Group Blog
All Blog
### ความเป็นมาของพิธีการทอดกฐิน ###


พิธีการทอดกฐิน









การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญ

ของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง

 นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมค่ำเดือนสิบเอ็ด

ไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง

คำว่า กฐิน แปลว่า ไม้สะดึง คือกรอบไม้ชนิดหนึ่ง

สำหรับขึงผ้าให้ตึงสะดวกแก่การเย็บ

ในสมัยโบราณเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึงเสียก่อน

แล้วจึงเย็บเพราะช่างยังไม่มีความชำนาญ

เหมือนสมัยปัจจุบันนี้

และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอ

เหมือนจักรเย็บผ้าในปัจจุบัน

 การทำจีวรในสมัยโบราณจะเป็นผ้ากฐิน

หรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน

ถ้าภิกษุทำเอง ก็จัดเป็นงานเอิกเกริกทีเดียว

เช่นตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น

พระเถรานุเถระต่างมาช่วยกัน เป็นต้นว่า พระสารีบุตร

พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ

แม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมาช่วย

 ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเย็บจีวร

 อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่มเป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์

มีองค์พระสัมมาสัมพุทธะเป็นประธาน โดยนัยนี้

การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำ

หลายผู้หลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งมีจีวรสำเร็จรูปแล้ว)

ผ้ากฐิน โดยความหมายก็คือผ้าสำเร็จรูปโดยอาศัยไม้สะดึง

นิยมเรียกกันจนปัจจุบันนี้


การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้

ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำห้ารูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง

ที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์

ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น

เขตกำหนดทอดกฐิน

การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ

ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้

ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้

ก็ไม่เป็นการทอดกฐิน

แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า ถ้าทายกผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็น

 เช่นจะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้

จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้ว

พระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตให้ภิกษะรับไว้ก่อนได้


การที่มีประเพณีทอดกฐินมีเรื่องว่า ในครั้งพุทธกาล

 พระภิกษุชาวปาไถยรัฐ (ปาวา) ผู้ทรงธุดงค์ จำนวน ๓๐ รูป

เดินทางไกลไปไม่ทันเข้าพรรษา เหลือทางอีกหกโยชน์

จะถึงนครสาวัตถี จึงตกลงพักจำพรรษา

ที่เมืองสาเกตตลอดไตรมาส

 เมื่อออกพรรษาจึงเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดา

ณ เชตวันมหาวิหารนครสาวัตถี ภิกษุเหล่านั้นมีจีวรเก่า เปื้อนโคลน

 และเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ได้รับความลำบากตรากตรำมาก

พระพุทธเจ้าจึงทรงถือเป็นมูลเหตุ

ทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุที่จำพรรษาครบสามเดือนกรานกฐินได้

 และให้ได้รับอานิสงส์ ห้าประการคือ 

๑) เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา 

๒) ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบ 

๓) ฉันคณะโภชน์ได้ 

๔) ทรงอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา 

๕) จีวรอันเกิดขึ้นนั้นจะได้แก่พวกเธอ

และได้ขยายเขตอานิสงส์ห้าอีกสี่เดือน

 นับแต่กรานกฐินแล้วจนถึงวันกฐินเดาะเรียกว่า มาติกาแปด

 คือการกำหนดวันสิ้นสุดที่จะได้จีวร คือ กำหนดด้วยหลีกไป

 กำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ กำหนดด้วยตกลงใจ

 กำหนดด้วยผ้าเสียหาย กำหนดด้วยได้ยินข่าว

กำหนดด้วยสิ้นหวัง กำหนดด้วยล่วงเขต กำหนดด้วยเดาะพร้อมกัน

ฉะนั้น เมื่อครบวันกำหนดกฐินเดาะแล้ว

ภิกษุก็หมดสิทธิ์ต้องรักษาวินัยต่อไป

พระสงฆ์จึงรับผ้ากฐินหลังออกพรรษาไปแล้ว หนึ่งเดือนได้

จึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้

การทอดกฐินในปัจจุบัน ถือว่าเป็นทานพิเศษ

 กำหนดเวลาปีหนึ่งทอดถวายได้เพียงครั้งเดียว

ตามอรรถกถาฎีกาต่าง ๆ พอกำหนดได้ว่า

ชนิดของกฐินมีสองลักษณะ คือ

จุลกฐิน การทำจีวร

พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้เสร็จ

ภายในกำหนดหนึ่งวัน ทำฝ้าย ปั่น กรอ ตัด เย็บ ย้อม

ทำให้เป็นขันธ์ได้ขนาดตามพระวินัย แล้วทอดถวายให้เสร็จในวันนั้น

มหากฐิน คืออาศัยปัจจัยไทยทาน

บริวารเครื่องกฐินจำนวนมากไม่รีบด่วน

เพื่อจะได้มีส่วนหนึ่งเป็นทุนบำรุงวัด คือทำนวกรรมบ้าง

 ซ่อมแซมบูรณของเก่าบ้าง ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า กฐินสามัคคี

การทอดกฐินในเมืองไทย

แบ่งออกตามประเภทของวัดที่จะไปทอด

คือพระอารามหลวง ผ้าพระกฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานด้วยพระองค์เอง

หรือโปรดเกล้า ฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ไปพระราชทาน

 เครื่องกฐินทานนี้จัดด้วยพระราชทรัพย์ของพระองค์เอง

เรียกว่า กฐินหลวง

บางทีก็เสด็จไปพระราชทานยังวัดราษฎร์ด้วย

 นิยมเรียกว่า กฐินต้น

ผ้ากฐินทานนอกจากที่ได้รับกฐินของหลวงโดยตรงแล้ว

 พระอารามหลวงอื่น ๆ จะได้รับ กฐินพระราชทาน

ซึ่งโปรดเกล้า ฯ พระราชทานผ้ากฐินทาน และเครื่องกฐิน

แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ

หรือเอกชนให้ไปทอด โดยรัฐบาลโดยกรมศาสนาจัดผ้าพระกฐินทาน

และเครื่องกฐินถวายไป ผู้ได้รับพระราชทานอาจจะถวายจตุปัจจัย

 หรือเงินทำบุญที่วัดนั้นโดยเสด็จในกฐินพระราชทานได้

ส่วนวัดราษฎร์ทั่วไป คณะบุคคลจะไปทอด

โดยการจองล่วงหน้าไว้ก่อน

ตั้งแต่ในพรรษา ก่อนจะเข้าเทศกาลกฐิน

ถ้าวัดใดไม่มีผู้จอง เมื่อใกล้เทศกาลกฐิน

ประชาชนทายกทายิกาของวัดนั้น

ก็จะรวบรวมกันจัดการทอดกฐิน

 ณ วัดนั้นในเทศกาลกฐิน

การจองกฐิน

วัดราษฎร์ทั่วไป นิยมทำเป็นหนังสือจองกฐิน

ไปติดต่อประกาศไว้ยังวัดที่จะทอดถวาย เป็นการเผดียงสงฆ์

ให้ทราบวันเวลาที่จะไปทอด

หรือจะไปนมัสการเจ้าอาวาสให้ทราบไว้ก็ได้

สำหรับการขอพระราชทานผ้าพระกฐินไปทอด

ณ พระอารามหลวงให้แจ้งกรมการศาสนา

เพื่อขึ้นบัญชีไว้กราบบังคมทูลและแจ้งให้วัดทราบ

ในทางปฏิบัติผู้ขอพระราชทานจะไปติดต่อ

กับทางวัดในรายละเอียดต่าง ๆ

 จนก่อนถึงวันกำหนดวันทอด จึงมารับผ้าพระกฐิน

และเครื่องกฐินพระราชทานจากกรมศาสนา

การนำกฐินไปทอด

ทำได้สองอย่าง

อย่างหนึ่งคือนำผ้ากฐินทานกับเครื่องบริวาร

ที่จะถวายไปตั้งไว้ ณ วัดที่จะทอดก่อน

พอถึงวันกำหนดเจ้าภาพผู้เป็นเจ้าของกฐิน

หรือรับพระราชทานผ้ากฐินทานมา

จึงพากันไปยังวัดเพื่อทำพิธีถวาย

อีกอย่างหนึ่ง ตามคติที่ถือว่าการทอดกฐิน

เป็นการถวายทานพิเศษแก่พระสงฆ์ที่ได้จำพรรษาครบไตรมาส

นับว่าได้กุศลแรง จึงได้มีการฉลองกฐินก่อนนำไปวัด

เป็นงานใหญ่ มีการทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านของผู้เป็นเจ้าของกฐิน

และเลี้ยงผู้คน มีมหรสพสมโภช

 และบางงานอาจมีการรวบรวมปัจจัยไปวัดถวายพระอีกด้วย

เช่น ในกรณีกฐินสามัคคี พอถึงกำหนดวันทอด

ก็จะมีการแห่แหนเป็นกระบวนไปยังวัดที่จะทอด

มีเครื่องบรรเลงมีการฟ้อนรำนำขบวนตามประเพณีนิยม

การถวายกฐิน

นิยมถวายในโบสถ์ โดยเฉพาะกฐินพระราชทาน

 ก่อนจะถึงกำหนดเวลาจะเอาเครื่องบริวารกฐิน

ไปจัดตั้งไว้ในโบสถ์ก่อน

ส่วนผ้ากฐินพระราชทานจะยังไม่นำเข้าไป

พอถึงกำหนดเวลาพระสงฆ์ที่จะรับกฐิน จะลงโบสถ์พร้อมกัน

 นั่งบนอาสนที่จัดไว้ เจ้าภาพของกฐิน พร้อมด้วยผู้ร่วมงาน

จะพากันไปยังโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์

เจ้าหน้าที่จะนำผ้าพระกฐินไปรอส่งให้ประธาน

ประธานรับผ้าพระกฐินวางบนมือถือประคอง

 นำคณะเดินเข้าสู่โบสถ์ แล้วนำผ้าพระกฐินไปวางบนพานที่จัดไว้

หน้าพระสงฆ์ และหน้าพระประธานในโบสถ์

คณะที่ตามมาเข้านั่งที่ ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย

 แล้วกราบพระพุทธรูปประธานในโบสถ์

แบบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง

แล้วลุกมายกผ้าพระกฐินในพานขึ้น

ดึงผ้าห่มพระประธานมอบให้เจ้าหน้าที่

รับไปห่มพระประธานทีหลัง

แล้วประนมมือวางผ้าพระกฐินบนมือทั้งสอง

 หันหน้าตรงพระสงฆ์แล้วกล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน

จบแล้วพระสงฆ์รับ สาธุการ

 ประธานวางผ้าพระกฐินลงบนพานเช่นเดิม

 แล้วกลับเข้านั่งที่ ต่อจากนี้ไปเป็นพิธีกรานกฐินของพระสงฆ์

กฐินของประชาชน หรือ กฐินสามัคคี

หรือในวัดบางวัดนิยมถวายกันที่ศาลาการเปรียญ

 หรือวิหารสำหรับทำบุญ

แล้วเจ้าหน้าที่จึงนำผ้ากฐินที่ถวายแล้วไปถวายพระสงฆ์

ทำพิธีกรานกฐินในโบสถ์เฉพาะพระสงฆ์อีกทีหนึ่ง

การทำพิธีกฐินัตการกิจของพระสงฆ์

เริ่มจากการกล่าวคำขอความเห็นที่เรียกว่า อปโลกน์

และการสวดญัตติทุติยกรรม คือการยินยอมยกให้

ต่อจากนั้นพระสงฆ์รูปที่ได้รับความยินยอม นำผ้าไตรไปครอง

เสร็จแล้วขึ้นนั่งยังอาสนเดิม

ประชาชนผู้ถวายพระกฐินทาน ทายกทายิกา

และผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ณ ที่นั้น เข้าประเคนสิ่งของ

อันเป็นบริวารขององค์กฐินตามลำดับจนเสร็จแล้ว

พระสงฆ์ทั้งนั้นจับพัด ประธานสงฆ์เริ่มสวดนำด้วยคาถาอนุโมทนา

 ประธานหรือเจ้าภาพ กรวดน้ำ และรับพรจนจบ เป็นอันเสร็จพิธี

คำถวายกฐิน
มีอยู่สองแบบด้วยกันคือ แบบเก่า และแบบใหม่ ดังนี้

คำถวายแบบมหานิกาย

อิมํ สปริวารํ กฐินจีวรทสฺสํ

สงฺฆสฺส โอโณชยาม (กล่าวสามหน) 

ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน

พร้อมกับของบริวารนี้แก่พระสงฆ์ (กล่าวสามหน)

คำกล่าวแบบธรรมยุต

อิมํ มยํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินจีวรทสฺสํ

สงฺฆสฺส โอโณชยาม สาธุ โน ภนฺเต

 สงฺโฆ อิมํ ปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ

ปฏิคฺคณฺหาตุ ปฏิคฺคเหตฺวา จ อิมินา ทุสฺเสน กฐินํ

อตฺถรตุ อมฺหากํ ฑีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย 

ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย

ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน กับของบริวารนี้แก่พระสงฆ์

ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐิน พร้อมกับของบริวาร

ของข้าพเจ้าทั้งหลาย

ครั้งรับแล้วจงกราลกฐินด้วยผ้าผืนนี้ เพื่อประโยชน์ และความสุข

แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนาน เทอญ ฯ


ผู้ประสงค์จะทอดกฐินจะทอดจะทำอย่างไร

พุทธศาสนิกชนทั่วไป ย่อมถือกันว่า

การทำบุญทอดกฐินเป็นกุศลแรง เพราะเป็นกาลทาน

ทำได้เพียงปีละ 1 ครั้งและต้องทำในกำหนดเวลา

ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ดังนั้นถ้ามีความเลื่อมใส

ใคร่จะทอดกฐินบ้างแล้ว พึ่งปฏิบัติดังต่อไปนี้

จองกฐิน

เมื่อจะไปจองกฐิน ณ วัดใด พอเข้าพรรษาแล้ว

พึงไปมนัสการสมภารเจ้าวัดนั้น กราบเรียนแก่ท่านว่า

ตนมีความประสงค์จะขอทอดกฐิน แล้วเขียนหนังสือปิดประกาศไว้

ณ วัดนั้น เพื่อให้รู้ทั่ว ๆ กัน การที่ต้องไปจองก่อนแต่เนิ่น ๆ

 ก็เพื่อให้ได้ทอดวัดที่ตนต้องการ

หากมิเช่นนั้นอาจมีผู้อื่นไปจองก่อน

นี้กล่าวสำหรับวัดราษฎร์ ซึ่งราษฎรมีสิทธิจองได้ทุกวัด

 แต่ถ้าวัดนั้นเป็นวัดหลวง อันมีธรรมเนียมว่าต้องได้รับกฐินหลวงแล้ว

ทายกนั้น ครั้นกราบเรียนเจ้าอาวาสท่านแล้ว

 ต้องทำหนังสือยื่นต่อกองสัมฆการีกรมการศาสนา

กระทรวงศึกษาธิการ ขอเป็นกฐินพระราชทาน

 ครั้นคำอนุญาตตกไปถึงแล้ว จึงจะจองได้

เตรียมการ ครั้นจองกฐินเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกพรรษาแล้ว

 จะทอดกฐินในวันใด ก็กำหนดให้แน่นอน

 แล้วกราบเรียนให้เจ้าวัดท่านทราบวันกำหนดนั้น

 ถ้าเป็นอย่างชนบท สมภารเจ้าวัด ก็บอกติดต่อกับชาวบ้านว่า

วันนั้นว่านี้เป็นวันทอดกฐิน ให้ร่วมแรงร่วมใจกัน

จัดหาอาหารไว้เลี้ยงพระ และเลี้ยงผู้มาในการกฐิน

ครั้นกำหนดวันทอดกฐินแล้ว ก็เตรียมจัดหาเครื่องผ้ากฐิน

 คือไตรจีวร พร้อมทั้งเครื่องบริขารอื่น ๆ

 ตามแต่มีศรัทธามากน้อย (ถ้าจัดเต็มที่มักมี 3 ไตร คือ

องค์ครอง 1 ไตร คู่สวดองค์ละ 1 ไตร)

วันงาน พิธีทอดกฐินเป็นบุญใหญ่ดังกล่าวมาแล้ว

ดังนั้น โดยมากจึงจัดงานเป็น 2 วัน

วันต้นตั้งองค์พระกฐินที่บ้านของเจ้าภาพก็ได้ จะไปตั้งที่วัดก็ได้

กลางคืนมีการมหรสพครึกครื้นสนุกสนาน

ญาติพี่น้องและมิตรสหายก็มักจะมาร่วมอนุโมทนา

รุ่งขึ้นเป็นที่วันทอด ถ้าไปทางบก ก็มีแห่ทางขบวนรถ

หรือเดินขบวนกันไป มีแตรวงหรืออื่น ๆ เป็นการครึกครื้น

 ถ้าไปทางเรือก็มีแห่งทางขบวนเรือสนุกสนาน

 โดยมากมักแห่ไปตอนเช้า และเลี้ยงพระเพล

การทอดกฐิน จะทอดในตอนเช้านั้นก็ได้ ทอดเพลแล้วก็ได้

สุดแล้วแต่สะดวก การเลี้ยงพระ ถ้าเป็นอย่างในชนบท

ชาวบ้านจัดภัตตาหารเลี้ยงด้วย เจ้าของงานกฐินก็จัดไปด้วย

อาหารมากมายเหลือเฟือ แม้ข้อนี้ ก็สุดแต่กาละเทศะแห่งท้องถิ่น

อนึ่ง ถ้าตั้งองค์กฐินในวัดที่จะทอดนั้น

เช่น ในชนบทตอนเย็น ก็แห่งองค์พระกฐินไปตั้งที่วัด

 กลางคืนมีการฉลองรุ่งขึ้น เลี้ยงพระเช้าแล้ว

 ทอดกฐิน ถวายภัตตาหารเพล

การถวายผ้ากฐิน การถวายผ้ากฐินนั้น คือ

เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว

เจ้าภาพอุ้มผ้ากฐินนั่งหันหน้าตรงต่อพระประธาน ตั้งนะโม 3 จบ

แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน 3 จบ

 ถ้าเป็นกฐินสามัคคีก็มักเอาด้ายสายสิญจน์โยงผ้ากฐิน

 เมื่อจับได้ทั่วถึงกัน แล้วหัวหน้านำว่าคำถวาย

 ครั้นจบแล้ว พระสงฆ์รับว่า สาธุ

เจ้าภาพก็ประเคนผ้าไตรกฐินแก่ภิกษุผู้เถระ

ครั้นแล้วประเคนเครื่องบริขารอื่น ๆ

 เสร็จแล้ว พระสงฆ์ก็ทำพิธีมอบผ้าให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง

ซึ่งเป็นพระเถระ มีจีวรเก่า รู้ธรรมวินัย

ครั้นเสร็จแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำรับพร

 ก็เป็นอันเสร็จพิธีการทอดกฐินเพียงนี้



พิธีกรานกฐิน

พิธีกรานกฐินเป็นพิธีฝ่ายภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะ

คือภิกษุผู้ได้รับมอบผ้ากฐินนั้น นำผ้ากฐินไปทำเป็นไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่ง

 เย็บ ย้อม แห้ง เรียบร้อยดีแล้ว เคาะระฆัง ประชุมกันในโรงพระอุโบสถ

ภิกษุผู้รับผ้ากฐิน ถอนผ้าเก่าอธิษฐานผ้าใหม่ที่ตนได้รับนั้น

เข้าชุดเป็นไตรจีวร

เสร็จแล้ว ภิกษุรูปหนึ่ง ขึ้นสู่ธรรมาสน์แสดงพระธรรมเทศนา

กล่าวคือเรื่องประวัติกฐินและอานิสงส์

ครั้งแล้วภิกษุผู้รับผ้ากฐิน นั่งคุกเข่าตั้งนะโม 3 จบ

 แล้วเปล่งวาจาในท่ามกลางชุมนุมนั้น ตามลักษณะผ้าที่กรานดังนี้

ถ้าเป็นผ้าสังฆาฏิ เปล่งวาจากรานกฐินว่า "อิมายสงฺฆาฏิยา กฐินํ อตฺถรามิ"

แปลว่า ข้าพเจ้ากรานกฐินด้วยผ้าสัมฆาฎินี้

(ในเวลาว่านั้นไม่ต้องว่าคำแปลนี้) 3 จบ

ถ้าเป็นผ้าอุตตราสงค์เปล่งวาจากรานกฐินว่า

"อิมินาอุตฺตราสงฺเคน กฐินํ อตฺถรามิ"

 แปลว่าจ้าพเจ้ากรานกฐิน ด้วยผ้าอุตตราสงค์นี้ 3 จบ

ถ้าเป็นผ้าอันตรวาสก (สบง) เปล่งวาจากรานกฐินว่า

 "อิมินา อนฺตรวาสเกน กฐินํ อตฺถรามิ"

แปลว่าข้าพเจ้ากรานกฐิน ด้วยผ้าอันครวาสกนี้ 3 จบ

ลำดับนั้น พระสงฆ์นั่งคุกเข่าพร้อมกันแล้วกราบพระ 3 หน

เสร็จแล้ว ตั้งนะโมพร้อมกัน 3 จบ

แล้วท่านผู้ได้รับผ้ากฐินหันหน้ามายังกลุ่มภิกษุสงษ์

กล่าวคำอนุโมทนาประกาศดังนี้

"อตฺถตํ อาวุโส สงฺฆสฺส กฐินํ ธมฺมิโก

กฐินตฺถาโร อนุโมทามิ" 3 จบ

(แปลว่า อาวุโส! กฐินสงฆ์กราบแล้ว

การกรานกฐินเป็นธรรม ข้าพเจ้าขออนุโมทนา)

คำว่า อาวุโส นั้น ถ้ามีภิกษุอื่น

ซึ่งมีพรรษามากกว่าภิกษุผู้ครองกฐินแม้เพียงรูปเดียวก็ตาม

 ให้เปลี่ยนเป็น ภนฺเต

ต่อนั้น พระสงฆ์ทั้งปวงรับว่า สาธุ พร้อมกัน

แล้วให้ภิกษุทั้งปวง อนุโมทนาเรียงองค์กัน

ไปทีละรูป ๆ ว่า "อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส

กฐินฺ ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทามิ" 3 จบ

พระสงฆ์ทั้งปวงรับว่า สาธุ

ทำดังนี้ จนหมดภิกษุผู้ประชุมอนุโมทนา

(ถ้าผู้อนุโมทนา มีพรรษาแก่กว่าสงฆ์ทั่งปวง

 ให้เปลี่ยนคำว่า ภนฺเต เป็น อาวุโส)

ในการว่าคำอนุโมทนานี้พึงนั่งคุกเข่าประนมมือ

เสร้็แล้วจึงนั่งพับเพียบลง

เมื่อเสร็จแล้ว ให้นั่งพร้อมกันคุกเข่าประนมมือ

หันหน้าตรงต่อพระพุทธปฏิมา ว่าพร้อมกันอีก 3 จบ

 แต่ให้เปลี่ยนคำว่า อนุโมทามิ เป็น อนุโมทาม

เป็นอันเสร็จไปชั้นหนึ่ง

ต่อแต่นั้นกราบพระ 3 หน นั่งพับเพียบ

สวดปาฐะและคาถาเนื่องด้วยกรานกฐิน

จบแล้วก็เป็นเสร็จพิธีการกรานกฐิน



อานิสงส์กฐินสำหรับพระ

ในพระวินัย ระบุอานิสงส์กฐินไว้ 5 คือ

1. เข้าบ้านได้โดยมิต้องบอกลาภิกษุด้วยกัน
2. เอาไตรจีวรไปโดยไม่ครบสำรับได้
3. ฉันอาหารเป็นคณะโภชน์ได้
4. เก็บจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
5. ลาภที่เกิดขึ้นเป็นของเธอผู้จำพรรษาในวัดนั้น


อนิสงส์กฐินสำหรับผู้ทอด

โดยทั่วไปผู้เขียนเองและแม้ผู้รู้บางท่าน

ก็ยังไม่เคยพบในพระบาลีที่ระบุไว้โดยตรง

 แต่ว่าการทอดกฐินเป็นกาลทาน ปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียว

 วันหนึ่งทำได้ครั้งเดียวในปีหนึ่ง ๆ

ต้องทำภายในกำหนดเวลา

และผู้ทอดก็ต้องตระเตรียมจัดทำเป็นงานใหญ่

ต้องมีผู้ช่วยเหลือหลายคน

จึงนิยมกันว่าเป็นพิธีบุญที่อานิสงส์แรง

น่าคิดอีกทางหนึ่งว่า พิธีเช่นนี้ได้ทั้งโภคสมบัติ

เพราะเราเองบริจาค ได้ทั้งบริวารสมบัติ

เพราะได้บอกบุญแก่ญาติมิตรให้มาร่วมการกุศล

กาลทานเช่นนี้ เรียกว่า ทานทางพระวินัย

คำถวายผ้ากฐิน อย่างมหานิกาย

อิมํ สปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม (ว่า 3 หน)

แปลว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลาย

ขอน้อมถวายผ้ากฐินจีวรกับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์"

คำถวายผ้ากฐิน อย่างธรรมยุตติกนิกาย

อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินนทุสฺสํ

สงฺฆสฺส โอโณชยาม สาธุ โน ภนฺเต

สงฺโฆ อิมํ สปริวารํ กฐินทุสฺสํ

ปฏิคฺคณฺหาตุ ปฏิคฺคเหตฺวา จ อิมินา ทุสฺเสน

กฐินํ อตฺถรตุ อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย

แปลว่า "ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ

ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้ากฐิน

พร้อมทั้งบริวารนี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย

และครั้นรับแล้วขอจงกรานกฐินด้วยผ้านี้

เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย

สิ้นกาลนานเทอญ"

หมายเหตุ

ในการทอดกฐินนี้ ยังมีกฐินและข้อพิเศษ

ที่ควรนำมากล่าวไว้ด้วย คือ 1. จุลกฐิน 2.ธงจระเข้

1. จุลกฐิน มีกฐินพิเศษอีกชนิดหนึ่ง

 เรียกว่าจุลกฐินเป็นงานที่มีพิธีมาก

ถือกันว่ามาแต่โบราณว่า มีอานิสงส์มากยิ่งนัก

 วิธีทำนั้น คือเก็บฝ้ายมากรอเป็นด้วย

และทอให้แล้วเสร็จเป็นผืนผ้าในวันเดียวกัน

 และนำไปทอดในวันนั้น กฐินชนิดนี้ ต้องทำแข่งกับเวลา

มีผู้ทำหลายคน แบ่งกันเป็นหน้าที่ ๆ ไป

ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยนิยมทำกันแล้ว

"วิธีทอดจุลกฐินนี้ มีปรากฏในหนังสือ

เรื่องคำให้การชาวกรุงเก่าว่า บางทีเป็นของหลวง

ทำในวันกลางเดือน 12 คือ

ถ้าสืบรู้ว่าวัดไหนยังไม่ได้รับกฐิน

ถึงวันกลางเดือน 12 อันเป็นที่สุดของพระบรมพุทธานุญาต

ซึ่งพระสงฆ์จะรับกฐินได้ในปีนั้น

 จึงทำผ้าจุลกฐินไปทอด

 มูลเหตุของจุลกฐินคงเกิดแต่จะทอดในวันที่สุดเช่นนี้

จึงต้องรีบร้อนขวนขวายทำให้ทัน

เห็นจะเป็นประเพณีมีมาเก่าแก่

 เพราะถ้าเป็นชั้นหลังก็จะเที่ยวหาซื้อผ้าไปทอดได้

หาพักต้องทอใหม่ไม่" (จากวิธีทำบุญ ฉบับหอสมุด หน้า 119)

2. ธงจระเข้ ปัญหาที่ว่าเพราะเหตุไร

จึงมีธงจระเข้ยกขึ้นในวัดที่ทอดกฐินแล้ว

 ยังไม่ปรากฎหลักฐาน และข้อวิจารณ์ อันสมบูรณ์

โดยมิต้องสงสัย เท่าที่รู้กันมี 2 มติ คือ



1. ในโบราณสมัย การจะเดินทาง

ต้องอาศัยดาวช่วยประกอบเหมือน

เช่น การยกทัพเคลื่อนขบวนในตอนจวนจะสว่าง

จะต้องอาศัยดาวจระเข้นี้ เพราะดาวจระเข้นี้ขึ้นในจวนจะสว่าง

การทอดกฐิน มีภาระมาก บางทีต้องไปทอด

 ณ วัดซึ่งอยู่ไกลบ้าน ฉะนั้น การดูเวลาจึงต้องอาศัยดาว

 พอดาวจระเข้ขี้น ก็เคลื่อนองค์กฐินไปสว่างเอาที่วัดพอดี

และต่อมาก็คงมีผู้คิดทำธงในงานกฐิน

 ในชั้นต้น ก็คงทำธงทิวประดับประดาให้สวยงาม

ทั้งที่องค์กฐิน ทั้งที่บริเวณวัด

และภายหลัง คงหวั่นจะให้เป็นเครื่องหมายเนื่องด้วยการกฐิน

ดังนั้น จึงคิดทำธงรูปจระเข้ เสมือนประกาศให้รู้ว่าทอดกฐินแล้ว

2. อีกมติหนึ่งเล่าเป็นนิทานโบราณว่า

ในการแห่กฐินในทางเรือของอุบาสกผู้หนึ่ง

มีจระเข้ตัวหนึ่งอยากได้บุญจึงอุตส่าห์ว่ายน้ำตามเรือไปด้วย

แต่ยังไม่ทันถึงวัดก็หมดกำลังว่ายตามต่อไปอีกไม่ไหว

 จึงร้องบอกอุบาสกว่า เหนื่อยนักแล้ว

ไม่สามารถจะว่ายตามไปร่วมกองการกุศล

วานท่านเมตตาช่วยเขียนรูปข้าพเจ้า เพื่อเป็นสักขีพยานว่า

ได้ไปร่วมการกุศลด้วยเถิด อุบาสกผู้นั้นจึงได้เขียนรูปจระเข้

ยกเป็นธงขึ้นในวัดเป็นปฐม และสืบเนื่องมาจนบัดนี้



ขอบคุณที่มา..เวป..ธรรมะไทย


















Create Date : 27 ตุลาคม 2557
Last Update : 27 ตุลาคม 2557 13:18:36 น.
Counter : 11275 Pageviews.

0 comment
### สุดยอดบทความที่ต้องอ่าน ###












สุดยอดบทความที่ต้องอ่าน
หมอสันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์โรคหัวใจมือหนึ่ง

 โรงพยาบาลพญาไท เลิกรักษาคนเพราะอะไร

ผมจะเล่าที่มาที่ไปให้ฟังนะครับ

คือตัวผมเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ

ความชำนาญของผมก็คือผ่าตัดแก้ไขหลอดเลือดหัวใจตีบ

หรือที่เรียกว่าผ่าตัดบายพาส

การใช้ชีวิตในวัยทำงานของผม

ก็ค่อนข้างใช้แบบสำบุกสำบันเหมือนกับหลายท่านในนี้

ซึ่งผ่านวันเวลาแบบนั้นมาหมาดๆ คือทำงานมาก

มากเกินไป และไม่ได้สนใจที่จะฟูมฟักดูแลร่างกายมากนัก

 เพราะมันก็ดีๆของมันอยู่

การผ่าตัดหัวใจเป็นงานที่มักจะต่อเนื่อง

พูดง่ายๆว่าติดลม บางวันกว่าจะเสร็จก็สามสี่ทุ่ม

 กลับถึงบ้านก็ใกล้เที่ยงคืนไปแล้ว

ลูกเมียเขาหลับกันหมดแล้ว ผมต้องไปค้นตู้เย็นหาอะไรกิน

 เมียเขาจะจัดอาหารโปรดของผมไว้

คือเค้กซาราลี บัทเทอร์เค้ก นั่นแหละของชอบ

ผมกินมันทุกคืน แล้วผมเนี่ยสมัยที่ทำงานอยู่

ไม่ดื่มน้ำเปล่านะครับ ดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า

 วันหนึ่งก็หนึ่งลิตรขึ้นไป เพราะดื่มน้ำเปล่ามันไม่สะใจ

แล้วเราก็มีเงินซื้อ ใครจะทำไม

ในที่ทำงานผมดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว

เพราะทำงานบริหารด้วย

เวลานั่งประชุมฟังลูกน้องพูดเพ้อเจ้อผมก็จิบกาแฟไป

วิธีชงกาแฟของผมก็เป็นมาตรฐานไทยแลนด์

คือ ทรี-อิน-วัน หมายความว่าน้ำตาล ครีมเทียม กาแฟ

 ผสมกันมาเสร็จเรียบร้อยในซองเดียว

ใช้ชีวิตแบบนี้เรื่อยมา จนถึงวันที่เริ่มป่วย

ตอนนั้นผมอายุห้าสิบปลายๆแล้ว

มันเริ่มด้วยอาการเวลาทำงานมากๆแล้วแน่นๆหน้าอกไม่สบาย

จิตใจก็ค่อนข้างหงุดหงิดงุ่นง่านจนลูกน้องเข้าหน้าไม่ติด

 ตอนนั้นทำสองจ๊อบ คือเป็นหมอผ่าตัดหัวใจด้วย

 เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย

วันหนึ่งตอนเลิกงานประมาณเกือบสามทุ่ม

เลขาหน้าห้องมาดักรอผมอยู่ที่ประตู

แล้วรวบรวมความกล้าบอกผมว่า

 “อาจารย์รู้ตัวหรือเปล่าคะ ว่าอาจารย์นะ...หงุดหงิด”

พอเจอจิ้งจกทัก ผมก็มานั่งมองตัวเอง

 เออ..สงสัยเราจะป่วยจริงๆแฮะ

จึงหยุดงานไปให้หมอรุ่นน้อง

ตรวจประเมินสุขภาพอย่างจริงจัง

 โดยธรรมชาติของหมอจะเหมือนกัน

ทั้งหมอไทยและหมอฝรั่ง

 คือไม่เคยทำการตรวจสุขภาพประจำปี

อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เพราะถือว่าตัวเองเป็นหมอดูแลตัวเองอยู่ทุกวันอยู่แล้ว

เมื่อผมตัดสินใจไปตรวจสุขภาพประจำปี

ก็ได้มาหลายโรค อย่างแรกก็คือ

ความดันเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา

อย่างที่สองก็คือไขมันในเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา

 อย่างที่สามก็คือเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

 ซึ่งทราบได้จากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์

ตรวจดูแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจ

อย่างที่สี่ก็คือลงพุง คือน้ำหนักเกิน

และส่วนใหญ่มาอยู่ที่พุง ไม่อ้วน

แต่หุ่นเป็นแบบไอ้เท่งหนังตะลุง คือหลังค่อมพุงแอ่น

นั่นคือตัวผมเมื่ออายุราว 56 ปี

หมอรุ่นน้องซึ่งเป็นหมออายุรกรรมหัวใจก็ให้ยามาหลายตัว

หนึ่งโรคก็หนึ่งตัว แถมอีกตัวหนึ่งคือยากล่อมประสาท

ผมกินยาตามหมอสั่งได้สองเดือนโดยใช้ชีวิตแบบเดิม

 ทำงานเหมือนเดิม

อาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจไม่มีอะไรดีขึ้น

 แถมมีอาการซึมกะทือจากยากล่อมประสาทอีกด้วย

จิตใจก็แย่ การเป็นคนป่วยนั่นก็แย่ระดับหนึ่งแล้ว

 ยังมีความเบื่องานบวกเข้าไปอีก

ทั้งๆที่เป็นเจ้านายเขาแต่มันก็เบื่อ

มองอนาคตตัวเองด้วยความกังวลว่าวันนี้เราเป็นความดันสูง

 ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ กินยาหนึ่งกำมือ

 สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคืออะไรผมมองออกหมดแล้ว

 ถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปทำบอลลูน ทำไปสักสองสามครั้ง

แล้วก็ต้องไปผ่าตัดบายพาส

อย่างที่ผมทำให้คนไข้ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ

 ทำแล้วบ้างก็ดีขึ้น บ้างก็ไม่ดีขึ้น บ้างก็ตาย

เพียงแต่คราวนี้จะเปลี่ยนเป็นตัวผมนอนอยู่บนเขียง

 ให้หมอรุ่นน้องคนอื่นเป็นคนผ่าตัดให้

ในช่วงที่ผ่าตัดอยู่ วันไหนอารมณ์ดีๆ

ผมจะบอกหมอที่เป็นลูกศิษย์ว่าคุณรู้ไหม

วันหนึ่งข้างหน้าคนรุ่นหลานของเรา

จะเล่าสู่กันฟังด้วยความตลกขบขันว่าสมัยคุณปู่เนี่ย

คนเราทำไมโง่จังนะ แค่ไขมันอุดหลอดเลือดหัวใจ

 หมอสมัยนั้นต้องเอาคนไข้มาผ่าแบะหน้าอกออก

เพื่อทำบายพาสหลอดเลือด

คือผมพูดอย่างนี้กับลูกน้องเพื่อจะย้ำให้เขาเห็นว่า

การผ่าตัดบายพาสเป็นการรักษาแบบเกาไม่ถูกที่คัน

 แต่เราก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยตอนนี้ยังไม่มี

เพื่อให้เขาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ขยันค้นคว้าวิจัย

หากวิธีรักษาที่ดีกว่านี้ แต่ว่ามาถึงตอนนี้

ผมเป็นคนป่วยแล้ว และวันหนึ่ง

ผมจะต้องมารับการรักษา

ด้วยวิธีซึ่งผมรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า

 “ไม่ใช่” ผมจะทำอย่างไรดี มีวิธีอื่นอีกไหม

ที่จะดูแลตัวเองโดยไม่ต้องผ่าตัด

คิดไปคิดมาแล้วคำตอบก็มีอยู่คำเดียว คือ...“ไม่ทราบ”

ณ ตอนนั้นผมเรียนจบแพทย์มาได้สามสิบปีแล้ว

ผ่านการเป็นแพทย์ทั่วไป

แล้วไปฝึกอบรมเป็นศัลยแพทย์ทั่วไป

 ทำงานพักหนึ่งแล้วไปฝึกอบรมเป็นศัลยแพทย์ทรวงอก

ทำงานพักหนึ่งแล้วไปฝึกอบรมต่างประเทศ

เป็นศัลยแพทย์หัวใจ

ทำงานพักหนึ่งแล้วก็ค่อยๆจำกัดชนิดการผ่าตัดลง

จนแทบจะเหลือแต่การผ่าตัดบายพาส

คือมุดรูเล็กลงๆเรื่อยๆ

เหลือความรู้อยู่แต่เรื่องที่ตนเองเชี่ยวชาญอยู่นิดเดียว

 สามสิบปีที่ผ่านไป มีความรู้อะไรใหม่ๆ

เกิดขึ้นในวิชาแพทย์บ้าง ผมไม่ได้ติดตามเลย

 ผมตัดสินใจถอยกลับมาเรียนวิชาแพทย์ใหม่ด้วยตนเอง

ทั้งๆที่ยังทำงานอยู่นั่นแหละ

 ผมทำในสิ่งที่นักวิชาการเขาเรียกว่า

“การทบทวนวรรณกรรม (literature review)“

คือถอยไปตั้งต้นย้อนยุคเมื่อผมจบแพทย์ใหม่ๆ

 แล้วไล่มาทีละปีพ.ศ.ว่านับตั้งแต่นั้นมา

มีงานวิจัยทางการแพทย์อะไรใหม่ๆเกิดขึ้น

โดยที่ผมไม่ทราบบ้าง

ผมได้พบว่ามีงานวิจัยการรักษาโรคหัวใจ

ที่ให้ผลเหลือเชื่อเกิดขึ้นจำนวนมาก

ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ทั้งๆที่ผมเองก็เป็นหมอหัวใจ

 ผมจะยกตัวอย่างงานวิจัยบางงาน

ที่เตะตาผมจังๆให้ท่านทราบนะ

งานวิจัยนี้ชื่อ EUROSAPIRE เป็นงานวิจัยขนาดใหญ่

 ใช้คนไข้โรคหัวใจถึง 13,935 คน

ทำในโรงพยาบาลชั้นดีในยุโรป 67 รพ. ใน 22 ประเทศ

และมีระยะติดตามดูนานถึง 12 ปี

คือเขาติดตามดูคนไข้โรคหัวใจขาดเลือด

ที่ได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานปัจจุบัน

 กล่าวคือกินยา บอลลูน บายพาส

คือจะดูว่าถ้าเป็นคนไข้ที่ดี หมอบอกให้กินยาก็กิน

 และรักษาอยู่กับโรงพยาบาลที่ดี หมอดี เครื่องมือดี

 ดูซิว่าผ่านไป 12 ปี แล้วคนไข้จะมีอะไรดีขึ้นบ้างไหม

ผลวิจัยที่ได้ก็คือ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

อย่างเรื่องความอ้วน ยิ่งรักษากันไปก็ยิ่งอ้วนเผละยิ่งขึ้น

 ผ่านไปสี่ปีคนอ้วนเพิ่มขึ้น 25%

 ผ่านไปแปดปี เพิ่มขึ้นอีก 33%

ผ่านไปสิบสองปี เพิ่มขึ้นเป็น 38%

มาดูความดันเลือดบ้าง ผ่านไปสี่ปี

คนเป็นความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้น 32%

ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 43%

ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 56%

เรียกว่ารักษาไปรักษามา

กลายเป็นความดันเลือดสูงซะมากกว่าครึ่ง

มาดูการเป็นเบาหวานก็ได้ ผ่านไปสี่ปีเป็นเบาหวาน 17%

 ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 20%

 ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 28%

คือการแพทย์แผนปัจจุบันนี้รักษาคนไข้โรคหัวใจ

ยิ่งทำกันไปก็ยิ่งสาละวันเตี้ยลง พูดเป็นภาษาจิ๊กโก๋ก็คือ

“..วิธีการรักษาโรคหัวใจของการแพทย์แผนปัจจุบัน

ที่ทำกันอยู่นี้มัน..ไม่เวอร์ค”

คราวนี้มาดูงานวิจัยนี้นะ หมอคนนี้ชื่อ Caldwell Esselstyn

เขาเป็นหมอทางด้านต่อมไร้ท่อ

เขาได้ทำงานวิจัยโดยเอาคนไข้โรคหัวใจของเขามา 22 คน

 จับทุกคนสวนหัวใจ ฉีดสี ถ่ายรูปไว้หมด

 ว่าคนไหน หลอดหัวใจตีบที่หลอดเลือดเส้นไหน

ตีบมากตีบน้อยแค่ไหน แล้วถ่ายรูปไว้

แล้วให้คนไข้เหล่านี้กินแต่อาหารมังสะวิรัต

กินอยู่นาน 5 ปี แล้วเอาคนไข้ทั้งหมด

กลับมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปใหม่

แล้วเอารูปครั้งแรกและครั้งที่สองมาเปรียบเทียบกัน

ก็พบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบของคนไข้เหล่านี้

กลายเป็นโล่งขึ้น อย่างตัวอย่างคนไข้คนนี้

ก่อนเริ่มวิจัย ผลฉีดสีเป็นอย่างนี้

คือเวลาเราฉีดสีเข้าไปในหลอดเลือดแล้ว

ถ่ายเอ็กซเรย์ออกมาเป็นภาพยนตร์

ตัวสีจะเห็นเป็นสีขาวอย่างนี้

เวลาที่สีวิ่งผ่านจุดที่หลอดเลือดหัวใจมันตีบแคบหรือขรุขระ

 เนื้อสีสีขาวมันก็จะถูกบีบให้แคบ

และเห็นขอบขรุขระด้วยอย่างนี้

ส่วนภาพนี้เป็นผลการฉีดสี

หลังจากกินมังสะวิรัติไปแล้วห้าปี

 จะเห็นว่ารอยตีบรอยขรุขระที่หลอดเลือดหายไป

 เหลือแต่ลำสีที่วิ่งได้เต็มหลอดเลือดตามปกติ

นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกที่ยืนยันว่า

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เราเชื่อกันมาแต่เดิมว่า

เป็นแล้วไม่มีทางหายนั้นไม่เป็นความจริง

ผลการติดตามฉีดสีซ้ำนี้ยืนยันว่ามันหายได้

และในงานวิจัยของเอสเซลส์ทินนี้

ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้มันหายคือการปรับอาหารการกิน

ผมเห็นงานวิจัยนี้ครั้งแรกผมทึ่งมาก

ทั้งๆที่เขาทำไว้ตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว

 แต่ผมเองเป็นหมอหัวใจผมกลับไม่ทราบเลย

 เห็นอย่างนี้ผมเชื่อแล้วว่าโรคหลอดเลือดหัวใจมันหายได้

แต่ผมยังมีข้อกริ่งเกรงอยู่ประเด็นหนึ่ง

คือตัวผมเองก็เป็นนักวิจัย

งานวิจัยที่ไม่ได้สุ่มกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่ม

ไว้เปรียบเทียบกันนั้น จะสรุปเอาดื้อๆว่า

หลอดเลือดตีบหายเพราะปรับอาหารย่อมไม่ได้

มันต้องมีงานวิจัยแบบเดียวกัน

ที่เอาคนไข้มาสุ่มตัวอย่างเป็นสองกลุ่ม

แล้วเปรียบเทียบกันดู จึงจะพิสูจน์ได้จะจะว่า

มันหายเพราะปรับอาหารจริงหรือไม่

แล้วผมไม่ต้องรอนานเลย หมอคนนี้ชื่อ Dean Ornish

เขาเป็นหมอหัวใจ เขาได้ทำงานวิจัย

ที่เอาคนไข้โรคหัวใจมาเกือบร้อยคน

จับฉลากแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม

ใครจับได้เบอร์ดำ ไปเข้ากลุ่มควบคุม

ซึ่งไม่ต้องทำอะไรนอกจากใช้ชีวิตแบบที่เคยทำมาตามปกติ

ใครจับได้เบอร์แดงไปเข้ากลุ่มที่ต้องปรับชีวิต

คือต้องทำสามอย่าง ได้แก่

(1) ต้องกินอาหารมังสะวิรัติบวกปลา บวกนมไร้ไขมัน

 (2) ต้องออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง

(3) ต้องจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิตามดูลมหายใจ

 หรือรำมวยจีน หรือโยคะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกวัน

ก่อนเริ่มวิจัยก็เอาทุกคนทั้งสองกลุ่ม

มาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปหลอดเลือดไว้ก่อน

พอครบหนึ่งปีก็เอามาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก

พอครบห้าปีก็เอาทุกคนมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก

 ผลวิจัยที่ได้ยืนยันงานวิจัยของเอสเซลส์ทีน คือ

กลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบที่หัวใจโล่งขึ้น

ขณะที่กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบเดินหน้าตีบแคบลง

ผลการสวนหัวใจเมื่อห้าปีก็ยิ่งยืนยันว่า

กลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบก็ยิ่งโล่งขึ้นอีก

กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบก็ยิ่งตีบแคบลงอีก

ต้องเจ็บหน้าอกบ่อยกว่า เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่า

มาถึงตรงนี้โรคหลอดเลือดหัวใจนั้นชัดแล้วว่ามันหายได้

ด้วยการกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก ออกกำลังกาย

และจัดการความเครียด

แล้วความดันเลือดสูงละ ผมได้ค้นคว้าต่อไปอีก

ก็พบว่ามีงานวิจัยการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยา

ทำไว้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจน

ผมสรุปมาให้ดูตรงนี้คือถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก.

ความดันตัวบนจะลดลง 20 มิล

ถ้ากินอาหารมังสะวิรัติบวกนมไร้ไขมันบวกปลา

ความดันตัวบนจะลดลง 14 มิล

ถ้าออกกำลังกาย ความดันตัวบนจะลดลง 9 มิล

ถ้าเลิกกินเค็ม ความดันตัวบนจะลดลง 8 มิล

ถ้าบวกสี่อย่างนี้เข้าด้วยกันความดันตัวบน

ก็จะลดลงได้มากโดยที่ไม่ต้องใช้ยาเลย

คราวนี้โดยบังเอิญ ผมก็ไปพบงานวิจัยปรับชีวิต

เพื่อรักษาเบาหวานเข้า

งานวิจัยนี้เรียกว่างานวิจัย DPPRG

เขาเอาคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 100 มา 3234 คน

 มาจับฉลากแบ่งเป็นสามกลุ่ม

กลุ่มที่ 1. ให้ปรับชีวิตในสามประเด็นคืออาหาร

ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด

กลุ่มที่ 2. ให้กินยาเบาหวานซะเลยรู้แล้วรู้รอด

 กลุ่มที่ 3. ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตไปตามปกติของตน

แล้วตามดูคนพวกนี้ไปสี่ปี

ดูว่าใครจะป่วยเป็นโรคเบาหวานมากกว่ากัน

ผลเป็นอย่างนี้ครับ

กลุ่มที่ไม่ทำอะไรเลยเป็นเบาหวานมากที่สุด

กลุ่มที่กินยาเบาหวานเป็นเบาหวานรองลงมา

ส่วนกลุ่มที่ปรับชีวิตเป็นเบาหวานน้อยที่สุด

 น้อยกว่ากลุ่มแรกเกินสองเท่าตัว

ผมศึกษางานวิจัยถึงการปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือด

และลดการเป็นโรค

เริ่มต้นผมก็มาสะดุดที่งานวิจัยขนาดใหญ่ของฮาร์วาร์ด

อันนี้ ในงานวิจัยนี้ ฮาร์วาร์ดตามดูคนแปดหมื่นกว่าคน

นาน 12 ปี เพื่อจะดูว่าการกินไขมันแบบไหน

ทำให้ป่วยและตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุด

 โดยใช้แคลอรี่ที่เท่ากันเป็นตัวเทียบ

และเอาแคลอรี่จากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นเกณฑ์มาตรฐาน

พูดง่ายๆว่าเป็นงานวิจัยเทียบระดับความชั่วร้าย

ของไขมันชนิดต่างๆ

ก่อนหน้านี้ผมมีความเข้าใจว่าน้ำมันหมู

น้ำมันวัว หรือที่เรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้น

 เป็นไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด แต่พอมาศึกษางานวิจัยนี้จึงรู้ว่า

เข้าใจชีวิตผิดไปแล้ว

ผลของงานวิจัยนี้ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดคือไขมันทรานส์

 ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตถึง 93%

ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูน้ำมันวัวที่ทำให้ป่วยและตาย

มากกว่าคาร์โบไฮเดรตสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

 คือสรุปว่าไขมันทรานส์นี้ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูหลายเท่า

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าไขมันทรานส์นี่มันอะไรกันวะ

 เมื่อศึกษาเพิ่มเติมจึงได้ทราบว่าไขมันทรานส์นี้

แต่ก่อนมันมีในอาหารของมนุษย์เราน้อยมาก

เพราะมันไม่มีอยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อยี่สิบปีก่อน

คนเราเกิดความกลัวน้ำมันหมูน้ำมันวัวแบบขี้ขึ้นสมอง

คนก็หันไปหาน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว

เช่นน้ำมันถั่วเหลือง แต่ว่าน้ำมันไม่อิ่มตัวนี้

มันเอามาทำอาหารอุตสาหกรรมไม่ได้

เพราะมันเหลวเละ อัดเป็นก้อนไม่ได้

ทำให้เป็นผงก็ไม่ได้ นักอุตสาหกรรมจึงเอาน้ำมันพืชมา

 แล้วใส่ไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้โมเลกุลของมันมีความเสถียร

 ทำเป็นก้อนได้ ทำเป็นผงได้

น้ำมันที่ได้จากการใส่ไฮโดรเจนนี้เรียกว่าไขมันทรานส์

มันทำมาจากน้ำมันถั่วเหลืองก็จริง

แต่มันกลายเป็นน้ำมันอีกอย่างไปแล้ว

คุณสมบัติมันเปลี่ยนไปแล้ว เ

หมือนคนเคยเป็นเสื้อเหลืองตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสื้อแดง

มันคนละเรื่องแล้ว

แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนวงการแพทย์ยังไม่รู้

เราก็เอาไขมันทรานส์มาทำอาหารอุตสาหกรรม

เช่นเนยเทียม ครีมเทียมใส่กาแฟ

และเอามาทำ เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ

เหล่านี้แหละคือไขมันทรานส์

ผมถึงบางอ้อเลย เพราะผมดื่มกาแฟ “ทรีอินวัน”

ใส่ครีมเทียมและน้ำตาลก้อนวันละหลายแก้ว

 มีคุ้กกี้ควบกับกาแฟเสมอ

แถมกลับบ้านโซ้ยเค้กซาราลีเป็นมื้อเย็นอีก

เรียกว่าผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไขมันทรานส์

ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดมาซะนานนะเนี่ย

อุตส่าห์เลิกแคบหมูของโปรดนึกว่าจะได้ดี..ที่ไหนได้

ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง คือ

ผมทบทวนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน

 จนผมสรุปข้อมูลได้แน่ชัดว่า

หากเรากินอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก

ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง น้ำตาล

หากคาร์โบไฮเดรตมันเหลือใช้

ร่างกายจะเปลี่ยนมันเป็นไขมันเก็บไว้

 และทำให้ระดับไขมันเลวในร่างกายเพิ่มขึ้น

 และเมื่อผมตามไปดูงานวิจัยที่มาของคาร์โบไฮเดรต

ในอาหารของคนอเมริกัน ก็พบว่า 35%

มาจากเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่นน้ำอัดลมต่างๆ

อ้าว..เอาอีกแล้วผม

เพราะผมดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า ผมรับมาเต็มๆอีกแล้ว

มาถึงจุดนี้ เห็นงานวิจัยพวกนี้

ผมสรุปได้แล้วว่าทางไปอยู่ที่ไหน

ทางไปคือต้องปรับชีวิตในสามประเด็น

คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด

ผมตัดสินใจเลย...ต้องเดินหน้าทดลองกับตัวเอง

ผมโยนยาที่หมอให้มาทิ้งหมด

 เอาแบบพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีเมืองจันทร์

เอาเรื่องอาหารก่อน เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นโค้กซีโร่

ปรากฏว่าไม่ได้ผล เพราะมันบ่แซ่บ

เมื่อลิ้นมันเรื่องมากผมจึงตัดบท

เปลี่ยนจากโค้กซีโร่มาเป็นน้ำเปล่าซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด

เพราะไหนๆมันก็จืดแล้วก็เอาให้จืดสุดๆไปเลย

ทีนี้ก็มาถึงเค้ก ผมติดเค้ก อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว

วิธีแก้ของผมง่ายมาก

คือผมออกกฎหมายห้ามนำเค้กเข้าบ้าน

 ลูกเมียพาลอดกินเค้กกันหมด ได้ผลปึ๊ดเลย

ก็เหลือเรื่องเดียว คือต้องทานผักผลไม้ให้มากขึ้น

ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA

คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง

หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน

 หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก

วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง

โอ้โฮ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ

เพราะทุกวันนี้แค่อาหารตามมื้อปกติยังจะไม่มีเวลาเคี้ยวเลย

แต่ก็พอดีช่วงนั้นมีเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูง

เข้ามาขายในบ้านเรา คือความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที

ขณะที่เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมาก

ก็แค่สามพันรอบต่อนาที ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้

ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆ

เช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็นของเหลวที่ดื่มได้เลย

 เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้ว

ให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีม

ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท

ก่อนหน้านั้นผมเองเคยได้อ่านหมออเมริกันคนหนึ่ง

เขียนถึงการรักษาคนสูงอายุที่ฟันไม่ดี

และเป็นโรคขาดวิตามินด้วยวิธีการปั่นผักและผลไม้

จนเหลวเป็นน้ำให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว

ผมจึงบอกภรรยาซื้อเครื่องปั่นแบบนี้มาลองดู

 ตื่นเช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้

ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้เป็นน้ำ

 แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยให้พอกระเดือกได้

แล้วใส่ขวดโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรไปดื่มที่ที่ทำงาน

ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง

พอบ่ายก็ทานสลัดที่ภรรยาทำใส่กล่องพลาสติกไปให้

 กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ

คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่ว

หรือนัทที่ภรรยาอบมาให้จากบ้าน เ

ป็นอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าว

หรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่นเลย

 มีมื้อเย็นมื้อเดียวที่ผมทานอาหารปกติกับลูกเมียที่บ้าน

 แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน

สองช้อนโต๊ะนะครับ ไม่ใช่สองทัพพี

ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะครับ สุขสบายกว่าเดิม

โดยเฉพาะมื้อกลางวันไม่ต้องออกไปทานข้างนอก

ต้องคอยรับไหว้เด็กๆตั้งแต่เดินไป นั่งกิน

แล้วเดินกลับ ไม่หนุกเลย

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย

 ปัญหาแรกก็คือเวลา เพราะเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน

 เย็นกลับมาก็สองสามทุ่ม ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลานอนแล้ว

 ตอนแรกผมใช้วิธีออกไปเดินเร็วๆในหมู่บ้าน

หมาเห่ากันเกรียวเพราะมันค่ำแล้ว

แล้วผมเนี่ยมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง

คือชอบทะเลาะกับหมามาตั้งแต่เด็ก

การออกไปวิ่งแต่ละครั้งแทนที่จะผ่อนคลาย

กลับกลายเป็นความเครียด จึงต้องเปลี่ยนใหม่

ซื้อเครื่องวิ่งสายพานมา มาตั้งไว้ในห้องทีวี

ใหม่ๆก็ขยันเดินขยันวิ่งด้วยความลำบาก

เพราะหากจะออกกำลังกายให้ได้ผลดี

อย่างที่งานวิจัยเขาบอกไว้

ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร

ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้และต้องต่อเนื่อง

ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที

 และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้

อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง

 ซึ่งพอลงมือทำแล้วมันไม่ง่ายเลย

พอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก

 แต่เวลาของเรามีน้อย เริ่มต้นก็ทำได้ถี่

แล้วก็ค่อยๆห่างไปๆ จนเครื่องเดินสายพาน

กลายเป็นเครื่องประดับรกห้องทีวี

ท้ายที่สุดทนดูมันไม่ได้ต้องย้ายไปไว้บนชั้นสาม

 เด็กคนใช้ชอบใจเพราะได้ที่ตากผ้าขี้ริ้ว

 ผมเปลี่ยนไปซื้อเครื่องโยก

แบบที่เรียกว่า elliptical มาแทน ก็ล้มเหลวอีก

 แล้วก็พยายามใหม่ แล้วก็ล้มเหลวอีก

แล้วก็พยายามใหม่อีก แบบว่า..

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น

เวลาผ่านไปหกเดือน ก็ยังออกกำลังกายไม่สำเร็จ

ในที่สุดผมต้องนั่งจับเข่าคุยกับตัวเองว่า

ถ้าผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ผมต้องทำมันก่อนสิ่งอื่นในแต่ละวัน

เพราะในวิชาการบริหาร หลักการบริหารเวลา

คือทำเรื่องสำคัญก่อน

ดังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาผมต้องออกกำลังกายก่อน

 ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย ยังไม่ต้องทำเรื่องอื่น

ในที่สุดสูตรนี้ก็เวอร์ค ผมตื่นมา ออกกำลังกายก่อน

 เริ่มตั้งแต่ในที่นอนเลย แล้วก็ไปต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน

 วิ่งบ้าง ดึงสายยืด ยกดัมเบล เอาจักรยานออกไปขี่บ้าง

 รำมวยจีนบ้าง แล้วในที่สุดก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง

หลังจากออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเดือนเดียว

 ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พุงยุบจนเปลี่ยนกางเกงตามไม่ทัน

 น้ำหนักลดลง มองโลกในแง่ดีมากขึ้น

 และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น

 พอผ่านไปได้หกเดือน ครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี

ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด

ไขมันในเลือด และน้ำหนัก มันเหลือเชื่อจริงๆ

การเปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมเลิกยาวันละกำมือได้

 นี่ขนาดผมยังไม่ได้เริ่มทำอย่างที่สามจริงจังเลยนะ

คือการจัดการความเครียด ผมยังไม่ได้เริ่มจริงจังเลย

ณ จุดนั้นผมมานั่งคิดใคร่ครวญดู

ตัวเราหรือก็อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว

จะผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปได้อีกอย่างมาก

ก็สองสามร้อยคนแล้วก็เกษียณ

ผ่าไปแล้วพวกเขาใช่ว่าจะหายจากโรค

อีกสิบปีถ้ายังไม่ตายก็จะพากันกลับมาให้ผ่าใหม่

แล้วเวลาในชีวิตของผมเองก็เหลืออยู่จำกัด

ยิ่งเวลาในชีวิตงวดลง

 เวลาก็ยิ่งดูจะมีค่ามากยิ่งขึ้นทุกที

ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำผ่าตัดอีกต่อไปอย่างนี้หรือ

 ทำไม่ผมไม่ทิ้งการผ่าตัดให้คนรุ่นหลังเขาทำกันไปละ

 ตัวผมเปลี่ยนไปทำอะไรที่ช่วยคนไข้ในวงกว้าง

ได้ถาวรกว่าการผ่าตัดหัวใจเสียไม่ดีกว่าหรือ

คิดได้แล้วผมก็ตัดสินใจเลย

คือลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล

เลิกผ่าตัดหัวใจ หันไปเรียนหนังสือใหม่

ไปฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว

 จะได้ทำงานป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพได้เต็มที่

อ่านหนังสือและทำวิจัยอยู่สองปี

ก็สอบเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว

หรือ Family Medicine ได้

ไปสอบกับหมอรุ่นเด็กๆตอนอายุห้าสิบปลายๆนะ

 ปูนนี้แล้วคนเราถ้าไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่ทำ

จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอทั่วไป ไม่ผ่าตัด

ไม่รักษาคนป่วยแล้ว แต่ให้คำแนะนำคนดีๆ

ที่ยังไม่ป่วยว่าต้องเปลี่ยนชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ป่วย 

จาก://visitdrsant.blogspot.com/2014/07/4.html

ขอบคุณที่มา fb. Oriental Medicine Centre







Create Date : 14 ตุลาคม 2557
Last Update : 14 ตุลาคม 2557 11:40:51 น.
Counter : 1394 Pageviews.

0 comment
### ที่มาของการตักบาตรเทโว ###






















วันที่ ๙ ตุลาคม  ๒๕๕๗...... วันเทโวโรหนะ

วันถัดจาก วันออกพรรษา ๑ วัน แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑

พุทธศาสนิกชนในประเทศไทย

นิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่

เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหนะ

เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ สำคัญในพุทธประวัติที่ กล่าวว่า

ในวันถัด วันออกพรรษา หนึ่งวัน

พระพุทธเจ้า ได้เสด็จลงจากเทวโลก

กลับจากการโปรด พระพุทธมารดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ในพรรษาที่ ๗ เพื่อลงมายังเมือง สังกัสสนคร

พร้อมกับทรงแสดง โลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลก ทั้งสามด้วย

หมายถึง วันทำบุญตักบาตร ในเทศกาลวันออกพรรษา

มีประวัติเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว

ได้เสด็จไปประกาศ พระศาสนาในแคว้นต่าง ๆ ทั่วชมพูทวีป

ตลอดจนไปทรงเทศนา โปรดพระพุทธบิดา

และพระประยูรญาติทั้งหลาย ให้บรรลุมรรคผล

ตามสมควรแก่อุปนิสัยของแต่ละคน

แล้วพระองค์ได้ทรงรำลึกถึง พระนางสิริมหามายา

ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไป ตั้งแต่พระองค์ประสูติได้ ๗ วัน

ทรงดำริที่จะสนองคุณ พระพุทธมารดา

ดังนั้น จึงได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

เทศนาพระอภิธรรมปิฏก โปรดพระพุทธมารดาอยู่หนึ่งพรรษา

พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑

เป็นวันคล้ายวันที่ พระพุทธเจ้า

เสด็จจากเทวโลกมาสู่เมืองมนุษย์ เพื่อโปรดสัตว์

ชาวบ้านทั่วไปเรียกวันนี้ว่า "วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก"

 หมายถึง เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ทรงเปิดโอกาส

ให้โลกทั้ง ๓ สามารถมองเห็น ซึ่งกันและกันได้

ประกอบด้วย สวรรคโลก มนุษยโลก และนรกโลก

เป็นวันแห่งอิสระ เสรีภาพ ของเหล่านางฟ้า

เทพบุตร เทพธิดาในแดนสวรรค์

ตลอดจนเหล่าภูติ ผี ปีศาจ เปรต และอสุรกาย

 ทุกรูปทุกนามในแดนนรกภูมิ

สามารถ จะไปไหนมาไหนก็ได้

เมื่อเหล่านางฟ้า เทพบุตร เทพธิดา ทั้งหลาย

ได้ทราบข่าว อันเป็นมงคลยิ่งนี้

จึงได้รวมตัวกันประกอบพิธี "กวนข้าวมธุปายาส"

เป็นข้าวที่กวนผสมกับน้ำผึ้ง เรียกว่า ข้าวทิพย์

พิธีกวนข้าวทิพย์นี้ จะต้องกระทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑

เพื่อแจกจ่ายให้แก่ เหล่านางฟ้า เทพบุตร เทพธิดา

 ได้นำไปใส่บาตร ถวายสมเด็จพระสัมมาสัพพุทธเจ้า

ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จพระราชดำเนิน

ลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑

 เรียกวันสำคัญในวันออกพรรษาวันแรกนี้ว่า

"วันตักบาตรเทโวโรหณะ"

ชาวบ้านเรียกวันนี้ว่า "วันตักบาตรเทโว"

พุทธศาสนิกชน ต่างถือปฏิบัติด้วยการทำบุญตักบาตร

ถวายภัตตาหาร ดอกบัว ข้าวต้มโยน ข้าวสาร อาหารแห้ง

เป็นการทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล

 ให้แก่บิดา มารดา ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว

ตลอดจนอุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร

เพื่อได้รับส่วนบุญกุศล อันจะก่อให้เกิด

ความเป็นสิริมงคล แก่ตนเองและครอบครัว

 และทำสืบต่อมาเป็นประเพณี จนทุกวันนี้

และเรียกว่า "ตักบาตรเทโว"

ต่อมา เมื่อพระพุทธศาสนา ได้เผยแผ่มายังประเทศไทย

พุทธศาสนิกชน ได้อัญเชิญพระพุทธรูป ๑ องค์

นำหน้าแถวพระสงฆ์

ส่วนประชาชน ผู้มาใส่บาตรจะยืนหรือนั่ง ๒ แถว

 หันหน้าเข้าหากัน โดยเว้นระหว่างกลาง ไว้ให้พระสงฆ์เดิน

สาหรับของที่นำมาใส่บาตร อาจแตกต่างกันบ้าง

บางแห่งนิยม ทำข้าวต้มลูกโยน

ซึ่งทำจากข้าวเหนียว ห่อด้วยใบมะพร้าว ไว้หางยาว

เพื่อสะดวกในการโยนใส่บาตร

การตักบาตรเทโวนี้ บางวัดทำในวันออกพรรษา

 คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ บางวัดก็ทำในวันรุ่งขึ้น

 คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑

ทั้งนี้ แล้วแต่ความตกลงร่วมใจ ทั้งทางวัดและทางบ้าน

พิธีที่ทำนั้น ทางวัดอัญเชิญพระพุทธรูป

ประดิษฐานในบุษบก ซึ่งตั้ง อยู่บนล้อเลื่อน

หรือคานหาม มีบาตรขนาดใหญ่ ใบหนึ่งตั้งไว้

หน้าพระพุทธรูป มีคน ลากล้อเลื่อนไปช้า ๆ

 นำหน้าพระสงฆ์ สามเณร ซึ่งถือบาตร

เดินเรียงไป ตามลำดับ

 พุทธศาสนิกชนต่าง ก็นำข้าว อาหารหวานคาว

มาเรียงรายกันอยู่ เป็นแถวตามแนวทาง

ที่รถบุษบกเคลื่อนผ่าน คอยตักบาตร

อาหารที่นิยมตักในวันนั้น

นอกจากข้าวและอาหารคาวหวาน ธรรมดาแล้ว

ก็จะมีข้าวต้มลูกโยนด้วย

ซึ่งบางท่านสันนิษฐานว่า

ในครั้งนั้นผู้คนรอใส่บาตร กันแออัดมาก เข้าไม่ถึงพระ

จึงใช้ข้าวก่อ หรือปั้นโยนลงบาตร

ประเพณีการตักบาตรเทโวนี้

เนื่องมาจากการเลื่อมใส ศรัทธาในพระพุทธศาสนา

เมื่อมีเหตุการณ์อะไร ปรากฏในตำนาน

ก็จะปรารภเหตุนั้นๆ เพื่อบำเพ็ญบุญกุศล

 เช่นการถวายทาน รักษาศีล ฟังธรรมเทศนา

 ทำทาน ตักบาตรเทโวจึงเป็นการทำบุญ

อย่างมโหฬารของพุทธศาสนิกชน นับแต่นั้นมา



ขอบคุณที่มา fb.Anna Jill









Create Date : 07 ตุลาคม 2557
Last Update : 7 ตุลาคม 2557 20:03:43 น.
Counter : 2156 Pageviews.

0 comment
### กินเจอย่างไรไม่ให้อ้วน ###













การกินเจในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากการกินเจในอดีต

โดยอาหารเจในปัจจุบันจะเน้นหนัก

อาหารเจที่มัน ๆ ทอด ๆ

 ใช้น้ำมันราดจนเยิ้ม และอาหารเจปรุงสำเร็จ

ที่ขายกันอยู่ในท้องตลาด มักจะใช้ หมี่กึง

ซึ่งเป็นแป้งทำเลียนแบบเนื้อสัตว์

ทำให้หลายคนมีข้อสงสัยว่า

กินเจแล้วดีต่อสุขภาพจริงหรือ?

จริง ๆ แล้ว หากเรากินเจอย่างถูกต้อง

 จะส่งผลดีต่อสุขภาพ

เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด

ใช้โปรตีนจากถั่ว และอาหารธรรมชาติชนิดต่าง ๆ แทน

จะช่วยให้กระเพาะอาหารได้พักจากภารกิจ

การย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่

นอกจากนี้ อาหารเจ ซึ่งเต็มไปด้วยผักผลไม้ ธัญพืช

และอาหารจากธรรมชาติ ล้วนให้คุณค่าสารอาหาร

ที่ต่างกันออกไป หากเรารู้จักเลือก

และผสมผสานวัตถุดิบในการประกอบอาหารให้เหมาะสม

 ก็จะทำให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย

และสมดุลมีคุณค่าทั้งเสริมสร้าง ส่งเสริม

 และซ่อมแซมสุขภาพกินเจอย่างไรไม่ให้เสียสุขภาพ

ระมัดระวังอาหารประเภทแป้งและไขมัน

 ควรเน้นผักผลไม้ให้มาก ๆ

เพราะถ้าเผลอรับประทานอาหารที่ปรุงสำเร็จ

 ซึ่งมักจะใช้ หมี่กึง รับรองความอ้วนมาเยือนแน่ ๆ

ควรเลือกอาหารที่ปรุงด้วยผัก เต้าหู้ และโปรตีนเกษตร

ไม่ควรรับประทานอาหารเจที่มีรสเค็มเกินไป

เพราะอาหารเจในปัจจุบันมีการนำเครื่องปรุงรส

เช่น ซอส เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เกลือ

ที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก

 ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้

อาหารเจส่วนใหญ่เป็นประเภทผัดและทอด

ซึ่งจะมีน้ำมันมาก ก็ไม่ควรรับประทานเยอะ

ไม่อย่างนั้นพอหมดช่วงกินเจ

รอบเอวจะเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 ควรเลือกรับประทานอาหารเจประเภทต้มหรือนึ่ง

จะดีกับสุขภาพมากกว่าอาหารทอด ๆ

ที่สำคัญอย่าลืมขยับกาย

เคลื่อนไหวให้เหงื่อออกทุกวัน

กินเจอย่างไรให้ได้คุณค่าอาหารครบถ้วน

 ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

ถั่ว เป็นหนึ่งในเมนูสำคัญ

ที่นำมาใช้ประกอบอาหารในช่วงกินเจ

เพื่อให้ได้โปรตีนมาทดแทนเนื้อสัตว์ที่ขาดหายไป

ซึ่งถั่วเหลืองเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีไม่แพ้เนื้อสัตว์

และไม่มีคอเลสเตอรอล

เห็ด ปัจจุบันเห็ดเป็นเมนูฮิตของทุกคนในครอบครัว

 เพราะนอกจากจะนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู

และมีรสชาติอร่อยถูก ปากแล้ว

เห็ดถือเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีไม่แพ้เนื้อสัตว์และถั่ว

แม้ปริมาณจะไม่มากเท่าเนื้อสัตว์

แต่เห็ดมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายต้องการครบถ้วน

 เมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น และที่สำคัญ

เห็ดยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งธาตุเหล็ก

และซีลีเนียมซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย

ซึ่งเห็ดที่นิยมนำมาปรุงอาหาร เช่น เห็ดออรินจิ เห็ดหอม

 เห็ดเข็มทอง เห็ดโคน เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู

และสารพัดเห็ดต่าง ๆ

ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น

 โดยเมนูเห็ดยอดนิยม ได้แก่ ยำเห็ดญี่ปุ่น

เต้าหู้ตุ๋นเห็ดหอม สเต๊กเต้าหู้ราดซอสเห็ดเจ

หรือ สปาเกตตีซอสเห็ด เป็นต้น

นอกจากเห็ดที่นำมาปรุงอาหารแล้ว

ยังมีเห็ดบางชนิดที่ไม่ได้มีเพียงคุณค่าทางโภชนาการ

แต่ยังมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคและเสริมภูมิคุ้มกัน

 ได้แก่ เห็ดทางการแพทย์

 หรือ Medicinal Mushrooms

ที่สามารถนำมาใช้เป็นสารแอนติออกซิแดนต์

 ป้องกันเซลล์ต่าง ๆ ไม่ให้ถูกทำลายหรือเสื่อมง่าย

 นอกจากนี้ยังมีสารบางตัวที่เพิ่มภูมิต้านทาน

ของร่างกายซึ่งปัจจุบัน  จึงถูกนำมาสกัด

เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปเห็ดสกัดเข้มข้น

เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หรือแปรรูปเห็ดแห้ง

มาบริโภคในรูปชาหรือซุป หรือในรูปแคปซูล

เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้รักสุขภาพ

 สามารถเลือกนำมาบริโภคได้สะดวก

 และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

ในช่วงถือศีลกินเจ เช่น เห็ดไมตาเกะ

 เห็ดยามาบูชิตาเกะ (เห็ดปุยฝ้าย)

 เห็ดมาเน็นตาเกะ เห็ดเรอิชิ (เห็ดหลินจือ)

และเห็ดชิตาเกะ (เห็ดหอมญี่ปุ่น) เป็นต้น

ผักนานาชนิด

เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ใ
นการกินเจ

แต่ถ้าจะกินให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรกินเป็นผักสด

 หรือลวก มากกว่านำมาผัดที่ใช้น้ำมันราดจนสุก

แครอท ช่วยลดคอเลสเตอรอลส่วนเกิน

ลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ สีดำ-น้ำเงิน-ม่วง

 จากถั่วดำ เผือก มะเขือม่วง ช่วยในการบำรุงไต

 สีเหลือง จากฟักทอง ถั่วเหลือง มะม่วงสุก ข้าวโพด

 มีประโยชน์ในการบำรุงม้าม สีเขียว เช่น ผักคะน้า

ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงตับ

และ สีขาว จากลูกเดือย ผักกาดขาว ช่วยในการบำรุงปอด

 ควรกินสลับกันไปในแต่ละวัน

เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน

 และต้องงดเว้น กระเทียม หัวหอม กุยช่าย

หรือผักที่มีกลิ่นฉุน

ธัญพืชไม่ขัดสีและผลไม้

มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย

 เช่น วิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ

สารพฤกษเคมี สารเฟลโวนอยด์และใยอาหาร

 ซึ่งผู้กินเจควรเลือกกินผลไม้ให้หลากหลาย

เช่น ส้ม กล้วย แอปเปิ้ล ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้สดชื่น

 และเส้นใยอาหารจากผลไม้ ช่วยให้ระบบย่อย

และการขับถ่ายเป็นปกติ

ซึ่งผลไม้ที่สารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด
ได้แก่ พรุน

นอกจากนี้มีใยอาหารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

และมะเร็งเต้านม ที่มีทั้งใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล

และระดับน้ำตาลได้ดี ป้องกันท้องผูก

ส่วนบิลเบอรี่ช่วยบำรุงสายตา

ป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตา เป็นต้น

เทศกาลถือศีลกินเจ ถือเป็นช่วงเวลาดี ๆ

ที่ทุกคนจะได้มีโอกาสทำบุญ ชำระจิตใจให้สะอาด

 ฉะนั้น อย่าให้ช่วงเวลาดี ๆ นี้ ทำให้คุณเสียสุขภาพ

 เลือกรับประทานอาหารเจ

ที่ได้จากอาหารจากธรรมชาติต่าง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นธัญพืช ผัก ผลไม้ และเห็ดต่าง ๆ

ที่มีส่วนช่วยในการล้างพิษในร่างกาย

และเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ก็จะช่วยให้คุณอิ่มบุญ

และอร่อยกับเมนูอาหารเจได้อย่างไม่เสียสุขภาพ

ขอบคุณข้อมูลจาก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชนิดา ปโชติการ

นายกสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย

#‎RamaChannel‬







Create Date : 23 กันยายน 2557
Last Update : 23 กันยายน 2557 14:50:24 น.
Counter : 935 Pageviews.

0 comment
### น้ำส้มสายชูทำอะไรได้บ้าง... รู้แล้วจะอึ้ง ###















" น้ำส้มสายชู " เพียงขวดเดียวในครัวของบ้านคุณน่ะ

 ทำอะไรได้บ้าง
....................

{ รู้แล้วไม่ต้องอึ้งนะ แต่ให้บอกต่อๆกันไป }

1. ยามไปเที่ยวทะเล เจอแมงกะพรุนไฟเข้า

ราดน้ำส้มตรงบริเวณที่ถูกแมงกะพรุนทันที

จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ทันใจ

2. ผิวที่เจอแดดจัดๆจนเป็นรอยเกรียม

ลูบด้วยน้ำส้มสายชู ผิวที่ไหม้จะไม่พองให้ปวดแสบ

3. ใช้น้ำส้มสายชูดองเปรี้ยวผักต่างๆ เ

ช่น ต้นหอม ผักเสี้ยน กระเทียม ขิง จะถนอมอาหาร

4. รองเท้าหนัง รองเท้ายาง หรือสารสังเคราะห์ใดๆ ก็ตาม

หากเปื้อนน้ำมันให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูแล้วจะหมดรอย

5. กระจกบานเกล็ดสกปรก ล้างด้วยน้ำส้มสายชู

ผสมน้ำสะอาดรับรองเงางาม สะอาด ใส

6. หม้ออะลูมิเนียมเป็นคราบดำ

น้ำส้มสายชูละลายขี้เถ้าใต้เตาถ่าน ขัดถูสะอาดเอี่ยม

7. ภาชนะทองแดง ทองเหลือง

ขัดด้วยน้ำส้มผสมเกลือในอัตราส่วนเท่ากัน

ใช้ผ้านุ่มจุ่มพอหมาดเช็ดถูจะแวววาวขึ้น

8. ของใช้พลาสติก ตลอดจนภาชนะอื่นๆในครัว

เปื้อนไขมันมากจนเป็นรอยดำ

ให้แช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชู

รอยเปื้อนจะหายไปพร้อมกับกลิ่นอาหาร

9. ปัญหาของเตาอบ ถาดอบ เครื่องครัวแสตนเลส

และพื้นครัว เป็นคราบสกปรกล้างยาก

ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดถู คราบฝังแน่น

กับเศษอาหารตามพื้นจะหลุดง่าย ไม่เปลืองแรงขัด

10. เฟอร์นิจอร์ ฝาผนังบ้านด่างดำ

 มีคราบนิ้วมือของสมาชิกตัวเล็ก

ใช้ผ้านุ่มชุบน้ำส้มสายชูร้อนๆ เช็ดปุ๊ปหายปั๊ป

11. อ่างล้างมือ อ่างอาบน้ำ ราวโครเมียมสกปรก

เป็นสนิม น้ำส้มสายชูกับน้ำสบู่ เช็ดถู

 ทุกอย่างเงางามสะอาดตา

12. รอยเปื้อนเสื้อผ้าบริเวณรักแร้ที่เป็นคราบเหลือง

ใช้น้ำส้มสายชูทาตรงรอยเปื้อนให้ชุ่ม

 หากได้แช่เสื้อผ้าในน้ำส้มสายชูสักครู่ก่อนซักตามปกติ

กลิ่นเปรี้ยวและเหม็นอับจากเหงื่อจะหายไปพร้อมรอยเปื้อน

13. กลิ่นอาหาร กลิ่นผลไม้แรงๆอย่างทุเรียน

ที่ติดตามภาชนะพลาสติกนั้น

ให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูตามด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้ง

14. ท่อระบายน้ำภายในอาคารบ้านเรือนที่มักสกปรกเร็ว

ตามด้วยกลิ่นเหม็นรุนแรงรบกวนความสุข

 ให้เทผงฟูลงท่อน้ำร่องไปก่อน 1 กำมือ

สักครู่ตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วย

ทิ้งไว้สักพัก ลองเปิดน้ำระบายดูอีกที

15. เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อวัว เนื้อควาย

 ถ้าแช่น้ำเกลือผสมน้ำส้มสายชูก่อนเก็บเข้าตู้เย็น

 กลิ่นคาวจะไม่ออกมารบกวนอาหารอื่นๆด้วย

16. ฝักบัวในห้องน้ำเกิดอุดตันใช้ไม่สะดวก

 น้ำที่ไหลกะปริดกะปรอย ลองถอดชิ้นส่วนออกมา

แช่น้ำส้มสายชูปัดเศษฝุ่นด้วยแปรง

แทงตามรูด้วยเข็มหมุด ล้างให้สะอาดประกอบเข้าที่เดิม

คราวนี้ฝักบัวไหลฉลุยแน่นอน

17. ขวด แจกัน คนโทที่ปากแคบคอดเล็ก

 ทำความสะอาดยาก กรอกน้ำส้มสายชู

ผสมเปลือกไข่ทุบพอละเอียด แช่ไว้ แล้วเขย่าๆ

 เศษคราบสกปรกจะหลุดโดยง่าย

18. หม้อและกาต้มน้ำชากาแฟทั้งหลาย

ใช้ไปนานๆ มักมีตะกรันหินปูนจับหนา

ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำอย่างละถ้วย เทลงในภาชนะ

ต้มให้เดือด แล้วทิ้งให้เย็นค้างๆไว้ 1 คืน

ตะกรันจะหลุดเป็นกระบิทีเดียว

19. สุภาพสตรีที่ต้องการม้วนผม เซ็ทผมให้อยู่ตัว

หรือหยิกทนนาน โกรกผมด้วยน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง

 เมื่อสระและเซ็ทตามปกติ ผมจะหยิกเป็นลอนสลวย

ทนนานสะใจหลายวัน

20. ไข่สดและใหม่มากเกินไป เวลาทำไข่ต้ม

มักมีปัญหาปอกเปลือกยาก ไข่เป็นรอยขรุขระ

 ไม่น่ารับประทาน ลองเติมน้ำส้มสายชูครึ่งช้อนชา

ลงในน้ำต้มไข่ ไข่ขาวจะไม่ติดเปลือก ปอกง่ายขึ้นกว่าเดิม

21. ต้มแปรงสีฟันขนแข็งๆ ในน้ำส้มสายชู

ขนจะนุ่มไม่ทิ่มเหงือกให้เจ็บปากอีก

22. ปัญหาหินปูนจับตามเครื่องซักผ้า เครื่องล้างชาม

 แก้ด้วยน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย เทใส่เครื่องพร้อมปิดฝา

 เปิดเครื่องให้ทำงานตามปกติจะเห็นเครื่องสะอาดทันตา

หรือ วิธีรักษาเครื่องซักผ้า ให้ใช้น้ำอุ่นพอประมาณ

ผสมน้ำส้มสายชูสักครึ่งลิตรใส่ลงไปในเครื่องซักผ้า

เปิดสวิตซ์ทำงานปกติ น้ำส้มสายชูจะช่วยไล่คราบฝุ่น

ออกจากตัวเครื่อง และป้องกันการอุดตันได้ด้วย

23. อยากรับประทานผัดไทย หอยทอด ขนมจีน

กับถั่วงอก อวบอ้วน ขาว กรอบละก็

แช่ถั่วงอกลงในน้ำผสมน้ำส้มสายชูไว้สักครู่

24. ดอกกุหลาบช่อใหญ่ อยากให้สดอยู่นานๆ

น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 5 กรัม

ผสมน้ำสะอาด 5 ถ้วย ให้ฉีดพ่นกุหลาบทั้งช่อ

25. แก้ปัญหาก้นหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ใช้ไปนานๆ

เกิดคราบดำผสมคราบไคลน้ำข้าวจับหนาเตอะ

อย่าใช้ฝอยขัดหม้อขัด ให้ใช้น้ำส้มสายชูครึ่งส่วน

ผสมน้ำ 1 ส่วน เติมลงหม้อ เสียบปลั๊ก รอจนเดือดปุดๆ

 จึงถอดปลั๊ก เทน้ำทิ้ง ล้างด้วยฟองน้ำจะออกง่าย

26. หยดน้ำส้มสายชูลงบนแว่นตา เช็ดด้วยผ้านุ่ม

 รอยขีดข่วนจะหายไป พร้อมคราบเหงื่อไคล

27. เสื้อผ้าสีขาวสะอาด เมื่อใช้ไปนานๆ มักกลายเป็นสีขาวขุ่น

 เพียงผสมน้ำส้มสายชูขณะซัก จะทำให้ผ้าขาวสะอาดยิ่งขึ้น

28. ลองใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดชำระล้างผม

ในน้ำครั้งสุดท้าย จะพบว่าช่วยล้างแชมพูได้สะอาดหมดจด

เส้นผมเป็นเงางาม มีน้ำหนัก ปราศจากรังแคด้วย

29. แก้ปัญหาสีน้ำแห้งแข็ง ใช้น้ำส้มสายชูผสมทิ้งเอาไว้ 

สีน้ำที่แห้งแข็งก็จะอ่อนเหลว นำมาใช้ได้ใหม่อีกครั้ง

30. แก้ปัญหากะทะใหม่ ที่มักประสบปัญหา

ทอดอาหารแล้วติดกะทะ ก่อนนำกะทะมาใช้

ให้เทน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำเท่าๆ กันลงในกะทะ

และนำไปตั้งไฟรอจนเดือด แล้วเทน้ำส้มสายชูทิ้ง

ใช้น้ำสะอาดล้างอีกที จากนั้นก็ใช้งานตามปกติ

31. ย่างปลาไม่ให้ติดตะแกรง

 นำน้ำส้มสายชูมาทาให้ทั่วตะแกรงก่อนย่างปลา

เวลาปลาสุกจะไม่ติด และทำความสะอาดตะแกรงง่าย

32. ขจัดคาวปลาหมึก ใช้น้ำส้มสายชูแกว่งกับน้ำ

นำปลาหมึกมาแช่ไว้ 5-10 นาที กลิ่นคาวปลาหมึกจะหมดไป

33. ก่อนจะลอกหนังปลาหมึกให้แช่ปลาหมึก

ในน้ำส้มสายชูสักครู่ จะลอกหนังง่ายขึ้น

34. ป้องกันไม่ให้หัวปลีดำ

ต้องแช่หัวปลีลงในน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 15 นาที

แล้วล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง

35. หุงข้าวสวยให้เป็นปุย ใส่น้ำมะนาว หรือ น้ำส้มสายชู

ลงในหม้อข้าวขณะหุง เมื่อข้าวสุกจะไม่เหนียวติดกัน

36. ทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมัน

เติมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำมันเล็กน้อย

37. ขจัดรอยจีบกระโปรง ใช้ฟองน้ำชุบน้ำส้มสายชู

ทาตรงรอยจีบให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าบางๆ ทาบ

รีดด้วยเตารีดอุ่นๆ รอยจีบกระโปรง

หรือรอยเลาะตรงขากางเกงจะเรียบหายไปตามต้องการ

38. วิธีกำจัดมดในครัว ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดตรงทางเดินมด

 มดจะไม่เดินมาบริเวณที่เราเช็ดด้วยน้ำส้มสายชูไว้

39. ลวกลูกชิ้นปลาที่เก่าและเหม็นคาวให้อร่อย

 ลูกชิ้นปลาที่แช่ตู้เย็นไว้นานๆแล้วมีกลิ่นเหม็นคาว

ให้ล้างด้วยน้ำผสมกับน้ำส้มสายชู

จากนั้นจึงลวกลูกชิ้น แล้วค่อยนำไปประกอบอาหาร

40. รอยเปื้อนกาวบนเสื้อผ้า ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดที่รอยเปื้อน

นำมาแช่ในน้ำเย็น แล้วซักตามปกติ

41. ใช้น้ำส้มสายชูผสมต้นโทงเทงสด

หรือผักคราดหัวแหวนสดๆ คั้นเอาน้ำชุบสำลีอมไว้ข้างแก้ม

 ค่อยๆกลืนทีละนิด แก้ฝีในคอ

 หรือต่อมทอนซิลอักเสบได้ชะงักนักแล

42. แช่ผักชีสักก้านในน้ำส้มสายชู

ดูว่าใบยังคงเขียวไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล

เพื่อทดสอบว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้

Cr.Ekanan Hassawai

ขอบคุณที่มา fb. Karinya Tig








Create Date : 15 กันยายน 2557
Last Update : 15 กันยายน 2557 14:45:56 น.
Counter : 2544 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ