลังจะวิ่งกลับไปเพื่อช่วยชายอีกคน หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ตึกถล่มและเขาเสียชีวิต

5.เขาโพสต์ภาพตัวเองและลูกสาววัย 19 เดือนลงไปเฟสบุค ก่อนที่เขาจะยิงเธอและตัวเองตาย


6.ภาพสุดท้ายก่อนที่โรคมะเร็งจะพรากเขาไปจากโลกใบนี้และคนที่เขารัก

7.ภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะกระโดดลงจากสะพานลอย

8.ภาพสุดท้ายของ พอล วอร์คเกอร์

9.ภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะประสบอุบัติเหตุ

10.ภาพของ ริค มายอล นักแสดงชาวอังกฤษ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก wittyfeed

ที่มา: //www.clipmass.com/story/99820
//variety.teenee.com/foodforbrain/70237.html




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 1 กรกฎาคม 2558 8:53:46 น.   
Counter : 1206 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  

tukdee
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 51 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add tukdee's blog to your web]