"โอกาส"

สองวันก่อน คุณปรีดามีอันให้ต้องเดินทางไปบริษัทอมรินทร์ที่ถนนชัยพฤกษ์ เจอเพื่อนพ้องน้องพี่จำนวนมากมาย ได้เจอพี่ตุ๊ จตุพล บุญพรัด พี่ฉ่ำ องอาจ จิระอร คุณนะ บ.ก. แพรวเยาวชน นุช บ.ก. แพรวเพื่อนเด็ก และผู้เป็นเจ้าบ้านอีกมากมาย

นอกจากนี้ยังได้เจอ "รุ่นพี่" นายอินทร์อะวอร์ดอย่าง "ดาราราย / ดาวกระจาย" เจ้าของผลงาน "เด็กหญิงนางฟ้า" และ "ส้มสีม่วง" รวมถึง "จันทร์เจ้า" เจ้าของผลงาน "ปราสาทกระต่ายจันทร์" คุณเอ๋ วิภาวี ผู้เขียนหนังสือภาพ "ลูกบอลเที่ยวชายหาด" ฯลฯ

ถึงคุณปรีดาไม่ใช่คนประเภท "บ้าคนดัง" หรือแม้แต่ "บ้านักเขียน" แต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่ได้เจอคนเขียนหนังสือเด็ก ซึ่งทำให้เรามีอะไรคุยกันได้เยอะ ทั้งที่เจอกันครั้งแรก (สำหรับคุณเอ๋นั้น เราเจอกันตามกาลเทศะต่างๆ ค่อนข้างบ่อย)

โดยเฉพาะ "พี่ปุ๊" หรือ "ขวัญใจ เอมใจ" สมัยเขียนสารคดี ก่อนจะมาเป็น "ดาวกระจาย / ดาราราย" สมัยเขียนวรรณกรรมเยาวชน ก่อนที่เธอจะผันตัวเองมาเป็น "ดวงตะวัน" ในยามเขียนนวนิยายในปัจจุบัน

พี่ปุ๊เข้ามาทักทายคุณปรีดาแล้วจึงแนะนำตัวเอง แล้วเธอก็ต้องตกใจที่เห็นสีหน้าตกตะลึงของคุณปรีดา (คงงงว่า "เห็นชั้นเป็นผีรึไง ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย!) คุณปรีดาจึงต้องเฉลยว่า "ผมอ่านสารคดีของ "ขวัญใจ เอมใจ" ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือแน่ะครับ"

......

รายละเอียดของงานวันนั้น คุณปรีดาขอไม่เล่าถึงในที่นี้ เอาเป็นว่าการเดินทางไปบริษัทอมรินทร์วันนั้น ทำให้คุณปรีดาต้องกลับมานอนก่ายหน้าผาก เพราะถูกสั่งงานมาอย่างนึง

ถ้าพูดถึง "โอกาส" คุณจะนึกถึงอะไร?

คำถามประโยคข้างบนเกี่ยวข้องกับการบ้านที่คุณปรีดาได้รับมาจากคุณครูที่โรงเรียนอมรินทร์ การได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทั้งบ.ก.และนักเขียนก็ถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างหนึ่ง เหตุการณ์ในชีวิตอย่างเช่นการเฝ้ารอเจ้าตัวน้อยในอีกสี่สิบวันข้างหน้า (โดยประมาณ) ก็ถือเป็นโอกาสอีกอย่างหนึ่ง

สำหรับคุณล่ะ

"โอกาส" ของคุณคืออะไร?




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2552 22:03:16 น.
Counter : 1067 Pageviews.  

เรื่องราวของการถูก tag

ไหนๆ ก็โดน tag มาจากหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นคุณเจ้าชายไร้เงา และสาวไกด์ ใจซื่อ คุณปรีดาก็เลยขอนำเสนอเรื่องราวแบบสเปเชี่ยล ดังนี้

1. คุณปรีดากับชื่อ...

1.1 ชื่อ “ปรีดา” ที่เป็นชื่อจริงตามเอกสารทางราชการได้มาจากอาคนหนึ่งเป็นคนตั้งให้ ทำให้บ้านคุณปรีดา กลายเป็นครอบครัวตัว ป. ซึ่งพี่น้องเกือบทุกคนมีแต่ชื่อขึ้นต้นด้วย ป ปลา ทั้งที่พ่อกะแม่เรา รวมถึงคุณอาคนตั้งชื่อก็ไม่ได้มีชื่อขึ้นต้นด้วย ป ปลาซะหน่อย

ส่วนอาอีกคนหนึ่งก็เล่าว่าความจริงเขาอยากตั้งชื่อคุณปรีดาว่า “ปฏิภาณ” แต่พ่อไม่ซื้อไอเดียนี้ (ก็เลยรอดตัวไป ไม่ต้องถูกล้อว่าเป็น “มอส”)

1.2 คุณปรีดามีชื่อจีนว่า 曾昭铮(Zeng Zhaozheng) ซึ่งออกเสียงเป็นภาษาไทยว่า “เจิงเจาเจิง” “เจิง” ตัวแรกเป็นแซ่ ส่วน “เจาเจิง” ข้างหลังนั้นเป็นชื่อซึ่งต้องออกเสียงม้วนลิ้น (ซึ่งออกเสียงยากชะมัดเลย)

ความจริงเรื่องชื่อจีนนี้ไม่ใช่เรื่องลับอะไร (อย่างน้อยแพนด้ามหาภัยก็รู้คนนึงล่ะ) แต่ที่คุณปรีดาอยากเล่าก็คือเรื่องของสาแหรกตระกูลเจิง นี่ล่ะ

แซ่ 曾 (เจิง)ของคุณปรีดา ถือเป็นแซ่เล็กๆ ในเมืองไทยมีคนแซ่นี้แค่หลักหมื่น เทียบไม่ได้เลยกับแซ่หลิว (เล้า) แซ่หลี่ (ลี้) แซ่จาง (เตียว) ซึ่งแซ่เหล่านี้มีสมาชิกเป็นล้านๆ

แม้แต่ในเมืองจีนเองก็ถือว่าแซ่เจิงเป็นแซ่เล็กๆ โดยบรรพบุรุษคือกษัติรย์แห่งรัฐเจิง (ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเซี่ยอวี่ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เซี่ย ซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของประวัติศาสตร์จีน) รัฐเจิงที่ว่านี้ปัจจุบันคือเมืองชางซานซึ่งอยู่ในมณฑลซานตง จนกระทั่งถึงสมัยจ้านกว๋อ (ยุครณรัฐ) ในสมัยราชวงศ์โจว รัฐเจิงถูกรัฐจวี่กลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ทายาทกษัตริย์จึงต้องหลบหนีไปอยู่ที่รัฐหลู่

แม้จะเล่าย้อนมาไกลขนาดนี้ แต่ความจริงแล้วเมื่อพูดถึงบรรพบุรุษสกุลเจิง พวกเรามักนับถือ “เจิงเซิน” เป็นต้นตระกูลมากกว่าจะนับย้อนไปไกลกว่านั้น เจิงเซินที่ว่านี้เป็นหนึ่งในบรรดาศิษย์เอกของขงจื๊อ (ขงจื๊อมีศิษย์ทั้งหมดราวสามพันคน ศิษย์ที่เรียนจบ course workของขงจื๊อมีเจ็ดสิบสองคน แต่ศิษย์ที่ได้รับการกล่าวขานถึงมีเพียงประมาณสิบกว่าคน)

เจิงเซินที่ว่านี้มีชื่อเสียงในด้านความกตัญญู ได้เขียนคัมภีร์กตัญญุตาเป็นคัมภีร์สำคัญเล่มหนึ่งของปรัชญาขงจื๊อ ใครที่เคยอ่านนิทาน 24 ยอดกตัญญู อาจคุ้นเคยเรื่องเจิงเซินเข้าป่าไปตัดไม้ เมื่อมีแขกมาหาแม่ซึ่งอยู่ตามลำพัง และไม่คุ้นเคยกับการรับแขกที่เป็นพวกบัณฑิตคงแก่เรียน ก็เลยกัดมือตัวเองเพื่อเรียกลูกกลับมา ข้างฝ่ายเจิงเซินอยู่ในป่าก็พลันรู้สึกปวดแปลบที่มือ จึงสันนิษฐานว่าอาจเกิดเรื่องกับแม่ตัวเองแล้วรีบกลับบ้านไป

ส่วนตัว 昭 (เจา) นั้นที่แท้แล้วเป็นลำดับรุ่นเพื่อบอกให้รู้ว่าคนนี้เป็นรุ่นที่เท่าไหร่ของสกุล (โดยนับจากเจิงเซินเป็นรุ่นแรก) เมื่อเจอคนแซ่เดียวกันจะได้ลำดับญาติกันถูก คุณปรีดาถือว่าเป็นทายาทรุ่นที่ 73 และการนับลำดับรุ่นที่ว่านี้ ในประเทศจีนมีเพียง 5 แซ่เท่านั้นที่มีวัฒนธรรมการเรียกชื่อรุ่น ทำให้มีการลำดับรุ่นได้ นอกจากแซ่เจิงแล้วก็มีแซ่ข่ง (ก็ขงจื๊อนั่นไง) ส่วนอีก 3 แซ่คุณปรีดาลืมไปแล้ว

ส่วนชื่อ 铮(เจิง) ตัวสุดท้ายนั้นไม่มีความหมายอะไร เป็นแค่คำเลียนเสียงโลหะกระทบกัน เหมือนกับ “แกร๊ง” อะไรทำนองนั้น

1.3 คุณปรีดาเคยกระแดะสะกดชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษว่า “PRITA AGARACANDAJOTI” เพราะอยากสะกดให้ถูกตามหลักภาษาสันสกฤตเมื่อนำมาถ่ายเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็เลิกใช้ไปในที่สุดเพราะคนอื่นอ่านไม่ออก

นอกจากนี้การสะกดแบบประหลาดนี้ยังทำให้นามสกุลในพาสปอร์ตคุณปรีดาต่างไปจากคนอื่นในครอบครัว พอจะไปเมืองจีนกับพ่อ เจ้าหน้าที่สนามบินก็ไม่เชื่อว่าเราเป็นพ่อลูกกัน ส่วนชื่อ Prita นั้นคุณปรีดายังนำมาใช้ในบางโอกาส เช่นในอีเมล์ รวมถึงชื่อลงทะเบียนในบล็อกแกงค์ด้วย (ส่วน (Aka ก็มาจากนามสกุลนั่นแหละ แต่ที่ไม่ใช่ Aga ก็เพราะต้องการให้เป็นตัวย่อของ As Known As ด้วย)

2. คุณปรีดากับการไม่พูด...

ถ้าใครที่อ่าน “เจ้าชายไม่พูด” แล้วสังเกตว่าในบันทึกท้ายเล่ม คุณปรีดาเขียนข้อความประมาณว่า ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้สัก 100 หน้า จะพบว่ามีเรื่องราวจริงๆ ของผู้เขียนประมาณ 5 หน้า แต่คุณปรีดาก็ไม่เคยเฉลยว่าเรื่องราวที่เป็นจริงในอดีตนั้นคืออะไร ก็ขอเฉลยในที่นี้ว่าตอนอายุ 3 ขวบ คุณปรีดาเคย “ไม่พูด” มาก่อน เรื่องนี้คุณปรีดามารู้เอาตอนโตแล้ว เพราะแม่ถามว่าจำได้มั้ยว่าเราเคย “ไม่พูด” ไม่ส่งเสียงออกจากลำคอ (เอ้อ คือ ความจริงแล้วแม่ไม่ได้ใช้คำว่า “ไม่พูด” หรอก แต่ใช้คำว่า “เป็นใบ้” ต่างหาก)

แม่บอกว่าจู่ๆ วันหนึ่งคุณปรีดาก็ไม่พูดขึ้นมาเฉยๆ จนที่บ้านร้อนใจนึกว่าเราถูกผีเข้า ต้องพาไปหาหมอผีกันยกใหญ่ ส่วนญาติๆ ก็พากันโอ๋เอาใจ พาไปเที่ยว ซื้อของเล่นให้ คุณปรีดาตอบแม่ไปว่าจำไม่ได้หรอกว่าเราเคย “ไม่พูด” (ไม่ใช่ “เป็นใบ้” นะ) แต่จำภาพที่ตัวเองต้องนั่งเรือไปกับพ่อแม่ได้ (แต่ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าไปหาหมอผี) แล้วก็จำเหตุการณ์ตอนที่น้าพาไปเที่ยวและยังจำของเล่นที่ได้มาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพียงแต่จำไม่ได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะมีสาเหตุจากการไม่พูดของตัวเอง

เมื่ออาการไม่ดีขึ้น พ่อกับแม่ก็หาทางอื่น อาทิเช่น หาจิตแพทย์ (ซึ่งให้คำแนะนำที่ดีกับแม่) และแม่เริ่มอ่านหนังสือ เล่านิทาน ให้คุณปรีดาฟัง ในขณะที่พี่ๆ อีกหกคนไม่เคยได้รับโอกาสนี้ ซึ่งคุณปรีดาคิดว่านี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัวเองเติบโตมาพร้อมหนังสือ และกลายเป็นนักเขียนได้อย่างทุกวันนี้

หลังจากนั้น (ตามคำบอกเล่าของแม่) คุณปรีดาก็เริ่มส่งเสียงออกจากลำคอบ้าง แต่ก็ยังไม่เป็นภาษาคนอยู่ดี จนในที่สุด หลายเดือนนับแต่ที่เริ่มไม่พูด คุณปรีดาก็กลับมาส่งเสียงอีกครั้ง เย็นวันหนึ่ง (ตามคำบอกเล่าของแม่อีกเช่นกัน) ขณะที่คุณปรีดาเล่นอยู่ตามลำพังบนบ้าน แม่ก็ให้พี่ชายคนโตขึ้นไปตามคุณปรีดาลงมากินข้าวเย็น แต่พี่ชายกลับมาแกล้งคุณปรีดาซะงั้น เราก็เลยโกรธ และแล้วคำพูดแรกที่ออกมาจากปากคุณปรีดาหลังจากที่ไม่พูดมาหลายเดือนก็คือคำด่าพี่ชายที่มาแกล้งนั่นเอง แต่แทนที่พี่ชายจะโกรธ กลับวิ่งหน้าตั้งด้วยความดีใจลงมาบอกแม่ว่าเราพูดได้แล้ว!

3. คุณปรีดากับชีวิตนักเรียน...

อันที่จริงชีวิตการเรียนหนังสือของคุณปรีดาก็ไม่ได้พิสดารอะไร เป็นแค่เด็กธรรมดาๆ ซึ่งเรียนได้ที่หนึ่งบ้าง เกือบโหล่บ้าง แล้วแต่ว่าเพื่อนสนิทในเวลานั้นเป็นใคร ถ้าเพื่อนเรียนอ่อน คุณปรีดาก็อ่อนตาม แต่ถ้าเพื่อนเรียนเก่ง คุณปรีดาก็เก่งตาม (เผลอๆ ผลสอบปลายเทอมอาจแซงหน้าเพื่อนซะงั้น)

ส่วนเรื่องความประพฤตินั้น คุณปรีดาก็แสนจะเป็นนักเรียนติ๋มๆ ที่ประพฤติตนอยู่ในกรอบของโรงเรียนทุกอย่าง (เอ้อ ยกเว้นเรื่องการไว้ผมยาวเกินกว่าระเบียบโรงเรียนนะ) แต่ก็มีเหตุการณ์บางอย่างซึ่งถือเป็นสีสันสำหรับชีวิตวัยเด็ก

คุณปรีดาเคยถูกทำทัณฑ์บนสมัย ม.3 พร้อมกับเพื่อนทั้งแกงค์ ด้วยเหตุที่เย็นวันหนึ่งขณะที่เราเตะบอลกันในสนามแล้วบังเอิญใครซักคนเตะไปถูกขวดน้ำของครูคนหนึ่งแตก พวกเราจึงถูกเรียกไปอบรมและเพื่อนต้องชดใช้เงินให้ครู หลังจากเกิดเรื่องพวกเราก็เลิกเล่นบอลแล้วกลับบ้านพร้อมกัน ขึ้นรถสองแถวคันเดียวกัน (ก็บ้านอยู่ใกล้ๆ กันทั้งนั้นน่ะ) เรื่องน่าจะจบแค่นั้น แต่กลับปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นพวกเราถูกฝ่ายปกครองไปพบเพราะครูคนนั้นบอกว่ารถเก๋งคันงามของแกถูกขีดเป็นรอยตรงบริเวณประตูคนขับ และแกเชื่อว่าพวกเราคนหนึ่งคนใดอาฆาตแกจากเรื่องเมื่อวาน (ข้อนี้พวกเรายืนยันได้ เพราะว่าทุกคนออกจากโรงเรียนพร้อมกัน ขึ้นรถคันเดียวกัน)

ในที่สุดพวกเราก็ถูกเรียกผู้ปกครองมาพบ คุณปรีดาเล่าเรื่องให้คนที่บ้านฟัง พี่ชายคนโต (ก็คนที่ทำให้คุณปรีดากลับมาพูดอีกครั้งนั่นแหละ) อาสามาพบครูแทนแม่ก่อนจะไปเรียน แต่ด้วยความที่พี่ชายเป็นนักศึกษานิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ก็เลยหอบหนังสือเรียนที่เป็นประมวลกฎหมายแพ่งและอาญาติดตัวมาด้วยเพราะต้องเอาไปใช้เรียน ครูผู้ร้องทุกข์เห็นหนังสือกฎหมายในมือพี่ชายก็สะดุ้ง เพราะนึกว่าพี่ชายจะมาเอาเรื่อง ...

ในที่สุด เมื่อไม่มีหลักฐานยืนยัน (ว่าพวกเราไม่ได้เป็นคนทำ) เราทั้งหมดก็เลยถูกทำทัณฑ์บนตามระเบียบ

4. คุณปรีดากับการเล่นฟุตบอล...

คุณปรีดาไม่ใช่นักกีฬา ทั้งรูปร่าง ความสามารถ สมรรถภาพทางร่างกาย ก็ดูจะห่างไกลจากการเป็นนักกีฬา แต่คุณปรีดาก็ยังชอบเล่นฟุตบอล โดยตำแหน่งประจำคือการเป็นผู้รักษาประตู (ด้วยความสูงที่มากกว่าลูกหมาหน่อยนึงนี่แหละ)

คุณปรีดาไม่ได้เล่นเป็นโกล์เพราะถูกเพื่อนๆ โบ้ยตำแหน่งนี้ให้ แต่เพราะชอบเป็นโกล์เอง หลายคนอาจอยากเป็นกองหน้า ได้ยิงประตูเท่ห์ๆ แต่คุณปรีดากลับรู้สึกว่ากองหน้าอาจยิงประตูได้หลายลูกในเกมหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าทีมของเขาจะเป็นฝ่ายชนะ ขณะที่หากผู้รักษาประตูไม่เสียประตู อย่างน้อยทีมก็ปิดประตูแพ้ (เวลาดูบอล คนอื่นอาจชอบดูลูกยิงประตูสวยๆ แต่คุณปรีดากลับชอบดูการป้องกันประตูสวยๆ ของโกล์มากกว่า ยกเว้นแต่ว่าทีมที่เราเชียร์จะเป็นฝ่ายยิงประตูนั้น) นอกจากนี้อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะ คุณปรีดาชอบบรรยากาศการอยู่ในสนามที่เราสามารถมองเห็นทุกคนได้ แต่ด้วยความที่เป็นโกล์ตัวเล็กนี่เอง ทำให้คุณปรีดาเจ็บตัวจากการเล่นบอลบ่อยเหลือเกิน

การเจ็บตัวครั้งสำคัญมีสองสามครั้งคือ

4.1 สมัยเรียนม.3 (ปีที่ถูกทำทัณฑ์บนนั่นแหละ) คุณปรีดารับลูกเรียดได้แล้ว แต่ยังไม่ทันเอาเข้าซอง ทันใดนั้นหัวเกือกของเพื่อนที่เป็นฝ่ายตรงข้างก็แหย่เข้ามาก่อนที่เจ้าตัวจะสะดุดอากาศหกล้ม ผลก็คือหัวเข่าของเพื่อนขยี้ลงมาที่นิ้วกลางข้างซ้ายของคุณปรีดาจนกระดูกแตกจนต้องเข้าเฝือก

4.2 สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ที่คณะของเรามีประเพณีแข่งฟุตบอลสี่ชั้นปี ในเกมที่แข่งกับปี 3 (ซึ่งเป็นนัดชี้ชะตาว่าใครจะเป็นแชมป์) คุณปรีดาวิ่งออกมาตัดบอล แต่ถูกรุ่นพี่ฝ่ายตรงข้ามซึ่งวิ่งมาฉกบอลจนแข้งกระแทกเข้าหน้าคุณปรีดา ผลก็คือใบหน้าซีกขวาชาไปทั้งแถบนานครึ่งเดือน จนต้องหาหมอและทำกายภาพบำบัด

4.3 สมัยเรียนปี 3 บอลชั้นปีเช่นเคย คราวนี้เจอรุ่นพี่ปี 4 ซึ่งสถิติสองปีก่อนหน้านั้น เราไม่เคยแพ้รุ่นพี่รุ่นนี้เลย จังหวะหนึ่งคุณปรีดาวิ่งออกไปจะตัดบอลแต่ถูกศูนย์หน้าฝ่ายตรงข้ามวิ่งชนจนน็อคและจำอะไรไม่ได้เลย มารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าวันรุ่งขึ้นบนเตียงนอนตัวเอง

ตอนนั้นยังเข้าใจว่าบอลแข่งวันนี้ แต่ เอ๊ะ ไหงชุดโกล์และถุงเท้าเราถึงเลอะเทอะเปื้อนโคลนล่ะ เนื้อตัวก็เมื่อยเหมือนปีนเขามาซักสามลูกได้ แม้ไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อว่าเราแข่งบอลนัดนี้ไปแล้ว หลังจากเข้าคณะไปถามเพื่อนๆ ถึงได้รู้ว่าหลังจากถูกชนคราวนั้นคุณปรีดายังลุกขึ้นมาได้ เพื่อนถามว่าเล่นต่อไหวมั้ย เราก็ตอบว่าเล่นได้ และอยู่จนจบเกม แต่คุณปรีดาเองจำอะไรไม่ได้เลย...ผลการแข่งขันคือ ทีมเราแพ้ไป 5:0 และคุณปรีดาถูกเพื่อนๆ ตราหน้าว่าล้มบอล!

5. คุณปรีดากับระบบความจำ...

คุณปรีดาเป็นคนที่มีความจำสั้นมากๆ และเป็นคนหลงทิศอย่างรุนแรง สามารถลืมเส้นทางได้แม้ว่าจะเป็นสถานที่ที่เคยไปหลายสิบครั้งแล้วก็ตาม นอกจากนี้ระบบแผนที่ในหัวยังเป็นหย่อมๆ ไม่สามารถเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าด้วยกันได้ สมมติว่าถ้าเราอยู่จุด A ต้องการเดินทางไปจุด B คุณปรีดาก็จะศึกษาเส้นทางล่วงหน้าจนเดินทางได้สำเร็จ (แม้จะเสียเวลาหลงทางไปบ้าง) พอต้องการจะเดินทางไปจุด C คุณปรีดาก็จะทำวิธีเดียวกัน (แน่นอนว่าต้องเสียเวลาหลงทางไปด้วย) แต่ทีนี้ถ้าเราอยู่จุด A เดินทางไปจุด B แล้วต้องไปจุด C ต่อ สิ่งที่คุณปรีดาทำได้ก็คือต้องย้อนกลับมาจุด A ก่อนจะเดินทางจาก A ไป C อีกทอดหนึ่ง ทั้งที่ความจริงแล้วจุด B กับ C นั้นใกล้กันแค่คนละมุมถนน!

เฮ้อ กว่าจะเล่าหมด เหนื่อยชะมัด มีใครซักกี่คนทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้ได้มั่งเนี่ย
ส่วนจะ tag ต่อไปให้ใครนั้น คุณปรีดาขอสำรวจตลาดก่อนว่ามีใครยังไม่โดนบ้าง



หลังจากสำรวจตลาดมาแล้ว ก็พบว่าคนที่คุณปรีดาอยาก tag บางคนถูก tag ไปแล้ว ถ้าเป็นคนที่อัพบล็อกไปแล้วคุณปรีดาก็จะข้ามไป แต่ถ้าเจ้าตัวยังไม่ได้เล่าเรื่องราวของตัวเอง คุณปรีดาก็จะขอร่วม tag ด้วย ขณะที่บางคนยังว่างอยู่ แต่สภาพจิตใจอาจยังไม่พร้อมจะเล่นอะไรแบบนี้

สรุปก็คือจากเชื้อโรคที่คุณปรีดาได้รับมาจากคุณเจ้าชายไร้เงา และสาวไกด์ใจซื่อ คุณปรีดาก็ขอส่งต่อไปให้บุคคลเหล่านี้

1. คุณหวัง -- WangAnJun
2. คุณนาย -- YuBing
3. คุณมัช -- มัชฌิมา
4. ครูเมาส์ -- mouse4006


ขอให้โชคดี และจะตามไปอ่านนะครับ




 

Create Date : 12 มกราคม 2550    
Last Update : 12 มกราคม 2550 2:19:52 น.
Counter : 818 Pageviews.  

เป้าหมายในปี 50

ตามปกติ เมื่อใกล้ปีใหม่ คุณปรีดาจะมีธรรมเนียมปฏิบัติส่วนตัวโดยการวางโครงการถึงสิ่งที่อยากทำและตั้งใจจะทำให้ได้สำหรับปีหน้า พร้อมๆ กันนั้นก็จะประเมินว่าโครงการที่เราอยากทำในรอบปีที่ผ่านมานั้น มีอะไรที่ทำได้-ไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้บ้าง

สำหรับปีหน้า คุณปรีดามีสิ่งที่ตั้งใจไว้ดังนี้

1. ทำงานให้น้อยลง (หมายถึงงานที่เที่ยวไปตกปากรับคำชาวบ้านเค้าเพื่อแลกกับเงิน ซึ่งนอกเหนืองานประจำน่ะ) เพื่อที่จะได้มีเวลาเขียนหนังสือให้ได้มากขึ้น

2. หาเวลาเขียนหนังสือเล่มใหม่ซะที เนื่องจาก "เมืองคนเด็ก" ก็รอคิวพิมพ์อยู่แล้ว หมดจากเรื่องนี้คุณปรีดาก็ไม่มีต้นฉบับหนังสืออื่นอีกแล้ว เพราะฉะนั้นปีหน้าควรมีต้นฉบับเรื่องใหม่ได้แล้ว

3. ออกกำลังกายให้มากขึ้น เนื่องจากปีนี้ดูจะป่วยบ่อยเหลือเกิน และป่วยแต่ละครั้งก็ไม่ยอมหายง่ายๆ ทั้งที่คุณปรีดาแสนจะเป็นผู้ป่วยที่มีวินัย กินยาและดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ปัญหาก็คือ เราควรดูแลตัวเองตั้งแต่ยังไม่ป่วยไม่ใช่เรอะ?

4. ทำทะเบียนหนังสือให้เสร็จซะที หลังจากริเริ่มทำมาตั้งกะสิบปีที่แล้ว "ทะเบียนหนังสือ" ในความหมายของคุณปรีดาก็คือการป้อนข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือส่วนตัวทั้งหมดที่มีลงคอมพิวเตอร์ อาทิเช่น ชื่อหนังสือ ชื่อผู้เขียน สำนักพิมพ์ คำสำคัญ ฯลฯ เพื่อที่จะสืบค้นได้เหมือนเวลาหาข้อมูลหนังสือในห้องสมุดนั่นไง

5. ทบทวนภาษาจีน หลังจากที่คุณปรีดาถูก "อันหนี" เพื่อนชาวอินโดที่เรียนภาษาจีนที่เมืองจีนมาด้วยกันด่าเหน็บแนมเอาว่าภาษาจีนของคุณปรีดาเข้าขั้น "พูดไม่รู้เรื่อง" ซะแล้ว


6. พอเราทบทวนภาษาจีนแล้ว ก็ควรเริ่มต้นเรียนภาษาใหม่ซะที คงจะเป็นภาษาญี่ปุ่นหรือไม่ก็เกาหลี มีใครแนะนำที่เรียนให้ได้มั้ยเนี่ย

7. "เมืองคนเด็ก" ควรจะได้ฤกษ์วางแผงซะที (ความจริงข้อนี้อยู่นอกเหนือความสามารถคุณปรีดาที่จะบันดาลให้เป็นจริงได้ อันนี้ต้องแล้วแต่ บ.ก. ว่ามีคิวพิมพ์ได้เมื่อไหร่)

แล้วคุณๆ ล่ะ มีโครงการอะไรบ้างมั้ย




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2549    
Last Update : 27 ธันวาคม 2549 22:35:24 น.
Counter : 539 Pageviews.  

หิ่งห้อย

(หมายเหตุ โปรดหาเพลงนิทานหิ่งห้อยของเฉลียงฟัง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน)

ผมเพิ่งกลับจากสงกรานต์ที่แม่กลองมา

อันที่จริงจะเรียกว่าไปเที่ยวสงกรานต์ก็ไม่ถูก เนื่องจากเนื้อตัวไม่ถูกน้ำสาดสักแอะ และตัวเองก็ไม่ประสงค์จะไปเล่นน้ำกับใคร

แต่เรื่องที่ว่าไปทำอะไรนั้นขอเก็บงำไว้ไม่พูดในที่นี้

ขึ้นชื่อว่าจังหวัดสมุทรสงครามหรือเมืองแม่กลอง หลายคนย่อมนึกถึงทัวร์ชมหิ่งห้อยริมแม่น้ำแม่กลอง

ผมก็ไปชมมาเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าไม่ได้นั่งเรือ ไม่ได้ล่องแม่น้ำ แค่นั่งริมน้ำรับลมชมหิ่งห้อยเท่านั้น

ผมรู้มานานว่ากิจกรรมล่องน้ำชมหิ่งห้อยที่เกาะอยู่ที่ต้นลำพูได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างล้นหลาม

เพียงแต่ไม่คิดว่าจะล้นหลามขนาดนี้

ตลอดเวลาที่นั่งท่ามกลางความมืด พยายามรื่นรมย์กับสิ่งมีชีวิตตัวน้อยแสนมหัศจรรย์นี้ ผมกลับต้องอารมณ์เสียกับเสียงเครื่องยนต์เรือที่บรรทุกนักท่องเที่ยวแห่กันมาชมความงามของเมืองแม่กลอง

ลองนับเล่นๆ ดูก็ได้สถิติแบบคร่าวๆ ว่ามีเรือแล่นผ่าน 10 ลำ ใน 1 นาที เฉลี่ยแล้วอาจมีเรือแล่นผ่านลำน้ำแม่กลองจุดใดจุดหนึ่งประมาณ 600 ลำในหนึ่งชั่วโมง!

เป็นขบวนพยุหยาตราที่ใหญ่กว่ากระบวนเรือใดๆ

จุดหมายเพื่อมาชมหิ่งห้อย

ผมเข้าใจว่าทุกคนต่างล้วนอยากชมหิ่งห้อยกระพริบแสงท่ามกลางความมืด

เพียงแต่นักท่องเที่ยวหลายคนไม่พยายามทำตัวกลมกลืนกับธรรมชาติซึ่งมืดและเงียบ

เรือหลายลำฉายไฟส่องหิ่งห้อย

เรือหลายลำมีแสงกระพริบจ้าจากไฟแฟลช ซึ่งสว่างกว่าแสงกระพริบหิ่งห้อยไม่รู้กี่พันเท่า

เรือหลายลำเร่งเครื่องคำรามลั่นขณะจอดดูหิ่งห้อย


เท่าที่รู้มา บางคนยังจับหิ่งห้อยมาบี้เล่นเพื่อพิสูจน์หาแหล่งที่มาของแสง

เท่าที่รู้มา บางคนยังเอากิ่งไม้ไล่ตีมันเพื่อความบันเทิงของตนเอง

เท่าที่รู้มา บางคนคุยกันเสียงดังเอะอะเพื่อต้องการแบ่งปันความรู้สึกกับเพื่อนร่วมคณะขณะจอดชมหิ่งห้อย

เหล่านี้ล้วนทำลายหิ่งห้อยที่ทุกคนต้องการชม


สำหรับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมน้ำ

เท่าที่รู้มา บางคนต้องเปิดไฟที่ท่าน้ำให้สว่าง เพื่อพรางแสงไฟหิ่งห้อยจากนักท่องเที่ยว เพื่อรักษาชีวิตของแมลงตัวน้อย

เท่าที่รู้มา บางคนจำเป็นต้องโค่นต้นลำพูทิ้ง เพื่อขจัดปัญหาเรือท่องเที่ยวจอดคำรามอยู่หน้าบ้านตัวเองตลอดทั้งคืน

เท่าที่รู้มา แม้จะมีการรวมกลุ่มกันสำหรับการนำเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ไม่รบกวน ไม่ทำลาย ทั้งชาวบ้านและหิ่งห้อย แต่ความร่วมมือจากผู้นำเที่ยวนอกท้องที่และนักท่องเที่ยวก็เป็นสิ่งจำเป็น


สำหรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่น

โปรดเลือกเรือนำเที่ยวที่แสดงตนว่าเป็นมิตรกับชาวบ้านและหิ่งห้อย

โปรดล่องเรือชมด้วยความสำรวม ไม่ส่งเสียงดังเอะอะ ไม่ใช้ไฟแฟลชถ่ายรูป

โปรดบอกคนเรือให้เบาเครื่องยนต์ หากเขาเร่งเครื่องเสียงดังขณะแล่นเข้าใกล้จุดจอดชมหิ่งห้อย

อาจเป็นเรื่องจุกจิกหยุมหยิม แต่คิดว่าคงไม่ถึงกับเป็นการทำลายความรื่นรมย์ของการล่องเรือชมหิ่งห้อย

หากคุณยังต้องการเห็นหิ่งห้อยพราวแสงแข่งกันบนต้นลำพูอยู่




 

Create Date : 16 เมษายน 2549    
Last Update : 16 เมษายน 2549 17:54:00 น.
Counter : 454 Pageviews.  

Exposure Trip 2006 (3)

22 มี.ค. 49

คุณปรีดาตื่นแต่เช้า เพราะวันนี้ต้องรีบออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดพังงา เราเจอลุงวรรณกับพี่โกวิทย์มารออยู่แล้ว

ลุงวรรณเป็นคนขับรถตู้เเก่าแก่ที่อาจารย์ต้อยมักเรียกใช้บริการ และขับรถให้กับ Exposure Trip มาหลายครั้งแล้ว ทั้งที่รถตู้ของลุงวรรณนั้นแสนจะเก่าติดทำเนียบรถโบราณได้ แอร์ก็ไม่เย็น มิหนำซ้ำบางครั้งก็มีน้ำแอร์หยดอีกต่างหาก แต่พวกเราก็ยินดีที่จะให้ลุงมาขับรถให้ สาเหตุเพราะลุงวรรณกินอยู่ง่าย มีเปล ถุงนอน และหม้อสนามสำหรับต้มกาแฟพร้อม ไม่ทำตัวเป็นภาระในยามที่เราต้องเดินทางแบบลำบาก

ลุงวรรณเป็นคนคุยสนุก เล่าเรื่องต่างๆ ให้พวกเราฟังมากมาย ลุงวรรณเคยเป็นทั้งสัปเหร่อ คนหาแร่ในทะเล คนฉายหนังกลางแปลง ฯลฯ จนพวกเราสงสัยว่ามีอาชีพอะไรที่ลุงไม่เคยทำมาก่อนบ้าง!

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ลุงวรรณไม่มีนิสัยเหยียดหยามคนต่างชาติพันธุ์ หรือแสดงนัยแห่งการดูถูกคนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างออกไป

เหล่านี้เป็นคุณลักษณะของลุงวรรณ ซึ่งพวกเราเห็นว่าเมื่อหักลบกับสภาพรถบุโรทั่งแล้ว พวกเราก็ยังยินดีที่จะนั่งรถลุงวรรณอยู่ดี

เนื่องจากสมาชิกเดินทางมีจำนวนมาก อาศัยเพียงรถตู้ลุงวรรณคนเดียวนั้นไม่พอ เราจึงต้องใช้รถของพี่โกวิทย์อีกคัน (คุณปรีดาไม่เคยรู้จักพี่โกวิทย์มาก่อน แต่หลังจากที่ได้พูดคุยแล้วก็เห็นว่าพี่โกวิทย์ก็เป็นคนสนุกสนาน เข้ากับคนง่ายไม่ต่างจากลุงวรรณ)

คณะเดินทางของเรามีซินดี้ ลูกสาวคนเดียวของคุณแฟรงกี้ร่วมเดินทางไปด้วย ทั้งที่ความจริงแล้ววันนี้ซินดี้ยังมีสอบ แต่ด้วยความที่เป็นนักเรียนประวัติดี ซินดี้จึงขออนุญาตครูสอบก่อนตั้งแต่เมื่อวาน ซึ่งครูก็อนุญาต

ส่วนปูนกับหยก สองสาวปริญญาโทที่ติดตามมาสวนผึ้งก็ได้เวลากลับกรุงเทพฯ

แม้จะเดินทางกันแต่เช้า แต่กว่าเราจะไปถึงบ้านทับตะวัน อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ก็ดึกแล้ว “ตุ๊ก” ซึ่งเป็นคนต้อนรับพวกเราจัดที่พักให้ โดยบอกว่าค่อนข้างขลุกขลัก เนื่องจากช่วงนี้มีนักศึกษาจาก ม.ราชภัฏสงขลามาเป็นอาสาสมัครจำนวนมาก ทำให้บ้านพักและน้ำจืดไม่พอเพียง จำเป็นต้องแบ่งๆ กันไป

เมื่ออาบน้ำเสร็จคุณปรีดาก็สลบลงอย่างรวดเร็ว

23 มี.ค. 49

ช่วงเช้าพวกเราพาคณะผู้เข้าร่วมนั่งรถชมเมืองพร้อมกับอธิบายว่าเมื่อตอนเกิดเหตุสึนามิมีสภาพอย่างไร เราแวะไปตามจุดต่างๆ ไม่ว่าจะจุดที่รัฐบาลสร้างเป็นอนุสรณ์สถาน (อีกนัยหนึ่งก็คือสถานที่ท่องเที่ยว) จุดที่เรือหลวงถูกซัดขึ้นฝั่งมากินระยะทางไกลกว่าหนึ่งกิโลเมตร รวมไปถึงบริเวณจัดงานคราวครบรอบหนึ่งปีสึนามิ คุณปรีดาได้เห็น “ซาก” ของสถานที่จัดงานเมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมาแล้วก็เศร้าใจบอกไม่ถูก





Before & After สถานที่จัดงานครบรอบหนึ่งปีสึนามิเมื่อปลายปีที่แล้ว กับวันนี้


วันนี้พวกเรามีโปรแกรมคุยกับ “พี่น้อง” ซึ่งเป็นอาสาสมัครคนแรกๆ ที่ลงมายังบ้านทับตะวัน ภายหลังเกิดเหตุสึนามิ แล้วก็ “ตุ๊ก” ซึ่งทำงานวิทยุชุมชนกับเด็กๆ ชาวมอแกนซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณบ้านทับตะวัน

ตุ๊กซึ่งทำงานให้กับ Thai Volunteer Service เล่าให้ฟังว่าหลังจากเกิดเหตุสึนามิก็ลงมาสำรวจพื้นที่จนพบหมู่บ้านนี้ จากนั้นจึงมีการพูดคุยกันกับสมาคมนักข่าวฯ คปส. ฯลฯ โดยเห็นว่าควรนำแนวคิดวิทยุชุมชนมาช่วยฟื้นฟู ซึ่งก่อนหน้าลงมาที่บ้านทับตะวันก็มีการจัดตั้งกลุ่มเยาวชนอยู่ก่อนแล้ว (โดยพี่น้องซึ่งทำงานกับเครือข่ายสลัมสี่ภาค)

พอเริ่มทำงานกับเยาวชนก็เห็นปัญหาที่หนักหน่วงยิ่งกว่าสึนามิ นั่นคือคนที่นี่ไม่มั่นใจ ไม่อยากคุยกับคนภายนอก ปัญหาหลักๆ ที่พบคือการถูกแบ่งแยกเป็นไทยพุทธ-มอแกน และปัญหาเรื่องที่ทำกิน

วิทยุชุมชนที่จัดตั้งขึ้นมีบทบาทในการฟื้นฟูและสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น (มอแกน) เพราะก่อนหน้านี้เด็กๆ เลี่ยงที่จะไม่พูดภาษามอแกน และมีความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของตนน้อยเต็มที แต่วิทยุชุมชนช่วยให้พวกเขาหันมาพูดภาษาของตนเองมากขึ้น มีการจัดรายการอันเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมมอแกน (ทำให้ต้องไปสอบถามหาความรู้จากผู้เฒ่าผู้แก่)

นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้ผู้ฟังเรื่องการเตรียมตัวหากเกิดสึนามิขึ้นอีกครั้ง ความจริงแล้ววิทยุชุมชนควรมีบทบาทด้านการเตือนภัยด้วย แต่ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะเมื่อได้ข่าวทุกครั้งว่าจะมีสึนามิเกิดขึ้นอีก เด็กก็ตื่นตระหนกเกินกว่าจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เพราะเด็กฝังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

จากนั้นช่วงบ่ายเราได้คุยกับพี่น้อง ซึ่งเล่าให้ฟังว่าตอนที่เกิดสึนามิ เมื่อลงพื้นที่ทับตะวันก็พบปัญหาเช่น ปัญหานายทุนสวมรอยแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของที่ดิน ของที่ได้รับบริจาคไม่ถึงมือชาวบ้านผู้ประสบภัย รวมถึงความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชาวบ้าน รัฐบาลนั้นต้องการย้ายชาวบ้านออกห่างจากชายฝั่ง 8-10 กิโลเมตร! (ทั้งที่วิถีชีวิตของชาวมอแกนคือชีวิตที่อยู่กับทะเล) โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเหตุผลที่แท้จริงก็คือรัฐต้องการนำพื้นที่ทำกินเดิมของชาวบ้านไปใช้ประโยชน์สำหรับการท่องเที่ยวต่างหาก

พี่น้องบอกว่าตัวเองได้หาข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้าน ทำความเข้าใจวัฒนธรรมของชาวบ้าน ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการคืออะไร แล้วจึงสรุปได้ว่าชาวบ้านอยากได้ที่ดินคืน อยากได้บ้าน และอาชีพ

หลังจากนั้นจึงเริ่มสร้างบ้านโดยสอบถามความต้องการจากชาวบ้านว่าอยากได้บ้านแบบไหน (บ้านทับตะวันเป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนมาศึกษาในฐานะการฟื้นฟูภายหลังสึนามิโดยใช้ความต้องการของชาวบ้านเป็นศูนย์กลาง ต่างจากในหลายพื้นที่ซึ่งรัฐลงไปสร้างบ้านให้โดยไม่คำนึงว่าชาวบ้านจะอยู่ได้หรือไม่ หรือขัดต่อวัฒนธรรม วิถีชีวิตของพวกเขาหรือไม่ ดังนั้นจึงพบว่าในหลายพื้นที่จึงมีบ้านที่สร้างไว้แต่ไม่มีคนอยู่อาศัย)

ส่วนอาชีพชุมชนนั้นเริ่มจากช่วงสร้างบ้าน ปรากฏว่าอุปกรณ์ก่อสร้างขึ้นราคา พี่น้องจึงเห็นควรให้ตั้งโรงงานทำวงกบขึ้นเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายและฝึกอาชีพ จากนั้นก็ทำปั๊มน้ำมันชุมชน (เพราะชาวบ้านต้องออกเรือหาปลา) เด็กๆ ทำร้านอาหาร ส่วนแม่บ้านทำโครงการเพาะเห็ด

เมื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แล้ว (ยกเว้นเรื่องปัญหาที่ดิน ซึ่งยังมีชาวบ้านกว่า 30 ครอบครัวที่ถูกฟ้องร้อง) ตอนนี้ก็เริ่มหันมาทำเรื่องแหล่งน้ำ และฟื้นฟูวัฒนธรรม โดยให้เด็กๆ วิจัยภาษามอแกน ทำศูนย์วัฒนธรรม ศูนย์สุขภาพ

ระหว่างการพูดคุย ชิ (นักดนตรีกะเหรี่ยง) เปรยกับคุณปรีดาเป็นทำนองว่าพวกคนดีๆ (คนที่ประสบภัยสึนามิ) ไม่น่าตายกลับต้องตาย ส่วนคนไม่ดี (ผู้ก่อการร้าย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ที่ควรตายกลับลอยนวล

คุณปรีดาต้องรีบแก้ว่าทุกสังคมก็มีทั้งคนดีและไม่ดี อาจมีมุสลิมบางคนเลว แต่อย่าไปเหมาว่าคนที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนเป็นคนเลวไปเสียหมด และสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือทำไมพวกเขาจึงตัดสินใจก่อเหตุเช่นนั้น

คุณปรีดาเปรียบเทียบกับกรณีก็อดอาร์มี่เมื่อ 6-7 ปีก่อนว่ามันก็คล้ายๆ กัน ในเวลานั้นคนไทยล้วนบอกว่าพวกกะเหรี่ยงเลว แต่เราไม่ได้แยกว่ากะเหรี่ยงย่อมมีทั้งคนดีคนเลว นอกจากนี้คนทั่วไปยังไม่ได้พยายามทำความเข้าใจว่าสาเหตุที่ทำให้มีก็อดอาร์มี่ หรือว่าการปล้นโรงพยาบาลราชบุรีนั้นคืออะไร



เด็กๆ จัดรายการวิทยุชุมชน

ตกเย็นพวกเราได้นั่งล้อมวงคุยกันกับเหล่านักศึกษาและอาจารย์ที่เป็นอาสาสมัครในพื้นที่ บางช่วงเราต้องใช้ล่ามกันหลายทอด จากภาษาใต้มาสู่ภาษาไทยกลาง แล้วแปลเป็นภาษากะเหรี่ยง (ปกากะญอ) แล้วแปลเป็นพม่าอีกที บางครั้งก็มีภาษาอังกฤษเข้าร่วมด้วย



ล้อมวงคุยกัน

การที่ต้องอาศัยล่ามแปลกันหลายทอดนี้อาจมองว่าเป็นเรื่องเสียเวลา เรื่องที่ควรอธิบายรู้เรื่องกันใน 10 นาทีกลับต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงหรือนานกว่านั้นกว่าจะทำความเข้าใจกันได้

แต่นี่ก็เป็นเสน่ห์ของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์มิใช่หรือ เราจำเป็นต้องมีความพยายามที่จะเข้าใจผู้อื่น และความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่มีสองสิ่งนี้ เราก็ไม่อาจเข้าใจผู้อื่นที่มีวิถีชีวิต ภาษา วัฒนธรรมที่ต่างไปจากเราได้เลย

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็คือ เรามักฟังแต่เสียงพูดในภาษาของเรา ละเลยเสียงพูดในภาษาอื่น บางครั้งอาจมีล่ามแปลภาษาอื่นมาเป็นภาษาของเรา แต่เราก็มีความอดทนต่ำเกินกว่าจะทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้น




 

Create Date : 08 เมษายน 2549    
Last Update : 8 เมษายน 2549 14:03:34 น.
Counter : 607 Pageviews.  

1  2  

Aka Prita
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Aka Prita's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.