All Blog
จับยามสามตาหาวันพร้อมตั้งครรภ์
จับยามสามตาหาวันพร้อมตั้งครรภ์
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
(โดย //www. healthcentral. com และ //www. thaiclinic. com)
กว่าจะตั้งครรภ์ได้นั้น ปัจจัยสำคัญด้านหนึ่งเป็นเรื่องสุขภาพของว่าที่คุณแม่ ที่ร่างกายต้องสมบูรณ์พร้อม

หลายคนใช้วิธีนับวันการมาของรอบเดือน มีความเชื่อยอดนิยมว่า ช่วงไข่ตกจะเป็นช่วงที่สภาพร่างกายสมบูรณ์ที่สุด (ถ้ารอบเดือนมาอย่างสม่ำเสมอ ไข่จะตกในราววันที่ 14 ของรอบประจำเดือน โดยนับจากวันแรกของการมีประจำเดือนเป็นวันที่ 1 ถ้ามาสั้นหรือยาวกว่า 28 วัน ไข่จะตกประมาณวันที่รอบประจำเดือนลบด้วย 14 ถ้ารอบเดือนมีระยะ 30 วัน ไข่จะตกวันที่ 30-14 = วันที่ 16 ของรอบเดือน ถ้ามาทุก 26 วัน ไข่จะตกประมาณวันที่ 26-14 = วันที่ 12 ของรอบเดือน)

แต่ว่าอะไรที่เชื่อกันมานานๆแล้วก็มิใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ล่าสุด นักวิจัยของมหาวิทยาลัยยูท่าห์ ในสหรัฐอเมริกาพบว่า ช่วงเวลาที่ผู้หญิงจะมีความสมบูรณ์ พร้อมต่อการตั้งครรภ์นั้น ควรจะเป็นช่วง 1 หรือ 2 วันก่อนที่จะไข่ตก มากกว่าความเชื่อเดิมที่เคยยึดถือกันมา

เอาล่ะค่ะ กางปฏิทินออกมานับวันแล้วหาฤกษ์ส่วนตัวกันได้ ตามใจปรารถนา



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:20:50 น.
Counter : 606 Pageviews.

0 comment
สารอาหารสำหรับการเตรียมตัวตั้งครรภ์
สารอาหารสำหรับการเตรียมตัวตั้งครรภ์


สารอาหาร ไลโคพิน
แหล่งที่พบ มะเขือเทศ องุ่นเขียว องุ่นแดง ฝรั่ง
คุณประโยชน์สำหรับชาย เพิ่มจำนวนอสุจิ
คุณประโยชน์สำหรับหญิง ช่วยให้อสุจิ - เคลื่อนไหวได้ดี

กรดโฟลิค
แหล่งที่พบ หน่อไม่ฝรั่ง บรอกโคลี ผักขม อโวคาโด กระหล่ำปี พืชถั่ว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแขก และส้ม
คุณประโยชน์สำหรับชาย ช่วยเพิ่มอสุจิ
คุณประโยชน์สำหรับหญิง ช่วยให้ระบบเจริญพันธ์สมบูรณ์ พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์

วิตามินซี
แหล่งที่พบ กระหล่ำปี กระหล่ำม่วง ผลกีวี สตรอเบอร์รี่ มันฝรั่ง ส้ม ส้มจีน พริก
คุณประโยชน์สำหรับชาย ช่วยให้อสุจิมีคุณภาพที่ดีมีความแข็งแรงทนทานต่อปฏิกิริยา ทำลายเนื้อเยื่อจาก สารเคมีบริเวณปากมดลูก
คุณประโยชน์สำหรับหญิง ช่วยให้ธาตุเหล็กมีการดูดซึมได้ดีขึ้นสร้างภูมิ คุ้มกันทำให้เซลล์ต่าง ๆ แข็งแรง

วิตามินอี
แหล่งที่พบ บรอกโคลลี อะโวคาโด ถั่วลิสง มะม่วง ถั่วอัลมอลล์ เมล็ดทานตะวัน
คุณประโยชน์สำหรับชาย ช่วยให้อสุจิแข็งแรง และเพิ่มความสามารถในการเจาะไข่ได้ง่ายขึ้น
คุณประโยชน์สำหรับหญิง ป้องกันไม่ให้เซลล์ถู-กทำลาย

สังกะสี
แหล่งที่พบ ข้าวบาเลย์ หอยนางรมปู ข้าวสาลี เนื้อ และไก่
คุณประโยชน์สำหรับชาย ช่วยควบคุมฮอร์โมน ทำให้สเปิร์มมี ขนาดรูปร่างที่คล่องแคล่ว มีคุณภาพ ในการทำฏิสนธิกับไข่ได้ดี
คุณประโยชน์สำหรับหญิง ช่วยให้รังไข่มีการผลิตไข่ที่สมบูรณ์

ธาตุเหล็ก
แหล่งที่พบ ถั่วเขียว ้เนื้อแดง กุ้ง เมล็ดฟักทอง พืชตระกุลถั่ว ปู หอยนางรม
คุณประโยชน์สำหรับชาย -
คุณประโยชน์สำหรับหญิง ทำให้ให้ระบบการเจริญพันธ์มีการทำงานปกติ

วิตามินบี 12
แหล่งที่พบ ปลาน้ำจืด เนื้อ ปู หอยนางรม หอยทะเล ปลาทูน่า โยเกิร์ต
คุณประโยชน์สำหรับชาย -
คุณประโยชน์สำหรับหญิง ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ซึ่งเป็นปัจจัย หนึ่งที่พบว่าอาจเป้นปัญหาที่ทำให้เกิด ภาวะการมีบุตรยาก



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:19:58 น.
Counter : 1192 Pageviews.

0 comment
ส่วนพ่อ แม่กรุ๊ปใด จะมีลูก ที่มีเลือดกรุ๊ปใดได้บ้าง
ส่วนพ่อ แม่กรุ๊ปใด จะมีลูก ที่มีเลือดกรุ๊ปใดได้บ้าง

ให้นึกภาพว่ายีนส์ ของคนนั้นจะมีสองอันประกบกันเป็นคู่ อันนึงได้จากแม่ อีกอันได้จากพ่อ และจะแยกตัว ออกเป็นสองข้าง ในเซลสืบพันธ์ เพื่อไปจับคู่กับอีกครึ่งหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม

ลักษณะของยีนส์ ในกรุ๊ปเลือดต่างๆ (โดยยีนส์นั้นเป็นตัวกำหนดให้ร่างกายสร้าง Antigen นั้นๆบนผิวเม็ดเลือดแดง)
Group A = มียีนส์ AO หรือ AA
Group B = มียีนส์ BO หรือ BB
Group AB = มียีนส์AB
Group O = มียีนส์ OO

ทีนี้มาดู ว่า พ่อ กับแม่ แม่กรุ๊ปใด ให้ลูก กรุ๊ปใด ได้บ้าง
กรณีที่ 1 ทั้งสองฝ่าย group A เหมือนกัน จะเป็นได้ดังนี้
ถ้าพ่อแม่เป็น AA+ AA ลูกจะเป็น AA ร้อยเปอร์เซนต์ (Group A ทั้งหมด)
ถ้าพ่อแม่เป็น A0 +AA ลูกจะเป็น AO กับ AA อย่างล่ะครึ่ง( แต่ก็เป็น Gr A ทั้งหมด)
ถ้าพ่อแม่เป็น A0 + AO ลูกจะเป็น AO 50% กับ AA กับ OO อย่างล่ะ 25% (เป็น Gr A 75% กับ O 25%)
ในทางปฏิบัติ คนกรุ๊ป A เราไม่ทราบหรอกครับ ว่ามันเป็น AA หรือ AO แต่จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ลูกก็จะมีโอกาสเป็นได้แค่ Gr A หรือ O เท่านั้น
กรณีที่ 2 ทั้งสองฝ่ายกรุ๊ป B เหมือนกัน ก็ จะเหมือนกับ กรณีของ A ข้างบน แต่เปลี่ยนเป็น จาก A เป็น B เท่านั้น
กรณีนี้ จะได้ลูกแค่ Gr B และ O เท่านั้น
กรณีที่ 3 ทั้งสองฝ่ายเป็น AB เหมือนกัน จะเป็นดังนี้
AB+AB จะได้ ลูก AB 50% กับ AA และ BB อย่างล่ะ 25%
กรณีนี้จะได้ลูก Gr AB 50% และ A กับ B อย่างล่ะ 25% ไม่มีกรุ๊ป O เลย

กรณีที่ 4 ทั้งสองฝ่ายกรุ๊ป O เหมือนกัน จะได้ ดังนี้

OO+OO จะได้ลูก เป็น OO 100%



กรณีนี้จะได้แต่ลูกกรุ๊ป O เท่านั้น ไม่มีกรุ๊ปอื่นปน

กรณีที่ 5 ฝ่ายหนึ่ง Group A อีกฝ่ายกรุ๊ป B จะเป็นได้ดังนี้

AA + BB = ลูกได้ AB ร้อยเปอร์เซ็นต์(Gr AB ทั้งหมด)

AO + BB = ลูกได้ AB ครึ่งนึง กับ BO ครึ่งนึง (Gr AB กับ Gr B อย่างล่ะครึ่ง)

AA + BO = ลูกได้ AB กับ AO อย่างล่ะครึ่ง (Gr AB กับ Gr A อย่างล่ะครึ่ง)

AO+BO = ลูกได้ AB ,AO, BO, OO อย่างล่ะ 25% ( มีได้ทุกกรุ๊ป อย่างล่ะ 25% )



กรณีนี้ จะเห็นได้ว่า ถ้าพ่อแม่ คนนึง Gr A อีกคน B จะมีลูกได้ ทุกกรุ๊ปเลย

กรณี 6 ฝ่ายหนึ่งกรุ๊ป A อีกฝ่าย AB จะเป็นได้ดังนี้

AA + AB จะได้ลูก AA และ AB อย่างล่ะครึ่ง(ได้ลูกกรุ๊ป A และ AB อย่างล่ะครึ่ง)

AO +AB จะได้ลูก AA ,AO, AB, BO อย่างละ 25% (ได้ลูกกรุ๊ป A 50% และ กรุ๊ปAB กับ กรุ๊ป B อย่างล่ะ 25%)



กรณีนี้จะเห็นว่า ถ้า ฝ่ายหนึ่งเป็น A อีกฝ่ายเป็น AB จะได้ลูก กรุ๊ป A ,AB, B ได้ แต่ ไม่มีทางเป็น Gr O

กรณีที่ 7 ฝ่ายหนึ่ง AB อีกฝ่าย B จะเป็นได้ดังนี้

AB + BB จะได้ลูก BB และ AB อย่างล่ะครึ่ง(ได้ลูกกรุ๊ป A และ AB อย่างล่ะครึ่ง)

AB +BO จะได้ลูก BB ,BO, AB, AO อย่างละ 25% (ได้ลูกกรุ๊ป B 50% และ กรุ๊ปAB กับ กรุ๊ป A อย่างล่ะ 25%)



กรณีนี้จะเห็นว่า ถ้า ฝ่ายหนึ่งเป็น AB อีกฝ่ายเป็น B จะได้ลูก กรุ๊ป A ,AB, B ได้ แต่ ไม่มีทางเป็น Gr O เหมือนกัน กับกรณีที่ 4

กรณีที่ 8 ฝ่ายหนึ่ง Gr AB อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้

AB + OO จะได้ AO กับ BO



กรณีนี้จะได้ลูก กรุ๊ป A กับ B ไม่มี AB และ O

กรณีที่ 9 ฝ่ายหนึ่ง Gr A อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้

AA + OO ได้ AO ทั้งหมด (กรุ๊ป A ทุกคน)

AO + OO ได้ AO กับ OO อย่างละ50% (



กรณีนี้จะได้ลูก Gr A กับ O อย่างล่ะครึ่ง ไม่มี กรุ๊ป B กับ AB

กรณีที่ 10 ฝ่ายหนึ่ง Gr B อีกฝ่าย O จะได้ดังนี้

BB + OO ได้ BO ทั้งหมด (กรุ๊ป B ทุกคน)

BO + OO ได้ BO กับ OO อย่างละ50%



กรณีนี้จะได้ลูก Gr B กับ O อย่างล่ะครึ่ง ไม่มี กรุ๊ป A กับ AB

สรุปจากสิบกรณี ข้างบนมาให้ดูง่ายๆคือ

คนหมู่เลือด A +A = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,O

คนหมู่เลือด B+B = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด B,O

คนหมู่เลือด AB+AB = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,AB ,B (ได้ทุกกรุ๊ป ยกเว้น O)

คนหมู่เลือด O+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด O เท่านั้น

คนหมู่เลือด A+B = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด เป็นได้ทุกกรุ๊ป

คนหมู่เลือด A+AB = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,AB ,B(ได้ทุกกรุ๊ป ยกเว้น O)

คนหมู่เลือด B+AB = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A ,AB ,B(ได้ทุกกรุ๊ป ยกเว้น O)

คนหมู่เลือด AB+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด ได้ A หรือ B

คนหมู่เลือด A+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A หรือ O

คนหมู่เลือด B+O = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด B หรือ O

คนหมู่เลือด A+B = มีโอกาสได้ลูกเป็น หมู่เลือด A.,B,AB,O



แต่ถ้าเราสามารถระบุไปถึง ระดับยีนส์ได้ ว่าเป็นตัวไหน ก็พยากรณ์ได้แคบลงตามตัวอย่างข้างบน (อาจจะดูได้โดยดูจากประวัติครอบครัว เช่น คนที่ Gr A หรือ Gr B ที่มาจาก พ่อแม่ ที่เป็น AB +AB ย่อมเป็น grA ที่มี ยีนส์ AA หรือ Gr B ที่มียีนส์ BB เป็นต้น



"Blood Group" ปกติกรุ๊ปเลือดจะรายงานผลออกมา เป็นสองระบบคือ

ABO System และ Rh System โดยจำแนกตาม Antigen บนเม็ดเลือดแดงที่มีอยู่



ในระบบ ABO จะแบ่งออกได้ สี่กรุ๊ปคือ A , B , AB และ O (Group O พบมากสุด ,A กับ B พบพอๆกัน และ AB มีน้อยที่สุด



ในระบบ Rh จะรายงาน ได้เป็นสองพวก

+ve หรือ Rh+ve คือพวกที่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พวกนี้พบได้มากเกือบทั้งหมด

ของคนไทยเป็นพวกนี้

-ve หรือ Rh-ve คือพวกที่ไม่มี Rh (Rhesus) Antigen บนเม็ดเลือดแดง พวกนี้พบได้น้อยมาก

คนไทยเราพบเลือดพวกนี้ แค่ 0.3% เป็นพวกที่บางครั้งเรียกว่า ผู้มีโลหิตหมู่พิเศษ จะพบได้มากขึ้นในชาวไทยซิกข์ (แต่ในคนพวกนั้น แม้ว่าจะมี Rh-ve มากกว่าคนไทยปกติ แต่ส่วนใหญ่ก็

ยังคงเป็นพวก Rh +veอยู่ดี)



ตัวอย่างการรายงานกลุ่มเลือดเช่น

A+ve คือเลือดกรุ๊ปA Rh+ve ตามปกติ

AB -ve อันนี้เป็น กรุ๊ป AB และ เป็นหมู่เลือดพิเศษ Rh-ve ซึ่งหายากที่สุด

ปกติ AB ในคนไทยพบน้อยกว่า 5% ถ้าเป็น AB-ve นี่ พบแค่ 1.5 คนใน หมื่นคนเท่านั้น



--------------------------------------------------------------------------------

ระบบหมู่เลือด Rh

เป็นระบบหมู่เลือดที่สำคัญรองลงมาจาก หมู่เลือด ABO แอนติเจน Rh เป็นแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดงของ

คนที่เหมือนกับแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดงของลิง Rhesus

Landsteiner และ Wiener เป็นผู้ค้นพบว่า rabbit antisera ต่อเม็ดเลือดแดงของลิง Rhesus สามารถ

ทำให้เม็ดเลือดแดงของคนส่วนใหญ่จับกลุ่มได้ คนเหล่านี่จัดว่าเป็นหมู่เลือด Rh +ve

ในระบบ Rh นี้ แอนติเจน D (antigenic determinant Rho) มีความสำคัญที่สุดในทางการแทย์ เป็น

แอนติเจนที่แรงกว่าแอนติเจนตัวอื่นในระบบเดียวกัน

เมื่อกล่าวถึงว่าเป็นหมู่เลือด Rh +ve หมายถึงบนผิวเม็ดเลือดแดงนั้นมี D-antigen อยู่ ส่วนหมู่เลือด Rh-ve

หมายถึงการไม่มี D-antigen บนผิวเม็ดเลือดแดง

ในคนไทย ประมาณมากกว่า 99% เป็นหมู่เลือด Rh +ve

ประมาณ 1 : 500 เป็นหมู่เลือด Rh -ve

ในบ้านเราหมู่เลือด Rh ไม่ค่อยเป็นปัญหาในการให้เลือดเท่าใด และมักจะไม่ใช่เป็นสาเหตุและสาเหตุของโรค

hemolysis ในทารกแรกเกิด



ปัญหาของการให้เลือดในระบบ Rh

ปัญหาจะเกิดขึ้นได้กับคนที่มีหมู่เลือด Rh -ve ถ้าหากได้รับเลือดที่เป็นหมู่ Rh + ve เข้าไป ในครั้งแรกจะ

ยังไม่มีปฏิกริยาอะไรเกิดขึ้น แต่ร่างกายซึ่งเดิมไม่มีแอนติบอดีย์ต่อ D-antigen มาก่อน จะเริ่มสร้างแอนติบอดีย์

ต่อ D antigen ขึ้นมาในร่างกาย ต่อเมื่อมีการได้รับเลือดที่เป็น Rh+ve อีกครั้ง คราวนี้จะเกิดปฏิกริยาระหว่าง

D antigen บนเม็ดเลือดแดงของผุ้ให้ (Donor) กับแอนติบอดีบ์ต่อ D antigen ที่เกิดขึ้นในร่างของผู้รับ

เกิดการจับกลุ่มเป็นตะกอนของเม็ดเลือด เกิดการแตกของเม็ดเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้รับเลือดได้



--------------------------------------------------------------------------------

ระบบหมู่เลือด Lewis (Lewis blood group)

เป็นระบบที่มีแอนติเจนแบบพิเศษต่างจากแอนติเจนอื่นๆของเม็ดเลือดแดงคือ มิได้เป็นส่วนของ Red cell

membrane แต่จะเป็นแอนติเจนที่ละลายอยู่ในซีรั่มแล้วไปติดอยุ่ที่ผิวของเม็ดเลือดแดง ดังนั้นเม็ดเลือดแดง

ที่ไม่มีแอนติเจน Lewis เมื่อนำไปผสมกับซีรั่มที่มีแอนติเจน Lewis จะกลายเป็นเม็ดเลือดแดงที่มีแอนติเจน

Lewis อยู่บนผิวเม็ดเลือดได้

แอนติเจน Lewis เกิดจากสาร precursor เดียวกันกับ H antigen แอนติเจนในระบบนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด

คือ Lewis a (Le a) และ Lewis b (Le q)

gene ที่กำหนดให้มีแอนติเจน Lewis คือ Le gene ซึ่งเด่นกว่า le gene ดังนั้นในคนที่มีลักษณะยีน

Le/Le Le/le genotype จะมีแอนติเจน Le ในซีรั่ม

le/le genotype จะไม่มีแอนติเจน Le ในซีรั่ม





--------------------------------------------------------------------------------

การทดสอบความเข้ากันได้ที่ต้องทำก่อนมีการให้เลือด

1 - การตรวจหาหมู่เลือด ทั้งของผุ้รับ (Receipt) และผู้ให้ (Donor) ประกอบด้วย

- Cell grouping หรือ Direct grouping

คือการเอาเม็ดเลือดแดงที่ต้องการทดสอบมาทำปฏิกริยากับซีรั่มมาตรฐานที่มี Anti-A และซีรั่มมาตรฐาน

ที่มี anti-B อยู่ มาผสมกันและดูการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดงในซีรั่มทั้งสองชนิด

- Serum grouping หรือ Indirect grouping เป็นการตรวจหา anti-A และ Anti-B ในซีรั่ม โดย

การตรวจกับเม็ดเลือดแดงที่ทราบหมู่ที่แน่นอนทั้งหมู่ A, B , O ควรทำไปพร้อมกับแบบ cell grouping

เพื่อเพิ่มการยืนยันหมู่เลือด ป้องกันการผิดพลาด



เมื่อนำข้อมมูลการทดสอบทั้งวิธี cell grouping และ serum grouping มาแปลผลควรได้ผลตรงกัน

ตามตารางดังต่อไปนี้

Cell grouping

เม็ดเลือดทดสอบมาผสมกับ Serum grouping

ซีรั่มไม่ทราบหมู่ผสมกับ การแปลผลหมุ่เลือด

Anti-A

(สีฟ้า) Anti-B

(สีเหลือง) Cell gr.A Cell gr.B Cell gr.O

+ - - + - หมู่เลือด A

- + + - - หมู่เลือด B

+ + - - - หมู่เลือด AB

- - + + - หมู่เลือด O

หมายเหตุ + หมายถึงมีการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดง / - หมายถึงไม่มีการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดง



2. การตรวจความเข้ากันได้ของเลือดผู้รับและเลือดผู้ให้ (Cross matching)

ถึงแม้ว่าการหาหมู่เลือดจากข้อ 1 พบว่าเป็นหมู่เลือด ABO หมู่เดียวกันแล้วก็ตาม แต่ก่อนการให้เลือด (Blood

transfusion) ก็จำเป็นต้องทำ Cross matching หรือ compatibility test อีก เพราะผู้รับอาจมี

แอนติบอดีย์ต่อหมู่เลือดอื่นที่เราไม่ได้ทำการทดสอบ โดยเฉพาะผู้ที่เคยได้รับเลือดมาแล้วหรือหญิงที่ผ่านการ

คลอดบุตรมาแล้ว การทำการทดสอบประกอบด้วย

- Major cross matching

คือการทดสอบระหว่างเม็ดเลือดแดงของผู้ให้(Donor) กับซีรั่มของผู้รับ (Receipt)

เพื่อตรวจหาว่าในซีรั่มของผู้รับมีแอนติบอดีย์ต่อแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดงของผู้ให้ที่นอกเหนือไปจาก

ABO antigen หรือไม่

- Minor cross matching

คือการทดสอบระหว่างซีรั่มของผู้ให้(Donor) กับเม็ดเลือดแดงของผู้รับ (Receipt)

เพื่อตรวจว่าในซีรั่มของผู้ให้มีแอนติบอดีย์ต่อแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดงของผู้รับนอกเหนือไปจากระบบ

ABO antigen หรือไม่

เลือดที่จะนำมาให้ผู้รับได้จะต้องไม่เกิดการจับกลุ่ม ตกตะกอน (hemaglutination) ใดๆ

ทั้งสิ้นทั้งในส่วนของ major และ minor cross matching

(นอกจากนั้นยังต้องมีการตรวจความปลอดภัยของเลือดที่จะให้อื่นๆอีกด้วยเช่น ต้องไม่มี

เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี / ซี เชื้อไวรัสเอดส์ กามโรค VDRL อื่นๆที่อาจติดต่อได้เป็นต้น)

- Indirect Coombs' test

แม้ว่าจะไม่มีการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดงในการทำ cross matching แล้วก็ตาม ก็ยังมิได้หมายความว่า

ในซีรั่มของผู้รับและในซีรั่มของผู้ให้จะไม่มีแอนติบอดีย์ดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะแอนติบอดีย์อาจเป็น

ชนิดที่ไม่สามารถทำให้เม็ดเลือดแดงจับกลุ่มก็ได้

สำหรับการทดสอบนี้เป็นการทดสอบเพื่อหา incomplete antibody ต่อแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดง (ที่จะ

ให้) ในซีรั่มของผู้รับ ด้วยการเอาซีรั่มผู้รับมาทำปฏิกริยากับเม็ดเลือดแดงของผู้ให้ก่อน ล้างเม็ดเลือดแดงที่

อบเข้าด้วยกันแล้ว นำมาเติม Coombs' reagent ลงไป ถ้ามีการจับกลุ่มของเม็ดเลือด แสดงว่าในซีรั่ม

ผู้รับมี incomplete antibody ต่อแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดงที่จะให้ หมายความว่าเลือดนั้นไม่เหมาะสม

ที่จะใช้เลือดดังกล่าวได้

--------------------------------------------------------------------------------

Immunological disease จากการได้รับเลือด

ปฏิกริยาจากการได้รับเลือด (transfusion reaction) เป็นปฏิกริยาผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้จากการได้รับเลือด

สามารถแบ่งอาการที่เกิดขึ้นได้เป็น 2 พวกใหญ่ๆคือ

- ปฏิกริยาทางภูมิคุ้มกันวิทยา Immune reaction

- ปฏิกริยาที่ไม่ได้เกิดจากภูมิคุ้มกันวิทยา non immune reaction



ปฏิกริยาทางภูมิคุ้มกันวิทยา Immune reaction สามารถแบ่งย่อยอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นได้เช่น

1. Intravascular (major) hemolysis

มักเกิดจากการให้เลือดผิดหมู่ของระบบ ABO ( ABO incompatibility) ทำให้เกิด agglutination

การจับกลุ่มตกตะกอน และเกิด lysis การแตกของเม็ดเลือดแดงที่ให้เข้าไป การจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดง

ทำให้เกิดการอุดตันที่เส้นเลือดฝอยในอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย และปฏิกริยา antigen-antibody

complex ทำให้เกิดการจับตัวของเกล็ดเลือด ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดทั่วร่างกาย ปฏิกริยาต่างๆข้าง

ต้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้รับเลือดมักจะเกิดอาการขึ้นในขณะที่กำลังได้รับเลือดอยู่ อาการที่เริ่มปรากฏให้เห็น

เป็นไข้ หนาวสั่น ร่วมกับมีอาการที่รุนแรงคือ แน่นและเจ็บหน้าอก ปวดหลัง ปวดขา เขียว ปัสสาวะไม่ออก

ช็อค เลือดออกง่าย อาการตัวเหลืองตาเหลือง

2. Extravascular hemolysis

เป็นปฏิกริยาที่พบได้เมื่อให้เลือดหมู่ Rh +ve ให้กับคนที่เป็นหมู่เลือด Rh -ve ที่มี anti-Rh antibody

อยู่แล้ว มักไม่รุนแรงถึงขั้น intravascular hemolysis เพราะ Rh antibody ไม่สามารถกระตุ้นระบบ

คอมพลีเม้นท์ได้ การทำลายเม็ดเลือดแดงที่ให้เข้าไปเกิดจาก macrophage ในม้ามและตับ ผู้ที่ได้รับเลือด

ผิดกลุ่มเข้าไปจะมีอาการซีดเหลืองอย่างเห็นได้ชัด หลังจากได้รับเลือดผิดไปแล้วนานประมาณ 4-14 วัน

3. Anaphylaxis

พบได้ใน atopic person เกิดจากการแพ้สารบางอย่างที่มีอยู่ในเลือดของผู้ให้ ไม่ได้เกิดจากการให้เลือด

ผิดหมู่ อาการมักไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

4. Febrile reaction

อาการไข้ที่เกิดขึ้นจากการให้เลือด อาจพบร่วมใน intravascular hemolysis ที่ได้กล่าวมาแล้ว หรืออาจ

เกิดจากแบคทีเรียหรือ pyrogen ปะปนอยู่ในเลือดที่ให้ แต่สาเหตุที่สำคัญอีกอย่างที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ผู้รับ

มีแอนติบอดีย์ต่อ human leukocyte antigen หรือ human platelet antigen (เกิดปฏิกริยาแพ้ต่อ

เม็ดเลือดขาว หรือ เกล็ดเลือด ในเลือดของผู้ให้) ซึ่งมักพบได้ในคนที่เคยได้รับการถ่ายเลือดบ่อยมาหลายครั้ง

แล้ว หรือพบในคนที่ผ่านการคลอดลูกมาหลายครั้ง อาการที่พบได้มักเป็นแค่มีอาการหนาวสั่น และอาการไข้

เท่านั้น

5. Anti-IgA reaction

คนที่เป็น selective IgA deficiency หรือบางรายของ hypogamaglobulinemia อาจสร้าง

anti-IgA antibody ขึ้นได้ เมื่อได้รับเลือดที่มี IgA จากการได้รับในครั้งแรกจะยังไม่เกิดอาการ แต่เมื่อได้

รับในครั้งต่อไปจึงจะแสดงอาการขึ้น ในบางรายอาจเกิดอาการเพียงคล้ายลมพิษ (urticaria) แต่ในบางราย

อาจเกิดถึงขั้น anaphylactic shock ถึงขั้นเสียชีวิตได้

6. Graft versus host reaction

การให้เลือดแก่คนที่มีเม็ดเลือดขาวชนิด lymphocyte น้อยหรือในคนที่มี immunodeficiency viable

lymphocyte ที่ติดเข้าไปกับเลือด อาจทำให้เกิดลักษณะ graft versus host reaction ขึ้นได้



- ปฏิกริยาที่ไม่ได้เกิดจากภูมิคุ้มกันวิทยา non immune reaction

1. Acute bacterial infection

เชื้อแบคทีเรีย แกรมลบบางชนิด เช่น pseudomonas, achromobactor, coliform สามารถเจริญได้

ในที่อุณหภูมิต่ำที่ใช้เก็บเลือด การให้เลือดที่มีเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้อยู่จะทำให้ผู้ได้รับเลือดเกิดอาการของ

endotoxin shock ได้

2. Infectious disease

โรคติดเชื้อบางชนิดที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการได้รับเลือดเช่น serum hepatitis (ตับอักเสบ บี / ซี),

cytomegalovirus, mononucleosis, malaria, syphilis, brucellosis เป็นต้น ปัจจุบันได้มี

การตรวจคัดกรองโรคติดต่ออันตรายที่พบได้บ่อยก่อนการให้เลือด เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้รับเลือด

เช่น HIV, Hepatitis, Syphilis เป็นต้น

3. Post transfusion pulmonary insufficiency

เลือดที่เก็บไว้นานๆ (ปกติเลือดที่เจาะตอนบริจาคโลหิต จะใส่ในถุงหรือขวดที่มีน้ำยาป้องกันการแข็งตัวของ

เลือดอยู่ หลังจากเจาะแล้วจะมีอายุในการให้เลือดนานประมาณ 21 วัน แต่เลือดยิ่งนานออกไปก็จะสู้เลือดที่ได้

มาใหม่ไม่ได้) fibrin, leukocyte, platelet อาจเกาะกันเป็นก้อนเล็กๆ (microaggregates) เมื่อให้

เข้าไปในร่างกาย ก้อนๆเหล่านั้นอาจไปอุดตันที่บริเวณเส้นเลือดฝอย small arteriole และ capillary ใน

ปอด จะไปขัดขวาง alveolar-capillary diffusion ทำให้เกิดอาการ hypoxia



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:19:28 น.
Counter : 746 Pageviews.

0 comment
ลูกเพศไหน...ถูกใจคุณ / สูตรอาหารเลือกเพศลูก
ลูกเพศไหน...ถูกใจคุณ / สูตรอาหารเลือกเพศลูก

นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
เนชั่นสุดสัปดาห์


จริงไหมครับ ว่าคุณเป็นคนหนึ่งละ ที่อยากได้ลูก เพศโน้น เพศนี้ และคิดว่าเลือกได้ แต่เคยคิดกันบ้างไหมครับว่า ถ้าแม้นเลือกเพศของบุตรได้ดังใจหวังแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
เราอาจจะมีบุตรชายมากขึ้น เราอาจจะมีบุตรสาวน้อยลง หรือในทางตรงกันข้าม เราอาจจะมีบุตรสาวมากขึ้น บุตรชายน้อยลง ก็ได้ ใครจะรู้...
ที่จริงแล้ว ความต้องการมีบุตรเพศนั้น เพศนี้ มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เช่น เชื่อกันว่า
0 ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในวันข้างขึ้น จะได้บุตรชาย แต่ถ้ามีอะไรกันในวันข้างแรมจะได้บุตรสาว
0 หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ถ้าให้ผู้หญิงนอนตะแคงขวา จะได้ลูกชาย นอนตะแคงซ้าย จะได้ลูกสาว
0 ถ้าฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิจากลูกอัณฑะข้างขวา จะได้ลูกชาย อัณฑะซ้าย จะได้ลูกสาว ดังนั้น ถ้าอยากได้ลูกชาย ต้องเอาเชือกรัดอัณฑะซ้ายให้แน่นๆ แล้วค่อยมีเพศสัมพันธ์ ส่วนถ้าอยากได้ลูกสาว ก็ต้องรัดอัณฑะขวาเอาไว้ ผมว่า วิธีการนี้กว่าจะได้ลูก พ่อคงจะหน้าเขียวหน้าเหลืองไปเสียก่อนกระมัง หรือคุณว่าไง
0 ถ้าอยากได้ลูกชาย ผู้ชายต้องอยู่ด้านบน อยากได้ลูกสาว ต้องให้ผู้หญิงอยู่ด้านบน วิธีการนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะอย่างไรก็ตาม ก็ยังคงทำให้มีความสุขสมดีอยู่
แน่นอนว่า ความเชื่อเหล่านี้ เป็นความเชื่อที่ผิดๆ และไม่ได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนแต่ประการใด
เอาละครับ คุณคงอยากรู้แล้วว่า มีวิธีการทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อะไร ที่ให้ผลเป็นที่น่าพอใจมากขึ้น
เริ่มจากสูตรอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวัน ตามตำรากล่าว ว่า การปรับเปลี่ยนสูตรอาหาร ให้ผลได้บุตรเพศที่ต้องการประมาณ 65-70 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว
หลักการของสูตรอาหารก็คือ
อาหารที่มีแร่ธาตุ โซเดียมและโปตัสเซียมมาก จะทำให้ได้บุตรชาย
อาหารที่มีแร่ธาตุ แคลเซียมและแมกนีเซียมมาก จะทำให้ได้บุตรสาว
โดยที่ปริมาณเกลือแร่ต่างๆในสารอาหารข้างต้น จะไปปรับสภาพความเป็นกรดด่างในร่างกาย ให้เหมาะสมในการได้บุตรแต่ละเพศ พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการปรับสภาวะแวดล้อมในร่างกายของฝ่ายหญิง ให้เหมาะสมในการปฏิสนธิกับตัวอสุจิแต่ละเพศ ที่ฝ่ายชายหลั่งออกมา
เพราะเวลาที่ผู้ชายหลั่งตัวอสุจิออกมา จะมีปริมาณตัวอสุจิ เอ็กซ์ (ลูกสาว) และตัวอสุจิ วาย (ลูกชาย) 50:50 เสมอๆ...
โซเดียม มีมากในเกลือทะเล ปลาทะเล และเนื้อสัตว์ต่างๆ
โปตัสเซียม มีมากในผลไม้สดหลายๆ ชนิด รวมทั้งน้ำผลไม้สดที่คั้นแล้วรับประทานเลย
แคลเซียม มีมากมายเหลือเฟือใน นม เนย และผลิตภัณฑ์จากนมเนยทั้งหลาย
แมกนีเซียม มีมากในผักสดใบเขียว
พูดง่ายๆ ก็คือ รับประทานเกลือกับผลไม้สด มักจะได้บุตรชาย แต่ถ้าดื่มนมกับรับประทานผักใบเขียวแล้ว มักจะได้บุตรสาว
ตำราการเพิ่มโอกาสได้บุตรชายบุตรสาวจากการปรับเปลี่ยนอาหารนี้ คุณจะต้องรับประทานก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป และเมื่อประจำเดือนคุณขาดแล้ว ตรวจว่าตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานต่อไปก็ได้
ทีนี้คงจะต้องเขียนถึงรายละเอียดของอาหารที่ควรรับประทาน และอาหารต้องห้าม ว่าควรจะทำอย่างไร
ผู้ที่ต้องการบุตรสาว
รับประทานข้าวได้เป็นปกติ มากเท่าใดก็ได้เท่าที่คุณพอใจ แต่ถ้าจะรับประทานขนมปัง ควรงดขนมปังที่ใส่เกลือ และไม่ใส่ผงฟูหรือยีสต์ลงไป
รับประทาน เนื้อ หมู ไก่ วัว รวมทั้งเนื้อปลาได้ ไม่เกินวันละ 100 กรัม หรือ 1 ขีด และห้ามรับประทานกับน้ำปลาหรือเกลืออย่างเด็ดขาด ประเภทปลาแห้ง ปลาเค็ม เนื้อแดดเดียว ไก่รวนเค็ม ไก่ย่างซีอิ๊ว ลืมไปได้เลย

ส่วนไข่ รับประทานได้ตามสบาย ผมว่า ทำเป็นไข่ลูกเขยรับประทานเสียเลยก็น่าจะดี เพราะจะได้ลูกสาวเร็วๆ
พยายามดื่มนมเป็นประจำ นมจืดนะครับ ดีที่สุด เพราะจะได้ไม่ทำให้อ้วน วันละ 3 แก้วเป็นอย่างน้อย โยเกิร์ตก็ได้นะครับ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์จากนม แถมยังมีแบคทีเรียแลคโตแมซิลไล ที่เป็นมิตรต่อร่างกาย และช่วยเพิ่มความเป็นกรดอ่อนๆ ในร่างกายด้วย เป็นการเพิ่มโอกาสในการได้บุตรสาว
รับประทานผักสีเขียวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ที่จริง ถ้าอยากรับประทานผลไม้ก็พอได้ อย่าให้มากนัก และห้ามจิ้มพริกกับเกลืออย่างเด็ดขาด
อาหารต้องห้าม ได้แก่ เนื้อเค็ม ปลาเค็ม แฮม เบคอน และอะไรที่เค็มๆ ทั้งหลาย ห้ามรับประทาน งดเนยแข็งและเนยที่มีส่วนผสมของเกลือที่มีรสเค็ม อย่างเด็ดขาด เพราะลูกสาวชอบของหวานครับ ไม่ถูกกับความเค็ม
งด ชา กาแฟ น้ำผลไม้สด และน้ำผลไม้กระป๋อง รวมทั้งงดเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไวน์ เบียร์ วิสกี้ เพราะบุตรสาวไม่ชอบของมึนเมาครับ
สำหรับผลไม้งด กล้วย ส้ม สับปะรด มะนาว องุ่น เพราะมีโปรตัสเซียมสูง นอกนั้น รับประทานได้
ผู้ที่ต้องการบุตรชาย
รับประทานของเค็มๆ เท่าที่จะทำได้ แต่ต้องดื่มน้ำมากๆ ด้วยนะครับ เดี๋ยวเกลือจะคั่งในร่างกาย ทางที่ดีไปตรวจสุขภาพไตให้เรียบร้อยเสียก่อน ว่าปกติดี จะได้ไม่ต้องกังวลใจอะไร ไม่ว่าจะเป็นบ๊วยเค็ม ฝรั่งดองเค็ม เวลารับประทานผลไม้ก็พยายามจิ้มพริกกับเกลือเป็นประจำ จะได้ผลดีนักแล
ข้าว รับประทานได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเจ้า ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฯลฯ ขนมปัง ชนิดใส่ผงฟู รับประทานได้ แต่ประเภทผสมนมหรือขนมเค็ก ห้ามรับประทานครับ โดยเฉพาะเค้กที่หน้าเป็นเนย แต่ถ้าอดไม่ไหว อนุญาตให้รับประทานเค้กผลไม้ เช่น เค้กกล้วยหอม
เนื้อสัตว์ทุกชนิดรับประทานได้ ยิ่งเป็นเนื้อเค็ม ปลาเค็ม ยิ่งดี
รับประทานผลไม้สดทุกชนิดได้ รวมทั้งน้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ จะยิ่งดีใหญ่ ส่วนผลไม้ ถ้าจะรับประทานกับพริกกับเกลือยิ่งดีเช่นกัน
ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ไวน์ เบียร์ รับประทานได้ทั้งสิ้น ไม่มีข้อจำกัดใดๆ น้ำอัดลมก็ได้ครับ ไม่ห้าม ถ้าจะให้ดีเติมเกลือลงไปเล็กน้อย จะยิ่งดีใหญ่
อาหารต้องห้าม ได้แก่ นมทุกชนิด รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ช็อกโกแลต โกโก้ เนย ไอศกรีม โยเกิต ฯลฯ
งดการรับประทานผักสีเขียวโดยเด็ดขาด รวมทั้งห้ามรับประทานไข่ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ดาว ไข่ลวก ไข่เจียว ไข่ต้ม ไข่ลูกเขย พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นไข่อะไร ห้ามรับประทานทั้งสิ้น ถ้าอยากได้บุตรชาย
อาหารทะเลต่างๆ เป็นอาหารต้องห้าม เพราะมีแร่ธาตุแคลเซียมสูง ยกเว้นปลาทะเล รับประทานได้
เคล็ดลับของความสำเร็จ
เมื่อคุณทราบชนิดของอาหารที่ควรจะรับประทาน และอาหารต้องห้ามแล้วเราก็มาดูต่อว่า เคล็ดลับอยู่ตรงไหน?... ก็ที่ปริมาณของเกลือแร่ที่ได้รับจากอาหารนั่นแหละครับ ว่าควรจะรับประทานสักเท่าใด จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด
ลูกสาว
0 ดื่มนมอย่างน้อยวันละ 3 แก้ว หลังอาหาร
0 นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต วันละ 1- 2 ครั้ง ถ้าทำได้จะทำให้โอกาสได้บุตรสาวสูงขึ้นไปอีก
0 เนื้อสัตว์และเนื้อปลา ห้ามเกินวันละ 100 กรัม หรือ 1 ขีด
ลูกชาย
0 รับประทานเกลือทะเลผสมในอาหารให้มากเท่าที่ทำได้
0 ปลาทะเลสักวันละ 1-2 มื้อ ถ้าทำได้ จะมากหรือน้อยไม่สำคัญ ขอให้มีในอาหารเป็นใช้ได้ แต่ กุ้ง หอย ปู ห้ามรับประทานนะครับ
0 กล้วย วันละ 1 ใบ ถ้าไม่ชอบกล้วยน้ำว้า กล้วยหอมก็พอได้ แต่ต้องเป็น 2 ใบ
0 ดื่มน้ำผลไม้สด 2-3 แก้วต่อวัน อย่าดื่มชนิดเดียวกันทุกมื้อ จะได้ผลดีมากขึ้น
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นสูตรอาหารที่จะเพิ่มโอกาส การได้บุตรชายหรือบุตรสาว ซึ่งมีผลงานการวิจัยสนับสนุนมากพอสมควร และสามารถที่จะทำได้เอง โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ แต่จำไว้ ว่าอย่าหวังผล 100 เปอร์เซ็นต์นะครับ จะได้ไม่ผิดหวัง



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:18:10 น.
Counter : 1168 Pageviews.

0 comment
ลูกเพศไหนถูกใจคุณ
จริงไหมครับ ว่าคุณเป็นคนหนึ่งละ ที่อยากได้ลูก เพศโน้น เพศนี้ และคิดว่าเลือกได้ แต่เคยคิดกันบ้างไหมครับว่า ถ้าแม้นเลือกเพศของบุตรได้ดังใจหวังแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
เราอาจจะมีบุตรชายมากขึ้น เราอาจจะมีบุตรสาวน้อยลง หรือในทางตรงกันข้าม เราอาจจะมีบุตรสาวมากขึ้น บุตรชายน้อยลง ก็ได้ ใครจะรู้...
ที่จริงแล้ว ความต้องการมีบุตรเพศนั้น เพศนี้ มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เช่น เชื่อกันว่า
• ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในวันข้างขึ้น จะได้บุตรชาย แต่ถ้ามีอะไรกันในวันข้างแรมจะได้บุตรสาว
• หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ถ้าให้ผู้หญิงนอนตะแคงขวา จะได้ลูกชาย นอนตะแคงซ้าย จะได้ลูกสาว
• ถ้าฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิจากลูกอัณฑะข้างขวา จะได้ลูกชาย อัณฑะซ้าย จะได้ลูกสาว ดังนั้น ถ้าอยากได้ลูกชาย ต้องเอาเชือกรัดอัณฑะซ้ายให้แน่นๆ แล้วค่อยมีเพศสัมพันธ์ ส่วนถ้าอยากได้ลูกสาว ก็ต้องรัดอัณฑะขวาเอาไว้ ผมว่าวิธีการนี้กว่าจะได้ลูก พ่อคงจะหน้าเขียวหน้าเหลืองไปเสียก่อนกระมัง หรือคุณว่าไง
• ถ้าอยากได้ลูกชาย ผู้ชายต้องอยู่ด้านบน อยากได้ลูกสาว ต้องให้ผู้หญิงอยู่ด้านบน วิธีการนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะอย่างไรก็ตาม ก็ยังคงทำให้มีความสุขสมดีอยู่
แน่นอนว่า ความเชื่อเหล่านี้ เป็นความเชื่อที่ผิดๆ และไม่ได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนแต่ประการใด
เอาละครับ คุณคงอยากรู้แล้วว่า มีวิธีการทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อะไร ที่ให้ผลเป็นที่น่าพอใจมากขึ้น
เริ่มจากสูตรอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวัน ตามตำรากล่าวว่า การปรับเปลี่ยนสูตรอาหาร ให้ผลได้บุตรเพศที่ต้องการประมาณ 65-70 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว
หลักการของสูตรอาหารก็คือ
อาหารที่มีแร่ธาตุ โซเดียมและโปตัสเซียมมาก จะทำให้ได้บุตรชาย
อาหารที่มีแร่ธาตุ แคลเซียมและแมกนีเซียมมาก จะทำให้ได้บุตรสาว
โดยที่ปริมาณเกลือแร่ต่างๆ ในสารอาหารข้างต้น จะไปปรับสภาพความเป็นกรดด่างในร่างกาย ให้เหมาะสมในการได้บุตรแต่ละเพศ พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการปรับสภาวะแวดล้อมในร่างกายของฝ่ายหญิง ให้เหมาะสมในการปฏิสนธิกับตัวอสุจิแต่ละเพศ ที่ฝ่ายชายหลั่งออกมา
เพราะเวลาที่ผู้ชายหลั่งตัวอสุจิออกมา จะมีปริมาณตัวอสุจิ เอ็กซ์ (ลูกสาว) และตัวอสุจิ วาย (ลูกชาย) 50:50 เสมอๆ...
โซเดียม มีมากในเกลือทะเล ปลาทะเล และเนื้อสัตว์ต่างๆ
โปตัสเซียม มีมากในผลไม้สดหลายๆ ชนิด รวมทั้งน้ำผลไม้สดที่คั้นแล้วรับประทานเลย
แคลเซียม มีมากมายเหลือเฟือใน นม เนย และผลิตภัณฑ์จากนมเนยทั้งหลาย
แมกนีเซียม มีมากในผักสดใบเขียว
พูดง่ายๆ ก็คือ รับประทานเกลือกับผลไม้สด มักจะได้บุตรชาย แต่ถ้าดื่มนมกับรับประทานผักใบเขียวแล้ว มักจะได้บุตรสาว
ตำราการเพิ่มโอกาสได้บุตรชายบุตรสาวจากการปรับเปลี่ยนอาหารนี้ คุณจะต้องรับประทานก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป และเมื่อประจำเดือนคุณขาดแล้ว ตรวจว่าตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานต่อไปก็ได้
ทีนี้คงจะต้องเขียนถึงรายละเอียดของอาหารที่ควรรับประทาน และอาหารต้องห้าม ว่าควรจะทำอย่างไร

ผู้ที่ต้องการบุตรสาว
 รับประทานข้าวได้เป็นปกติ มากเท่าใดก็ได้เท่าที่คุณพอใจ แต่ถ้าจะรับประทานขนมปัง ควรงดขนมปังที่ใส่เกลือ และไม่ใส่ผงฟูหรือยีสต์ลงไป
 รับประทาน เนื้อ หมู ไก่ วัว รวมทั้งเนื้อปลาได้ ไม่เกินวันละ 100 กรัม หรือ 1 ขีด และห้ามรับประทานกับน้ำปลาหรือเกลืออย่างเด็ดขาด ประเภทปลาแห้ง ปลาเค็ม เนื้อแดดเดียว ไก่รวนเค็ม ไก่ย่างซีอิ๊ว ลืมไปได้เลย ส่วนไข่ รับประทานได้ตามสบาย ผมว่า ทำเป็นไข่ลูกเขยรับประทานเสียเลยก็น่าจะดี เพราะจะได้ลูกสาวเร็วๆ
 พยายามดื่มนมเป็นประจำ นมจืดนะครับ ดีที่สุด เพราะจะได้ไม่ทำให้อ้วน วันละ 3 แก้วเป็นอย่างน้อย โยเกิร์ตก็ได้นะครับ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์จากนม แถมยังมีแบคทีเรียแลคโตแมซิลไล ที่เป็นมิตรต่อร่างกาย และช่วยเพิ่มความเป็นกรดอ่อนๆ ในร่างกายด้วย เป็นการเพิ่มโอกาสในการได้บุตรสาว
 รับประทานผักสีเขียวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ที่จริง ถ้าอยากรับประทานผลไม้ก็พอได้ อย่าให้มากนัก และห้ามจิ้มพริกกับเกลืออย่างเด็ดขาด
 อาหารต้องห้าม ได้แก่ เนื้อเค็ม ปลาเค็ม แฮม เบคอน และอะไรที่เค็มๆ ทั้งหลาย ห้ามรับประทาน งดเนยแข็งและเนยที่มีส่วนผสมของเกลือที่มีรสเค็ม อย่างเด็ดขาด เพราะลูกสาวชอบของหวานครับ ไม่ถูกกับความเค็ม
 งด ชา กาแฟ น้ำผลไม้สด และน้ำผลไม้กระป๋อง รวมทั้งงดเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไวน์ เบียร์ วิสกี้ เพราะบุตรสาวไม่ชอบของมึนเมาครับ
 สำหรับผลไม้งด กล้วย ส้ม สับปะรด มะนาว องุ่น เพราะมีโปรตัสเซียมสูง นอกนั้น รับประทานได้
ผู้ที่ต้องการบุตรชาย
 รับประทานของเค็มๆ เท่าที่จะทำได้ แต่ต้องดื่มน้ำมากๆ ด้วยนะครับ เดี๋ยวเกลือจะคั่งในร่างกาย ทางที่ดีไปตรวจสุขภาพไตให้เรียบร้อยเสียก่อน ว่าปกติดี จะได้ไม่ต้องกังวลใจอะไร ไม่ว่าจะเป็นบ๊วยเค็ม ฝรั่งดองเค็ม เวลารับประทานผลไม้ก็พยายามจิ้มพริกกับเกลือเป็นประจำ จะได้ผลดีนักแล
 ข้าว รับประทานได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเจ้า ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฯลฯ ขนมปัง ชนิดใส่ผงฟู รับประทานได้ แต่ประเภทผสมนมหรือขนมเค็ก ห้ามรับประทานครับ โดยเฉพาะเค้กที่หน้าเป็นเนย แต่ถ้าอดไม่ไหว อนุญาตให้รับประทานเค้กผลไม้ เช่น เค้กกล้วยหอม
 เนื้อสัตว์ทุกชนิดรับประทานได้ ยิ่งเป็นเนื้อเค็ม ปลาเค็ม ยิ่งดี
 รับประทานผลไม้สดทุกชนิดได้ รวมทั้งน้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ จะยิ่งดีใหญ่ ส่วนผลไม้ ถ้าจะรับประทานกับพริกกับเกลือยิ่งดีเช่นกัน
 ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ไวน์ เบียร์ รับประทานได้ทั้งสิ้น ไม่มีข้อจำกัดใดๆ น้ำอัดลมก็ได้ครับ ไม่ห้าม ถ้าจะให้ดีเติมเกลือลงไปเล็กน้อย จะยิ่งดีใหญ่
 อาหารต้องห้าม ได้แก่ นมทุกชนิด รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ช็อกโกแลต โกโก้ เนย
ไอศกรีม โยเกิต ฯลฯ งดการรับประทานผักสีเขียวโดยเด็ดขาด รวมทั้งห้ามรับประทานไข่ ไม่ว่าจะเป็น
ไข่ดาว ไข่ลวก ไข่เจียว ไข่ต้ม ไข่ลูกเขย พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นไข่อะไร ห้ามรับประทานทั้งสิ้น ถ้าอยากได้บุตรชาย
 อาหารทะเลต่างๆ เป็นอาหารต้องห้าม เพราะมีแร่ธาตุแคลเซียมสูง ยกเว้นปลาทะเล รับประทานได้ เคล็ดลับของความสำเร็จ
เมื่อคุณทราบชนิดของอาหารที่ควรจะรับประทาน และอาหารต้องห้ามแล้วเราก็มาดูต่อว่า เคล็ดลับอยู่ตรงไหน ?... ก็ที่ปริมาณของเกลือแร่ที่ได้รับจากอาหารนั่นแหละครับ ว่าควรจะรับประทานสักเท่าใด จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด

ลูกสาว
• ดื่มนมอย่างน้อยวันละ 3 แก้ว หลังอาหาร
• นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต วันละ 1- 2 ครั้ง ถ้าทำได้จะทำให้โอกาสได้บุตรสาวสูงขึ้นไปอีก
• เนื้อสัตว์และเนื้อปลา ห้ามเกินวันละ 100 กรัม หรือ 1 ขีด
ลูกชาย
• รับประทานเกลือทะเลผสมในอาหารให้มากเท่าที่ทำได้
• ปลาทะเลสักวันละ 1-2 มื้อ ถ้าทำได้ จะมากหรือน้อยไม่สำคัญ ขอให้มีในอาหารเป็นใช้ได้ แต่ กุ้ง หอย ปู ห้ามรับประทานนะครับ
• กล้วย วันละ 1 ใบ ถ้าไม่ชอบกล้วยน้ำว้า กล้วยหอมก็พอได้ แต่ต้องเป็น 2 ใบ
• ดื่มน้ำผลไม้สด 2-3 แก้วต่อวัน อย่าดื่มชนิดเดียวกันทุกมื้อ จะได้ผลดีมากขึ้น
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นสูตรอาหารที่จะเพิ่มโอกาส การได้บุตรชายหรือบุตรสาวซึ่งมีผลงานการวิจัยสนับสนุนมากพอสมควร และสามารถที่จะทำได้เอง โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ แต่จำไว้ว่าอย่าหวังผล 100 เปอร์เซ็นต์นะครับ จะได้ไม่ผิดหวัง



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:17:02 น.
Counter : 329 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  

มนแพรวา
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]