All Blog
ฝุ่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ..ภัยร้าย ..ต้นเหตุของภูมิแพ้

บทความ จาก โรงพยาบาล บางปะกอก1

ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหอบหืด แพ้อากาศ ผื่นคันผิวหนังลมพิษ เยื่อตาเยื่อจมูกอักเสบเรื้อรัง เมื่อสอบถามประวัติ และนำมาทดสอบทางผิวหนัง เพื่อหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ ปรากฏว่าเกือบร้อยละ 80 ของผู้ป่วยเหล่านี้ แพ้ฝุ่นบ้านไรฝุ่น เชื้อรา ละอองเกสรดอกหญ้า และแมลงสาบ
ฝุ่นและไรฝุ่น

ไรฝุ่นคืออะไร
ปี พ. ศ. 2507 นักวิทยาศาสตร์ฮอลแลนด์ และญี่ปุ่น 2 กลุ่ม ต่างค้นพบในเวลาไล่เลี่ยกัน " ไรฝุ่น " เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด เจือปนอยู่ในฝุ่นตามบ้านเรือน ก่อให้เกิดอาการแพ้หลายๆชนิด เช่น หอบหืด แพ้อากาศ ผื่นคันผิวหนัง น้ำมูกไหล จาม ไอเรื้อรัง คันตา ไรฝุ่นเหล่านี้ปะปนอยู่กับฝุ่น ตามพื้นบ้าน ห้องนอน ห้องพักผ่อน ที่นอนหมอนมุ้ง พรม เครื่องเรือนต่างๆ ตัวไรเหล่านี้ต่างชนิดกับไรนก ไรไก่ ไรฝุ่นมีขนาดเล็กมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้กล้องจุลทรรศ์ส่องจึงจะเห็น มีขนาด 0.3 มม. ไม่มีตา ไม่มีจมูก หายใจด้วยผิวหนัง เมื่อโตเต็มที่มีขาทั้งหมด 4 คู่ ส่วนหน้ามีก้ามคล้ายก้ามปู 1 คู่ ใช้ป้อนอาหารเข้าปาก ไรฝุ่นอาศัยเศษรังแคของมนุษย์เป็นอาหาร ชอบอยู่ในที่อบอุ่น และอับชื้น เช่น ตามที่นอน ผ้าห่ม เครื่องเรือนที่บุนวม ตุ๊กตาขนปุกปุย และตามพรม เป็นต้น

ในประเทศไทย เมื่อ พ. ศ. 2514 นพ. พิพัฒน์ ชูวรเวช และคณะแพทย์จาก รพ. ตำรวจ ได้สำรวจเป็นครั้งแรก พบว่าบ้านเรือนต่างๆ ในกรุงเทพมหานครมีไรฝุ่นมากมาย ประเภทเดียวกับไรฝุ่นที่นักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศรายงานไว้

จากการสำรวจฝุ่นบ้าน และทดสอบทางผิวหนังในผู้ป่วย โรคภูมิแพ้คนไทย พบว่าผู้ที่แพ้ฝุ่นมักแพ้ไรฝุ่นร่วมด้วยการฉีดวัคซีนสร้างภูมิต้านทาน ด้วยสารสกัดจากฝุ่นเพียงอย่างเดียวมักได้ผลไม่ดี หากฉีดวัคซีนที่เป็นน้ำสกัดของไรฝุ่น ปรากฏผลดีในการรักษา
แมลงสาบเป็นสารก่อภูมิแพ้ของชุมชน

แมลงสาบมีอยู่ทั่วไปในเมือง ในแหล่งชุมชน มีมากในหน้าฝน ชิ้นส่วน และ มูลแมลงสาบเจือปนอยู่ในฝุ่นบ้านจะกระจายเมื่อลมพัด เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการ หอบหืด เยื่อจมูกอักเสบ น้ำมูกไหล จาม ไอ คันตา คันผิวหนัง เป็นสาเหตุสำคัญของ โรคลมพิษ การกำจัดแมลงสาบโดยใช้ยาฆ่าแมลง และรักษาสุขอนามัยของบ้านเรือน มีความสำคัญในบ้านที่มีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้
เชื้อรา และละอองเกสรดอกหญ้าในอากาศ

อากาศที่เราหายใจมีสปอร์ของเชื้อรา มีละอองของเกสรดอกหญ้าเจือปนอยู่ คนทั่วไปหายใจเข้าไปไม่เกิดอาการ หากเป็นโรคภูมิแพ้สารในอากาศเหล่านี้ จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ เชื้อรามีมากในที่ชื้น แฉะ ในที่อับ อากาศไม่ถ่ายเท ส่วนละองดอกหญ้าจะกระจายในอากาศ วันที่อากาศแห้งมีลมพัดแรง หลังหน้าฝน ต้นหญ้างอกงามดี ทั้งเชื้อราและละอองเกสรปลิวไปไกล หลายสิบกิโลเมตรจากแหล่งกำเนิดของมันได้ โดยอาศัยกระแสลมพัดพา

ผู้ป่วยที่แพ้เชื้อราควรอยู่ในที่แห้ง อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ตากเสื้อผ้าเปียกชื้น หรือปลูกต้นไม้ในห้อง ส่วนผู้ที่แพ้ละอองเกสรดอกหญ้า ไม่ควรเข้าใกล้สนามหญ้า วันที่ลมแรงควรอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ

การทดสอบทางผิวหนัง

ผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้ แพทย์มีวิธีสืบหาสาเหตุของโรคให้ท่านโดยวิธีที่ปลอดภัย ไม่เจ็บปวด ทดสอบได้ทุกวัย ตั้งแต่ทารกจนถึงคนชรา คือการทดสอบหาสาเหตุของสารก่อภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยวิธี " สะกิด " การทดสอบมีวิธีง่ายๆ ดังนี้คือ นำน้ำยาที่เป็นน้ำสกัดของสารที่สงสัยว่า ผู้ป่วยอาจจะแพ้มาหยอดลงบนผิวหนังบริเวณส่วนล่างของแขน เรียงตามลำดับเป็นหยดๆ ครั้งละประมาณ 10 -20 ชนิด แล้ว " สะกิด " ด้วยปลายเข็มเล็กๆ ที่สะอาดลงตรงผิวหนังซึ่งหยอดน้ำยาไว้ ปล่อยทิ้งไว้ให้เกิดปฏิกิริยา ประมาณ 20 นาที แล้วเช็ดน้ำยาออก จุดใดที่ผู้ป่วยแพ้สารสกัดที่หยอดยาไว้ จะบวมนูนขึ้น เป็นตุ่มเล็กๆสีแดง คล้ายถูกยุงกัด มีอาการคันเล็กน้อย ตุ่มใดที่หยอดน้ำสกัดของสารที่ผู้ป่วยไม่แพ้ จะไม่ปรากฏร่องรอยให้เห็น ก่อนทดสอบทางผิวหนัง ผู้ป่วยต้องหยุดยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน เช่น ยาต้านฮิสตามีน อย่างน้อย 48 ชั่วโมง มิฉะนั้นไม่สามารถหาตัวการที่เกิดภูมิแพ้ได้ เพราะยาแก้แพ้ไปกดร่างกายไม่ให้มีปฏิกิริยา

ฮีสตามีนคืออะไร ?

เมื่อสารก่อภูมิแพ้ก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายจะไปกระตุ้น " มาสท์เซลล์ " ในร่างกายให้หลั่งสารเคมีออกมาชนิดหนึ่ง ชื่อว่า " ฮีสตามีน " สารนี้เป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆขึ้น เช่น น้ำมูกไหล ไอ จาม หอบหืด ผื่นคันตามผิวหนัง คันตา เป็นต้น นอกจาก " ฮีสตามีน " แล้วยังมีสารเคมีอื่นๆ อีกมากมายที่ร่วมกิจกรรมของขบวนการภูมิแพ้สารฮีสตามีน อาจออกมาในร่างกายได้โดยขบวนการอื่นๆ เช่น อากาศเปลี่ยนแปลง ความร้อน ความเย็น แรงกด สั่นสะเทือน หรือแม้แต่ความกระทบกระเทือนทางจิตใจ เช่น ผู้ป่วยโรคคัดจมูก โรคลมพิษหลายรายที่ไม่สามารถตรวจพบว่าแพ้สารใดๆ แต่ก็ปรากฏว่ามีสารฮีสตามีนหลั่งออกมามากในร่างกาย จนเกิดอาการคล้ายโรคภูมิแพ้ได้

การกำจัดไรฝุ่นได้อย่างไร ?

ไรฝุ่นแพร่พันธุ์ในที่อับชื้น การกำจัดไรฝุ่น คือ ทำความสะอาดพื้นห้อง เตียงนอน หมอน ผ้าปูที่นอน เครื่องเรือน พรม ให้มีฝุ่นน้อยที่สุด การใช้เครื่องดูดฝุ่นบางครั้ง อาจทำให้ฝุ่นกระจายไปเกาะอยู่ตามผนังห้องและผ้าม่าน หากเป็นห้องเล็กๆควรใช้ไม้กวาด กวาดฝุ่นให้หมดก่อนแล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถูตามซอกมุมอีกครั้งหนึ่ง

ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่มควรนำไปซักด้วยน้ำร้อนหรือผึ่งแดด สัปดาห์ละครั้งเพื่อกำจัดไรฝุ่น

ไรฝุ่นงอกงามดีในพรมที่มีขนพรมหนา ที่นอนที่บุด้วยนุ่น ใยมะพร้าว ขนเป็ดขนไก่ ฉะนั้นที่นอนที่บุด้วยนุ่น ยางพารา ฟองน้ำ ใยมะพร้าวควรหุ้มห่อด้วยแผ่นพลาสติก หรือไวนิลให้มิดชิด แล้วปูด้วยผ้าฝ้ายอีกชั้นหนึ่ง ส่วนหมอนควรยัดไส้ด้วย " ใยสังเคราะห์" ประเภทโพลีเอสเตอร์ ซึ่งไรฝุ่นไม่ชอบ และสามารถนำไปซักด้วยน้ำร้อนได้ โดยใช้ความร้อนประมาณ 55 องศาเซลเซียส หรือ 130 องศาฟาเรนไฮท์ ทำลายไรฝุ่นให้หมดไปจากปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน หรือเนื้อหมอนได้

ปัจจุบัน มีผู้ผลิตปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนโดยใช้ผ้าทอพิเศษเคลือบสารพิเศษ เป็นผ้าที่ไรฝุ่นผ่านเข้าออกไม่ได้ แต่อากาศถ่ายเทได้ คล้ายๆกับผ้าที่ทำร่ม วิธีนี้จะทำให้ไรฝุ่นที่นอนน้อยลง

คนไทยแพ้อะไรบ้าง รักษาได้อย่างไร

สารก่อภูมิแพ้ในคนไทยเรียงตามลำดับความสำคัญดังนี้

1. ฝุ่นบ้าน

2. ไรฝุ่น

3. แมลงสาบ

4. เชื้อราในบรรยากาศ

5. ละอองเกสรดอกหญ้า ในบรรยากาศ

6. ขนและรังแคของสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น แมว หรือสุนัข

7. ขนนก

8. นุ่น

9. อาหารทะเล

10. ยากันยุงทั้งชนิดจุดและพ่น

จะเห็นได้ว่าสารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญส่วนมากเจือปนอยู่ในอากาศ ในบ้าน ที่ทำงาน รถยนต์ วิธีรักษาและป้องกันโรคภูมิแพ้ที่ดี คือหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทราบว่าตนเองแพ้ ไม่ไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ และรักษาอาการแพ้โดยทางยา เช่น ยารับประทานแก้แพ้ แก้หอบ ยาพ่นแก้หอบหืด เป็นต้นอีกวิธีหนึ่ง คือ " อิมมูโนบำบัด " หมายถึง การฉีดวัคซีนให้ผู้ป่วยเกิด "ภูมิต้านทาน " ขึ้นในร่างกายจนสามารถ " เอาชนะ " สารที่เคยทำให้ท่านแพ้ได้ หรืออย่างน้อยก็ทำให้ท่านแพ้น้อยลง มีอาการน้อยลง มีชีวิตเหมือนคนทั่วไปด้วยความสุข

พิษภัยจากแมลงสาบ

ธรรมชาติของแมลงสาบ

แมลงสาบมีอยู่คู่โลกมาแต่ดึกดำบรรพ์ ปัจจุบันมีอยู่ทั่วโลกประมาณ 3500 ชนิด พบได้ทั่วไป ยกเว้นเพียงแถบขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ที่ๆมีอากาศหนาวจัด ประเทศไทยมีแมลงสาบที่พบบ่อย 4 สายพันธุ์คือ

1. แมลงสาบพันธุ์อเมริกัน ( American Cockroach )

สีน้ำตาลแก่ ขนาดประมาณ 25 - 45 มม. มีปีกกว้าง บินได้

2. แมลงสาบพันธุ์ออสเตรเลีย ( Australian cockroach )

สีน้ำตาลแก่ รูปร่างคล้ายแมลงสาบพันธุ์อเมริกัน แต่ขนาดเล็กกว่า มีแถบสีเหลืองบนแผ่นหลัง บินได้เช่นกัน

3. แมลงสาบพันธุ์เยอรมัน ( German cockroach )

สีน้ำตาลอ่อน ขนาด 10 - 15 มม. มีแถบสีดำสองแถบบนแผ่นหลัง สามารถบินได้ใกล้ๆ สังเกตว่าตัวเมียมีปลอกหุ้มไข่พ่วงท้ายอยู่หลายๆสัปดาห์ ก่อนแตกออกเป็นตัวอ่อน

4. แมลงสาบพันธุ์ตะวันออก ( Oriental cockroach , Common Cockroach )

สีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ มีขนาดเล็กคล้ายแมลงแกลบ ปีกสั้น บินไม่ได้ แต่วิ่งได้ไวมาก

แมลงสาบชอบอยู่ในที่มืด อุณหภูมิอบอุ่น ตามที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะแหล่งชุมชน ในเมืองใหญ่ที่อยู่กันหนาแน่น สุขอนามัยและเศรษฐฐานะไม่ดี อยู่ตามกองขยะ คลังสินค้า ภัตตาคาร ตลาดสด เรือขนส่งสินค้า หรือตามท่อระบายน้ำ เป็นต้น

แมลงสาบชอบกินเศษอาหารที่มีแป้งและน้ำตาล

พิษภัยของแมลงสาบ

แมลงสาบส่งกลิ่นเหม็น สร้างความรำคาญ เป็นพาหะนำเชื้อโรคมาสู่คน โดยปนเปื้อนตามอาหาร และของใช้ที่มันไต่ตอม นำเชื้อไวรัสเช่นโรคตับอักเสบ นำเชื้อแบคทีเรีย เช่นไข้ไทฟอยด์ โรคท้องร่วง

แมลงสาบออกหากินตามบ้านเรือนในเวลากลางคืนหรือในที่มืด เศษชิ้นส่วน มูลและเมือกของแมลงสาบจะติดอยู่ตลอดทางที่มันเคลื่อนผ่าน หรือไปปนเปื้อนกับฝุ่นบ้าน แล้วปลิวกระจาย จึงเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ ทำให้เกิดอาการ " แพ้แมลงสาบ " ขึ้น อาการแพ้แมลงสาบที่สำคัญและรุนแรง คือโรคหอบหืด รุนแรงน้อยลงมา คือเยื่อจมูก และเยื่อบุตาอักเสบ เกิดอาการคัดจมูก จาม น้ำมูกไหล คันตา ตาแดง แสบตา บางคนที่มีอาการแพ้ทางผิวหนัง เช่นเป็นผื่นคันตามตัว เป็นลมพิษ เป็นต้น

ข้อมูลของการแพ้แมลงสาบ

" ในปี พ. ศ. 2503 เบิร์นตันและบราวน์ ( H.S. Bernton & H. Brown ) จากสหรัฐอเมริกา รายงานว่าแมลงสาบเป็นสาเหตุของโรคหอบหืด พบว่าร้อยละ 40 ของผู้ป่วยแพ้แมลงสาบ

" ในประเทศไทย มีผู้รายงานว่าผู้ป่วยโรคหอบหืดและเยื่อบุจมูกอักเสบเรื้อรัง เมื่อนำมาทดสอบปรากฏว่าร้อยละ 61 มีสาเหตุจากแพ้แมลงสาบ ( พิพัฒน์ ชูวรเวช และคณะ ปี พ.ศ. 2514 )

" ปี 2540 มีผู้รายงานว่าเด็กไทยที่ป่วยด้วยโรคหอบหืด มีสาเหตุจากแพ้แมลงสาบ ร้อยละ 49.3 รองจากแพ้ไรฝุ่นบ้าน ( อารีย์ ก้องพานิชกุล และคณะ )

" ปี พ.ศ. 2541 มีผู้รายงานว่าผู้ป่วยภูมิแพ้ทางจมูกมีสาเหตุจากแพ้แมลงสาบ ร้อยละ 37.2 รองจากแพ้ไรฝุ่นบ้าน เช่นกัน ( อรทัย จิรพงศานุรักษ์ และคณะ )

การควบคุมและกำจัดแมลงสาบ

ควรทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงสาบ โดยขจัดขยะและเศษอาหารออกจาก อาคารบ้านเรือนแหล่งที่พบ " สารก่อภูมิแพ้ " ของแมลงสาบมากที่สุดคือห้องครัว รองลงมา คือห้องนั่งเล่นดูโทรทัศน์และห้องนอน ตำแหน่งที่สารก่อภูมิแพ้ของแมลงสาบมากที่สุด คือรอยตะเข็บระหว่างผนังบ้านกับพื้นบ้าน ควรทำความสะอาดบริเวณนี้ให้มาก

กำจัดแมลงสาบโดยใช้กับดัก ใช้เหยื่อพิษ เช่น บอเร็กซ์ หรือไพริทรีน ใช้ควันพิษพ่น หรือใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่น





Create Date : 27 มิถุนายน 2554
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 14:01:55 น.
Counter : 1747 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มนแพรวา
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]