Group Blog
All Blog
### วัน Halloween , Trick or treat ###






Halloween ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี
มารู้จักความหมาย ของวันนี้กันค่ะ
ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ
เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eves
ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภช นักบุญทั้งหลาย
 โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween
คำว่า Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์
ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen
ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify
คำว่า Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่าๆ
เช่น Hallowed be thy Name แปลว่าขอพระนามจงเป็นที่สักการะ



คำว่า Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ
ดังนั้น All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas
ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์ หรือคริสต์มาสนั่นเอง



วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Christmas Eve
ที่นิยมเรียกว่า คืนก่อน คริสต์มาส
วันก่อนวันสมโภชนักบุญ ทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve
ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween
โดยมีงานรื่นเริง และพิธีกรรมทางศาสนา เช่นเดียวกับคืนคริสต์มาส
ชาวคาทอลิกพร้อมใจกัน เลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไป
หลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
และเรียกว่า วัน All Souls Day เพื่อให้คู่กับวัน All Saints Day



วัน Halloween ของทุกปี จะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม
 เชื่อว่ามีที่มาจาก วันฉลองปีใหม่ของชาว Celt ในวันที่ 1 พฤศจิกา
ที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตาย
ทั้งนี้ ในวันที่ 31 ตุลา ชาว Celt ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่ง ในไอร์แลนด์
ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุด ของฤดูร้อน และวันต่อมา
คือ วันที่ 1 พฤศจิกาเป็นวันขึ้นปีใหม่



วันที่ 31 ตุลา นี่เองที่ ชาวCelt เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย
และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
และวิญญาณของ ผู้ที่เสียชีวิต ในปีที่ผ่านมา
จะเที่ยวหาร่างของ คนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้น อีกครั้งหนึ่ง
เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวCelt จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น
และไม่เป็นที่พึงปรารถนา ของบรรดาผีร้าย และยังพยายามแต่งกาย
ให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย
และส่งเสียงดัง เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป



นอกจากนี้ ยังเป็นคืนเฉลิมฉลอง การสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว
และอาจมีการนำสัตว์ หรือพืชผล มาบูชายัญให้กับเหล่าภูติผี
และวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟ ทุกดวงจะถูกดับ
และจุดขึ้นใหม่ด้วย ไฟศักดิ์สิทธิ์ของ ชาวCelt



บางตำนานยังเล่า ถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง"
เป็นการเชือดคนให้ผีกลัวอีกต่างหาก
แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล
ที่ความคิดเรื่องผีสาง ยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์
ต่อมาในศตวรรษแรก แห่งคริสตกาล
ชาวโรมันรับประเพณี Halloween มาจากชาวเคลต์
แต่ได้ตัดการเผาร่างคน ที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน



ในสมัยต่อชาวโรมันคาทอลิก ต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลอง
 ของกลุ่มชนนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้
สันตะปาปา Gregory ที่ 4 จึงได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกา
ให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day หรือ All Hallows Day
สำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญ และผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว
แต่การเฉลิมฉลอง ในคืนวันที่ 31 ตุลา
หรือ Hallow´s Eve ก็ยังคงอยู่ มาจนถึงปัจจุบัน
แต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween



กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสู่ร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ
ฮาโลวีนจึงกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด
สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป



เดิมเทศกาลHalloween จัดขึ้นในประเทศอังกฤษ
ไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และประเทศข้างเคียงเท่านั้น
แต่เมื่อชาวไอริช และชาวสกอต อพยพไปตั้งหลักแหล่ง
ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ 1840
ก็นำเอาประเพณีนี้ ไปปฏิบัติด้วย
ปรากฏว่าถูกใจ ชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติ
จึงปฏิบัติตามกัน อย่างจริงจังตลอดมา
และตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา
 ก็กลายเป็น เทศกาลประจำชาติ มาจนทุกวันนี้




"Trick or treat!" คำฮิตติดหูประจำเทศกาลHalloween
หลายคนรู้ว่า สัญลักษณ์ประจำHalloween
ต้องมีปาร์ตี้แต่งกายชุดภูตผีปีศาจ และต้องมีฟักทองเจาะหน้าตาแปลกๆ ในประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจ
พากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง
เรียกว่า การเล่น Trick or Treat
คือการเดินเคาะประตูขอขนมตามบ้าน



เคล็ดอีกอย่างหนึ่งของ เทศกาล นอกจากเคาะประตู ขอขนม
ตามบ้านต่างๆ แล้ว ยังมีการนำ แอปเปิ้ล กับเหรียญชนิดหกเพ็นซ์
ใส่ลงในอ่างน้ำ หากใครสามารถแยกแยะของสองอย่างนี้
ออกจากกันได้ ด้วยการใช้ปากคาบเหรียญขึ้นมา
และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ล ให้ติดเพียงครั้งเดียวถือว่า
ผู้นั้นจะโชคดีตลอดปีใหม่ ที่กำลังมาถึง



ทางด้านสาวอังกฤษสมัยก่อน จะออกไปหว่านและไถ
กลบเมล็ดป่านชนิดหนึ่งในยามเที่ยงคืน ของวันHalloween
พร้อมกับเสี่ยงสัตย์อธิษฐาน ด้วยการท่องคาถาว่า
"เจ้าเมล็ดป่านที่ข้าหว่าน จงช่วยบันดาลให้
ผู้ที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของข้า ปรากฎตัวให้เห็น"
หลังจากนั้นลองเหลียวมอง
ผ่านบ่าด้านซ้ายของตนเองดู ก็จะได้เห็นนิมิตเรือนร่าง
ของ ผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคต



สำหรับประเพณี Trick or Treat นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9
โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พฤศจิกา เป็นวัน "All Souls"
พวกเขาจะเดินร้องขอ soul cake จากหมู่บ้านหนึ่ง
ไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร
วิญญาณของญาติผู้บริจาค ก็ได้รับผลบุญ
ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น



ประเพณี Trick or Treat ในสหรัฐอเมริกา
คือ การละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย
ตามบ้านเรือนจะตกแต่ง ด้วยโคมไฟฟักทอง และตุ๊กตาหุ่นฟาง
ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Harvest
ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวาน
ที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพด สีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน
เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆ ไว้เตรียมคอยท่า



เด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซี เป็นภูติผีมาเคาะ ตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ เพราะมีความหมายโดยนัยว่า
ต้อนรับ พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?"
เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้
มอบขนมหวานให้ภูตผี หล่านั้น ราวกับว่า ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
 หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด
ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตา หลอกหลอน
ไปจนถึงขั้น ทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ
แล้วอาจจบลง ด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด



ในสมัยโบราณ เด็กๆ ไม่ได้ขนม จะแกล้งเจ้าของบ้าน
เช่น ใส่ไข่ดิบในตู้จดหมาย
คนส่วนใหญ่จึงมีขนมและลูกกวาด เตรียมไว้เพื่อจะไม่ต้องโดนแกล้ง



ที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาล เลย คือ การประดับประดาแสงไฟ
และการแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ
เจาะทำตาจมูก และปากที่แสยะยิ้ม เรียกว่า jack-o'-lantern



ตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้าน ของชาวไอริช
กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกล จอมขี้เมา
วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้
และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้
จากนั้น ได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ
"ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก" แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลง
จากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์
เพราะเขามีความคิดไป ในทางของความชั่วร้าย
ขณะเดียวกัน ปฏิเสธที่จะลงนรก เพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจไว้ ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อให้เขาใช้นำทางไป
ในทางที่มืดมิด และหนาวเย็นและแจ็คได้นำถ่านนี้
ใส่ ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพ ที่ถูกเจาะให้กลวง
เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น



ชาวไอริชจึงแกะสลัก หัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน
 อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน
เพื่อระลึกถึง "การหยุดยั้งความชั่ว" Trick or Treat
 เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนา
 เพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลอง Halloween ในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่าฟักทอง หาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก
 จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน










ข้อเขียนทั้งหมดนี้เป็นของ คุณ Siriwanna Jill จาก fb 
 เราอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ควรรู้ไว้
ดีกว่าหลับหูหลับตาเล่นกันไปสนุกๆ จึงนำมาเสนอให้อ่านเพื่อความรู้ 
  ถึงที่มาที่ไปของวัน Halloween กัน
และขอขอบคุณเจ้าของบทความทั้งหมดนี้ มา ณ. ที่นี้ด้วย ขอบคุณค่ะ



Create Date : 31 ตุลาคม 2556
Last Update : 3 สิงหาคม 2557 15:26:34 น.
Counter : 2043 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ