Group Blog
All Blog
|
Food for Brain โอ้...แค่ชื่อเรื่องก็โกอินเตอร์เสียแล้วสิเรา อิ...อิ...คุณนายไฮโซขอเกาะกระแสเรื่องสมองๆ กะเขาด้วยนะคะฉบับนี้ แต่แหม...เรื่องเนี้ยสำคัญนะคะ แค่เครื่องบินร่อนลงบนพื้นแผ่นดินไทย คุณนายไฮโซ ก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเสียเหลือเกินค่ะ เพราะคิดทึ้งคิดถึงบ้านเกิด ถึงไงก็บ้านเราเมืองเรานะคะ จะลุกเหินเดินไปไหนก็สะดวกยิ่งอาหารการกินด้วยแล้ว อยากกินอะไรนี่แทบจะเสกมาได้สารพัด อย่างหูฉลามเอย พระกระโดดกำแพงเอย อุ้ยแหม...พอพูดถึงเรื่องกิน คุณนายไฮโซชักจะหิวเสียแล้วสิ ท้องไส้ก็เริ่มปั่นป่วนชวนหาของกินมาเติมเต็มท้อง แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ... ก่อนจะหยิบหาอะไรมากินกัน คุณนายไฮโซว่า ...มื้อนี้เราลองหาอาหารที่บำรุงเบรนของเรามากินกันดีกว่านะคะ เพราะเขาว่ากันว่า You are what you eat และคุณนายไฮโซก็อยากจะฉลาดมากๆ เสียด้วยสิ อย่างนี้ต้องเลือกอาหารกันหน่อยล่ะค่ะ ครั้นจะเลือกกินแต่อาหารรสชาติเลิศเหมือนเคยก็ไม่ได้เสียแล้ว ตามตำราเขาว่าไว้ว่า อาหารบำรุงเบรนนั้นเริ่มมาตั้งแต่เราอยู่ในท้องแม่โน่นเลยล่ะค่ะ ตั้งแต่เราปฏิสนธิในท้องแม่นั่นแหละค่ะ เขาถึงย้ำกันนักย้ำกันหนาว่า แม่ท้องควรกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ที่สำคัญควรกินอาหารที่มีโปรตีนสูงๆ อย่างเนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง เพราะโปรตีนเป็นอาหารชั้นดีสำหรับเซลล์สมองที่จะนำไปใช้ในการแบ่งตัวและเติบโตขยายใหญ่ขึ้น ใครยังสงกะสัยอยู่ คุณนายไฮโซสามารถอธิบายสั้นๆ ได้นะคะว่า เซลล์สมองของเรามีทั้งอยู่ในช่วงแบ่งตัวเองและเติบโตขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ทีนี้สมมติว่าถ้าอาหารการกินโดยเฉพาะ “โปรตีน” หารอันโอชะของเซลล์สมองมาหล่อเลี้ยงไม่พอ การแบ่งตัวของเซลล์จะหยุดชะงักลง แทนที่จะแบ่งตัวเป็นแสนล้านเซลล์เหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่กลับต้องหยุดลงเหลือประมาณไม่ถึงแสนล้านเซลล์ในช่วง 1 ขวบ ครั้นพอเรานึกได้....เมื่อสายเสียแล้ว ว่าต้องบำรุงเบรนของลูกด้วยอาหารอย่าง “โปรตีน” นะ และเร่งโหมบำรุงลูกด้วยโปรตีนกันยกใหญ่เมื่อเขาอายุเลย 1 ขวบไปแล้ว ปฏิบัติการอย่างนี้เขาเรียกว่า “สายเกินแก้” ค่ะ เพราะช่วงทองของการแบ่งเซลล์ คือช่วงลูกอายุ 0-1 ปีหรือช่วงลูกรักอยู่ในท้องเรา และคลอดออกมาลืมตาดูโลกจนอายุครบ 1 ขวบเท่านั้น หลังจากนั้นเซลล์สมองจะมีหน้าที่แค่เติบโตและขยายใหญ่ขึ้น แต่จะไม่มีการแบ่งเซลล์อีกต่อไปแล้วเรียกได้ว่าถ้าเซลล์กำลังแบ่งตัวเองอย่างสนุกสนานถึงจำนวนกว่า 9 หมื่นล้านเซลล์ แต่ปรากฏว่าอาหารมาหล่อเลี้ยงไม่พอ ต่อไปเซลล์สมองของลูกรักเราก็จะมีแค่ 9 หมื่นกว่าล้านเซลล์ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าเด็กคนอื่นๆ ที่ได้รับ “โปรตีน” อย่างเต็มที่ และเซลล์สมองของเขาก็จะมีจำนวนเซลล์เต็มพิกัดคือแสนล้านเซลล์ ผลลัพธ์ของลูกเราที่อาจไม่ได้รับ “โปรตีน” เต็มที่คือ มีอาการซึมเศร้า เอื่อยเฉื่อย และเชื่องช้าค่ะ เพราะร่างกายมีเซลล์สมองน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้การรับส่งสัญญาณของเซลล์ประสาทของสมองช้าลง อึ๋ย...ฟังแล้วเป็นไงคะ แค่กินอาหรไม่พอในช่วงท้องนี่แหละสำคัญต่อเบรนของลูกเราเชียวนักล่ะ ครั้นพอลูกคลอดออกมาแล้ว อาหารบำรุงเบรนอื่นๆ จะมีตั้งแต่... น้ำนมแม่ ฮั่นแน่...นมแม่สิแน่จริงค่ะ เพราะมีทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ช่วยพัฒนาเบรนและระบบประสาทให้ลูก ซ้ำยังมีภูมิต้านทานโรคแถมมาให้ในน้ำนมด้วยนะคะ วิตามินบี 1 ซึ่งจะบำรุงเซลล์สมองและเซลล์ประสาทให้แข็งแรง อย่างข้าวนี่แหละค่ะ ป้อนเข้าไปเถอะ เป็นประโยชน์ทั้งนั้น หรือถ้าลูกเบื่อๆ ก็ให้กินขนมปัง เปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง หรือจะกระเถิบฐานะขึ้นมาหน่อยเป็นกินพาสต้าดูบ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ วิตามินบี 5 อาหารอย่างปลาเอย หรือเป็ด ไก่ และวัวนี่สำคัญหมดเลยนะคะ แล้วถ้ากินผัก ผลไม้ และนมสดเข้าไปด้วยก็อุดมไปด้วยวิตามินบี 5 เหมือนกันค่ะ วิตามินบี 6 อาหารที่จำเป็นต่อระบบประสาทและการสร้างเม็ดเลือดแดง จะมีอยู่ในไก่ ปลา หมู รวมทั้งเครื่องในสัตว์ ธัญพืช และเมล็ดถั่วต่างๆ วิตามินบี 12 อาหารบำรุงเนื้อเยื่อประสาท มีในไข่ เนื้อสัตว์ ปลา นม และผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมอย่างพวกเนยแข็งและโยเกิร์ต กรดโฟลิกหรือโฟเลต มีมากในผักใบเขียว ถั่วเขียว ถั่วลิสง ถั่วลันเตา ผักโขม บร็อกโคลี่ คะน้า กะหล่ำปลี เห็ด ตับ มะขามเทศ แคนตาลูป มะนาว ส้ม กล้วย โอเมก้า 3 ที่มีอยู่มากในปลาทะเล อย่างปลาทูน่า ปลาทู ปลากระพงขาว ปลาสำลี หรือจะเป็นปลาจะละเม็ดขาวก็ได้ค่ะ แมกนีเซียม มีเยอะค่ะในอาหารอย่างถั่ว ผักใบเขียว และธัญพืชต่างๆ แคลเซียม มีความจำเป็นต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งคุณนายไฮโซอย่างดิฉันคงไม่ต้องบอกรายชื่ออาหารกันแล้วใช่ไหมคะ เพราะคงจะจำกันได้ว่าแคลเซียมมีมากในโยเกิร์ต นม เนยแข็ง และปลาเล็กปลาน้อย โปแตสเซียม มีมากในวัว หมูและปลาค่ะ ส่วนผลไม้จะมีมากในกล้วย ส้ม แคนตาลูป องุ่น สตรอว์เบอร์รี่ค่ะ เหล็ก ถ้าลูกรักขาดธาตุเหล็กมากๆ อาจมีผลกระทบกับไอคิวได้นะคะ และเหล็กมีอยู่ในเนื้อสัตว์ ตับ และเลือดสัตว์ค่ะ โอ๊ะ...โอ๋ว... เห็นรายชื่ออาหารบำรุงเบรนนี้แล้ว จะรอช้ากันอยู่ใย แยกย้ายตัวใครตัวมันไปปรุงอาหารดังว่าให้ลูกสุดเลิฟกินกันเถอะค่ะ (update 5 กรกฎาคม 2005) [ ที่มา..นิตยสารรักลูก ปีที่ 23 ฉบับที่ 265 กุมภาพันธ์ 2548 ] |
มนแพรวา
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?] Link |