Group Blog
All Blog
### วาระสุดท้ายของท่านพุทธทาสภิกขุ โดย...พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ###





วาระสุดท้ายของท่านพุทธทาสภิกขุ
พระธรรมโกศาจารย์ พุทธทาสภิกขุ
สวนโมกขพลาราม
เขียนเล่าเรื่อง พระไพศาล วิสาโล

ปี ๒๕๓๔ ท่านพุทธทาสภิกขุ
มีอาพาธหนักด้วยโรคหัวใจ
ตอนนั้นท่านอายุ ๘๕ ปีแล้ว
 ลูกศิษย์มีความเป็นห่วงท่านมาก
โรงพยาบาลศิริราช
ถึงกับส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ
มารักษาท่าน
 เมื่อนายแพทย์นิธิพัฒน์ เจียรกุล
ได้พบท่านเป็นครั้งแรก
อย่างแรกที่แปลกใจก็คือ
 "สีหน้าและท่าทางของท่านอาจารย์นั้น
ไม่ได้สัดส่วนกันกับอาการอาพาธที่เราตรวจพบ
" คือถ้าเป็นผู้ป่วยธรรมดา
และมีอายุมากขนาดนี้
จะต้องมีสีหน้าและท่าทางว่า
เจ็บป่วยอย่างชัดเจนกว่านี้
แต่ท่านอาจารย์กลับดูสงบ
ไม่มีอาการทุกข์ร้อน
เว้นแต่น้ำเสียงเท่านั้นที่อ่อนแรง
และสีหน้าที่อิดโรย....
"ผมยังไม่เคยเห็นการแสดงออก
ของผู้ป่วยแบบนี้มาก่อน"


เนื่องจากอาการของท่านหนักมาก
 แพทย์จึงขอให้ท่านเดินทางเข้ารับการรักษา
ที่โรงพยาบาล แต่ท่านปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า
“อาตมาอยากให้การอาพาธ
และการดูแลรักษานั้นเป็นไปแบบธรรมชาติ
 ธรรมดาๆ เหมือนกับการอาพาธ
ของพระสงฆ์ทั่วไปในสมัยพุทธกาล”
และ ...“ขอใช้แผ่นดินนี้เป็นโรงพยาบาล”


คณะแพทย์พยายามชี้แจงว่า
อาการของท่านนั้นหนัก
จนสามารถทำให้ท่านมรณภาพ
ได้ตลอดเวลาและอย่างทันทีทันใด
หากทำการรักษาอยู่ที่วัด
ซึ่งขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์
แต่ท่านฟังแล้วก็ยิ้มๆ หัวเราะ หึ หึ ไม่ว่าอะไร
แล้วสักครู่ก็กล่าวปฏิเสธ
 คณะแพทย์ไม่ละความพยายาม
 ต่อรองว่าหากท่านเข้าโรงพยาบาล
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน
จะไม่มีการใช้เทคโนโลยีที่เกินเลย
เช่นการเจาะคอหรือใส่สายระโยงระยางต่าง ๆ
แต่ท่านก็ยังปฏิเสธอย่างนิ่มนวลเช่นเคย
ด้วยการหัวเราะหึ หึ และพูดคำว่า
 “ขอร้อง ขอร้อง ขอร้อง”
“การรักษาตัวเองโดยธรรมชาติ
เป็นสิ่งที่เหมาะสม
อาตมาถือหลักนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ให้ธรรมชาติรักษา ให้ธรรมะรักษา
 ส่วนคุณหมอก็ช่วยผดุงชีวิต
ให้มันโมเมๆ ไปได้
อย่าให้ตายเสียก่อน
ขอให้แผ่นดินนี้เป็นโรงพยาบาล
 แล้วธรรมชาติก็จะรักษา
การเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้เอง
 ได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น
ไม่ควรจะมีอายุมากกว่าพระพุทธเจ้า
ธรรมชาติจะเป็นผู้รักษา
ทางการแพทย์หยูกยาต่าง ๆ
 ช่วยเพียงอย่าเพิ่งตาย”
ท่านยังกล่าวอีกว่า
“การเรียนรู้ชีวิตใกล้ตาย
 ทำให้มีปัญญาที่สมบูรณ์ขึ้น
เราจะศึกษาความเจ็บ ความตาย
 ความทุกข์ ให้มันชัดเจน
ไม่สบายทุกที ก็ฉลาดขึ้นทุกทีเหมือนกัน”
ในที่สุดคณะแพทย์ก็ยอม
ตามความต้องการของท่าน
 โดยให้การรักษาท่านที่สวนโมกข์
ในที่สุดท่านก็มีอาการดีขึ้น
และสามารถเผยแผ่ธรรมได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่ถึงสองปี
 วาระสุดท้ายของท่านก็มาถึง


เช้าวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๖
ท่านตื่นตามปกติ ประมาณ ๔.๐๐ น.
 จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง เตรียมงานเทศน์
ในวันเลิกอายุที่ ๒๗ พฤษภาคม
 แต่ทำไปได้เพียง ๑๐ นาที
 ท่านก็ล้มตัวลงนอน
และพูดกับพระอุปัฏฐากคือพระสิงห์ทองว่า
“ทอง วันนี้เรารู้สึกไม่สบาย”
หลังจากนั้นก็ฉันยาหอมแล้วก็นอนต่อ


ประมาณ ๖.๐๐ น.ท่านบอกพระสิงห์ทอง ว่า
“วันนี้ เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย
ไปตามท่านโพธิ์(เจ้าอาวาสสวนโมกข์)
มาพบที
เธอไม่ต้องไป ให้คนอื่นไปตาม
เพราะเราไม่สบาย”
เมื่อท่านอาจารย์โพธิ์มาถึง
ท่านพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า
“น่ากลัวอาการเดิม จะกลับมาเป็นอีกแล้ว
ไปโทรศัพท์ ตาม"ยูร
 (นพ. ประยูร คงวิเชียรวัฒนะ) มาพบที”


ตอนนั้นท่านรู้แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับท่าน
 จึงพูดกับพระเลขานุการคือพระพรเทพว่า
“เอากุญแจ (กุญแจตู้เอกสารหนังสือ)
ในกระเป๋านี้ไปด้วย
เราไม่อยากจะตาย คากุญแจ”
ตอนนั้นท่านพรเทพไม่คิดว่า
ท่านจะเป็นอะไรมาก จึงช่วยกันนวด
แล้ว ให้ท่านอาจารย์นอนพัก


ประมาณ ๘.๐๐ น.
 ท่านก็พูดกับพระสิงห์ทองว่า
“ทอง ทอง เราจะพูด ไม่ได้แล้ว
 ลิ้นมันแข็งไปหมดแล้ว”
ต่อจากนั้น ท่านพูดไม่ชัด
เมื่อพระอาจารย์โพธิ์มาพบท่าน
ท่านพยายามพูดกับอาจารย์โพธิ์
ประมาณ ๔-๕ ช่วง คล้ายจะสั่งเสีย
แต่ไม่มีใครฟังออก จับความไม่ได้
ไม่รู้เรื่อง เนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก
ทำให้สมองที่ควบคุมการพูดเสียไป


เมื่อพระแสดงปฏิกิริยาว่า
 รับรู้ไม่ได้ ท่านก็หยุดพูด
จากนั้น ท่านก็สาธยายธรรม
 ซึ่งพระองค์อื่น ก็ฟังไม่ออก
แต่ท่านอาจารย์โพธิ์ พอจับความในช่วงที่สั้นๆว่า
ยตฺถ เนว ปฐวี น อาโป น เตโช น วาโย,
ว่านี้คือ “นิพพานสูตร”
ท่านอาจารย์ ท่านสาธยาย
ทบทวนไป ทบทวนมา หลายครั้ง


หลังจากนั้นท่านก็ไม่รู้ตัว
 แพทย์จึงนำท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์
 และในที่สุดก็นำท่านไปที่โรงพยาบาลศิริราช
ทุกคนรู้ว่าการทำดังกล่าว
เป็นการขัดความประสงค์ของท่าน
แต่ก็จำยอมต้องทำ
เพื่อเชื่อว่าจะช่วยให้ท่านหายได้
แต่หลังจากใช้ความพยายามเต็มที่กว่า ๔๐ วัน
ก็ยอมรับความล้มเหลว
ในที่สุดจึงพาท่านกลับมายังสวนโมกข์
เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม
ไม่กี่นาทีที่ท่านถึงสวนโมกข์ ท่านก็หมดลม





วิธีทำไม่ให้ฉันตาย

แม้ฉันตาย กายลับ ไปหมดแล้ว
แต่เสียงสั่ง ยังแจ้ว แว่วหูสหาย
ว่าเคยพลอด กันอย่างไร ไม่เสื่อมคลาย
ก็เหมือนฉัน ไม่ตาย กายธรรมยัง

ทำกับฉัน อย่างกะฉัน นั้นไม่ตาย
ยังอยู่กับ ท่านทั้งหลาย อย่างหนหลัง
มีอะไร มาเขี่ยไค้ ให้กันฟัง
เหมือนฉันนั่ง ร่วมด้วย ช่วยชี้แจง

ทำกับฉัน อย่างกะฉัน ไม่ตายเถิด
ย่อมจะเกิด ผลสนอง หลายแขนง
ทุกวันนัด สนทนา อย่าเลิกแล้ง
ทำให้แจ้ง ที่สุดได้ เลิกตายกันฯ

พุทธทาสภิกขุ







Create Date : 12 กันยายน 2556
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2557 22:00:56 น.
Counter : 2315 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ