คนที่ยังไม่ได้อ่าน เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก
...เรื่องราวที่ผมจะพูดในวันนี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดิมที่เคยพูดไว้
แต่ที่ต้องพูดเพราะรายละเอียดเรื่องนี้เป็นเรื่องสำ...คัญ
ที่ท่านคงไม่ทราบมาก่อน และคงไม่มีหน่วยงานไหนกล้า
ที่จะมาบอกท่าน เพราะอะไรคงต้องไปคิดกันเอาเอง
ความจริงชนวนเรื่องนี้นั้น เกิดจากการที่ผมค้างคาใจ
จากที่ได้ไปคุยกับผู้บริหารเขตภาษีเจริญท่านหนึ่ง
ที่ ม.ธรรมศาสตร์รังสิต ตอนนั้นไม่ได้คุยอะไรมาก
เพราะมีข้อมูลอยู่บ้างแล้ว แต่ที่ท่านคุยมานั้นมันเป็นรายละเอียด
กรรมวิธีการผลิตน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีทุกชนิด
ที่เราใช้รับประทานกันทุกวัน ผมฟังแล้วน่าตกใจ
ทำไมเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่มนุษย์พึงทำแก่กันได้อย่างเลือดเย็น
ทั้งส่วนของโรงงานผู้ผลิต ,หมอ,สาธารณสุข ,อย. ,กรมคุ้มครองผู้บริโภค
คนพวกนี้ไม่มีใครเลยหรือที่รู้ความจริงและไม่มาบอกพวกเรา
ในวันนั้นผม ได้ข้อมูลที่น่ากลัว จนผมเริ่มจำอะไรไม่หมด
คิดว่าจะกลับมาค้นหาอีก ก็พอสรุปก่อนว่า น้ำมันพืชที่เรากินใช้กันนั้น
ผ่านอุณภูมิใช้แล้ว 200 กว่าองศา และ 100 กว่าองศา
สองรอบทั้งหมด ผ่านกรด ผ่านสารเคมีที่อันตรายต่อสุขภาพ
ที่ไม่มีทางที่จะเอาออกได้ทั้งหมดจากกรรมวิธีการผลิต
ในระดับอนุภาคนาโน ที่เขาเรียกสร้างภาพให้ดูดีว่า
น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี
เมื่อมาถึงตรงนี้ ผมขอเริ่มนำ กรรมวิธีการผลิตน้ำมันพืช
มาให้ท่านได้รับทราบกันว่า
น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี มีกรรมวิธีอย่างไร
จริงไหมที่ กระบวนการเหล่านี้แหละคือเหตุผลของการทำให้คนไทย
ในปัจจุบัน 20-30 ปีมานี้ป่วยด้วยโรคไม่มีเชื้อโรค เช่น
โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับข้อกระดูกเสื่อม
อัมพฤกอัมพาต เส้นเลือดในสมองแตก ฯลฯ
....สมมุติว่าเป็นน้ำมันถั่วเหลือง การเก็บเกี่ยว
เริ่มจากการใช้ยาฆ่าหญ้าฉีดให้ใบร่วง เพื่อการเก็บเกี่ยวที่ง่าย
แต่บางอย่างปลอดภัยในขั้นตอนนี้ เมื่อได้ถั่วเหลืองหรือเม็ดพืชที่ต้องการ
นำมาผลิตเป็นน้ำมัน ก็จะนำเมล็ดพืชมาผ่านความร้อน
บดให้ละเอียด แล้วใช้น้ำมันเฮกเซน (จากปิโตเลี่ยม)
ละลายเอาน้ำมันพืชออกมาแล้วคั้นแยกเอากากออกไป
ก็จะได้น้ำมันพืชผสมเฮกเซนสีดำ และก็นำไปละเหยเอาเฮกเซน
ออกมาจากน้ำมันพืช (เพื่อนำเฮกเซนกลับมาใช้ใหม่)
แต่เชื่อไหมว่ามันยังตกค้างอยู่อีกไม่มีทางออกไปได้หมด
เมื่อได้น้ำมันพืชออกมาแล้ว ทำไง
ก็เอามาใส่กรด ฟอสฟอริก เพื่อกำจัดยางเหนียวๆ
ยังนี่แค่เพิ่งเริ่มต้น
เป็นกระบวนการสะสมสารเคมีในระดับอนุภาคชั้นที่สอง
หลังผ่านชั้นสอง ก็เอาด่างโซดาไฟ เพื่อกำจัดกรดไขมันอิสระบางตัวออก
จากนั้นเอาน้ำล้างออก เป็นไปได้ไหมที่น้ำจะล้างน้ำมันออกไปได้
(น้ำที่ใช้ล้างเอามาทำสบู่อีกที) หลังจากนั้นก็จะได้น้ำมันที่ผสมน้ำ
จึงต้องแยกด้วยเครื่องเหวี่ยงเหมือนการโม่ปูนแต่เร็วกว่า
เป็นการสลัดน้ำออก แต่ทำอย่างไรก็ไม่หมด ก็ต้องมาผ่านการต้มกลั่น
เพื่อไล่ความชื้น ที่อุณภูมิ 220-230 องศาเซลล์เซียส
ในสภาวะสุญญากาศเพื่อมิให้น้ำมันมีสีเหลืองคล้ำ
เพราะคงไม่มีใครอยากกิน
เป็นน้ำมันใช้แล้วครั้งที่ 1 ผ่านขั้นตอนนี้แล้ว
ก็มาผ่านการฟอกสี ต้มครั้งที่สอง ที่อุณภูมิ 175 225 องศาเซลเซียส
ฟอกสีด้วยอะไร ก็ฟอกด้วย ถ่านฟอกสี ให้น้ำมันขาวใส
แล้วเติมก๊าซไนโตรเจนลงไป เพื่อไม่ให้เหม็นหืน
แล้วเติมวิตามินอีสังเคราะห์ทดแทนวิตามินอีที่เสียไป
จากกระบวนการการผลิต จึงนำมาบรรจุขวดขายให้พวกเรากินใช้กัน
น้ำมันที่ผ่านความร้อนสูง หรือใช้แล้วไม่ควรนำมาใช้อีก
เพราะ ความร้อนจากการผลิตดังกล่าว
ได้เปลี่ยนโครงสร้างของกรดไขมันซิส(Cis Fatty Acid)
เป็นทรานส์ ( Trans Fatty Acid )ตัวร้าย ร้อยละ 3-6 เปอร์เซ็น
ทำลายสุขภาพก่อเกิดเป็นอนุมูลอิสระที่ เรียกว่าคาซิโนเจน
....ผมคงให้ข้อมูลท่านได้ประมาณนี้
ที่เหลือท่านตัดสินใจกันเอาเองว่าจะทำอย่างไรกับการกินอยู่ในปัจจุบัน
เราควรหันกลับมาทานอาหารพื้นบ้านให้มากขึ้นไหม
จากการใช้การ ต้ม ยำ แกงส้ม แกงเลียง ผักต้มผักสดจิ้มน้ำพริก
การปิ้ง ย่าง อะไรประมาณนี้อย่างที่รุ่นปู่ย่าตาทวดเราเคยเป็นกันมา
กรรมวิธีการผลิตน้ำมันพืช เป็นอย่างนั้นจริงหรือ ช่วยกันตรวจสอบ ?
ดูข้อมูลประกอบ ตามความคิดเห็นด้วยครับ....
ภาพประกอบเป็นเพียงรูปประกอบสื่อที่ไม่เกี่ยวข้องตัวสินค้าของบริษัทใดๆ
คำเตือน ช่วยกันก็อปข้อความไว้ก่อนโดนลบ
ปล.
น้ำมันที่คุณกินได้ ?
น้ำมันมะพร้าวทั้งบีบเย็น ร้อน
น้ำมันหมู
น้ำมันมะกอก บีบเย็น (บีบร้อนไม่รู้)
นอกนั้นเลิกกินอันตราย
.....ไม่ต้องถาม ไม่มีคำอธิบาย หาข้อมูลเองมีคำตอบหมดแล้ว
ควรตามโพสทุกวัน ทุกโพส เพราะบางเรื่องมันเกี่ยวข้องทั้งชีวิตของท่าน
ขอบคุณที่มา fb. น้าอ้วนบ้านเกษตรพอเพียงเพจ