Group Blog
All Blog
|
### ขนมจาก ###
..... ภาษาถิ่นเรียกว่า กวานอะบองฮะเตอ เป็นอาหารพื้นบ้าน ที่มีการถ่ายทอดวิธีการทำสืบต่อกันมา และเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ชุมชนบางใบไม้ ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองบางใบไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ได้รับอิทธิพลทั้งจากน้ำจืด และน้ำทะเล พืชพรรณส่วนใหญ่เป็นพืชที่ชอบน้ำกร่อย โดยเฉพาะต้นจากที่เห็นขึ้นอยู่หนาแน่น ตลอดสองฟากฝั่งคลอง ที่มีเป็นร้อยสาย "จาก" เป็นพืชที่มีลำต้นตั้งตรงอยู่ใต้ดิน ใบที่โผล่ขึ้นมานั้น อาจชูขึ้นไปสูงได้ถึง 9 เมตร จากส่วนต่างๆ ของจากมาตั้งแต่โบราณ ได้อย่างหลากหลาย เช่น ใบจากมีลักษณะคล้ายใบมะพร้าว แต่มีความเหนียว และกว้างกว่า ทำให้สามารถใช้นำมาเย็บเป็นตับ เรียกว่า "ตับจาก" แล้วนำไปมุงหลังคา กันแดดกันฝนได้เป็นอย่างดี ใบจาก ตากแห้งแล้วลอกเยื่อ เอามามวนใบยาทำยาสูบ ใบจาก เอาใบมาคลี่เรียงกัน แล้วผูกรวบปลายทั้งสองข้างเข้าหากัน ทำเป็นภาชนะตักน้ำ หรือวิดน้ำท้องเรือ เรียกภาชนะนี้ว่า หมาจาก ในหมู่เกาะโรตีและซาวูใช้ใบจากเป็นอาหารหมู เพื่อให้เนื้อหมูมีรสหวาน ก้านจาก เอามามัดรวมกันเป็นไม้กวาด เอามาสานเป็นภาชนะเครื่องใช้ได้หลายชนิด ก้านช่อดอกปาดเอาน้ำหวาน มาทำเป็นน้ำตาลได้ เรียก "โซม" หรือนำไปหมักเป็นเหล้า และน้ำส้มสายชู กลีบดอกนั้นนำไปเป็นส่วนผสมของชาสมุนไพรได้ ผลจากที่สุกแล้ว จะมีเนื้อในเมล็ดเป็นเยื่อสีขาว ใส นุ่ม มีรสหวาน นิยมรับประทานเป็นของหวาน เรียกลูกจาก ผลอ่อนที่แตกหน่อ จะมีจาวอยู่ข้างใน นำมารับประทานได้เช่นเดียวกับจาวตาล หรือจาวมะพร้าว ที่มีส่วนผสมของแป้ง มะพร้าวอ่อน น้ำตาล แล้วย่างไฟเป็นขนมจาก มีรสชาติหวาน หอม มัน อร่อย เป็นเอกลักษณ์ แม้อาจมีการใช้ใบมะพร้าวมาห่อ แต่ก็ไม่อร่อยเท่าใช้ใบจาก ส่วนมากนิยมใช้ ข้าวเหนียวดำ มะพร้าวทึนทึกขูดพอหยาบๆ น้ำตาลมะพร้าว และเกลือเล็กน้อย ทำให้สุกด้วยการย่างไฟ คล้ายการเผาข้าวหลาม แต่ใช้ความร้อนน้อยกว่า
...........................
### ขนมสามแซ่ ###
..... ขนมโบราณ มักทานเพื่อดับร้อน ถือเป็นขนมที่หาทานยากในสมัยนี้ ขนมที่รับประทานกับน้ำเชื่อมมีรสหวาน ดับร้อน ผ่อนกระหาย ประกอบไปด้วยของ 3 อย่าง ได้แก่ เม็ดบัวต้ม ลูกพลับแห้ง สาคูเม็ดใหญ่ รับประทานกับน้ำเชื่อม หรืออาจเป็นฟักเขียวเชื่อม หรือ วุ้น ก็ได้ขอเป็น 3 อย่างเป็นใช้ได้ ส่วนน้ำเชื่อม ใช้น้ำตาลทราย ต้มกับน้ำลอยดอกมะลิ ใบเตย" รสชาติหวานหอมชื่นใจ อาจใส่น้ำแข็งด้วย สามแซ่มีส่วนประกอบ คล้ายขนมที่เรียกว่าเต้าทึง แต่เต้าทึงมักใส่เครื่องหลายอย่าง คือมีทั้งถั่วทองต้ม ลูกบัว ลูกเดือย แป้งกรอบ สาคู รวมทั้งมีเครื่องของสามแซ่ อยู่ด้วย เต้าทึง อาจกินได้ทั้งร้อนและเย็น ปัจจุบันคนนิยมทานเต้าทึงกันมากกว่าสามแซ่
ขอบคุณที่มา fb. Siriwanna Jill
### ขนมไข่กบ นกปล่อย บัวลอย อ้ายตื้อ ###
....................... ประวัติศาสตร์ไทย เชื่อว่า อาจเกิดในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีหลักฐานตอนหนึ่งว่ามีการจารึก แบบลายแทงสมัยเก่า ในแท่งศิลาจารึก ขนมที่ปรากฏก็คือ "ไข่กบ นกปล่อย บัวลอย อ้ายตื้อ" ไข่กบ หมายถึง เม็ดแมงลัก นกปล่อย หมายถึง ลอดช่อง บัวลอย หมายถึง ข้าวตอก อ้ายตื้อ หมายถึง ข้าวเหนียว ขนมทั้งสี่อย่างนี้ ใช้น้ำกระสายอย่างเดียวกัน คือ "น้ำกะทิ" คือขนมชนิดแรกของ ชนชาติไทย เพราะในสมัยนั้น นิยมกินขนมสี่อย่างนี้ โดยใช้ถ้วยใส่ขนม ซึ่งเราเรียก การเลี้ยง ขนม ๔ อย่างนี้ว่า "ประเพณี ๔ ถ้วย" ขนมไทยทั้ง สี่ชนิดนี้จะมีส่วนผสมหลักอยู่เพียง ๓ อย่าง คือ แป้ง ที่มาจากข้าวเจ้า กะทิและน้ำตาลเท่านั้น ซึ่งขนมของคนไทยในยุคต่อๆมา ก็ยังคงมีส่วนผสมทั้งสามส่วนนี้ประกอบอยู่ด้วยเสมอ จะตักใส่มาในถ้วย โดยมีน้ำกะทิแยกมาไว้เติม ต่างหาก ใครชอบอะไรก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ ### กระท้อนลอยแก้ว ###
.............. อาหารทานแก้ร้อน "กระท้อน" ผลไม้ขึ้นชื่อของเมืองนนท์ เชื่อกันว่าเป็นถิ่นกำเนิดมากว่า ๑๐๐ ปีแล้ว ลูกเหลืองนวลกลมเกลี้ยง เสน่ห์อยู่ที่ เมื่อผ่าเนื้อในออกมาจะเห็นเนื้อขาวอมชมพู ปุยของเม็ดจะฟูให้รสหวานฉ่ำติดใจ จดหมายเหตุ บันทึกการเดินทางของ ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรี กับกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีความตอนหนึ่งว่า "สวนผลไม้ที่บางกอกนั้น มีอาณาบริเวณยาวไปตามชายฝั่ง โดยทวนขึ้นสู่เมืองสยามถึง ๔ ลี้ กระทั่งจรดตลาดขวัญ ทำให้บ้านเมืองเหล่านี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลาหาร ซึ่งคนพื้นเมืองชอบบริโภคกันมาก โดย "ตลาดขวัญ" ก็คือจังหวัดนนทบุรีนั่นเอง ในคลองอ้อม ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมือง เรียกว่า "กระท้อนบ้านกร่าง " และที่ตำบล "บางขุนกอง" อำเภอบางกรวย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเสวยกระท้อนพันธุ์นิ่มนวล จากสวนในคลองอ้อมเมืองนนทบุรี ทรงโปรดมาก ถึงกับให้ยกเว้นการเก็บอากร สวนกระท้อนพันธุ์นิ่มนวล และในปี ๒๔๔๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสต้น สวนกระท้อนของนายบุตร ในคลองอ้อม ตำบลบางกร่าง ทรงพอพระราชหฤทัย และชมเชยว่า เป็นกระท้อนที่มีรสชาติดี ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ไปจากเดิม และมีการตั้งชื่อขึ้นใหม่อีกมากมาย กว่าร้อยพันธุ์ อาทิ ขันทอง อีล่า ตาอยู่ นิ่มนวล เทพสำราญ ทับทิม เทพสำราญไกรทอง ปุยฝ้าย ตระกูลทองก็มี ทองใบใหญ่ ทองหยอด ผอบทอง ตระกูล " อี " เช่น อีล่า อีเมฆ อีท้ายครัว อีแป้น อีจืด เป็นต้น จะมีให้กินเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น คือช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม โดย เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ใบของกระท้อน จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองส้ม และร่วง จากนั้นจะมีการแทงยอดอ่อน และช่อดอกออกมา ประมาณมกราคม ดอกจะเริ่มบานติดผลเล็ก ๆ ถ้าปีไหนอากาศหนาวนาน จะทำให้ปีนั้นกระท้อนดกรสชาติดีตามไปด้วย จะต้องใช้วิธีการจับนุ่ง "กระโปรง" หรือ "ห่อ" ตั้งแต่สีผิวเป็นสีเขียวขี้ม้า เพื่อป้องกัน การเข้าทำลาย ของแมลงวันทอง และผลที่ได้ตามมาคือ ผิวของผลจะสวย ผลมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื้อมีคุณภาพดีขึ้น แห่งความอร่อยของบรรดา ผลไม้ลอยแก้วทั้งปวง เนื่องเพราะรสชาด ของกระท้อนจะให้รส ที่เปรี้ยวและหวาน กลมกล่อม สีสันออกขาวชมพูดูน่ารับประทานยิ่งนัก เพื่อถวายพระเจ้าอยู่หัว ม.ล. จิราธร เผยเคล็ดลับว่าจะปอกเนื้อกระท้อนออก ให้เหลือเนื้อที่ติดกับปุยเท่านั้น เพื่อมาทำลอยแก้ว จะต้องเลือกกระท้อน ที่ลูกไม่ใหญ่มากนัก ใช้มีดคม ๆ เพื่อเซาะเม็ดกระท้อนออก ให้เหลือเนื้อสีชมพูบาง ๆติดปุยขาว ๆ เป็นชิ้นพอคำ ส่วนเกลือที่ใช้จะเลือกเกลือ salt sea ผสมลงในน้ำเชื่อมข้น ๆ นำกระท้อนลงแช่ในน้ำเชื่อม ยกเข้าตู้เย็นเพื่อให้เย็นฉ่ำ เมื่อจะทานให้ตักใส่ถ้วย พร้อมใส่น้ำแข็งทุบละเอียดลงไป
ขอบคุณที่มาของเรื่อง fb. Siriwanna Jill ### บะหมี่หวาน เพื่อสุขภาพ ###
บะหมี่หวาน เป็นอาหารประเภทขนมหวาน มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน รับประทานได้ทั้ง 2 แบบ คือแบบร้อน และแบบเย็น ทานแล้วทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย แก้ร้อนได้ดีในหน้าร้อน มาแช่น้ำร้อนแช่สัก 5-6 ชั่วโมง จึงนำมาใช้ได้ ส่วนพุทราจีนไม่ต้องแช่นานนักก็ได้ เพราะพุทราจะเปื่อยง่ายกว่า นำส่วนผสมจากข้อแรก มาต้มในน้ำเดือดจนสุก แล้วช้อนขึ้นมาพักไว้ก่อน จากนั้นนำบะหมี่มายีออก ให้สลัดแป้งที่เกาะบะหมี่ออกไปให้มากๆ เพราะแป้งส่วนนี้มีด่างมาก ซึ่งทำให้กลิ่นและรสเสีย นอกจากนี้ก็จะทำให้น้ำข้นไม่น่ากินด้วย นำบะหมี่ลงไปต้ม พอสุกก็นำขึ้นมาพักไว้ก่อน นำน้ำตาลทรายมาใส่ลงไปในน้ำเพื่อทำน้าเชื่อม เมื่อน้ำเชื่อมเริ่มเดือดให้ใส่เมล็ดบัว เมล็แปะก๊วย ถั่วแดงหลวง จากนั้นก็ต้มต่อสักพัก จึงค่อยนำมาเทในถ้วยที่มีบะหมี่รออยู่ หรือจะนำบะหมี่ลงไปต้มในน้ำเชื่อมด้วย ก็จะทำให้ยิ่งหวานมากขึ้น ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ อย่างที่คุณคาดไม่ถึง เช่น บะหมี่ไข่ ที่มีส่วนผสมของไข่ซึ่งอุดมไปด้วย กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อสมอง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเป็นระบบ เมล็ดแปะก๊วยที่ช่วยบำรุงความจำโดยตรง เมล็ดบัวและถั่วแดงหลวงอันเป็นธัญพืช ที่อุดมไปด้วยวิตามินบีรวม ซึ่งช่วยให้ผ่อนคลายสลายความเครียด ทำให้สมองที่เหน็ดเหนื่อยได้พักบ้าง คือช่วยให้ผ่อนคลายหายจากอาการเครียด ยิ่งถ้ากินเมนูนี้ก่อนนอนสักถ้วยเล็กๆ ก็จะช่วยให้หลับฝันดี ได้ดีมาก และเมื่อหลับได้ดี ไม่มีหลับๆตื่นๆ ก็ถือเป็นการพักผ่อนสมองไปด้วย โดยการใส่เกาลัด ลูกเกด หรือถั่วเขียว แทนพวกธัญพืชต่างๆ ในเมนูนี้ได้ รับรองได้ประโยชน์ไม่แพ้กัน และนอกจากนี้คุณอาจเปลี่ยนจากน้ำตาลทราย มาเป็นน้ำตาลทรายแดง ก็จะได้รสชาดที่ต่างออกไป มีความหอม หวานแบบเย็นๆ ไม่หวานจัด และสีสันก็จะออกสี น้ำตาลแดงน่ากินอีกด้วย เวลาลวกบะหมี่ต้องใช้น้ำเย็นล้างเท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นเมือก เพราะจะทำให้น้ำเชื่อมใส ดูแล้วน่ารับประทาน
ถ้าต้องการใส่ไข่ ควรใช้ไข่ไก่ที่สดใหม่ เพราะเวลาตอกไข่ใส่ไปแล้ว ไข่แดงจะได้ไม่แตก และไม่คาว
//blog.janthai.com/ |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |