Keeping an eye on pop culture. Because I said so.
Group Blog
 
All Blogs
 

จัดการตัวเอง ก่อนที่จะจัดแจงคนอื่น

เรื่อง : แหนง-ดู 20-09-2006

พอร์ช เพื่อนรัก หลังจากที่เธอหนี ... เอ้ย ย้ายตามสามีไปทำงานที่แดนไกล ฉันก็อย่างเหงาเลย เพราะว่าไม่มีเพื่อนไว้คอยเมาท์ (และขบกัดในบางเวลา) แต่ไม่เป็นไร เพราะถึงเธอจะย้ายไปไหน ฉันก็จะตามราวีด้วยจดหมาย เพื่ออัพเดตข่าวสารทางบ้านให้เธอรู้ ดีมั้ย (ขืนตอบว่า ไม่ดีละก็...)

พอร์ชเอ๋ย ... เธอรู้ไหมว่า บางครั้งบทเรียนชีวิตนั้นก็เดินทางมาหาเราอย่างง่ายดาย ไม่ต้องออกแรงดิ้นรนแสวงหา มันมาให้เราเรียนรู้ได้ในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง

วันนี้ ... เมื่อได้รับโอกาส ฉันก็ได้ทีระบายความในใจให้เจ้านายใหญ่ได้รับรู้ว่า ปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ มีอะไรบ้าง ใครคนไหนเป็นยังไง

เจ้านายที่น่ารักของฉันรับฟัง ก่อนที่จะบอกกลับมาประโยคหนึ่งว่า ... เราควรจัดการกับสิ่งต่างๆ ในมือ หรืองานในรับผิดชอบของเราให้ดีที่สุดก่อนที่จะไปจัดการคนอื่น ซึ่งเราไม่อาจจะทำได้

งานการที่ผิดพลาดนั้น อย่ายกให้เป็นความบกพร่องของคนอื่น เพราะจริงๆ แล้วหากเราแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้ว งานก็จะออกมาดีเช่นกัน

เมื่อ 2-3 วันก่อน ... เมื่องานของเราเกิดผิดพลาดขึ้นมา “ทีมสอบสวน” (ซึ่งมักจะตั้งตัวเองขึ้นมาโดยไม่ต้องให้ใครร้องขอ) ก็เริ่มต้นค้นหา เมื่อรู้ต้นตอว่า ใครกันที่เป็นต้นเหตุ สิ่งที่ตามมาคือ คำถามว่า “เขาจบจากไหน และเรียนอะไรมา”

หลายคนก็อาจจะไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก เพราะว่าสถาบันและการศึกษานั้น บางครั้งก็อาจจะไม่ได้มีผลอะไร คนที่ได้ชื่อว่า มีการศึกษาดี การศึกษาสูงนั้น กลับตกม้าตายในเรื่องอะไรตื้นๆ เรื่องที่ง่ายดาย คนที่เข้าใจวิชาการอันยุ่งยากซับซ้อน แต่กับเรื่องพื้นๆ ก็อาจจะไม่เข้าใจ

เรียกว่า ระดับชั้นของการศึกษานั้นไม่ได้บ่งบอกถึงความเข้าใจในชีวิตเลยก็ว่าได้

สัปดาห์ก่อน ... สำนักข่าวชั้นนำของโลกอย่างเอเอฟพีเสนอข่าว รัฐบาลฟินแลนด์ แถลงว่า ประชากรของตนติดเอดส์เพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็น 2 เท่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากเดิมในปี 2544 มีผู้ติดเชื้อจำนวน 53 คน แต่ในปี 2549 มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 คน

ที่สำคัญคือ ... ยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มที่ไปเที่ยวประเทศไทย และติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์จากหญิงขายบริการของไทย!!!

เธอรู้จักฟินแลนด์แน่ๆ อยู่แล้วล่ะใช่ไหมพอร์ช ... ประเทศนี้ร่ำรวย (กว่าเรามาก) และประชากรของเขาก็มีการศึกษาสูง คงเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จู่ๆ เขาจะกล้าออกข่าวนี้มาให้รู้กัน ไปทั่วโลก

เราควรจะอายกับข่าวนี้ไหม ... ฉันคงตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือ เราควรรับฟังในสิ่งที่คนอื่นมาชี้ให้เห็นว่า ปัญหาของเราคืออะไร เราต้องเผชิญกับความจริงว่า การรณรงค์เรื่องเอดส์ของเราอาจจะยังมีจุดอ่อน

เพื่อนรัก ... จากสิ่งที่ได้พบและได้เรียนรู้ในช่วง 2 สัปดาห์นี้ ทำให้ฉันคิดสะระตะ กลายมาเป็นเรื่องเดียวกัน

ฉันพบว่า ความผิดพลาดในชีวิตเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะผ่านการศึกษาระดับชั้นใดหรือร่ำรวยขนาดไหน เมื่อความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว อย่าผลักให้เป็นความบกพร่องหรือรับผิดชอบของคนอื่น เพราะจริงๆ แล้วหากแต่ละคนทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ความผิดพลาดก็จะไม่เกิด และการไปชี้จี้จุดผิดพลาดของคนอื่น (โดยมองข้ามของตัวเอง) นั้นก็สามารถเป็นการประจานตัวเองในทางหนึ่งได้เหมือนกัน

เธอคิดเหมือนฉันไหม ... พอร์ช @




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 15:43:58 น.
Counter : 149 Pageviews.  

เอาเยี่ยงหรือเอาอย่าง

เรื่อง : แหนง-ดู 19-09-2006

From: nd@pt.com
To: arika@nurutomedia.com
Subject: Steve Jobs Fever!!!

ขอบใจนะที่ส่งอีเมล ซึ่งอ่านไม่รู้เรื่องมาถึงฉัน ฟันธงว่า เธอต้องส่งอีเมลจาก "พาวเวอร์บุ๊ก จี 4" คอมพิวเตอร์ติดตรารูปแอปเปิลสุดเดิ้นของเธอแน่ๆ เคยบอกแล้วใช่ไหมว่า ลูกรักของเธอนั้นไม่สามารถที่จะสื่อสารกับพีซีของฉันได้ (ง่ายนัก)

ฉันเพิ่งจะกลับมาจากสิงคโปร์เมื่อสักครู่ ง่วงและเหนื่อยมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนอนไม่ได้ เพราะว่า กำลังอ่านหนังสือติดพันอยู่ หนังสือที่สาวกของ แอปเปิล อย่างเธอให้ (ยืม) มาไงล่ะ

หนังสือ iCon Steve Jobs The Greatest Second of Business ชีวประวัติของ สตีฟ จอบส์ ซีอีโอผู้สร้างแอปเปิล พิกซาร์ และไอพ็อด เล่มนี้หนา ใช่เล่น แต่ฉันก็อ่านได้สนุกดี ไม่รู้ว่า เธอรู้ไหมว่า สตีฟ จอบส์ ไม่พอใจอย่างยิ่งที่หนังสือเล่มนี้เขียนและออกจำหน่ายโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา แต่ทำยังไงได้ ในที่สุดหนังสือเล่มนี้ก็ออกวางจำหน่ายและเปิดเผย (ความลับ) ชีวิตและการทำงานในหลายๆ มุมของ สตีฟ จอบส์ ให้เราได้อ่านอยู่นี่

หลังจากที่ได้อ่านแล้ว ฉันก็ได้พบว่า ทำไมคนหลายๆ ล้านในโลกจึงคลั่งไคล้ในตัว สตีฟ จอบส์ (หนึ่งในนั้นมีเธอรวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ใช่ไหม) ทั้งหมดที่ฉัน ได้รู้จากหนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันอยากจะเรียกเขาว่าเป็น "ร็อกสตาร์" แห่งอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ รวมทั้งผู้ที่เปลี่ยนแปลงวงการดนตรี และวงการภาพยนตร์

ด้วยความมุ่งมั่น ความกล้าทำให้เขาประสบความสำเร็จ แต่ใช่ว่า ชีวิตของเขาจะไม่เคยล้มเหลว สตีฟ จอบส์ ไม่มีปริญญาสักใบ เขาถูกไล่ออกจากแอปเปิล บริษัทที่เขาตั้ง และกลับมาใหม่เพื่อช่วยให้บริษัทนั้นกลับมามีกำไร หลายคนที่แวดล้อมตัวเขา เกลียดสตีฟ แต่ก็อดเคารพบูชาเขาไม่ได้

เขามีบุคลิกที่โดดเด่นและดึงดูดใจ เขาเป็นที่สนใจของผู้คนเสมอ เมื่อถึงเวลาแนะนำสินค้าใหม่ของบริษัท เขาคือ คนที่เป็นโฆษกเอง และผู้คนที่ไปร่วมงานก็จะต้อนรับเขาด้วยเสียงร้องดังอย่างยินดี

ความยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนนี้ มาจากสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงโลกในหลายด้าน และความ ยิ่งใหญ่ของเขานั้นมาจากความเชื่อ

สตีฟ เชื่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานของเขาคือ การทำงานเป็นทีม สำหรับฉันแล้ว สิ่งหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้ และ สตีฟ จอบส์ สอนให้ฉันรู้ว่า "ชีวิตต้องเดินตามฝัน" เช่นเดียวกับที่ผู้ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ คนนี้เชื่อมั่น "กล้าฝัน" และความฝันของเขานั้นก็ "ออกแบบได้"

นิสัยส่วนตัวของเขานั้นไม่ได้เลิศเลอ หลายๆ เรื่องจากหนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันตั้งข้อสงสัยว่า เขาเป็นคนดี หรือเปล่า ??? ตัวฉันเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน

แต่ที่ฉันบอกได้แน่ๆ คือ เขาเก่งสุดๆ

เรื่องราวของ สตีฟ จอบส์ นั้นอาจจะไม่สามารถให้เรา "เอาเยี่ยง" ได้ แต่สามารถ "เอาอย่าง" ได้แน่นอน ซึ่งก็เหมือนกับหนังสือหรือว่าสื่ออื่นๆ ทั้งหมด เธอว่าไหม ?

ขอบใจสำหรับหนังสือดีๆ เล่มนี้ที่เธอให้ยืม หรือจะให้เลยก็ได้นะ @




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 15:41:32 น.
Counter : 128 Pageviews.  

ทั้งๆ ที่รู้ แต่...ไม่อาจห้ามใจ

เรื่อง : แหนง-ดู 12-09-2006

เพื่อนของเราคนหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นนักสะสมดีวีดีตัวยง

ดีวีดีในคอลเลคชั่นของเขานั้น หลายเรื่องเรียกได้ว่า อยู่ในระดับหายาก ชนิดเห็นแล้วเราต้อง น้ำลายไหลอยากเป็นเจ้าของ ... อยากชื่นชม ...

หลายเรื่องเขามีอยู่แล้ว เมื่อถูกนำมาออก วางขายใหม่พร้อมมีของแจกแถมจูงใจ หรือมี ตอนพิเศษ ไม่ว่าจะสัมภาษณ์ผู้กำกับ หรือเป็นล็อตที่ทำออกมาพิเศษเพื่อฉลองครบรอบ 20 ปี ฯลฯ เขาก็ซื้ออีก

ดีวีดีทุกแผ่นเก็บไว้อย่างดี ที่สำคัญคือ เขา ไม่ได้มีไว้เก็บอย่างเดียว แต่เขาดูและศึกษาจนแตกฉาน แถมความจำเป็นเลิศ บ่อยครั้งที่เขาต้องกลายเป็นที่ปรึกษาในการทำงานของเพื่อนพ้องน้องพี่ไปโดยปริยาย

ยกเว้นแต่เรื่องขอยืมดีวีดีเท่านั้น ... ไม่ใช่ว่า เขาขี้หวงของหรอกนะ แต่ว่า คนอื่นกลับรู้สึกเกรงใจที่จะเอ่ยปากหยิบยืมมากกว่า เพราะพี่แกรักและดูแลดีขนาดนั้น เราก็กลัวว่า ยืมมาแล้วจะรักษาของเขาได้ไม่ดีพอ เกิดมีอะไรชำรุดไป เจ้าของคงปิ่มๆ จะขาดใจ

ที่สำคัญที่สุดคือ ดีวีดีในคอลเลคชั่นของเขานั้นล้วนเป็นของมีลิขสิทธิ์ทั้งสิ้น

เพราะเป็นคนทำงานในแวดวงสื่อ เขาจึงรู้จักกฎหมายลิขสิทธิ์ แถมยังเป็นผู้ที่มีความเกรงกลัวต่อบาปอย่างยิ่ง จนทำให้เพื่อนบางคนที่ครอบครองเป็นเจ้าของดีวีดีเถื่อนนั้นไม่กล้าจะพูดคุยประเด็นนี้กับเขาเลยทีเดียว

มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่เพื่อนคนที่เป็นเจ้าของดีวีดีเถื่อนจะสามารถ “บลัฟ” เจ้าพ่อนักสะสมได้ก็คือ ฉากที่ไม่ถูกเฉือนโดยมีดของเซ็นเซอร์ ในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง

ใช่ ... ดีวีดีลิขสิทธิ์ที่จำหน่ายโดยบริษัทจัดจำหน่ายของไทย หลายๆ เรื่องถูกเซ็นเซอร์ ไม่ว่าจะเป็นฉากโป๊ หรือที่เห็นอวัยวะซ่อนเร้น รวมทั้งฉากบู๊ปืนหรือมีดจ่อหัว ดูดบุหรี่ กินเหล้า ฯลฯ ถูกตัดออกไปจนเหี้ยน แม้ฉากนั้นจะเป็นใจความสำคัญของหนังเรื่องนั้นหรือไม่ก็ตาม

ทั้งๆ ที่จ่ายเงินมากกว่า และทำถูกต้อง นักสะสมของแท้ก็ต้องสูญเสียโอกาสตรงนี้ และ ได้ชมเวอร์ชั่น “ไทยคัต” แทน

ขณะที่พวกที่มีแผ่นผีกลับได้ชมเวอร์ชั่นเต็มๆ ไม่มัว ไม่บัง ไม่ตัดให้รู้สึกรำคาญใจที่เรื่องกระโดดไปมา หรือไม่รู้เรื่อง --- ซะอย่างนั้น

ถ้าหากว่า เหตุผลหนึ่งของการเซ็นเซอร์คือ กลัวเด็กๆ จะได้ดูและทำเป็นตัวอย่าง แล้วผู้ใหญ่ที่รู้ดีรู้ชอบ แถมทำถูกต้อง ด้วยการซื้อของลิขสิทธิ์ กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้

ไม่รู้ว่าจะขำหรือว่าจะร้องไห้ที่ซื้อของแท้ราคาแพง แต่กลับได้ดูไม่ครบถ้วน!!!

เพราะเป็นซะอย่างนี้ หลายๆ คนก็เลยต้องยอมรับสภาพ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดตั้งข้อสังเกต มีข้อสงสัย (กับตัวเอง) ว่า การเซ็นเซอร์ควรจะมีศิลปะ มีจุดพอดีไหม แล้วการกำหนดเรตติ้งที่ ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกอีกด้านหนึ่งล่ะ เมื่อไหร่จะสามารถนำออกมาใช้ได้อย่างจริงจังเสียที???

รู้ทั้งรู้ว่า .. การซื้อดีวีดีละเมิดลิขสิทธิ์หรือดีวีดีปลอมน่ะเป็นเรื่องผิด แต่ ... ถึงอย่างนั้นหลายๆ คนก็ทำเป็นลืมหรือมองข้ามไป เหตุผลหนึ่งเพราะว่า อยากชมฉากที่ไม่ถูกตัดออก เหมือนที่นำไปฉายในโรง หรือแม้แต่ที่บรรจุอยู่ในดีวีดีลิขสิทธิ์

จริงๆ นะไม่ใช่ข้ออ้าง m




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 15:39:15 น.
Counter : 147 Pageviews.  

ปัจเจกป๊อป

เรื่อง แหนง-ดู

I like pop music.หลายคนคงจะบอกอย่างนั้น เมื่อถูกถามว่า ชอบดนตรีแนวไหน โดยที่รู้สึกว่า ไม่เห็นแปลกอะไร

แต่บางคนกลับเชื่อว่า ดนตรีป๊อปหรือดนตรีตามสมัยนิยมนั้น คือ สิ่งที่ลดทอนความเป็น “ปัจเจก” อย่างใหญ่หลวง คำว่า I like pop music จึงไม่สามารถหลุดออกจากปากได้

ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ จะชื่นชอบหรือเปล่า ในวันนี้เพลงป๊อปหรือเพลงตามสมัยนิยมนั้นกลายมาเป็นหนึ่งหมวดหมู่ประเภทเพลง ซึ่งยืนอยู่ข้างเคียงกับ ร็อก แจ๊ซ บลูส์ แร็พ ฯลฯ

ด้วยพลังของอุตสาหกรรมดนตรี หรือด้วยรสนิยมของคนฟังกันแน่ที่ก่อให้เกิดเพลงป๊อป?! คำตอบนี้ อาจจะอยู่ในพื้นที่สีเทาอันคลุมเครือ

ขณะที่บางคนมองว่า ร็อก แจ๊ซ บลูส์ ฮิปฮอป ฯลฯ ต่างมีความจำเพาะของตนอยู่ แต่ป๊อปกลับไม่มี หรืออาจจะมีน้อยกว่า

เช่นนั้นจึงทำให้เกิดคำถามว่า แท้จริงแล้วเพลงป๊อปอันเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมจากอุตสาหกรรมดนตรีนั้น มีส่วนในการทำลายความเป็นปัจเจกชนของคนฟังหรือเปล่า ?!

เพลงป๊อปหรือคนทำงานเพลงป๊อปนั้น มีความเป็นปัจเจกอยู่ไหม ?!

ย้อนเวลากลับไปนานมาแล้ว เมื่อครั้งผู้เขียนยังทำงานเป็นนักข่าวสายดนตรี หน้าที่หลักอย่างหนึ่งในตอนนั้น คือ การสัมภาษณ์นักร้อง นักดนตรี และผู้คนในวงการดนตรี

แรกๆ นั้นสนุกสนานดี เพราะมีโอกาสได้พบเจอกับผู้คนใหม่ๆ มากมาย แต่นานเข้ากลับเกิดเป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างเหลือทน

หนึ่งในเหตุผลของความเบื่อหน่าย อาจจะเพราะความซ้ำซากจำเจ โดยเฉพาะจากถ้อยคำการให้สัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นนักร้องจากค่ายไหน ต่างก็พูดคล้ายคลึงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ราวกับว่า พวกเขาถูกสร้างออกมาจากโรงงานเดียวกัน หรือหลอมรวมมาจากเบ้าเดียวกัน

พวกเขาทั้งหมดต่างพยายามหาหรือสร้างจุดขายให้กับตัวเอง โดยชูความแตกต่างออกมา ในวิธีการที่คล้ายคลึง เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเป็นปัจเจก มีตัวตน ที่ไม่เหมือนหรือซ้ำแบบใคร

ทุกคนจึงให้สัมภาษณ์ทำนองว่า “อัลบั้มนี้ทำงานอย่างเป็นตัวของตัวเองที่สุดค่ะ ...” “งานชุดนี้แสดงถึงตัวตนของเราอย่างแท้จริงครับ” ส่วนงานที่พวกเขาทำก็จะประมาณว่า “ไม่เหมือนใคร” “ไม่มีใครเคยทำอย่างนี้มาก่อน” ฯลฯ

ผลที่ออกมาคือ งานเพลงที่คล้ายคลึง รูปลักษณ์ภาพลักษณ์ของนักร้องนักดนตรีที่ไม่แตกต่างกัน ราวกับว่าความแตกต่างที่พยายามสร้างเป็นเช่นมายาหรือภาพผิวเผินที่เคลือบอยู่ด้านนอกเท่านั้น เพราะว่าความแตกต่างที่แท้จริงนั้นถูกสลายไปแล้วด้วยขั้นตอนและวิธีการจาก “อุตสาหกรรมดนตรี”

อุตสาหกรรมดนตรีไม่ต่างอะไรกับอุตสาหกรรมการอื่น ในขบวนการผลิตเพลงป๊อปก็อาจจะไม่แตกต่างกับการผลิตรองเท้า โดยเริ่มจากสร้างแบบขึ้นมา แล้วนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบกัน ทำให้เป็นงานที่คนกลุ่มใหญ่ชื่นชอบ (งานโดนใจ) และกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย (งานติดหู) ทำให้ขายได้เยอะๆ สร้างรายได้และผลกำไรให้ได้มากที่สุด จึงไม่ต่างกันเลยระหว่างความพยายามให้คนส่วนใหญ่ใส่รองเท้าเหมือนกัน หรือทำให้คนส่วนใหญ่ฟังเพลงเหมือนกัน

เช่นนั้นแล้ว งานแต่ละรุ่นหรือแต่ละชิ้นที่ผลิตออกมาแล้วบอกว่า แตกต่างกับชิ้นอื่นๆ หรือรุ่นอื่นๆ นั้น แท้จริงจึงเป็นเพียงการนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบในหนทางที่เปลี่ยนไป การสร้างความแตกต่างหรือแปลกใหม่ อาจจะเป็นเพียงแค่การกระทำให้ผิดเพี้ยนไปจากของเก่าอย่างฉาบฉวยเท่านั้น

ยิ่งเมื่ออุตสาหกรรมดนตรีนั้นถูกครอบครองผูกขาดด้วยผู้ผลิตเจ้าใหญ่เพียงไม่กี่เจ้า ทั้งวงการจึงถูกปรับให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น จึงกลายเป็นว่า ไม่มีความแตกต่างกันเลยทั้งวงการ

จากสิ่งที่เป็นไปนั้น ฟากของผู้สร้างงานบอกว่า ต้องทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ข้างผู้บริโภคบอกว่า ไม่มีทางเลือก เพราะว่าคนผลิตทำงานเหมือนๆ กันออกมา จึงต้องเสพอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ

ด้วยผลผลิตของอุตสาหกรรมดนตรีอย่างเพลงป๊อปจึงมีส่วนทำให้ปัจเจกของแต่ละคนสูญเสียไป เพลงป๊อปชักจูงให้ผู้คนพึงพอใจกับสิ่งที่เหมือนกัน

จากความเบื่อหน่ายเพราะสิ่งเดิมๆ ซ้ำซาก ทำให้เกิดกลุ่มคนทำงานดนตรีที่เรียกตัวเองว่าเป็น “อินดี้” อันย่อมาจากอินดิเพนเดนต์ (independent) คือ เป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับใคร เป็นทางเลือกใหม่ กลายเป็นความหวังของคนที่อยากสัมผัสกับความแตกต่างหรือแปลกใหม่

อินดี้ราวกับเกิดขึ้นมาเพื่อกลุ่มคนฟังที่มีรสนิยมอันแตกต่าง เป็นการแสดงปัจเจกทั้งในส่วนของคนทำงานและคนฟัง แต่ไม่นานก็เข้ารูปเดิม เมื่ออินดี้กลายเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยม ค่ายยักษ์ของวงการเพลงก็คิดสูตรการสร้างผลงานหรือนำเสนอคนทำงานอินดี้ในแบบที่แมส (mass) ออกมาได้อย่างอัศจรรย์ เมื่อถึงเวลานั้น อินดี้จึงกลายเป็นเพียงชื่อ หรือมายาภาพอันผิวเผิน

เช่นเดียวกับการกำเนิดของแนวทางดนตรีแยกย่อยต่างๆ นั่นก็มักมาจากความต้องการจะแตกต่างหรือแหวกออกไป แนวทางดนตรีจึงไม่หยุดอยู่แค่เพียง แจ๊ซ บลูส์ ร็อก ฯลฯ แต่กลับมีอะไรอื่นๆ อีกมากมาย หากคำว่า ร็อก ตามมาด้วยความรู้สึกว่า ช่างเก่าแก่ ไม่ทันสมัย จึงเกิดมีการแตกทาง หรือการผสมผสาน กลายเป็น พังก์ (ร็อก) แกลม (ร็อก) อีโม (ร็อก) นูเมทัล (ร็อก) เป็นต้น ทั้งๆ ที่แก่นก็คือ ร็อกอันเดียวอันเดิมนั่นเอง

เมื่อพินิจพิเคราะห์กันโดยลึกซึ้งแล้ว การกำเนิดของแนวทางดนตรีใหม่ๆ กลับไม่ใหม่นัก แท้จริงแล้วก็อาจจะเป็นเพียงการแตกทางไปจากของเก่า หรือการนำของเก่ามาผสมผสานกันขึ้นมา ทำให้เพี้ยนจากของเก่าที่มีอยู่ แล้วก็ตั้งชื่อใหม่ๆ ให้ ทำให้คนเชื่อว่า นี่คือ สิ่งแปลกใหม่ หรือแตกต่าง

การกำเนิดแนวทางใหม่ จึงเกิดขึ้นภายใต้กรอบที่กำหนดไว้ เช่นนั้นแล้ว ความเป็นปัจเจกจากการทำงานเพลงหรือฟังเพลงก็อาจจะไม่มีอยู่จริง ที่เป็นอยู่คือ ทุกคนกำลังถูกลวงในเรื่องรสนิยม ถูกครอบความคิดโดยบางคนบางกลุ่ม

ไม่ว่าจะอย่างไร การกำเนิดแนวทางใหม่ก็ยังคงเกิดขึ้นเสมอ การมาของทางเลือกใหม่ๆ ยังมีเรื่อยๆ ด้วยความกดดันและความต้องการสร้างผลลัพธ์ใหม่ๆ (อย่างแท้จริงหรือฉาบฉวยก็ตามที) เพื่อผลทางการขาย

เช่นนั้นแล้ว คนที่ให้ความสำคัญกับตัวตนในฐานะปัจเจกชนจึงไม่อยากจะพูดว่า I like pop music.เขาไม่ผิดที่คิดอย่างนั้น แต่คนฟังเพลงป๊อปก็ไม่ผิด

ยิ่งถ้าเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ให้ค่ากับการฟังดนตรีป๊อปว่าเป็นเพียงเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ฟังโดยไม่ต้องอาศัยทฤษฎีจากวิชา art appreciation ไม่ต้องค้นหาความหมายของคำว่า “ศิลปะ” จากงานเหล่านั้น ไม่ได้ยกย่องให้เป็นสุดยอด “ซีเรียส มิวสิก” แต่กลับฟังโดยรู้เท่าทันว่า สิ่งที่ได้ยินอยู่นี้คืออะไร มาจากไหน เกิดอย่างไร

คนกลุ่มนี้ก็น่าที่จะรักษา “ปัจเจก” ไว้กับตัวเองได้ แม้ในเวลาที่ต้องพูดว่า I like pop music.

เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ในโลกนี้ หากเรา “รู้ตัว” ก็ย่อม “ไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง” @




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 2:37:19 น.
Counter : 147 Pageviews.  

รักหรือพึ่งพา

เรื่อง : แหนง-ดู 23/07/07

หลายครั้งระหว่างติดรถเพื่อนร่วมงานกลับบ้านในยามค่ำคืน วิทยุที่เพื่อนเปิดทิ้งไว้มักจะเป็นรายการประเภทเปิดโอกาสให้ผู้ฟังโทรศัพท์เข้ามาเล่าปัญหาของตัวเอง

แม้บางครั้งจะรู้สึกว่า รายการที่ฟังอยู่นั้นเศร้าสร้อยหดหู่เกินไป หลังวันอันหนักเหนื่อย เราควรได้ฟังเพลงหรือเรื่องบันเทิงใจมากกว่า แต่ด้วยสีสันและเรื่องราวของผู้คนเหล่านั้น ทำให้เราตัดใจไม่ฟังไม่ได้สักที เมื่อได้ฟังรายการนี้หนทางกลับบ้านก็ดูจะสั้นลง บ่อยครั้งที่รู้สึกเสียดาย เพราะฟังยังไม่จบเรื่อง แต่ต้องลงจากรถไปก่อน เพื่อนของผู้เขียนมาสารภาพทีหลังว่า บางครั้งแม้ถึงบ้านแล้ว แต่เขายังนั่งอยู่ในรถเพื่อฟังต่อจนจบ

สำหรับคนฟังแล้ว การโทรศัพท์เข้าไปในรายการวิทยุนั้นก็เปรียบเหมือนได้พบจิตแพทย์ ได้ระบายเรื่องราวคั่งค้างข้างในออกมา อาจจะไม่ช่วยแก้ไขอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยที่สุดการตระหนักรู้ตัวว่า ปัญหาเกิดขึ้นและมีอยู่ก็เป็นหนทางสู่การแก้ไขได้ ขณะที่คนฟังรายการก็ได้รู้จักบางส่วนเสี้ยวของสังคม ได้ข้อคิดไปใช้ หรือถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว ฟังไปเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราว ซึ่งเป็นธรรมชาติมนุษย์นั่นล่ะ

หลังจากฟังมาแล้วหลายครั้งก็พบว่า เรื่องราวที่ถูกเล่าผ่านรายการวิทยุนั้นมักจะเป็นเรื่องราวของความรัก โดยเฉพาะรักที่ผิดหวัง เราได้ติดตามเรื่องราวความรักของ “ทอม” “ดี้” คู่หนึ่งซึ่งรักกันมากมายมาเนิ่นนานหลายปี แต่สุดท้ายฝ่ายดี้ก็ตัดใจเพราะว่า แม่ขอร้อง เธอทำใจด้วยการย้ายจังหวัดหนีและไม่รับโทรศัพท์เขาอีกต่อไป จากที่เคยปวดร้าวสุดๆ ก็เปลี่ยนเป็นความเคยชินและลืม

อีกวันหนึ่งเราได้ฟังชายหนุ่มคนหนึ่งมาพรรณนาถึงความรักซึ่งไม่ง่าย เมื่อคู่ของเขาติดเชื้อเอชไอวี และวันต่อมาชาย-หญิงคู่หนึ่งโทรศัพท์มาพูดเหมือนๆ กันว่า เมื่อความรักจากไป สิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงคือ การฆ่าตัวตาย ด้วยความปวดร้าวอย่างไม่มีอะไรเทียบเทียม

อา นั่นเรียกว่า ความรักจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่บางสิ่งที่ใกล้เคียงกัน

แท้จริงแล้ว ที่คิดว่า รักนั้น อาจจะเป็นแค่ภาวะพึ่งพิง โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ

เพราะอยู่คนเดียวก็เหงาใจเศร้าสร้อย มีใครสักคนอาจจะดีกว่า จากที่เคยอยู่ได้ด้วยตัวเอง กลับยกทุกอย่างในชีวิตให้ไปขึ้นอยู่กับใครอีกคนแทน

และไม่ว่าด้วยเหตุใด เมื่อคนนั้นจากไป ชีวิตจึงราวกับพังทลาย ความรู้สึกปลอดภัยมั่นคงจากการพึ่งพิงเขาก็สลายไปด้วย

ตามมาคือ อาการอกหัก ชนิดกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลแล้ว และ “อยากตาย” เพื่อบูชาความรัก (ที่คิดว่าใช่) หลายคนบอก “ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป หากไม่มีเขา (หรือเธอ)”

ฟังดูแล้วรู้สึกน่าเห็นใจ น่าเป็นห่วง ความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะรักจากไป อาจจะเป็นเพียงแค่การลวงหลอกใจตัวเอง เป็นความเข้าใจผิด แต่ถ้าเพียงพวกเขาได้ย้อนกลับไปคิดถึงว่า ก่อนที่จะมีเขา (หรือเธอ) เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร

ความรักที่แท้ไม่ควรทำให้เกิดเรื่องเศร้าถึงเพียงนี้ แม้จะไม่มีเขา (หรือเธอ) แต่สิ่งที่เกิดนั้นอาจจะเป็นเพียงภาวะพึ่งพิง ภาวะที่ต้องมีใครสักคนเพื่อจะอยู่รอดและดำเนินชีวิตต่อไป แท้จริงแล้วเป็น “ภาระ” หาใช่ “ความรัก” ไม่

ที่เข้าใจว่าเป็นความรักนี้ ทำให้ชีวิต (ทั้งของเราและของเขา) ไม่มีทางเลือกและขาดอิสรภาพ

ในนามของความรัก ไม่ควรจะทำให้ใครถูกลิดรอนเสรี ความรักควรให้ที่ว่างเพื่อทุกคนจะได้ดำรงชีวิตด้วยตัวเอง ในห้วงของความรัก ทุกคนควรมีอิสรภาพ แต่ละคนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ทุกข์ใจ การได้อยู่ด้วยกันหมายถึงว่า เราจะมีความสุขมากขึ้น แต่แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ก็ไม่ควรทุกข์ใจขนาดถึงกับอยู่ไม่ได้

คนหัวใจสลายที่โทรศัพท์เข้ามาในรายการวิทยุนั้น เกือบทุกคนผ่านช่วงเวลา “อยากตายเพราะความรัก” มาแล้วด้วยวิถีของตัวเอง แต่คนที่ไม่รอดมาเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ใครฟังได้ล่ะจะมีกี่คน

ชีวิตควรจะดำเนินต่อไป แม้จะปราศจากใครบางคน เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงคนคนหนึ่งเพื่อที่จะให้ชีวิตมีความสุข เราอาจต้องพึ่งบางคนในบางเรื่อง แต่ไม่มีใครที่เราขาดไม่ได้ แน่ล่ะ เมื่อไม่มีใครบางคนในชีวิต อาจทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบอยู่แล้ว แต่เวลาจะช่วยให้เราผ่านไปได้ @




 

Create Date : 28 มกราคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2551 2:49:11 น.
Counter : 189 Pageviews.  

1  2  3  

Nd_Bangkok
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Nd_Bangkok's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.