โรคซิฟิลิส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำความความเข้าใจ รักษาหายได้
โรคซิฟิลิสเป็นที่น่าตกใจว่า ปัจจุบันในประเทศไทยพบอัตราโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แพร่ระบาดมากขึ้น โดยเฉพาะ โรคซิฟิลิส (Syphilis) ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยติดเชื้อแบบไม่รู้ตัว เพราะระยะฟักตัวของ ซิฟิลิส จะไม่แสดงออกมาให้เห็น พบมากที่สุดในกลุ่มของวัยรุ่น ระดับมัธยมถึงมหาลัย ช่วงอายุระหว่าง 15 -24 ปี ที่มักเปลี่ยนคู่นอนและมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันตัวเอง เพื่อป้องกันการระบาดที่มากขึ้น และคลายข้อสงสัยว่า โรคซิฟิลิส เกิดจากอะไร ร้ายแรงขนาดไหน เรามีคำตอบมาฝากกันสาเหตุของโรคซิฟิลิสโรคซิฟิลิสเกิดจาก แบคทีเรียที่มีชื่อว่า ทรีโพนีมา แพลลิดัม (Treponema pallidum) โดยเชื้อชนิดนี้มีขนาดเล็ก เข้าสู่ร่างกายได้ทางบาดแผลบนผิวหนังและเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา โดยการแพร่กระจายของซิฟิลิส สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในระยะแรก ซึ่งเป็นระยะที่มีแผลริมแข็ง (Chancre) หรือสามารถแพร่กระจายในระยะที่สอง โดยจะมีอาการแสดงที่เห็นชัดขึ้น คือมีผื่นขึ้น หรือแม้แต่ในช่วงแรกๆ ของระยะแฝง (Early latent phase) ซึ่งไม่มีอาการแสดงใดๆ เลยก็ตาม ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไม่รู้ตัวและกลายเป็นพาหะของโรคไปโดยไม่ตั้งใจอาการของโรคซิฟิลิสการติดเชื้อซิฟิลิสจะมีการดำเนินของโรคเป็นระยะๆ ดังนั้นแต่ละระยะจึงมีอาการแสดงที่ต่างกันไป ประกอบไปด้วย
ในกรณีเด็กในครรภ์ที่ได้รับเชื้อจากมารดาก็อาจเกิดความผิดปกติได้เช่นกัน คือ พิการ หรือเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ หรืออาจเสียชีวิตหลังคลอดได้ การรักษาโรคซิฟิลิสโรคซิฟิลิสสามารถรักษาได้ง่ายในระยะแรกด้วยยาฆ่าเชื้อ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว แต่ในรายที่มีเชื้อซิฟิลิสในร่างกายมานานเป็นปี อาจจะต้อง ฉีดยาเพิ่มมากกว่า 1 ครั้ง ทั้งนี้ระยะเวลาการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคที่เป็น และผู้ป่วยจะต้องไปฉีดยาตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง เพราะการขาดยาจะเป็นสาเหตุสำคัญทำให้โรคไม่หายขาด ประกอบต้องดูแลสุขภาพตนเอง งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหาย และควรต้องแจ้งแก่คู่นอนให้ทราบเพื่อจะได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาด้วยกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อรักษาหายแล้ว ก็ยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก หากไม่ลดพฤติกรรมเสี่ยง และควรกลับมาตรวจเช็คทุกปีการป้องกันโรคซิฟิลิสโรคซิฟิลิสจะสามารถรักษาให้หายได้ก็จริง แต่การป้องกันยังสำคัญกว่า เนื่องจากผลกระทบจากการทำลายของส่วนต่างๆ ในร่างกายจากเชื้อซิฟิลิส ไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อตั้งแต่แรก สามารถทำได้โดย
ยา PrEP คืออะไร ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้อย่างไร !
ยา PrEP คืออะไรยา PrEP เป็นชื่อย่อของ Pre-Exposure Prophylaxis หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี ก่อนมีการสัมผัส ( pre-exposure ) ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ใช้สารเสพติดชนิดที่ใช่เข็มฉีดยาร่วมกัน ยา PrEP เป็นยาป้องกันป้องกัน HIV ( prophylaxis โดยให้ได้ทั้งในรูปยากิน หรือสารฆ่าจุลินทรีย์ ( microbicides )ในรูปเจลผสมยาต้านไวรัสใส่ในช่องคลอด หรือในทวารหนัก และห่วงบรรจุยาต้านใส่ในช่องคลอดปัจจุบัน ยา PrEP ในรูปแบบกิน มีข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถป้องกันเชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิผล ส่วนแบบฉีดและแบบทานั้น ยังอยู่ระหว่างการวิจัย ทำไมถึงต้องกิน ยา PrEPจากสถิติในปัจจุบันยังพบว่ามีวัยรุ่นจำนวนมากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกแบบไม่ป้องกัน และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV นอกจากปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีในวัยรุ่นแล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัญหาคือ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่ติดเชื้อและทารกเกิดมาพร้อมกับเชื้อเอชไอวี เนื่องจากมารดาไม่ตรวจร่างกายอย่างต่อเนื่องและไม่รับประทานยาต้านเชื้อHIV ประกอบกับมีข้อมูลคาดการสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2562 ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 2,053 ราย ต่อปี และเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ คิดเป็น 6 คนต่อวัน โดยเป็นกลุ่มชายรักชายมากที่สุด และสาวประเภทสองที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เรียกว่าในกลุ่มที่มีความเสี่ยง การใช้ยา PrEP ในการต้าน ก็จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้ และทำให้พวกเขามีอายุอยู่ได้ยืนยาวขึ้นยา PrEP สามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้กี่เปอร์เซ็นต์ยา Prep สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV ก่อนสัมผัสความเสี่ยงมา สามารถป้องกันได้ถึง 96% และขึ้นอยู่กับการมีวินัยในการรับประทาน คือรับประทานในเวลาเดียวกันในทุกๆวัน อย่างไรก็ตาม Prep ไม่สามารถป้องกันโรคติดทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆได้ เช่น ซิฟิลิส หนองใน เริม หูด ดังนั้นยังคงแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์จะเริ่มกินยา PrEP ต้องทำอย่างไรก่อนที่จะเริ่มกิน ยา PrEP ควรงดมีเพศสัมพันธ์ 2 สัปดาห์และต้องไปพบแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านเอชไอวีเพื่อดูว่าคุณจะเหมาะสำหรับการใช้เพร็พ (PrEP) หรือไม่พร้อมทั้งตรวจ การทำงานของตับและไต เนื่องจากสามารถรับผลกระทบจากยาเพร็พ (PrEP) ได้ หากว่าเพร็พ (PrEP) เหมาะกับคุณ แพทย์จะออกใบสั่งยา โดยเฉลี่ยจะไม่ให้รับประทานนานเกิน 3 เดือน |
สมาชิกหมายเลข 3961575
Rss Feed ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |