นิทานผลส้ม

วันหนึ่งเด็กๆ เจ็ดพี่น้องตระกูลส้มมาเยี่ยมคุณยายที่ไร่ส้มต่างจังหวัด เด็กทั้งเจ็ดประกอบไปด้วย ส้มเช้ง ส้มโอ ส้มแป้น น้ำส้ม
ส่วนส้มจุกกับส้มจี๊ดเป็นฝาแฝดกัน ทั้งหกล้วนเป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด คงมีเพียงส้มเขียวหวาน น้องคนเล็กอายุห้าขวบเท่านั้นที่เป็นเด็กผู้ชาย

เด็กๆ ทั้งเจ็ดล้วนชอบฟังนิทานเป็นชีวิตจิตใจ แต่คราวนี้ไหนๆ ก็มาเยี่ยมคุณยายถึงบ้านไร่ทั้งที
เจ็ดพี่น้องจึงตกลงกันว่าจะให้คุณยายเป็นคนเล่าให้ฟัง
“เล่านิทานหรือ อืม ฟังดูน่าสนใจดีนี่” คุณยายบอก “แต่ยายว่าพวกหลานๆ น่าจะเป็นคนเล่าให้ยายฟังมากกว่านะ”
“ว้า! ยายเอาเปรียบนี่นา” น้ำส้มซึ่งเป็นคนกลางในบรรดาพี่น้องทั้งเจ็ดพูด
“แต่นิทานเรื่องนี้ไม่ใช่นิทานธรรมดาๆ นะ แต่ว่าเป็นนิทานของพวกเธอ”
“หมายความว่ายังไงคะ” ส้มเช้งพี่คนโตถาม
“ก็หมายความว่าเป็นนิทานที่เกี่ยวกับไอ้นี่ยังไงล่ะ” ว่าแล้วคุณยายก็หยิบผลไม้ที่อยู่ในตะกร้าบนโต๊ะขึ้นมา
“ส้ม!” ส้มจุกกับส้มจี๊ดพูดพร้อมกัน
“ใช่ พวกหลานต้องใช้ไอ้นี่ประกอบการเล่าเรื่อง แต่มีข้อแม้อยู่อย่างนึง”
“ข้อแม้อะไรคะ” ส้มแป้นถาม
“ข้อแม้ก็คือ เจ้าของสิ่งนี้มันจะเป็นอะไรก็ได้ยกเว้นตัวมันเอง และห้ามพวกหลานเอ่ยชื่อของมันออกมาเด็ดขาด เราจะผลัดกันเล่าไปเรื่อยๆ จนกว่า...”
“จนกว่าอะไรคะ” น้ำส้มถาม
“จนกว่าเราจะเล่าต่อไม่ได้นะสิ แล้วถ้าใครเล่าต่อไม่ได้ คนนั้นก็ต้องกลายเป็นปิศาจนิทานสิงสถิตอยู่ในบ้านหลังนี้ชั่วนิรันดร์ ปิศาจนิทานจะต้องเล่านิทานให้แขกทุกคนที่ต้องการฟัง”

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคุณยาย เด็กหลายคนเริ่มวิตกกลัวโดยเฉพาะน้ำส้ม ในขณะที่พ่อหนูส้มเขียวหวานน้องคนสุดท้องก็ดูดนิ้วหัวแม่มือ โดยไม่ได้มีทีท่าร้อนใจกับเรื่องปิศาจนิทานเลยแม้แต่น้อย
“ว่ายังไง พวกหลานพร้อมรึยังจ๊ะ เอาล่ะ ยายจะเริ่มเล่าตอนต้นให้ก็แล้วกัน จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของหลานๆ นะ”

คุณยายเงียบไปครู่หนึ่ง หยิบผลส้มมาคลึงเล่นพร้อมกับใช้ความคิด แล้วจึงเริ่มต้นเล่าว่า
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งเกิดมาอาภัพนัก ด้วยเหตุที่ว่าเขาเกิดมามีแต่หัว ไม่มีแขน ขา ลำตัว หรือว่านิ้วมือ นิ้วเท้าเลย และหัวของเขานั้นก็กลมเหมือน...”
“ส้ม!” ส้มจุกกับส้มจี๊ดร้องขึ้นพร้อมกัน
“ชู่! ลืมแล้วหรือไงจ๊ะว่านิทานเรื่องนี้ห้ามหลานๆ เอ่ยชื่อของมัน ยายจะบอกว่าหัวของชายคนนี้กลมเหมือนแตงโมต่างหาก ดังนั้นเวลาจะไปไหนมาไหนที เขาก็ต้องกลิ้งไป...เอาล่ะตาหนูแล้วล่ะ” คุณยายพยักหน้าให้ส้มเช้ง โดยไม่เรียกชื่อ
“บ้านของชายคนนี้อยู่บนเนินเขา และทำงานในโรงโบว์ลิ่งที่ตีนเขา” ส้มเช้งเล่าต่อทันทีโดยไม่ต้องหยุดคิด “เนื่องจากเขากลมไปทั้งตัวก็เลยคิดว่าการทำงานเป็นลูกโบว์ลิ่งน่าจะเหมาะที่สุด วันหนึ่งชายคนนี้ก็เดิน เอ๊ย กลิ้งออกไปทำงานตามปกติ ขาไปทำงานนั้นแสนจะสบาย เพราะเพียงแค่กลิ้งลงไปแป๊บเดียวก็ถึงที่ทำงานแล้ว”
ส้มเช้งวิ่งไปที่บันไดแล้วเอาผลส้มกลิ้งลงจากบันไดขั้นบนประกอบการเล่า
“จะลำบากก็อีตอนขากลับบ้านน่ะสิ” ส้มเช้งเล่าถึงตอนนี้แล้วก็หยุดเสียเฉยๆ “พี่เล่าจบแล้ว ตาเธอแล้วล่ะ” เด็กหญิงหันไปบอกส้มโอน้องคนรอง
“พี่ขี้โกงนี่นา!” ส้มโอโวยวาย “เล่าถึงตอนยากแบบนี้แล้วฉันจะเล่าต่อยังไงล่ะ”
“เอาน่า ก็พี่คิดไม่ออกนี่นา” ส้มเช้งสารภาพ

ส้มโอค้อนพี่สาวก่อนจะเริ่มเรื่องในส่วนของเธอ “เขารู้ดีว่าการกลับบ้านที่อยู่บนเขานั้นแสนยากลำบาก แต่จะไม่กลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะที่นั่นเขามีพ่อแก่ๆ กับแม่ที่ป่วยอยู่ต้องคอยดูแล”
“แล้วเขาทำยังไง!” ส้มเช้งแทรกขึ้น
ส้มโอค้อนพี่สาวอีกครั้ง เธอลุกไปหยิบหลอดดูดนมที่มีปลายแหลมด้านหนึ่งไว้สำหรับเจาะมาเสียบเข้าที่ขั้วผลส้มแล้วจึงเล่าต่อ
“ทุกวัน เขาต้องพกโซ่เส้นหนึ่งติดตัวไว้เสมอ เพื่อว่าขากลับบ้านหลังเลิกงานเขาจะได้เอาโซ่คล้องรอบหัว แล้วเขาก็จะสะบัดปลายโซ่อีกข้างไปคล้องกับโคนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วดึงตัวเขาขึ้นไป เมื่อถึงต้นไม้ต้นนั้นแล้วเขาก็จะปลดโซ่ออกแล้วสะบัดขึ้นไปคล้องต้นไม้ต้นถัดไป ด้วยวิธีนี้เองเขาจึงสามารถกลับขึ้นบ้านที่อยู่บนเนินเขาได้ แต่ว่ากว่าจะกลับถึงบ้านได้ก็ดึกโขแล้ว จึงไม่มีใครหาข้าวเย็นให้พ่อแม่กิน ทันทีที่เห็นหน้าเขา แม่ซึ่งนอนป่วยอยู่ก็ตวาดขึ้นมาทันทีว่า ‘แกมัวหายหัวไปไหนมา รู้ไหมว่าข้าหิวแค่ไหน’ ชายผู้นี้ก็ขอโทษขอโพยแม่ว่า ‘ฉันขอโทษจ้ะแม่ พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านให้เร็วกว่านี้’ แม่ก็ยังไม่เลิกโวยวาย หล่อนบอกว่า ‘ถ้าพรุ่งนี้แกกลับมาไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินละก็ ข้าจะฟาดแกให้น่วมเลยเชียว’ “
“แล้ววันต่อมาเขาทำยังไงล่ะ” ส้มแป้นถามพี่สาวด้วยความตื่นเต้น
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นเป็นหน้าที่ของเธอแล้วล่ะ” ส้มโอปัดภาระ เธอถอนหายใจโล่งอกที่ยังไม่ต้องกลายเป็นปิศาจนิทานในเวลานี้

เมื่อไม่มีทางเลี่ยง ส้มแป้นจึงหยิบส้มผลนั้นมาพิจารณาครู่หนึ่งแล้วเล่าว่า
“ชายผู้นี้นอนไม่หลับทั้งคืน เพราะมัวแต่คิดว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี วันรุ่งขึ้นเขาทำงานอย่างไม่มีสติจึงกลิ้งลงท่อด้านข้างเลนบ่อยเป็นพิเศษ ทำเอาบรรดาคนมาโยนโบว์ลิ่งต่างบ่นกันเป็นแถวว่า ‘เอ๊ะ ทำไมอยู่ดีๆ มันกลายเป็นล้างท่อไปได้’ อีกคนก็ว่า ‘ลูกโบว์ลิ่งลูกนี้ต้องเป็นอะไรแน่ๆ ฝีมือเราไม่เคยแย่ขนาดนี้มาก่อน’ ว่าแล้วเขาก็ไปฟ้องผู้จัดการให้เอาลูกโบว์ลิ่งลูกอื่นมาเปลี่ยนให้เขา ผู้จัดการรีบทำตามความต้องการ แต่หลังจากลูกค้าจากไปพร้อมลูกโบว์ลิ่งลูกใหม่แล้ว ผู้จัดการก็หันมาเอ็ดชายคนนี้ ‘วันนี้แกทำงานประสาอะไรกัน ไม่เอาแล้ว ฉันขอไล่แกออก!’
“เมื่อไม่มีงานให้ทำแล้ว เขาก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงกลับบ้านด้วยอาการเศร้าสร้อย เมื่อแม่เห็นเขาเดินเข้าบ้าน หล่อนก็ยิ้มด้วยความพอใจแล้วบอกว่า ‘ดีมากที่กลับมาทันทำอาหารให้แม่กินมื้อเย็น’ ชายคนนี้จึงเข้าครัวไปทำอาหารง่ายๆ ให้พ่อกับแม่ด้วยปากของเขา
“เมื่อเอาข้าวให้พ่อแม่กินเสร็จแล้ว แม่ก็ถามว่า ‘แล้วไหนล่ะเงินค่าจ้างสำหรับวันนี้ เอามาให้แม่เก็บไว้เสียเถอะ’ ชายผู้นี้ก็บอกว่า ‘ไม่มีหรอกจ้ะแม่ เพราะฉันถูกไล่ออกแล้ว’ เท่านั้นแหละแม่ก็โกรธจัด ลุกขึ้นเอาไม้กวาดไล่ฟาดเขาโดยลืมไปว่าตัวเองกำลังป่วยหนัก ชายผู้นี้ได้แต่กลิ้งหนีโดยไม่อาจปัดป้องได้เพราะไม่มีมือ จนระบมไปทั้งหัว ‘ออกไปซะ! แล้วอย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก ไอ้ลูกเฮงซวย!’ ชายผู้นี้ไม่มีทางเลือกในเมื่อแม่ไม่ต้องการให้เขาอยู่แล้วเขาก็ต้องจากไป แต่เขาก็ไม่รู้จะไปไหน เพราะชีวิตนี้เขารู้จักแต่บ้านกับโรงโบว์ลิ่งเท่านั้นเอง...”
“พี่เล่าต่อสิ” น้ำส้มบอกพี่สาว
“ตาเธอแล้วล่ะ” ส้มแป้นโบ้ยให้น้องสาว

น้ำส้มซึ่งเป็นเด็กขี้แยกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ตาแดงก่ำ เธอหันไปบอกคุณยายว่า “ยาย หนูไม่อยากเป็นปิศาจนิทาน”
“งั้นหลานก็เล่านิทานสิจ๊ะ เล่าอะไรก็ได้ต่อจากพี่เขา ยายเชื่อว่าชายคนนี้ต้องหาทางจนได้นั่นแหละ” คุณยายให้กำลังใจ “นอกจากหลานแล้วไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
น้ำส้มเอามือป้ายเช็ดน้ำตาแล้วจึงเริ่มเรื่องของเธอ โดยช่วงแรกน้ำเสียงยังสะอึกสะอื้นอยู่
“เขาตัดสินใจกลิ้งลงเขา เมื่อกลิ้งลงเขาหัวของเขาก็ฟาดกับก้อนหินและต้นไม้ต่างๆ จนหัวแตก” น้ำส้มเอาเล็บจิกผิวส้มแล้วแกะเปลือกออกส่วนหนึ่ง แล้วก็เอาหลอดดูดนมที่เสียบขั้วผลส้มออก “เขาปวดหัว ส่วนโซ่ที่เขาใช้คล้องหัวตัวเองก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาไม่อาจกลับบ้านได้อีกต่อไป”
น้ำส้มเอาผลส้มกลิ้งไปมากับพื้น “ยิ่งกลิ้ง เขาก็ยิ่งเจ็บแผล แล้วหัวของเขาก็ถลอกปอกเปิกจนหมด”
ถึงตอนนี้เด็กหญิงก็แกะเปลือกส้มออกจนหมด
“เขาตัดสินใจเร่ร่อนไปที่อื่น กลิ้งถึงที่ไหนก็ไปที่นั่น”
แล้วเธอก็หยุดกลางคัน ดวงตาเธอมีน้ำตาคลอ “ยาย หนูไม่รู้แล้วว่ามันจะเป็นยังไงต่อ”
“เท่านี้ก็ใช้ได้แล้วล่ะ เป็นนิทานที่เยี่ยมมากจ้ะ” คุณยายยิ้มให้
“หนูจะไม่กลายเป็นปิศาจนิทานใช่ไหมคะ”
“สำหรับตอนนี้ละก็ไม่หรอกจ้ะ” คุณยายบอก “ต่อไปก็ให้เป็นหน้าที่ของส้มจุกกับส้มจี๊ดก็แล้วกัน หลานสองคนใครจะเล่าก่อน”
“เราจะเล่าพร้อมกัน” ส้มจุกกับส้มจี๊ดบอก
“เอางั้นก็ได้” คุณยายบอก

“วันหนึ่งชายคนนี้ก็เดิน เอ๊ย กลิ้ง ไปจนเจอขอทานคนหนึ่ง” ส้มจุกเริ่มต้น “ขอทานคนนี้บอกว่า ‘นายท่าน หัวของท่านดูช่างน่านอนเหลือเกิน ถ้าไม่รังเกียจละก็ท่านจะช่วยทำบุญทำทานขอทานอย่างข้าให้ได้นอนบนหัวของท่านสักหน่อยจะได้ไหม’ “
แล้วส้มจี๊ดก็เล่าบ้าง
“ชายคนนี้ลังเลอยู่นาน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าหัวของตัวเองจะน่านอนอย่างที่ขอทานพูด เพราะเขาไม่เคยนอนบนหัวของตัวเองมาก่อน แต่ในเมื่อขอทานขอร้องถึงขนาดนี้แล้ว เขาจึงยินดีมอบหัวของเขาให้ขอทาน”
แล้วส้มจี๊ดก็ฉีกส้มแบ่งครึ่งลูกยื่นส่งให้ส้มจุก ดังนั้นคู่แฝดของเธอจึงเล่าต่อ
“เขาเอาหัวของตัวเองครึ่งหนึ่งให้ขอทาน แล้วขอทานก็วางหัวของเขาครึ่งนั้นบนพื้นแล้วลองขึ้นไปนอนดู ‘โอ้ ช่างสบายอย่างที่คิดไว้จริงๆ ขอบคุณท่านมากนะ’ ชายคนนี้รู้สึกดีใจที่ได้ทำให้คนอื่นมีความสุข ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจกลับไปทำงานเป็นลูกโบว์ลิ่งได้อีกแล้วก็ตาม”
เมื่อส้มจุกหยุด ส้มจี๊ดก็เล่าต่อโดยไม่ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุม
“คราวนี้เขาจะกลิ้งก็กลิ้งไม่ถนัดแล้ว เพราะเหลือหัวแค่ครึ่งเดียว ด้านที่กลมนั้นยังพอกลิ้งได้ แต่เมื่อกลิ้งไปถึงด้านแบนๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลิ้งไปยังไงต่อ เขาเอาหัวถูกับพื้นขณะใช้ความคิด (ถ้าเขามีมือเหมือนคนปกติก็คงจะเกาหัวไปแล้ว) เขาคิดมากจนผมตัวเองร่วงไปตั้งเยอะ”
แล้วส้มจี๊ดก็ดึงเอาใยส้มออกมาสองสามเส้น แล้วส่งส้มครึ่งลูกนั้นให้คู่แฝดของเธอ
“เขามองซ้ายมองขวา” ส้มจุกเล่าต่อ “เพื่อจะหาของอะไรที่ช่วยเขาได้ แล้วเขาก็พบ...”
“แพลำหนึ่ง!” ส้มจี๊ดเล่าต่อ “เมื่อล่องแพไปจนสุดลำธาร ชายผู้นี้ก็ต้องขึ้นฝั่ง เขาเจอแม่มดตนหนึ่งมาขอแบ่งหัวของเขาไปทำเป็นหมวกของหล่อน ชายผู้นี้ก็เลยยื่นหัวของเขาให้แม่มด แม่มดตนนี้ก็โลภเหลือเกิน หล่อนแกะเอาหัวของชายคนนี้ไปเกือบหมด เหลือให้เจ้าของเพียงแค่เสี้ยวเล็กๆ เท่านั้นเอง”
แล้วส้มจี๊ดก็แกะส้มออกจนเหลือแค่กลีบเดียว เธอยื่นส่งให้ส้มเขียวหวานผู้เป็นน้องชาย เธอกับคู่แฝดพูดพร้อมกันว่า “เราไม่รู้จะเล่าอะไรต่อแล้ว”
น้ำส้มเห็นสภาพของส้มที่เหลือแค่กลีบเดียวก็ทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีก
“โธ่! ดูพวกเธอทำกับเขาสิ เหลือแค่เสี้ยวเดียวยังงี้แล้วจะทำอะไรต่อได้ล่ะ ยังอีกตั้งนานกว่าจะเช้า มีหวังน้องเล็กของเราต้องกลายเป็นปิศาจนิทานแน่เลย”

ส้มเช้ง ส้มโอ และส้มแป้นต่างก็วิตกเหมือนน้ำส้ม ขณะที่ส้มเขียวหวานเอานิ้วหัวแม่มือออกจากปาก เขายื่นมือข้างนั้นไปรับส้มมาจากพี่สาว
“หัวเขาเหลือแค่จี๊ดเดียวเอง” เด็กชายเล่า “เขากระโดดไปกระโดดมาจนเจอพระฤๅษีนั่งอยู่บนหินก้อนเบ้อเริ่ม” เขาจับกลีบส้มกระโดดตามจังหวะการเล่าเหมือนเด็กเล่นตุ๊กตุ่นตุ๊กตา แล้วเล่าต่อว่า “พระฤๅษีเห็นก็สงสาร ก็เลยชุบตัวให้เขาใหม่”
เด็กชายลุกไปหยิบส้มผลใหม่จากตะกร้ามาอวดคนอื่นแล้วยิ้ม
พี่ๆ ทั้งหกได้เห็นและฟังนิทานของน้องชายก็โล่งอก ชายคนนี้กลับมามีหัวกลมๆ เหมือนเดิมแล้ว ทีนี้พวกเธอก็สารถเล่าเรื่องต่อไปได้

จนกระทั่งเช้านิทานเรื่องนี้ก็ยังไม่จบ เมื่อใดก็ตามที่ชายคนนี้มีสภาพยับเยินจนเกินเยียวยา เขาก็จะไปเจอพระฤๅษีซึ่งชุบตัวให้เป็นคนใหม่ทุกครั้ง
แม้ส้มในตะกร้าของคุณยายจะพร่องไปมาก พร้อมกับเปลือกส้มเกลื่อนพื้น แต่อย่างน้อยคืนนี้เด็กๆ ก็รอดพ้นจากการเป็นปิศาจนิทานไปได้!




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2548    
Last Update : 12 มิถุนายน 2548 15:02:06 น.
Counter : 2489 Pageviews.  

ความฝันของเจ้าชาย

พระราชาเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ เนื่องจากเจ้าชายผู้เป็นพระโอรสหนีออกไปจากเมืองตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว

เจ้าชายอายุสิบหกแล้ว จึงเดินทางออกสู่โลกกว้าง หากเป็นเจ้าชายทั่วไปอาจเดินทางไปศึกษาหาวิชาจากฤๅษีในป่าเพื่อเตรียมตัวกลับมาเป็นพระราชา
แต่เจ้าชายไม่ได้อยากฝึกวิชาจากฤๅษีใดๆ หรือจะพูดตรงๆ ก็คือ เจ้าชายไม่ได้อยากกลับมาเป็นพระราชาปกครองบ้านเมือง

แล้วเจ้าชายอยากเป็นอะไร?

ความฝันของเจ้าชายมีเพียงหนึ่งเดียว คือการได้เป็นนักร้อง ออกอัลบั้มซีดี มีเพลงติดชาร์ตบิลบอร์ด และมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง
แต่แน่นอนว่าพระราชาย่อมไม่ยอมรับความคิดนี้ของพระโอรสได้

และแล้วในระหว่างที่ทรงกลุ้มพระทัยอยู่นั้นก็ทรงนึกได้ว่าพระองค์มีพระสหายอยู่องค์หนึ่ง (ต้องเรียก ‘องค์’ เพราะพระสหายเป็นพระราชาเหมือนกัน) พระสหายองค์นี้มีลูกไม่รักดีเหมือนกัน

ว่าแล้วพระราชาก็ไม่รีรอ ทรงเปิดพระคอมพิวเตอร์ ทรงอินเตอร์เน็ต แล้วส่งอีเมลถึงพระสหายทันที

จดหมายของพระราชามีใจความดังนี้

“Dear ท้าวสุทัศน์
เนื่องจากเราทราบมาว่าท่านมีลูกชายไม่เอาถ่านอยู่คนหนึ่ง แทนที่จะสนใจศึกษาหาวิชา ประกอบสัมมาอาชีวะสมฐานะพระราชา แต่กลับไปเรียนเป่าปี่เสียนี่ ขอบอกท่านตามตรงว่าตอนนั้นเรารู้สึกสมเพชว่ะ (ขออภัย นี่อาจทำให้ท่านโกรธ แต่มันเป็นความจริง) ที่ดันมีลูกชายความคิดประหลาด แต่พอถึงตอนนี้เราถึงค่อยเข้าใจความรู้สึกของท่านในเวลานั้น (และเลิกสมเพชท่านแล้ว ขอบอก)
ที่เป็นยังงี้ก็เพราะว่าเราเองก็มีลูกไม่รักดีเหมือนท่านน่ะสิ หน็อย! เป็นเจ้าชายอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ริอยากจะเป็นนักร้อง เป็นพวกเต้นกินรำกิน (เอ๊ะ! หรือว่าที่จริงแล้วลูกชายเราเห็นพ่อนักเป่าปี่ลูกชายท่านเป็นตัวอย่าง ถ้าเป็นยังงั้นท่านต้องรับผิดชอบด้วย!)

เราถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน จะห้ามยังไงลูกชายเราก็ไม่ฟัง ในที่สุดเขาก็หนีออกจากวังไป บอกว่าจะไปตาม ‘ความฝัน’ เราสงสัยนักว่าพระราชวังสามฤดูของเราออกจะโอ่โถง เมืองของเราก็แสนจะกว้างใหญ่ แล้วมันไม่มีไอ้เจ้า ‘ความฝัน’ ที่ลูกชายเราต้องการเลยหรือไง เขาถึงต้องออกไปตามหาถึงเมืองอื่นยังงั้นน่ะ

ขออภัยที่พล่ามมาเสียยาว ที่เขียน (ความจริงแล้วพิมพ์) มาเสียยืดยาว ก็เพราะไม่เห็นใครเป็นที่พึ่งได้อีกแล้วนอกจากท่าน หวังว่าจะได้รับคำตอนจากท่านโดยด่วน

เราเอง

ป.ล. ตอนนี้เรามีเว็บไซต์ของเมืองเราแล้วนะ ว่างๆ ท่านก็ลองคลิกเข้ามาดู หรือจะแลกลิงค์กันก็ได้”

หลังจากส่งอีเมลไปให้พระสหายแล้ว พระราชาก็รอเมลตอบกลับอย่างใจจดใจจ่อ ถึงขนาดทรงออนไลน์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยทีเดียว (พระราชาใช้ไฮสปีดอินเตอร์เน็ต ระบบเหมาจ่ายรายเดือน) บางครั้งพระราชาก็เปิดหน้าต่างอื่นดูแล้วก็ถอนหายใจ

กระทั่งสามวันผ่านไป พระราชาจึงได้รับพระราชสาส์นอีเมลตอบกลับจากพระสหาย มีใจความดังนี้

“Dear ท่าน (ท่านชื่ออะไรนะ?)
เราขอบอกตามตรงว่าโกรธท่านมั่กๆ ตอนที่อ่านเมลของท่านถึงตอนที่บอกว่ารู้สึกสมเพชเรา แต่เมื่ออ่านไปจนจบความโกรธของเราก็บรรเทาลง เพราะเรามันก็หัวอกเดียวกัน

ตอนแรกที่เรารู้ว่าลูกอภัยฯของเราไปเรียนวิชาเป่าปี่น่ะ เราโมโหจนลมออกหูทีเดียว (ความจริงยังมีลูกศรีฯอีกคน แต่นั่นเขาไปเรียนวิชากระบี่กระบองมา ก็ยังพอโอเคน่ะ) เราถึงกับขับไล่ลูกทั้งสองออกจากวัง ให้พวกเขาตุหรัดตุเหร่ไปเผชิญโลกกว้างตามลำพัง แต่เวลาผ่านไปหลายปี เราถึงได้รู้ว่าดินแดนของเราแม้จะกว้างใหญ่ไพศาล และมีสิ่งของต่างๆ มากมายแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีซอกมุมไหนในเมืองของเราที่มี ‘ความฝัน’ ของลูกชายเราซุกซ่อนอยู่ เขาจึงต้องออกไปตามหาด้วยตัวเอง ก็เหมือนกับลูกชายท่านน่ะแหละ (ว่าแต่เขาชื่ออะไรนะ?)

ตอนหลังเราถึงได้รู้ว่าการที่ลูกอภัยฯสำเร็จวิชาเป่าปี่มา อย่างน้อยก็ไม่เสียหลาย เขาสามารถเป่าปี่ให้พราหมณ์ง่วงหลับไป (ตอนที่ได้ฟังความสามารถด้านนี้ของลูกอภัยฯ เราไม่แน่ใจหรอกว่าเขาเป่าปี่เก่งหรือห่วยกันแน่) เขาใช้เพลงปี่เกี้ยวสาวได้หลายคน แล้วก็บทเพลงเดียวกันนั่นแหละ เขาก็ใช้สังหารผีเสื้อสมุทรได้ (เราแอบไม่บอกท่านว่าความจริงผีเสื้อสมุทรที่ว่าก็เมียคนแรกของเขานั่นเอง)
เราคิดว่าประเด็นสำคัญที่สุดไม่ใช่อยู่ที่ว่าเขาไปเรียนอะไรมา หากแต่เป็นว่าเขาได้ตั้งใจอย่างเต็มที่ และมุ่งมั่นกับความฝันของตัวเองหรือเปล่าต่างหาก สิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ควรทำก็คือสนับสนุนสิ่งที่ลูกได้เลือกและทำแล้ว

ถึงตอนนี้เราบอกท่านได้อย่างไม่อายว่า เราแสนจะภูมิใจในตัวลูกอภัยฯของเรา ถึงเขาจะไม่เก่งเรื่องการบริหารบ้านเมือง แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นพระราชาที่เป่าปี่เก่งที่สุด เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกชายของท่านจะได้เป็นพระราชาที่ร้องเพลงเพราะที่สุดในอนาคตก็เป็นได้

บางทีลูกเรากับลูกท่านอาจมีโอกาสเล่นคอนเสิร์ตร่วมกันก็ได้นะ

ท้าวสุทัศน์
ป.ล. เราเข้าไปดูเว็บเมืองของท่านแล้ว แอดบุ๊คมาร์คไว้แล้วด้วย”

พระราชาได้อ่านพระอีเมลของท้าวสุทัศน์ผู้เป็นพระสหายแล้วก็ถอนหายใจ
“บางทีเราควรภูมิใจและยินดีที่ลูกชายของเราไปตามหาความฝันที่ไม่มีอยู่ในเมืองของเรา”

แล้วพระราชาก็บรรจงพรมนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดตอบพระอีเมลกลับให้ท้าวสุทัศน์

“Dear ท้าวสุทัศน์
เราได้อ่านเมลของท่านแล้วก็ตอบกลับทันที จริงอย่างที่ท่านว่า สิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ควรทำก็คือสนับสนุนสิ่งที่ลูกได้เลือกและทำแล้ว ขอบใจท่านมากที่ได้ให้คำปรึกษาที่ดีแก่เรา

อ้อ! แล้วที่ท่านบอกว่าลูกของเราสองคนอาจได้เล่นคอนเสิร์ตร่วมกันน่ะ มันเรียกว่าเป็น ‘ความฝัน’ ของคนเป็นพ่อรึเปล่า?

แต่ถ้าจะให้ดี ท่านน่าจะให้ลูกชายอีกคนมาร่วมเล่นคอนเสิร์ตด้วยนะ นอกจากใช้กระบี่กระบองแล้ว เขาพอจะเป็นแดนเซอร์ได้ไหม?

เราเอง (เราชื่อ "พระราชา" ส่วนลูกเราชื่อ "เจ้าชาย")
ป.ล. เว็บไซต์ของเมืองเรายังขลุกขลักเล็กน้อย แต่เราจะรีบแก้ไขโดยด่วน

เมื่อจดหมายไฟฟ้าของพระราชาถูกส่งไปเรียบร้อย พระราชาก็ทรงเปิดหน้าต่างอีกเว็บไซต์ขึ้นมา ที่นั่นพระองค์เห็นกลุ่มเด็กหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการซ้อมร้องเพลง โดยมีป้ายโฆษณาจำนวนมากมายเป็นฉากหลัง

แล้วพระองค์ก็เห็นใบหน้าของลูกชายจากกล้องที่ติดอยู่บนเพดาน

ภาพที่เห็นนั้นไม่ใช่ใบหน้าของ ‘เจ้าชาย’ หากแต่เป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่อิ่มเอิบจากการตามหา ‘ความฝัน’ ของตนเองจนพบ เขากำลังซ้อมร้องเพลงโดยมีครู (ความจริงต้องเรียกพระอาจารย์) คอยแนะวิธีการร้องที่ถูกต้องให้
พระราชายิ้มด้วยความภาคภูมิใจ แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ แล้วส่งเอสเอ็มเอสโหวตให้เจ้าชาย

หนึ่งคะแนนนี้คือการสนับสนุนสิ่งที่ลูกได้เลือกและทำแล้ว




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2548    
Last Update : 9 มิถุนายน 2548 12:10:56 น.
Counter : 344 Pageviews.  

แผนที่ของคุณปรีดา

คุณปรีดาเป็นคนโง่เรื่องทิศทางที่สุดในโลก ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาไปถึงสถานที่จุดหมายที่ต้องการไปได้โดยไม่หลงทาง
และจะว่าไปเกือบครึ่งในนั้น เขาก็ไปไม่ถึงด้วยซ้ำ

เมื่อต้องการไปซื้อพัดลมที่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เขากลับเดินหลงทางไปจนถึงร้านขายหนังสือ คุณปรีดาก็จะบอกตัวเองว่า
“ช่างเถอะ เอาหนังสือไปพัดแทนก็ได้ ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องเปลืองไฟ”
แล้วเขาก็เลือกหนังสือที่มีขนาดเหมาะมือมาทดลองพัดดูว่าจับถนัดมือหรือเปล่า พัดแล้วได้ลมแรงพอหรือเปล่า และที่สำคัญต้องไม่หนักเกินไป
ในที่สุดเขาก็ซื้อนิตยสารรายปักษ์ราคาถูกฉบับหนึ่งที่หน้าปกเป็นกระดาษอาบมันอย่างบาง
ส่วนข้างในเป็นกระดาษปรู๊ฟสีเหลืองซึ่งไม่หนาเกินไป และมีขนาดเหมาะมือ
ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นนิตยสารอะไรนั้นคุณปรีดาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว

และเมื่อถึงคราวที่เขาต้องการอ่านหนังสือสักเล่ม คุณปรีดาก็บอกว่า
“คราวนี้แหละ ฉันจะกลับไปที่ร้านหนังสือ”
(นิตยสารราคาถูกที่ซื้อมาใช้แทนพัดเมื่อคราวก่อนนั้นถูกใช้งานอย่างสมบุกสมบันจนขาดวิ่นและยับจนหมึกเลอะเลือน ไม่อาจทำหน้าที่ใดๆ ได้อีกต่อไปไม่ว่าในฐานะพัดหรือหนังสือ)
แต่เขากลับเดินหลงทางไปถึงร้านขายผ้า คุณปรีดายังคงมองโลกในแง่ดีด้วยการบอกตัวเองว่า
“ช่างเถอะ เลือกผ้าลายที่มีตัวหนังสือแทนก็แล้วกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือผ้าก็ใช้อ่านได้เหมือนกัน”
แล้วคุณปรีดาก็จัดแจงเลือกลายผ้า อาบังที่เป็นเจ้าของร้านก็ออกมาต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม
“อีนี่ต้องการผ้าแบบไหนนะนายจ๋า” อาบังถาม
“ฉันต้องการผ้าที่มีลายตัวหนังสือ”
อาบังได้ฟังก็จัดแจงหยิบผ้ามาให้ดูพับหนึ่ง
“ผืนนี้ใช้ได้ไหม นายจ๋า อีนี่มีตัวหนังสือเบ้อเร่อเลย”
แต่คุณปรีดากลับส่ายหน้าไม่ถูกใจ ตัวหนังสือตัวขนาดนี้อ่านแป๊บเดียวก็จบแล้ว
ดังนั้นอาบังจึงกลับเข้าหลังร้านไปหยิบผ้าอีกพับหนึ่งมาให้คุณปรีดาดู
คราวนี้เป็นผ้าลายหนังสือพิมพ์ อีกทั้งลวดลายก็ยังมีขนาดเท่าหนังสือพิมพ์จริงๆ อีกด้วย
คุณปรีดาเห็นตัวหนังสือเต็มพรืดไปหมดก็ดีใจ มองผ่านๆ ก็พบข่าวชาวบ้านไปกราบไหว้หมาที่มีสองหางพร้อมขอหวย
“นั่นละ ที่ฉันต้องการ!” คุณปรีดาบอกตัวเองก่อนจะหันไปบอกอาบังว่า “ฉันเอาฉบับนี้ เอ๊ย พับนี้แหละ”

บางครั้งเพื่อนของคุณปรีดาก็รู้สึกสงสารและเห็นใจที่คุณปรีดาเป็นเช่นนี้ ก็เลยแนะนำให้นั่งรถเมล์
เขาจะคอยบอกว่าถ้าจะไปที่ไหนต้องนั่งรถเมล์สายใด
คุณปรีดาทำตามที่เพื่อนแนะนำ แต่เมื่อนั่งไปจนสุดสายแล้วก็ไม่ถึงที่ที่เขาต้องการไป
คุณปรีดามารู้จากกระเป๋ารถเมล์ว่าเขาขึ้นรถผิดฝั่ง ความจริงต้องขึ้นฝั่งตรงข้าม จึงจะผ่านจุดหมายที่ต้องการไป
คุณปรีดายังคงหลงทางอย่างต่อเนื่องด้วยดีเสมอมา แม้จะเป็นสถานที่ที่เขาเคยไปเป็นร้อยๆ ครั้งแล้วก็ตาม
เพื่อนคนเดิม (คนที่แนะนำเรื่องสายรถเมล์นั่นแหละ) จึงแนะนำให้คุณปรีดาทำแผนที่ส่วนตัวเอาไว้
เมื่อเดินผ่านไปทางไหนก็บันทึกลงแผนที่ ดังนั้นเมื่อถึงคราวต้องการจะไปยังสถานที่ที่เคยผ่านมาแล้วก็ให้ดูแผนที่จะได้ไม่หลงทาง
คุณปรีดาทำตามที่เพื่อนแนะนำ แต่ก็ยังเกิดปัญหาอยู่ดี
เปล่าหรอก ไม่ใช่ว่าเขายังหลงทาง
ตรงกันข้าม คุณปรีดาเริ่มเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ตามต้องการได้ถูกต้องต่างหาก
แต่ว่า...นั่นละคือปัญหา
ในระหว่างทางไปร้านขายผักคุณปรีดาจะถามตัวเองว่า
“ดูซิว่าคราวนี้ฉันจะไปโผล่ที่ร้านอะไร”
แต่แล้วสถานที่ที่เขาเจอก็คือร้านขายผัก นี่สร้างความผิดหวังให้เขาอย่างมาก
เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเข้าคุณปรีดาก็เริ่มวิตก
ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจว่า
“ฉันจะไม่ยอมไปไหนโดยไม่หลงทางเด็ดขาด!”

แล้วคุณปรีดาก็กลับมามุ่งมั่นกับการหลงทางอีกครั้ง
เขาไม่ได้โยนแผนที่ทิ้งไปอย่างที่เธอคิดว่าเขาจะทำหรอก คุณปรีดายังคงมีนิสัยการบันทึกแผนที่และดูแผนที่ขณะเดินทางอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่วิธีแก้ปัญหาของเขาคือเขาจะไม่ยอมเดินไปตามเส้นทางที่เขาเคยบันทึกลงแผนที่ไว้แล้ว
หากแผนที่ระบุว่าทางไปร้านขายเสื้อผ้าจะต้องเลี้ยวซ้าย เขาก็กลับเลี้ยวขวา แล้วดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ผลก็คือ คุณปรีดาหลงทาง
คุณปรีดาหัวเราะอย่างมีความสุขกับการหลงทางของตัวเอง
“ไชโย ในที่สุดฉันก็กลับมาหลงทางอีกครั้งแล้ว!”
คุณปรีดาทำอย่างนี้เสมอมา แต่ทุกครั้งที่เขาหลงทาง เขาก็จะได้เส้นทางบันทึกลงแผนที่เพิ่มมากขึ้น
และผลที่ตามมาก็คือ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาจะหมดโอกาสหลงทาง
เพราะแผนที่ของเขาบันทึกเส้นทางในประเทศไทยเกือบครบทุกตรอกซอกซอยแล้ว
คุณปรีดาวิตกหนัก ในที่สุดจึงตัดสินใจหลงทางออกนอกประเทศ
“เราคงต้องไปเริ่มต้นหลงทางในสถานที่อื่นๆ ดูบ้าง” คุณปรีดาบอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น

แล้วเขาก็ใช้เวลาอีกหลายปีในการเดินหลงทาง เขาผ่านประเทศพม่าไปบังคลาเทศ ออกสู่เปอร์เซีย ผ่านไปยังอียิปต์ กรุงโรม จนมาถึงประเทศจีน ทุกที่ที่เขาหลงทางไป เขาล้วนบันทึกลงแผนที่ส่วนตัวจนครบหมด
ในวันแรกที่หลงทางไปถึงกรุงปักกิ่ง เขาก็ถูกตำรวจจับไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิจีนในข้อหาไม่ยอมขากเสลดในที่สาธารณะ ซึ่งถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรง
“เจ้ารู้ไหมว่าความผิดนี้มีโทษถึงประหารชีวิตเชียวนะ” จักรพรรดิตรัส ส่วนขันทีที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เดินออกไปหยิบเครื่องประหารหัวสุนัขมา
“ขอประทานโทษเถิดพะยะค่ะ กระหม่อมไม่ใช่คนที่นี่ก็เลยทรงไม่รู้ขนบธรรมเนียม” คุณปรีดาพูดราชาศัพท์ผิดๆ ถูกๆ
“เอาเถอะ เรายกโทษให้” จักรพรรดิตรัส ทำให้ขันทีต้องแบกเครื่องประหารหัวสุนัขไปเก็บตามเดิม “เพียงแต่จงจำไว้ว่าต่อไปหากเจ้ายังอยู่ในราชอาณาจักรของเรา เจ้าก็ต้องขากเสลดใส่เท้าคนอื่นเพื่อแสดงความสุภาพและให้เกียรติต่อบุคคลนั้นรู้ไหม...ขากกกก!”
แล้วจักรพรรดิก็ขากเสลดใส่เท้าของคุณปรีดาซึ่งทำท่าจะชักเท้าหลบ แต่ก็ยั้งเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะเป็นการไม่สุภาพ
“กระหม่อมทราบแล้วพะยะค่ะ” แล้วเสลดของจักรพรรดิก็พุ่งปรี๊ดมาตกบนหลังเท้าของคุณปรีดา
เขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเสลดจากจักรพรรดิ
“ดีมาก” จักรพรรดิยิ้มด้วยความพอใจก่อนจะถามว่า “เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็บอกเรามาว่าเจ้าเป็นใครมาทำอะไรที่ราชอาณาจักรของเรา”
คุณปรีดาจึงเล่าเรื่องทั้งหมด จักรพรรดินั่งฟังด้วยความตื่นเต้นกับทุกเรื่องที่คุณปรีดาเล่า
“เราเองก็มีแผนที่ราชอาณาจักรของเราเหมือนกันนะ” จักรพรรดิอวด “เราไม่ได้เขียนเองหรอก แต่มีฝรั่งคนหนึ่งชื่อมาร์โลโปโปอะไรนี่แหละเป็นคนเขียน เขามอบให้เราเป็นของขวัญเมื่อหลายปีมาแล้ว เจ้าอยากได้ไหมล่ะ เราจะให้คนไปถ่ายเอกสารมาให้ เพียงแต่ว่าแผนที่ของเขาผิดความจริงไปเยอะเลย หนอย อาณาจักรของเราแผ่ไปถึงเมืองฝรั่งเศสชัดๆ แต่ในแผนที่ของเขากลับระบุว่าราชอาณาจักรเราสิ้นสุดลงที่ทิเบต นอกจากนี้ที่ทางต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะถูกต้อง”
คุณปรีดารู้สึกสะดุดใจอะไรบางอย่างกับคำพูดของจักรพรรดิ
และแล้วหลังจากจักรพรรดิมอบทองคำโตเท่าลูกฟักให้เขาเป็นของขวัญในการเจอกัน คุณปรีดาก็รีบหลงทางกลับเมืองไทย
เขาหลงทางอีกหลายปีกว่าจะไปถึง เนื่องจากถนนหนทางในประเทศต่างๆ เปลี่ยนไปมาก แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะบันทึกมันลงแผนที่ของตัวเอง
เมื่อกลับถึงบ้าน คุณปรีดาก็รีบเอาแผนที่ต่างๆ ที่เขาบันทึกไว้มาลอกใหม่อีกฉบับ ทั้งแผนที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พนมเปญ โคลัมโบ ไคโร ไปจนถึงปักกิ่ง
แต่เขาทำให้ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปจากความจริง
แผนที่กรุงเทพฯ ของคุณปรีดาแสดงเส้นทางจากถนนราชดำริตรงไปถึงสี่แยกราชประสงค์ เมื่อเลี้ยวซ้ายไปก็จะเข้าสู่ถนนบางนา-ตราด
แผนที่ประเทศไทยของเขาระบุว่าเหนือสุดแดนสยามคือจังหวัดชุมพร ส่วนปลายสุดด้านใต้คือจังหวัดกาฬสินธุ์
คุณปรีดายังทำแผนที่โลกอีกด้วย แผนที่โลกฉบับคุณปรีดานั้นจากทวีปออสเตรเลียสามารถนั่งเรือข้ามฟากมายังเกาะอังกฤษได้ แม่น้ำสำคัญในประเทศอียิปต์คือแม่น้ำฮวงโห และประเทศสิงคโปร์มีพื้นที่กว้างกว่าแคนาดา
คุณปรีดาใช้เวลาสามวันสามคืนกว่าจะเขียนแผนที่เสร็จ เขาเอาทองคำเท่าลูกฟักที่ได้รับมาจากจักรพรรดิจีนไปกว้านซื้อแผนที่จากทั้งโลกมาได้เกือบหมด (มีบางฉบับเล็ดรอดไปได้) แล้วก็ลงทุนพิมพ์แผนที่ฉบับปรีดา ซึ่งมีทั้งประเทศและเมืองต่างๆ ทั่วโลกออกวางขาย
ไม่ต้องบอกเธอก็คงรู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร
ทุกคนที่เดินทางด้วยแผนที่คุณปรีดาล้วนหลงทาง ขณะที่คุณปรีดารู้สึกภูมิใจที่ทำให้ผู้คนมีโอกาสได้หลงทางเหมือนอย่างตน

หากเธอมองจากหน้าต่างห้องนอนหัวเองออกไปนอกบ้าน แล้วเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถือแผนที่พลางเกาหัวทำหน้างงละก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแผนที่ในมือเขาจะเป็นแผนที่ของคุณปรีดา!

-----------
เคยลงในถนนนักเขียนมาก่อนครับ
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3451361/W3451361.html




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2548 21:37:59 น.
Counter : 419 Pageviews.  

เมืองหลอดไฟ

วันหนึ่ง มีพ่อค้ารับแลกของเก่าจากต่างเมืองแวะเวียนผ่านมาในตลาด
เขามีสิ่งของรูปร่างประหลาด บอกว่าจะมาแลกกับเสื้อผ้าเก่า
“หลอดไฟจ้า…หลอดไฟ ใครมีเสื้อผ้าเก่าๆ เอามาแลกกับหลอดไฟ” พ่อค้าตะโกนบอก
“หลอด…ไฟ…?” หญิงสาวคนหนึ่งทำท่าสนใจ เธอจูงลูกเข้ามาดูใกล้ๆ พลางทำหน้าสงสัย “หลอดอะไรไม่เห็นมีรูให้ดูดเลย?”
“หลอดไฟไม่ได้มีไว้ดูด แต่เอาไว้ให้ความสว่าง ให้แสงสวยงามต่างหาก” พ่อค้าอธิบาย “แค่เอาไปติดบนต้นไม้ให้กลายเป็นต้นหลอดไฟ เท่านี้ต้นไม้ก็จะสว่างไปทั่ว”
หญิงสาวได้ฟังก็สนใจ เธอตัดสินใจถอดเสื้อของลูกน้อยแลกหลอดไฟมาหนึ่งดวง
เธอลากแขนลูกวิ่งตื๋อกลับบ้าน จัดแจงเอาหลอดไฟไปติดบนต้นมะม่วงผลดกหน้าบ้าน
แต่หลอดไฟก็ไม่สว่าง…

เธอรีบย้อนกลับไปที่ตลาด ต่อว่าต่อขานพ่อค้าจอมหลอกลวง
“ใจเย็นๆ ก่อนสิ ฉันยังอธิบายไม่จบ ต้นหลอดไฟจะสว่างได้ เธอต้องใช้ถ่านหินเป็นปุ๋ย ที่บ้านเธอคงพอมีถ่านหินอยู่บ้างสินะ”
หญิงสาวกลับบ้านไปอีกครั้ง เธอเข้าครัวหยิบถ่านหินมากำมือหนึ่ง โรยรอบๆ โคนต้นไม้
หลอดไฟบนต้นมะม่วงเริ่มเปล่งแสง แม้ท้องฟ้ามืดครึ้ม แต่ต้นมะม่วงหน้าบ้านของหญิงสาวกลับสว่างรำไร
เพื่อนบ้านที่รู้เรื่องนี้ต่างสนใจมาดูต้นหลอดไฟหน้าบ้านของเธอ
จากนั้นก็รีบกลับบ้านไปรื้อเสื้อผ้าเก่าๆ เพื่อแลกหลอดไฟคนละดวงสองดวง
บ้านทุกหลังเริ่มสว่างไสว

“ทำไมเราไม่ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองแห่งต้นหลอดไฟไปเลยล่ะ เราจะได้ไม่ต้องทนอยู่ในความมืดมิดอีกต่อไป” ใครคนหนึ่งเสนอ
ทุกคนต่างเห็นพ้อง จึงพากันขนเอาเสื้อผ้าไปแลกหลอดไฟมาติดบนต้นไม้ทั่วเมือง
ใครที่ไม่มีเสื้อผ้าเก่าก็เอาเสื้อผ้าใหม่ไปแลก เมื่อเสื้อตัวเองหมดก็เอาเสื้อลูกไป
ไม่ว่าจะต้นสนหน้าบ้าน กอบัวในบึง ต้นส้มในสวนสาธารณะ หรือแม้แต่บนยอดมะพร้าว ทั้งหมดกลายเป็นต้นหลอดไฟในไม่ช้า…
พ่อค้ารับแลกหลอดไฟได้เสื้อผ้าไปมากมาย เขาจึงออกเดินทางต่อไปยังเมืองอื่น
เมื่อปลูกต้นหลอดไฟจำนวนมาก ถ่านหินในครัวก็หมด พวกเขาต้องไปซื้อถ่านหินจากเมืองข้างเคียงมา เพื่อที่ต้นหลอดไฟจะได้เปล่งแสงสว่าง

สามเดือนผ่านไป ใบไม้และดอกไม้บนต้นหลอดไฟต่างร่วงหมด ผลไม้ก็หยุดออกผล เผยให้เห็นแสงไฟสุกสว่างบนต้นเพียงลำพัง
ตกดึก ต้นหลอดไฟให้แสงหลากสีสันหลายรูปทรง สว่างไสวระยิบระยับไปทั่วเมือง
หญิงสาวมักลากเก้าอี้มานั่งที่ลานบ้านกับลูกแล้วชื่นชมความงามของต้นหลอดไฟ
คู่รักก็นั่งกุมมือกันในสวนสาธารณะใต้แสงของต้นหลอดไฟ
ในโลกนี้ไม่มีใครจะมีความสุขและมีเมืองที่สว่างไสวเท่ากับพวกเขาอีกแล้ว
ใครๆ ต่างพากันเรียกเมืองนี้ว่า “เมืองที่ไม่เคยมืด” เป็นที่เชิดหน้าชูตายิ่งนัก
หลอดไฟทำงานอย่างซื่อสัตย์ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นหลอดดูดพลังงานชีวิตของต้นไม้ไปจนหมดสิ้น…

อีกหลายเดือนผ่านไป แสงไฟยังคงเรืองรองบนต้นไม้ที่เหี่ยวเฉากลายเป็นซาก และชาวเมืองเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
ความสว่างของต้นหลอดไฟไม่เคยเปลี่ยน แต่ความรู้สึกในจิตใจของพวกเขากลับไม่เหมือนเดิม
ถ่านหินที่ใช้เป็นปุ๋ยของต้นหลอดไฟส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งจนคนจำนวนมากล้มป่วยลง
ต้นหลอดไฟให้แสงสวย แต่ไร้ใบให้ร่มเงา ไร้ผลบรรเทาความหิวโหย
จิตใจของชาวเมืองต่างมืดสลัวและขมุกขมัวลงทุกที ขณะที่ต้นหลอดไฟยังคงสว่างเจิดจ้าอยู่บนซากต้นไม้
“เราน่าจะลองหยุดให้ปุ๋ยถ่านหิน แล้วก็ถอดเอาหลอดไฟออกนะ” เด็กน้อยลูกของหญิงสาวเสนอ
“แต่ถ้าทำอย่างนั้นเราก็จะไม่มีไฟสวยๆ ให้ดู และเมืองของเราก็จะกลับไปสู่ความมืดอีกครั้ง”
ไม่มีใครยอมให้บ้านตนเองมืดขณะที่บ้านคนอื่นสว่าง
มีเพียงเด็กน้อยที่ขอร้องให้แม่ถอดหลอดไฟออกจากต้น หยุดให้ปุ๋ยถ่านหิน
ไม่นานซากอันเหี่ยวแห้งก็จำได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นต้นมะม่วง มันกลับมาออกผลอีกครั้ง
ชาวเมืองคนอื่นที่ทนกลิ่นเหม็นและความหิวโหยไม่ไหว ก็พากันถอดหลอดไฟออกจากต้นคนละดวงสองดวงตามเด็กน้อย
ในที่สุดเมืองที่สว่างไสวก็มืดลงครึ่งหนึ่ง แต่กลิ่นเหม็นจากปุ๋ยถ่านหินก็ลดลงครึ่งหนึ่ง
และพวกเขาได้ร่มไม้กับผลไม้จำนวนมหาศาลเพิ่มขึ้นมา
แม้เมืองจะมืดลง แต่จิตใจของชาวเมืองกลับสว่างขึ้น พวกเขาเบิกบานขึ้น
ปัญหาที่เหลืออยู่ประการเดียวของชาวเมืองคือ ไม่มีสวนหลอดไฟที่ให้แสงสว่างมากๆ สำหรับครอบครัวหรือคู่รักได้เชยชมอีกแล้ว
แต่ไม่นานพวกเขาก็แก้ปัญหานี้ได้
...
เธอรู้ไหมว่าคู่รักในเมืองทำอย่างไร
ถ้าอยากรู้ก็จงชวนคนที่เธอรักไปที่ทุ่งโล่งกว้างในยามค่ำ เกาะกุมมือคนที่นั่งเคียงข้างเธอ แล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยกัน
แล้วเธอจะได้พบคำตอบ

--------------------------------
เคยลงแล้วในถนนนักเขียน ที่
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W3449827/W3449827.html




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2548    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2548 22:08:19 น.
Counter : 407 Pageviews.  

1  2  

Aka Prita
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Aka Prita's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.