|
Naruw'an Taiwan ( ตอนที่ 1 )
October 4-11,2005
October 4 ,2005
เตรียมแพลนทริปนี้นานพอดู เพราะว่าต้องจัดการเรื่องตั๋วไป-กลับ เชียงใหม่-กรุงเทพ วีซ่าไต้หวัน ตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-ไทเป และจองทัวร์บางทัวร์ในไทเปด้วย
เลือกเดินทางล่วงหน้า 1 วัน เพราะไม่ค่อยอยากลุ้นตัวโก่งกับแอร์เอเซีย กะว่าจะไปค้างบ้านที่กรุงเทพ 1 คืน ตามแผนเดิมคือบินไปกรุงเทพ ด้วย FD 3233 ออกจากเชียงใหม่ 8.20 น. ถึงกรุงเทพ 9.30 น.
ปรากฏว่าทางแอร์เอเชียโทรเข้ามาบอกว่ายกเลิกไฟลท์ 8.20 ให้เราเลื่อนไปไฟลท์ 10 โมงแทน ถามว่าเพราะอะไร เค้าบอกว่ามีเหตุขัดข้องนิดหน่อย ไม่มีปัญหาเพราะว่าเผื่อเวลาเอาไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีหลายเรื่องที่จะต้องไปทำช่วงที่อยู่กรุงเทพ
ไปแลกเงินไต้หวัน ไปซื้อของฝากเพื่อนที่สั่งมาคือมะม่วงเค็มสารพัดชนิดที่มาบุญครอง ไปเอาเมมโมรีกล้องดิจิตอล ที่นัดคุณประวีณไว้ที่ บริษัท EPS ITPLUS ตัวแทน Sandisk เอาไว้ เอาอันเก่ามาเคลม นัดว่าจะมาเอาก่อนวันเดินทาง ไม่ต้องส่งไปให้ที่เชียงใหม่ ทุกอย่างต้องทำให้เสร็จ จึงผิดแผนเล็กน้อย แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ราบรื่นไม่มีปัญหาใดๆ พร้อมเดินทางสู่ Taipei.....Taiwan...
@@@@@@@@@@
October 5,2005
ตื่นเช้ามากๆ พึ่งจะได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง ไปถึงแอร์พอร์ต ตี 3 หน่อยๆ เผื่อเอาไว้ดีกว่า ปรากฏว่าเคาน์เตอร์เชคอินของ EVA ยังไม่เปิด
ตามปกติถ้าไฟลท์จะบินไปอเมริกาที่เคยไปนั้น จะเปิดล่วงหน้า 3 ชั่วโมง เชคแล้วเชคอีก เปิดกระเป๋าเชคกันก็มี แต่นี่บินแค่ไทเป เลยไม่เข้มงวดมากนัก
ถามเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าจะเปิดก่อน 1 ชั่วโมงเท่านั้น ภายในสนามบินมีทหารเดินกันขวักไขว่ เดินตรวจตราเป็นจุดๆ บรรยากาศแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะว่าที่ Bali พึ่งจะโดนบอมบ์ไป ทางการไทยเลยเข้มบ้าง มีเวลาไม่มากนักหลังจากที่เชคอินแล้ว คราวนี้จองชั้น Deluxe เลยได้นั่งสบายหน่อย รีบเข้าไปรอใน gate จะได้เดินดูของ shoppingที่ duty free ด้วย ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว ตรงเวลาเป๊ะ ตี 5.30 น. เที่ยวบินค่อนข้างว่าง เพราะว่าบินสั้นแค่ไทเป ชั้น deluxe ยังมีที่นั่งว่างเป็นสิบเลย ง่วงนอนมากที่ต้องตื่นแต่เช้า พอเข้าไปนั่งในเครื่องแอบงีบกันคนละหน่อย เครื่อง take off นิ่มมาก ขึ้นเมื่อไรไม่ทันรู้ตัว อาจจะเพลียๆด้วยเลยไม่รู้เรื่อง ใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ 3.08 นาที พอเครื่องขึ้นได้ไม่นานก็มีอาหารมาแจก มีให้เลือก 2 แบบคือ ข้าวต้มปลา (จีน) หรือว่าออมเลต(ฝรั่ง) เลยเลือกออมเลตเพราะเดี๋ยวนับแต่มื้อต่อไปก็จะต้องกินแต่อาหารจีน ผลไม้มีส้มโอ-มะละกอ-และสับปะรดภูเก็ต หลังจากนั้นแอร์เอาเอกสาร immigration มาให้กรอก ถึงสนามบิน Chiang Kai-Chek International Airport สนามบินจะไม่ใหญ่ มีเครื่องบินจอดอยู่ไม่กี่ลำ เงียบๆเหงาๆไม่พลุกพล่าน ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองอย่างง่ายดาย ไม่ถามไม่พูดอะไรสักคำ ดูๆแล้วก็ปั๊มเข้าเมืองเท่านั้นเอง ที่เคยมาตอน transit ไป LA ยังต้องถอดรองเท้าตรวจกันเลย เชคกระเป๋าทุกใบ ถามสารพัดว่าจะไปไหน นี่คลายความเข้มงวดไปมาก
พอเดินออกมา Effie กับ Steve รีบวิ่งมารับ ดีใจและตื่นเต้นเพราะว่าไม่ได้เจอกันมาเกือบๆ 5 ปีแล้ว เพื่อนดูอ้วนขึ้น ผมก็ยาวด้วย บอกว่างานยุ่งมากๆ นี่ขนาดว่าลา boss แล้วนะ ยังโทรมาตามงานอยู่นั่นแหละ ลางาน 3 วัน อีก 2 วันเจอเสาร์-อาทิตย์ กับแถมอีก 1 วันคือวันชาติที่ 10 ตุลาคม พวกเราบอกว่าไม่ต้องหยุดทุกวันก็ได้ จะนั่งรถไฟไต้ดินเที่ยวกันเองในเมือง ก็ไม่ยอมบอกว่าจะจัดการเอง เลยต้องปล่อยเค้า
ออกจากสนามบิน ห่างจากตัวเมืองไทเปประมาณ 30 นาที ใช้ฟรีเวย์ตลอด มื้อแรกเพื่อนจะพาไปกินติ่มซำ เลือกร้าน FU LIN MEN Resturant ไม่เหมือนร้านอื่นที่เข็นมาเป็นรถแล้วให้เราชี้เลือก ร้านนี้ต้อง order เอาเองว่าจะกินอะไร ส่วนที่เหลือเป็น buffet เช่นสลัด ซุป หรือว่าอาหารอย่างอื่นอีกหลายอย่าง นอกนั้นก็มีผลไม้ แตงโม และฝรั่งที่นิ่มๆ ได้ชิมติ่มซำที่เพื่อนว่าอร่อยแล้ว
กินอิ่มแล้ว จะเริ่มเที่ยวเลย แต่ต้องไปแวะเติมน้ำมันก่อน น้ำมันของเค้ามีแบบ 92-95-98 แต่ละปั๊มจะมีการแข่งขันกันมาก จัดโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า เช่น เติมน้ำมัน 700 NT ได้ล้างรถฟรี (ใช้เครื่องล้างที่ขับเข้าไป) 1 ครั้ง บางปั๊มจะล้างวันนั้นเลย บางปั๊มก็มีเวลาให้ภายใน 7 วัน
แต่ละปั๊มจะมีโปรโมชั่นไม่เหมือนกัน บางที่มีน้ำให้ บางที่ก็เป็นทิชชู ปั๊มน้ำมันใหญ่ๆในไต้หวันจะมี 3 บริษัท คือ CPC เป็นของรัฐ จะใหญ่ที่สุด นอกนั้นก็มี Formosa และ NPC
พึ่งบ่ายสองกว่าๆ กะว่าจะยังไม่ไปที่ 101 Building เพราะรอไปช่วงเย็นๆแล้วอยู่จนพระอาทิตย์ตกดินบนนั้นเลย บอกเพื่อนว่าอยากไปดูอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สักหน่อย อยากหาซื้อ Handy Drive เมมโมรีสูงๆสักอัน ถ้าราคาถูกกว่าบ้านเราเยอะ Effie พาไปที่ กวงหัวมาร์เกต ที่นี่เป็นย่านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สารพัด เหมือนพันทิพของเรา ขึ้นไปข้างบน ร้านแต่ละร้านมีพื้นที่ไม่มาก แต่แคบเดินสวนกันแทบไม่ได้ เข้าไปสอบถามหลายๆร้าน ปรากฏว่าต่างจากบ้านเราไม่มากนัก แถมถ้าซื้อกลับมาไม่มีใบรับประกันอีก สรุปว่ากลับมาซื้อเมืองไทยดีกว่า ยังไงมีปัญหายังเอากลับไปเคลมได้ ซื้อเมาส์ที่ใช้กับโนตบุคมา 1 อัน
ไปถึง 101 Building เกือบๆ 4 โมง ตั้งอยู่ที่ถนน Songzhi หาที่จอดรถค่อนข้างยาก ตัวตึกสูงเสียดฟ้า เพื่อนคุยว่าสูงที่สุดในโลกในตอนนี้ แต่ที่เซี่ยงไฮ้กำลังจะลบสถิติ ด้านข้างเป็น shopping mall ต้องไปซื้อตั๋วที่ชั้น 5 เพื่อขึ้นชมข้างบน คนละ 350 NT สำหรับผู้ใหญ่ 320 NT เด็ก และเป็นกรุ๊ปคนละ 300 NT
ตึกนี้มีความสูง 508 เมตร มี 101 ชั้น เราจะขึ้นไปได้แค่ชั้นที่ 91 เท่านั้น ชั้นสูงจากนั้นไปก็เป็นเสาไม่ใช่ชั้นของตึก เปิดบริการตั้งแต่ 10.00-22.00 น.ของทุกวัน ไม่มีวันหยุด จากนั้นไปขึ้นลิฟท์ที่เร็วที่สุดในโลก 1010 เมตรต่อนาที
เราขึ้นจากชั้น 5 ไปชั้นที่ 91 ใช้เวลาแค่ 37 วินาทีเท่านั้น แทบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าถึงแล้ว ภายในลิฟท์ด้านเพดานจะเป็นสีดำและมีแสงระยิบระยับคล้ายๆดาว ดูไม่มืด ที่ด้านข้างๆประตูจะมีไฟโชว์ให้เราเห็นว่าตอนนี้ลิฟท์กำลังขึ้นหรือลง ดูแทบไม่ทันเพราะแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ยังไม่ทันรู้สึกมึนหัวเลย ขึ้นไปถึงหอคอยข้างบน ก็เหมือนๆกับที่เคยขึ้น Space Needle ที่ Seattle แต่ที่นี่มองเห็นวิวได้มาก เพราะรอบๆเป็นเมืองทั้งหมด ตึกรามบ้านช่องแออัดยัดเยียดทั้ง 4 ทิศ บางทิศเป็นวิวภูเขา บางทิศเป็นวิวทะเล นอกนั้นจะเป็นตึก เอาตั๋วไปแลกเครื่องมือสำหรับฟังรายละเอียดว่าอะไรคืออะไร เราเลือกฟังได้เองตามจุดต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมีไกด์ เครื่องมือที่ว่าจะคล้ายๆกับโทรศัพท์ ไปยืนตรงจุดไหนก็กดเลขหมายนั้น จะมีเสียงบรรยายภาษาอังกฤษให้ฟังว่ามุมไหน เป็นอะไรบ้าง เข้าท่าดี
อยู่บนนั้นรอจนพระอาทิตย์ตกดิน ถ่ายรูปกับเมืองยามราตรีในมุมสูง ได้บรรยากาศไปอีกแบบนึง เสียค่าเข้าตั้ง 350 แล้ว เอาให้คุ้มหน่อย เดินวนจนรอบ ตรงกลางจะมีห้องโชว์ที่บรรยายสรรพคุณของเครื่องมือซึ่งเป็นลูกกลมๆใหญ่มากวางอยู่ตรงกลางห้อง สามารถทำให้ตึกสูงขนาดนี้มีความแข็งแรงทนทาน ทั้งลม และ แผ่นดินไหว ทุ่มกว่าแล้ว ออกจาก 101 เดินทางกลับบ้าน Effie พักอยู่ที่เมือง ซันถง ทาง Southwest ของ Taipei City ซึ่งอยู่ใน Taipei County ดูงงๆยังไงไม่รู้ เป็นตึกแถวคล้ายๆเยาวราช ไม่มีที่จอดรถ ต้องไปเช่าที่จอดรถเดือนละหลายตังค์ คนเมืองหลวงมักจะไม่ค่อยมีทางเลือก ยังไงก็ต้องยอม
เย็นนี้ Effie กับ Steve จะพาไปกิน Shabu Shabu อาหารยอดนิยมของคนไต้หวัน เลือกร้านแถวๆบ้าน สั่งมาคนละ 1 หม้อ 170 NT ได้เครดิตมา อีก 50NT ให้เราเอาไปสั่งผักหรือเนื้อเพิ่มได้ ถ้าเกินกว่านี้ก็เพิ่มเงินไป พวกเราสั่งเป็น set หมู มีหมูแผ่นบางมากม้วนเป็นโรลกลมๆมา 1 จาน แล้วก็ผักอีก 1 จาน สามารถสั่งข้าวเปล่าหรือวุ้นเส้นหรือบะหมี่ได้อีก 1 ที่ มีน้ำพุทซาร้อนกับน้ำส้มรสชาติจางๆฟรี บริการตัวเองแถม ปอปคอร์น และไอติมตบท้ายฟรีด้วย
Effie สั่งมาให้คนละหม้อ กลัวว่าเราจะไม่อิ่ม สุดท้ายนั่งมองหน้ากัน จน Effie กับ Steve ต้องมาช่วย เค้ากินกันเร็วมาก เห็นทุกคนที่เข้ามาในร้านสั่งกันคนละหม้อ บางคนสาวๆตัวเล็กๆ กินกันเอร็ดอร่อย แล้วก็หมดภายในพริบตา
พวกเราซะอีก นั่งมองแล้วมองอีก น้ำจิ้มไม่อร่อยด้วย เป็นซอสดำๆ เค็มนิดๆ ถ้าอยากเผ็ดก็ใส่พริกแดงๆลงไป มันจืดๆชืดๆ ถ้าเป็นน้ำจิ้มแจ่วแซ่ปสไตล์ของเราคงจะทำให้ชาบู ชาบูเอร็ดอร่อยมากกว่านี้ ที่ว่าคนละหม้ออาจจะไม่พอก็ได้
กลับถึงบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย ต้องเตรียมตัวตื่นเช้าเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าสำหรับจะไปเที่ยว Chingjing Farm ในวันพรุ่งนี้ Effie นัด Kate เพื่อนเก่าร่วมห้องอีกคนไปด้วย
(โปรดติดตามตอนที่ 2)
Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2549 | | |
Last Update : 24 ตุลาคม 2549 9:36:41 น. |
Counter : 790 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Naraw'an Taiwan ( ตอนที่ 2 )
October 6 ,2005
วันนี้ตื่นแต่เช้า กินกาแฟกันเรียบร้อย Effie โทรนัดรถแท๊กซี่ให้มารับที่ปากซอยหน้าบ้าน 6.15 รีบออกไปรอ( เรียกแท๊กซี่มารับไม่มีการคิดเพิ่ม เพื่อนบอกว่าเป็นเพราะมีการแข่งขันกันมาก ราคาของแท๊กซี่จะเริ่มต้นที่ 70 NT แล้วจะเพิ่มอีก 5 NTตามระยะทาง)
แท๊กซี่ไปส่งที่หน้า Main Railway Station รถบัสของทัวร์เราจะมาจอดอยู่ที่นั่น มีเรื่องตลกคือพอรถแท๊กซี่จอดพวกเราก็แยกย้ายกันลงคนละทาง โดนแท๊กซี่โวยบอกว่าทำไมลงด้านซ้าย พวกเราก็ทำหน้าตางงๆ เพื่อนบอกว่าปกติจะต้องลงจากทางด้านขวาเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย เลยถือเป็นความรู้ใหม่ที่จะต้องจำ
บัสมาจอดรออยู่แล้ว 7.00 น. รถก็ออกตามเวลา ปรากฏว่ามีคนอยู่ในรถแค่เพียง 9 คน แทบจะนอนกันไป เป็นของบริษัท EZTRAVEL เอฟฟี่ซื้อทัวร์ไว้ให้พวกเราในราคา 2,000 NT เป็นค่ารถไป-กลับ , ค่าที่พัก 1 คืน , ค่าอาหาร 2 มื้อ , ค่าเข้า Chingjing Farm , ค่าเข้า Chingjing Swiss Garden รถพาเราลงใต้ด้วยเส้นทาง 1 South มาเรื่อยๆ จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาคล้ายๆกับเมืองไทย ปลูกข้าว-ปลูกผักและผลไม้ ที่แปลกก็คือเค้าจะไม่ปลูกข้าวอย่างเดียว ถ้ามีที่นาก็จะแบ่งส่วนเป็นปลูกข้าว อีกมุมนึงปลูกผักและผลไม้ อย่างละนิดละหน่อย บางบ้านมีพื้นที่หลังบ้านไม่มากนักแต่ปลูกข้าวในสวนหลังบ้านได้
สังเกตุดูจะเห็นว่าส่วนใหญ่แทบทุกบ้านจะมีแทงก์น้ำแสตนเลสตั้งไว้ชั้นบนสุดของบ้านหรือตึก ตั้งโด่เด่เต็มไปหมด ส่วนตึกใหม่ๆใหญ่ๆที่สร้างไม่นานมานี้ก็ใช้แบบหล่อปูนไปเลย ถึงเมือง Tai-An เกือบจะครึ่งทางของ Taijung รถจอดให้แวะเข้าห้องน้ำ เป็นคล้ายๆ Rest Area มีห้องน้ำสาธารณะค่อนข้างสะอาด แล้วมีของจำพวก snack ขายด้วย
ผ่านด่านเก็บเงินทั้งหมด 3 ครั้งๆละ 50 NT สำหรับรถใหญ่ ถ้าเป็นรถเก๋งธรรมดาก็ครั้งละ 40 NT พอๆกันกับที่บ้านเรา ถึงเมือง Nantoe เพื่อนบอกว่าเมืองนี้จะเป็นแหล่งปลูกหมากมากที่สุดในประเทศ คนไต้หวันประเภทใช้แรงงานนิยมกินหมาก มีความเชื่อว่าจะได้มีกำลัง รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเป่าคล้ายๆกินกระทิงแดงอะไรประมาณนั้น ขึ้นเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทางค่อนข้างแคบ คนขับชำนาญเส้นทางมาก เราดูแล้วยังเสียวๆ ริมทางมีน้ำตก ลำธารเลียบริมหน้าผา เหมือนเส้นทางไปดอยอินทนนท์เพียงแต่ทางจะหวาดเสียวกว่า ผ่านทะเลสาบสีเขียว ชาวบ้านที่อยู่ริมทางปลูกกะหล่ำปลีและพืชเมืองหนาว ยิ่งสูงขึ้นไปมีปลูกชาและลูกพลับ
รถเมล์พาเราตะลอนมาจนถึงที่หมาย ในระดับความสูง 1,783 เมตร รถจอดให้พวกเราลงหน้า Chingjing Swiss Garden เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม จะเป็นที่พักของเราที่จองเอาไว้ เป็นโรงแรมเก่าแก่ ชื่อ Chingjing Veteran Farm Guest House เป็นโรงแรมแห่งแรกของที่นี่
ปล่อย Effie กับ Kate เข้าไปเชคอิน เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ดูแล้วก็ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวไต้หวันกันเองซะมากกว่า เชคอินได้ความว่าไม่ได้ห้องติดกัน ก็ไม่เป็นไรเราขอเลือกห้องที่เค้าจัดให้ วิวจะดีมาก สามารถมองเห็นวิวเทือกเขา Central Mountain ได้จากหน้าต่างห้องเลย
ได้คูปองอาหารมา 2 ชุด อันแรกเป็นอาหารเย็น คนละ 300 NT จะเลือกเป็นมื้อกลางวันหรือว่ามื้อเย็นก็ได้ เราเลยเลือกเอาเป็นมื้อเย็นแล้วกลางวันนี้เราจะไปหากินข้างนอกแทน ส่วนอีกมื้อนึงก็เป็นมื้อเช้าของวันพรุ่งนี้ เอาข้าวของเก็บเรียบร้อยแล้วก็เริ่มออกลุยทันที เดินกันออกไปด้านหน้าโรงแรม ข้างๆจะมี 7-11 กับ Starbucks Coffee ชอปปิ้งซื้อของและขนมกันนิดหน่อย ทุกคนบอกว่าหิวเลยรีบหาอะไรรองท้อง ในนั้นจะมี food center ก็เดินดูแทบทุกร้านว่ามีอะไรบ้าง สุดท้ายเลือกร้านที่ 2 เป็นหมูกะทะจานร้อนแถมด้วยข้าวและซุป เจ้าของร้านใจดีแถมหมี่มาให้ตั้งเยอะเมื่อรู้ว่าเราไม่ใช่คนไต้หวัน เห็นอาหารมาแล้วตกใจว่าจะกินหมดหรือเนี่ย จานใหญ่มาก ใส่หมี่มาพูนจาน มีน้ำซุปใสๆกับลูกชิ้นใหญ่ลอยอยู่ 1 ลูกกับต้นหอมโรยนิดหน่อย ส่วน Effie กับ Kate เลือกสั่งหมี่ ชามไม่โตนัก เค้าจะกินกันเร็วมาก หมดก่อนพวกเราทุกที ต้องทำเวลาเร่งให้ทัน อิ่มหนำสำราญแล้ว Kate บอกว่าอยากกินกาแฟ เพราะเมารถกินยาแล้วรู้สึกง่วงนอน Starbucks นี้คงจะเป็นร้านที่สูงที่สุดในโลก นั่งจิบกาแฟคุยกันสักพัก เดินออกมาไปต่อที่ Chingjing Swiss Garden เป็นสวนดอกไม้ มีที่พักบริการด้วย แต่ดูแล้วสู้สวนดอกไม้บ้านเราไม่ได้ สวนแม่ฟ้าหลวงกินขาด เดินดูรอบๆและถ่ายรูปกันสักพัก ดีที่ได้ตั๋วมาฟรีรวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว ไม่งั้นเสียดายเงินแย่ ทีแรกพอมีเวลาก็ว่าจะไป Chingjing Farm วันนี้เลย สอบถามที่เคาน์เตอร์ บอกว่าฟาร์มปิด 5 โมง เลยเปลี่ยนใจไปพรุ่งนี้ ได้ตารางเวลารถเมล์ไปชิงจิ้งพรุ่งนี้แล้ว เวลา 8.20 ไปรอขึ้นด้านหน้าโรงแรม เสียค่ารถคนละ 20 NT ว่าจะเชคอินโรงแรมแล้วฝากของไว้ที่เคาน์เตอร์เลยจะได้ไม่ต้องกังวลเผื่อว่ามาช้า รถเมล์ซึ่งจะพาเรากลับไทเปจะมารับเวลา 1.15 ต้องรีบมาให้ทัน สรุปว่าเวลาที่เหลือ ก็ไปเดินเล่น ดูไร่ชาและบรรยากาศรอบๆรีสอร์ท วิวสวยและประทับใจ อยู่จนพระอาทิตย์ตกทั้งเหนื่อยและหิว อากาศเริ่มเย็นแล้วด้วย รีบกลับมาโรงแรมเข้าไปกินอาหารเย็นกัน เรามีคูปองคนละ 300 NT เลยสั่งอาหารแบบเป็นชุดกิน 6 คน มีอาหาร 5 อย่าง ซุปอีก 1 กะลามัง ตบท้ายด้วยแตงโมอีก 1 จาน อิ่มแปร้เลย ก็อร่อยดี แต่อาหารของเค้าจะจืดๆ อิ่มแล้วก็แยกย้ายกันเข้าห้อง อากาศเย็นสบาย ดาวเต็มท้องฟ้า ทุกคน นอนหลับปุ๋ยด้วยความเหนื่อย หลังจากนั่งรถมาจากไทเปตั้ง 4.30 ชั่วโมง
(โปรดติดตามตอนที่ 3 )
Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2549 | | |
Last Update : 24 ตุลาคม 2549 9:12:23 น. |
Counter : 586 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|