Group Blog |
มนตรา มนตรา "อาจารย์ครับ มีมนตราเพื่อให้เราสามารถได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารัก ในทางจิตÇÔญญาณหรือไม่ครับ โปรดถ่ายทอดให้ผมด้วยเถอะครับ" "มีสิศิษย์รัก เราจะถ่ายทอดมนตรา 4 ประการ สำหรับการอยู่กับคน ที่เธอรักให้แก่เธอ" ท่าน ติช นัท ฮันห์ พระเซนผู้เป็นคุรุทางจิตÇÔญญาณ นามกระเดื่องแห่งปัจจุบัน ตอบอย่างมีเมตตาแก่ศิษย์ผู้แสวงหาของท่าน... ...ยามที่เธอรักใคร เธอควรดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง เพื่อคน ที่เธอรัก เพราะ ของขวัญอันล้ำค่าสูงสุดที่คนเราสามารถกระทำให้ผู้อื่นได้ ก็คือปัจจุบันอันแท้จริงของเรา "ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" นี่คือมนตราที่เธอต้องเปล่งด้วยความมุ่งมั่นอย่าง เต็มเปี่ยม เมื่อเธอสามารถตั้งจิต ทำให้กายและใจของเธอรวมเป็นหนึ่ง เดียวได้ เธอจะสร้าง "ปัจจุบันที่แท้จริง" ของตัวเธอ และอะไรก็ตามที่ เธอกล่าวขณะนั้นก็คือมนตรา ดังนั้นมนตราจึงไม่จำเป็นต้องเป็นภาษา บาลี ภาษาสันสกฤต หรือภาษาธิเบตแต่อย่างใด เธอสามารถเปล่งมนตรา ด้วยภาษาของเธอเองได้ว่า "ที่รัก ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" และถ้าเธออยู่ในปัจจุบันอย่างแท้จริง มนตราบทนี้จะสร้างปาฏิหาริย์ เธอจะเป็นตัวเธออย่างแท้จริง และผู้อื่นที่จะเป็นสิ่งจริงแท้ รวมทั้ง "ชีวิต" ด้วย ชีวิตที่เป็นสิ่งจริงแท้ในปัจจุบันขณะนั้นย่อมนำความสุขที่แท้จริงมา ให้แก่ตัวเธอและผู้อื่นเสมอ "ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่นั่น และฉันมีความสุข" นี่คือมนตราข้อที่สอง เมื่อ เรามองไปที่ดวงจันทร์ เราหายใจเข้าและออก ยาวลึก และพูดกับดวงจันทร์ ว่า "จันทร์เจ้าเอ๋ย ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นั่น และข้ามีความสุขมาก" เราทำเช่น นี้กับดาวประกายพรึก กับดอกไม้ กับลำธาร กับภูเขา และกับสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายเลย การอยู่ในปัจจุบันอย่างแท้จริง และรู้ว่าผู้อื่นก็อยู่ที่นั่น ด้วยเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ยามที่เธอพินิจความงามของตะวันที่กำลัง ลับขอบฟ้า หากเธออยู่ที่นั่นอย่างแท้จริง เธอจะจดจำและซึมซาบใจอย่าง ลึกซึ้งมองไปที่ดวงตะวันรู้สึกมีความสุข เมื่อใดก็ตามที่เธออยู่ที่นั่นอย่าง แท้จริง เธอจะสามารถจดจำและซึมซาบในปัจจุบันกับสรรพสิ่ง กับดวง จันทร์ กับดวงดาว กับดอกไม้ และกับบุคคลอันเป็นที่รักที่สุดของเธอ เธอสามารถเริ่มฝึกปฏิบัติได้ด้วยการหายใจเข้าและออกให้ยาว ลึก เมื่อ เรียกตัวเธอให้ตื่นขึ้น เมื่อเธอนั่งอยู่ใกล้บุคคลซึ่งเธอรัก และตั้งมั่นตั้งจิต อย่างลึกซึ้ง เธอจงเปล่งมนตราข้อที่สองนี้ออกมา "ฉันรู้ว่า เธออยู่ที่นั่นและฉันมีความสุข" เธอมีความสุข และบุคคลที่เธอรักก็จะมีความสุขด้วยในขณะเดียว กัน ด้วยมนตราเหล่านี้ที่เธอนำมาฝึกในชีวิตประจำวันของเธอ ตัวเธอ จะกลายเป็น "นักรัก" อย่างแท้จริง มนตราข้อที่สาม คือ "ที่รัก ฉันรู้ว่าเธอมีความทุกข์ และนี่คือเหตุผล ที่ฉันอยู่เพื่อเธอ" เมื่อเธอดำรงอยู่ในสติ เธอจะสังเกตเห็นความทุกข์จาก คน•Õèเธอรักได้ ถ้าคนเรามีความทุกข์ และคนที่เรารักมิได้เหลียวแล ความทุกข์ของเรา เราจะมีความทุกข์มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแค่เธอฝึกที่จะ หายใจอย่างลึกซึ้ง แล้วเข้าไปนั่งอยู่กับคนที่เรารักและพูดว่า "ที่รัก ฉันรู้ว่าเธอเป็นทุกข์ และนี่ก็คือเหตุผลที่ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเธอ" แค่นี้ เธอก็จะสามารถช่วยบรรเทาความทุกข์อันมากมายของพวกเขา ได้แล้ว เพียงแค่เธอดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะกับพวกเขาที่นั่น ÊèǹÁ¹µÃÒ¢éÍ•ÕèÊÕè เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด เราจะปฏิบัติในขณะที่ ตัวเราเองมีความทุกข์ และเราเชื่อว่าคนที่เรารักเป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นเหตุ แห่งความทุกข์นั้นของเธอ มนตรานี้คือ "ที่รัก ฉันมีความทุกข์ โปรดช่วยฉันด้วย" แม้ว่ามนตราข้อนี้จะเป็น คำเพียงไม่กี่คำ แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับไม่สามารถเอ่ยคำเหล่านี้ได้ ด้วย อัตตา ทิฐิ ศักดิ์ศรีในใจของพวกเขา ถ้ามีใครคนอื่นได้พูดหรือทำใน สิ่งเดียวกันกับคนที่เธอรัก เธออาจจะไม่ทุกข์มาก แต่เพราะว่าเขาเป็น คนที่เธอรัก เธอแคร์ เธอจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนอยากจะปลีกตัว ไปจากเขาเสียเพื่อร่ำไห้ แต่ถ้าเธอรักเขาหรือหล่อนจริง ๆ ในขณะที่เธอ เป็นทุกข์เช่นนั้น เธอควรจะขอความช่วยเหลือจากเขาหรือหล่อน โดย เธอจะต้องเอาชนะความหยิ่งหรือศักดิ์ศรีของเธอให้ได้เสียก่อน มีเรื่องเล่ากันว่า มีชายคนหนึ่งต้องไปรบในสงคราม เขาได้ทิ้งภรรยา กับบุตรในครรภ์ไว้เบื้องหลัง สามปีต่อมาเขาถูกปลดจากกองทัพและ กลับมาบ้าน ภรรยาของเขาพาลูกน้อยมารับเขาถึงประตูบ้าน ในขณะที่เขา ใช้ให้ภรรยาของเขาไปตลาดเพื่อผลไม้และดอกไม้มาบูชาบรรพบุรุษ เขา ได้บอกให้ลูกชายของเขาเรียกเขาว่า "พ่อ" แต่เด็กน้อยกลับพูดอย่าง ไร้เดียงสาว่า "¤Ø³äÁèใช่พ่อผมนะ ปกติพ่อจะมาทุก ๆ คืน และแม่ของผมจะพูดกับ เขาและร้องไห้ เมื่อแม่นั่งลงพ่อก็จะนั่งลงด้วย เมื่อแม่นอนลงพ่อก็จะนอน ลงด้วย" เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นหินกระด้างเพราะ นึกว่าภรรยาของเขามีชู้ เมื่อภรรยาของเขากลับมาบ้าน เขาไม่ยอมมอง หน้าภรรยาของเขาอีกเลย และไม่ยอมให้ภรรยาของเขากราบไหว้บรรพบุรุษ ด้วย เขาไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้อีกต่อไป เขาหมกตัวอยู่ในร้านเหล้าและจะ ไม่ยอมกลับบ้านจนกระทั่งดึกดื่นแล้ว สุดท้ายหลังจาก 3 วันผ่านไป ภรรยาของเขาไม่สามารถจะทนต่อไปได้ เธอจึงไปกระโดดน้ำตาย ในเย็น วันนั้นหลังจากพิธีฝังศพ ขณะที่ชายหนุ่มจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดขึ้น ลูกชาย ของเขาก็ตะโกนออกมาว่า "นี่ไง พ่อของผม" เขาชี้ไปที่เงาของพ่อที่ ตกทอดอยู่บนกำแพงและพูดว่า "พ่อของผมเคยมาในทุก ๆ คืนเช่นนี้ แม่ผมก็จะพูดกับเขาและร้องไห้ ถ้าแม่นั่งลง พ่อก็จะนั่งลง ถ้าแม่นอนลง พ่อก็จะนอนลง...แม่พูดว่า ที่รักเธอจากไปนานเหลือเกิน แล้วฉันจะเลี้ยงลูกของเราตามลำพังได้ อย่างไร?" นางร้องไห้กับเงาของตัวเอง คืนหนึ่งลูกชายถามนางว่า พ่อของเขา เป็นใครอยู่ที่ไหน นางก็ชี้ไปที่เงาบนกำแพงและบอกว่า "นี่ไง พ่อของลูก" นางคิดถึงสามีของนางมาก บัดนั้น เขาจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ...ความจริงถ้าเขาถามภรรยาของเขาตั้งแต่วันนั้นว่า "ที่รัก ผมเป็นทุกข์อย่างมาก ลูกของเราบอกว่า พ่อของเขาเคยมาหา เขาทุก ๆ คืน และเธอก็พูดกับเขาและร้องไห้กับเขา และทุกเวลาที่เธอนั่ง ลง เขาก็จะนั่งลงด้วย บุคคลนั้นคือใครหนอ?" เรื่องทั้งหมดก็จะลงเอยด้วยดี แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้นด้วยความหยิ่ง ในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย และตัวนางเองทั้ง ๆ ที่นางปวดร้าวใจมากจาก พฤติกรรมของเขา แต่กลับไม่ได้ขอร้องให้เขาช่วย นางควรใช้มนตรา ข้อที่สี่พูดกับเขาก่อนว่า "ที่รัก ฉันทุกข์ทรมานมาก โปรดช่วยฉันด้วย ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมเธอ จึงไม่มองหน้าฉัน และพูดกับฉันเลย ฉันทำสิ่งใดผิดหรือ?" ถ้านางทำเช่นนั้น เขาก็คงบอกหล่อนถึงสิ่งที่ลูกชายของเขาได้พูดออก มา แต่นางก็ไม่ได้ทำ เพราะนางก็ติดอยู่ในศักดิ์ศรีเช่นกัน ในรักที่แท้ ความ จริงไม่มีที่สำหรับศักดิ์ศรีหรอก โปรดอย่าตกอยู่ในบ่วงโซ่นี้ เมื่อใดที่เธอ ถูกทำให้ปวดร้าวใจจากคนที่เธอรัก เมื่อใดที่เธอทุกข์ทรมานและเห็นว่า ความทุกข์ของเธอมีสาเหตุมาจากบุคคลที่เธอรักที่สุด จงนึกถึงเรื่องข้างต้น และปฏิบัติมนตราข้อที่สี่ |
Halls
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?] |