Never Ending Journey ....
Group Blog
 
All blogs
 

จาก West สู่ East (ตอนที่ 1)

       

       ด้วยความที่เป็นคนชอบเที่ยว และเมื่อโอกาสมาถึงจึงรีบคว้าไว้ รวบรวมคนคอเดียวกันได้ 6 คน วางแผนการเดินทางจากตะวันตกสู่ตะวันออกในระยะเวลา 1 เดือน เลือกสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ได้เท่าไรเอาเท่านั้นเพราะว่าเวลาจำกัด เริ่มด้วยฝั่งตะวันตก ออกเดินทางจาก Los Angeles ขึ้นเหนือทาง Highway 1 เลียบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคไปยัง San Francisco แวะริมทางไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ Big Sur ดูแมวน้ำที่ขึ้นมาอาบแดดบนหาด



Birby Creek Bridge สะพานเชื่อมภูเขาเคยเห็นในหนัง Hollywood หลายเรื่องไปจนถึงเมืองที่ใครๆหลายคนต้องทิ้งหัวใจไว้ที่นั่นคือ San Francisco สะพานGolden Gate Bridge เป็นสัญญลักษณ์ของซานฟราน พลาดไม่ได้อยู่แล้ว



แต่ละครั้งบรรยากาศก็ต่างกัน บางทีไปช่วงเช้าพระอาทิตย์ขึ้น บางครั้งไปช่วงเย็นพระอาทิตย์ตก บ้างก็ไปช่วงหนาว เจอหมอกบางๆ สวยอย่าบอกใคร ถ้าไปช่วงหน้าร้อน แดดเปรี้ยงเวลาแดดส่องสะพานสีแดงสดใสดูเด่น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ 9/11 ยังไม่มีโครงเหล็กมากั้นไว้แบบนี้





ซานฟรานมีที่เที่ยวเยอะ สำหรับคราวนี้มีเวลาไม่มากก็ต้องเลือกเอา เพราะบางคนในทริปเคยไปแล้ว แต่บางคนยังไม่เคยไปก็ต้องจัดลงไปด้วย ที่เด่นๆก็มี Palace of Fine Art, Lombard Street, Pier 39 ขาออกขับผ่านสะพาน Richmond Bridge เพื่อจะไปยัง Reno : Nevada เป็นสะพานเหล็กสองชั้น ชั้นบนขาเข้าจะเสียตังค์ ส่วนชั้นล่างขาออกจะฟรี



Reno เมืองหลวงของรัฐ Nevada จะมีชายแดนติดกับ California เป็นเมืองคาสิโนอีกแห่ง แต่จะเล็กและไม่ hit เท่ากับ Las Vegas พวกเราแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มยังโดนสลอตแมชชีนกินไปหลายเหรียญ น้ำมันเลยแพงกว่าปกติครับ วันนี้ขับยาวหน่อย โดยใช้เส้นทาง I-80 ข้ามเนวาดาทางเทือกเขา Rocky ด้านบนนี่ไม่มีอะไรเที่ยวเลย ทะเลทรายล้วนๆ น้ำมันต้องกะให้ดี แต่ละเมืองห่างกันมาก ไม่งั้นต้องนอนหนาวโดยมีงูหางกระดิ่งเป็นเพื่อนแน่ ข้ามไป Utah ถึง Salt Lake City เมืองหลวง ที่จะขาดไม่ได้เมื่อไปถึง Salt Lake ก็คือ Temple Square



ถ้าไปช่วง Spring ก็จะมีดอกไม้ประดับประดาดูสดใส แต่ถ้าไปช่วงหนาวละก้อ ใบไม้ร่วงโกร๋น กลายเป็นพญาไร้ใบไปหมด แต่วิวจะสวยเพราะว่าเขาสูงๆมีหิมะขาวคลุม เป็นแบคกราวน์ที่สุดยอด ทริปนี้ได้แค่แวะที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เพราะว่าถ้าจะต้องไปเที่ยวที่อื่นนี่สงสัยจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน (รอทริป Utah ล้วนๆดีว่านะครับ –โปรดติดตามตอนต่อไป) ต่อไปยัง Wyoming ยังคงใช้เส้น I-80 อยู่ ฝนตกตลอดทาง แต่ก็ดีว่าไม่มีที่เที่ยวน่าสนใจ



ได้เจอ Bison ฝูงใหญ่ที่ Wild Cave National Park เยอะมากคาดด้วยสายตาประมาณ 100 ตัวขึ้นไป มีป้ายบอกเตือนว่าห้ามเข้าใกล้ ก็เลยแอบไปยืนถ่ายรูปกันแบบกล้าๆกลัวๆ พร้อม เตรียมวิ่งขึ้นรถทันที เที่ยวหน้าหนาวจะมืดเร็วมาก 5 โมงเย็นนี่ก็มืดแล้ว แต่ถ้าเที่ยวหน้าร้อนนี่ได้กำไร 2 ทุ่มยังพึ่งจะเริ่มมืด อ้อ... ลืมเล่าไปครับว่าต้องลดเวลาไปอีก 1 ชั่วโมง เพราะว่าที่อเมริกาจะแบ่งเวลาเป็น 4 โซน มี Pacific Time Mountain Time, Central Time, Eastern Time พวกเราก็งงๆกับเวลาต้องคอยหมุนนาฬิกาบ่อยๆ จากฝั่งตะวันตกมาตะวันออกออกจะขาดทุน เวลาจะเร็วกว่า เลยได้เที่ยวน้อยลงเพราะว่ามืดเร็วขึ้น บางวันข้ามโซนมา ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตื่นมามืดตี๋อเพราะว่าหมุนเร็วไป 1 ชั่วโมง มันส์ดีครับ ถ้าเราอยู่ฝั่งwest จะโทรไปทางฝั่ง east ต้องเชคเวลาดีๆ โทรหาเพื่อนอาจจะโดนด่าเอาได้ ฝั่งเราเที่ยงคืนของเค้าตี 3



ถึงแล้ว Mt. Rushmore : South Dakota อยากจะมาเห็นกับตาจริงๆ คิดว่าน่าจะไม่ค่อยมีทัวร์จัดมาเพราะว่ามันไกลมาก เลยต้องขับรถมากันเอง เมื่อมาถึงไม่ผิดหวัง น่าทึ่งมากๆ แกะรูปหน้า 4 ประธานาธิบดีจากหินภูเขา ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นผลงานของฝีมือมนุษย์อากาศหนาวมาก ลมแรงทั้งๆที่แดดเปรี้ยง พูดมีควันออกจากปากเลย คาดว่าไม่น่าจะถึง 5 องศา จากนั้นก็ออกมาโดยเปลี่ยนมาใช้เส้น I-90 ผ่าน Crazy Horse เป็นอีกที่นึงที่แกะสลักรูปบนหน้าผา



แต่เป็นรูปม้า ทำคล้ายๆ Mt.Rushmore ตอนที่ผมไปนั้น แกะได้แค่หน้าม้า คาดว่าตอนนี้น่าจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แวะ Badlands National Monument มีลักษณะเป็นภูเขาชั้นๆสีแดงอมส้ม เกิดจากการะเบิดของภูเขาไฟ ส่วนใหญ่ค่าเข้า National Park แต่ละแห่งจะเสียค่าเข้าเริ่มตั้งแต่ 10 เหรียญต่อรถ 1 คัน ไปจนถึง 25 เหรียญถ้าเราซื้อเหมารวม จำไม่ได้ว่าราคาเท่าไรครับ จะเป็นคล้ายๆ passport เข้าที่นึงก็ปั๊ม ใช้ได้หลายครั้ง จะคุ้มกว่าถ้าเที่ยวหลายที่ แต่ถ้าเป็นพวกคนสูงอายุ หรือคนพิการ ก็ฟรีครับเปลี่ยนเวลา อีก 1 ชั่วโมง แวะค้างคืนที่ Sioux Falls โรงแรมดูคึกคักเต็มไปด้วยนักล่านก และหมา ซึ่งเค้าจะใช้หมาไปคาบนกเมื่อยิงได้แล้ว สอบถามได้ความว่าทุกปีช่วงนี้จะเป็นฤดูล่านกเป็ดน้ำ คนที่จะมาล่านกนั้น ต้องมีใบอนุญาติด้วยไม่ใช่ใครจะไปยิงก็ได้ Corn Palace เป็นเมืองที่ปลูกข้าวโพดกันมาก มีสิ่งแปลกอยู่อย่างนึงคือ Corn Palace อาคารทั้งหลังจะตกแต่งด้วยข้าวโพดทั้งหมด



จะเปลี่ยนรูปแบบไปทุกปีไม่มีซ้ำ ทำติดต่อกันมาหลายปีจนเป็นประเพณีแล้ว เข้าไปข้างในตัวอาคาร ซึ่งเป็นสนามบาสเกตบอลของเมือง ตกแต่งผนังเป็นรูปต่างๆด้วยข้าวโพด มาถึง St.Paul เมืองหลวงของMinnesota ช่วงบ่ายแก่ๆ แดดเปรี้ยงแต่ว่าอากาศยังคงหนาวมาก แวะโบสถ์ St.Paul และก็ State Capital ใบไม้เปลี่ยนสีมีอีกเพียบ เหลือง ส้ม รัฐนี้ไม่มี Tax กระเป๋าตังค์ของเพื่อนร่วมทางเริ่มจะดิ้นกันใหญ่ เลยหา outlet แวะชอปปิ้งให้หายอาการซ่าส์ซะหน่อย ยังคงใช้ I-90 เข้า Wisconsin



ทางฝั่ง east นี้ใบไม้เปลี่ยนสีจะมีให้เห็นตลอดทาง เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่คนทางฝั่ง west อย่างเราๆ ไม่ค่อยเห็น จึงตื่นตาตื่นใจ ถึงจะเหนื่อยกับการเดินทางอย่างไรก็ไม่มีหลับ แวะถ่ายรูปกันตลอดทาง เข้าสู่ Illinois เริ่มจะต้องเสียค่าทางด่วนแล้ว ออกจะดูแปลกๆกับด่านเก็บตังค์ คือจะมีสองแบบ อันแรกก็มีคนเก็บเหมือนปกติ แต่ที่แปลกจากที่เคยเห็นคือจะมีถุงห้อยอยู่ข้างตู้เก็บเงิน ให้เราโยนเหรียญค่าผ่านทางลงไป จำนวนเงินต้องเตรียมให้พอดีด้วย เราถึงจะผ่านไปได้ เสียค่าผ่านทางมาเป็นระยะๆ กว่าจะถึง Chicago โดนไป 5 ด่านแล้วเนี่ย เข้าเมืองทีแรกก็กลัวๆเพราะว่าคนดำเต็มไปหมด ก็แค่พยายามอย่าหลงไปในที่เปลี่ยวๆ



ถึงนี่แล้วพลาดไม่ได้ต้องไป United Center ก็ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Chicago Bulls และไมเคิล จอร์แดน ต้องไปชักภาพเป็นที่ระลึกซะหน่อย ต่อไปยัง Buckingham Fountain ลานน้ำพุใจกลางเมือง Chicago ด้านหลังมองเห็นตึกสูงย่านธุรกิจของเมือง อากาศยังหนาวมาก หาที่จอดรถไม่ยากนัก อีกด้านหนึ่งจะเป็นทะเลสาบสุพีเรีย



ทะเลสาบที่ใหญ่สุดของ The Great Lakes พอดีเป็นวัน Holloween จึงได้ไปที่ Navy Pier มีการจัดงานฮัลโลวีน ผีเดินกันเต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเด็กๆ นอกจากนั้นยังมีการตกแต่งร้านต่างๆด้วยฟักทอง คล้ายๆกับงานวัดบ้านเรา

(โปรดติดตามตอนที่ 2)






 

Create Date : 21 กันยายน 2548    
Last Update : 24 ตุลาคม 2549 8:58:14 น.
Counter : 871 Pageviews.  

จาก West สู่ East (ตอนที่ 2)

   

ต้องลดเวลาลง 1 ชั่วโมงอีกแล้ว คราวนี้ใช้เส้นทาง I-65 ลงมา Indiana เที่ยวสนามแข่งรถ INDY 500 ที่ Motor Speedway เค้าไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมด้านใน เราก็เลยได้แค่เฉียดสนามแข่งด้านหน้า



เดินทางต่อไปยังอนุสาวรีย์กลางใจเมือง ซึ่งลักษณะและที่ตั้งก็คล้ายๆกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของเรา คือเป็นวงเวียน แล้วก็ไป President Benjamin Harrison Home



ผ่านเข้าสู่รัฐ Ohio ตลอดทางที่รถวิ่งมาก็จะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีละลานตาไปหมด เหลือง ส้ม แดง สารพัดพันธ์ของต้นเมเปิ้ล ดูแล้วมันสบายใจ สบายตาซะจริงๆ ถ้าจะมาเที่ยวฝั่ง east ดูใบไม้เปลี่ยนสีละก้อ ต้องมาช่วงตุลาคม รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่ๆ



ข้าม West Verginia ไป Pennsylvania การเดินทางในช่วงนี้จากรัฐนึงไปรัฐนึงจะใช้เวลาไม่มาก เพราะว่ารัฐจะเล็ก และอยู่ติดๆกัน ไม่เหมือนทางฝั่ง west แต่ละรัฐต้องขับกันเป็นวันๆ ที่ Pittsburgh ได้แวะ Three Rivers Stadium



สนามแข่งอเมริกันฟุตบอลของทีม Pittsburgh Steelers วันนี้ไม่มีการแข่งขัน เลยดูเงียบๆ พึ่งจะเสร็จสิ้นการแข่งขันเมื่อวาน วันนี้เลยเปิดทำความสะอาด พวกผมแอบเข้าไปถึงข้างในสนาม สักเดี๋ยวเจ้าหน้าที่มาเห็นโวยใหญ่ ว่าใครให้เข้ามา เราทำหน้าตาเฉยบอกว่าไม่รู้ แต่ไม่ง้อหรอกเพราะถ่ายรูปกันเสร็จแล้วพอดี อิ...อิ



ถามทางคนแถวนั้นว่าจะขึ้นไปจุดชมวิวของเมือง ที่สามารถมองเห็น 3 สะพาน ก็มีคนใจดีบอกทางจนเราได้เจอ เป็นจุดสูงสุดที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองได้ทั้งหมด ขึ้นเหนือโดยใช้เส้น I-79 มุ่งหน้าสู่ Niagara Falls ตื่นเต้นจังเลย



ขับรถเลียบ The Great Lakes มาเรื่อยๆ ที่จอดรถกับทางไปน้ำตกไกลพอสมควร มองจากทางฝั่งนี้จะเห็นเพียงส่วนโค้งของน้ำตกเท่านั้น ละอองน้ำตกฟุ้งกระจายสูงจนมองเห็นได้ไกลเป็นเมตร ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว นักท่องเที่ยวจะเข้ามาไม่ได้เพราะว่าหิมะตก บริการให้นั่งเรือลอดใต้น้ำตกก็คงจะไม่สามารถทำได้ เพราะตัวน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด วันนี้โชคดีมีหิมะตกลงมาปุยเล็กๆ พอให้ได้สัมผัส ได้เวลาข้ามประเทศเข้าสู่ Canada แล้ว ผ่านด่านเชคพาสปอร์ตและวีซ่าไม่มีปัญหา ว่ากันว่าน้ำตกไนอาการ่าฝั่งแคนาดาจะสวยกว่าฝั่งอเมริกา น่าจะจริง



มองจากทางฝั่งนี้ จะเห็นน้ำตกเป็นรูปครึ่งวงกลมทั้งหมด พลังน้ำตกแรงมาก ละอองกระเซ็นกลายเป็นหมอกคลุมไปทั่ว อากาศ 2 องศาเซลเซียสเท่านั้น ต่อไปยัง Toronto มีหอสูงคล้าย Space Needle ที่ Seattle เพื่อนแนะนำร้าน King Noodle ก็หาเจอได้ไม่ยาก โซ้ยบะหมี่กันเต็มที่หลังจากกินอาหารขยะมาหลายมื้อแล้ว คนจีนเยอะเหมือน พาหุรัด เยาวราช ส่วนใหญ่จะอพยพมาจากฮ่องกง เช้าตื่นมาเห็นรถมีเกร็ดน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด พื้นเหยียบลงไปเสียงดังกรอบแกรบ ต้องหากาแฟร้อนๆกินแก้หนาว แวะ Sky Dome สัญญลักษณ์ของ Toronto



เดินข้ามถนนไปอีกไม่ไกลนัก จะมี Hocky Hall of Fame ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมประวัติต่างๆเกี่ยวกับ hocky รวมถึงบรรดานักฮอกกี้ที่มีชื่อเสียงของเมืองด้วย ด้วยเพราะว่าเป็นเมืองหนาว กีฬาประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย



เลือกเส้นทาง 401 east ไป Ottawa เมืองหลวงของ Canada ไม่ค่อยดังเหมือนเมืองอื่น เช่น Toronto หรือ Montreal มีที่น่าสนใจก็คือ Parliament Building ที่ทำการรัฐบาล เป็นตึกทรงยุโรปอายุเก่าแก่



ทำเลสวยด้านหลังจะเป็นแม่น้ำ Ottawa River มีหอนาฬิกา และอาคาร 100 กว่าปีตั้งอยู่บนเนินเด่นเป็นสง่า ตัดกับผืนหญ้าสีเขียวสด อากาศเย็นสบายแค่ 6 องศา นั่งรถรางเล็กชมทั่วบริเวณ เดินไม่ไหวเพราะว่ากว้างมาก เมืองถัดไปคือ Montreal เคยเป็นสถานที่จัดโอลิมปิคหลายปีก่อน แวะ Biodome กำลังซ่อมแซม



ตกลงกันว่ารีบไป Quebec จะได้ใช้เวลาที่นั่นเยอะๆ ใช้เส้นทาง I-40 แวะ Citadelle ปราสาทใหญ่ติดกับแม่น้ำ St.Laurant แล้วก็ Notre Dame Du Quebec Roman Catholic ไปไหนไม่ได้เริ่มมืดแล้ว ชอปปิ้งดีกว่า หาที่ชอปใกล้ๆกับโรงแรม ห้างชื่อ Eaton ใหญ่ที่สุดของเมือง เดินจนห้างปิด



ไปน้ำตกMontmorency อยู่ริมข้างทาง มองเห็นจากถนน แต่พวกเราเดินเข้าไปข้างใน ยังเช้ามากเลยไม่มีนักท่องเที่ยวเท่าไร อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆน่าจะอยู่ที่ 0 องศา มองได้จากป้ายที่ติดไว้ โบกมือลา Canada จะเข้า USA ที่รัฐ Maine คาดว่าหิมะพึ่งจะหมดไป ยังพอมีเห็นเป็นก้อนๆ อยู่ที่ลานจอดรถ



ก่อนออกขอแวะชอปปิ้งส่งท้ายที่ Duty Free กำลังจะเข้าเขต USA หิมะลงมาปรอยๆอีกครั้งเยอะพอสมควร ลงจากรถไปเล่นหิมะกัน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ Maine เป็นด่านเล็กๆ เจ้าหน้าที่ไม่เคร่งครัดนัก แค่ถามว่าไปไหนกันมา ดูพาสปอร์ตแบบลวกๆ (แต่ตอนนี้คงไม่มีอีกแล้วหลังจาก 9/11)เข้าสู่ US ด้วยเส้นทาง 201 south แวะเมือง Bangor มาถึง Maine ตั้งใจจะไป French Man Bay สถานที่ดูปลาวาฬ โชคไม่ดีที่ยังไม่ถึงฤดูปลาวาฬจะมา ก็เลยเปลี่ยนแผนไป Sand Beach สุดยอดของ North East มองเห็นชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคเต็มไปด้วยเกาะใหญ่เกาะน้อยได้สุดลูกหูลูกตา ล่องใต้ลงมาที่ Portland ด้วยเส้นทาง I-95 South ถึง Maine แล้วนี่ ต้องกินกุ้ง Lobster



วนหาร้านขายกุ้งสดๆเค้าก็จะทำให้เราด้วย เจอร้านเดียวที่ยังเปิดขาย เค้าก็ต้มให้ น้ำจิ้มอะไรก็ไม่มี ตระเวณหาร้านอาหารไทย โชคดีมากเลย ไปขอซื้อข้าว-กับข้าว แล้วก็มะนาว-น้ำปลา คุยกับเจ้าของร้านได้ความว่า ธุรกิจที่นั่นถ้าหน้าหนาวจริงๆ จะหยุดกันยาว 3 เดือน กะว่าจะหาที่วิวสวยๆ ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค นั่งละเลียดกินกุ้ง lobster เจอประภาคารแห่งหนึ่ง มี park เล็กๆ พอลงจากรถ หนาวมาก แต่ขนของลงไปนั่งทีโต๊ะปิคนิคแล้ว ยังไงก็ต้องทน บรรยากาศเริ่ดมากแต่ว่าหนาวสุดๆ นั่งแกะกุ้งนี่มือแข็งจนง้างแทบไม่ออก ขนาดว่าแดดเปรี้ยงๆนะ เดินทางสู Boston



เช้าตื่นขึ้นมาน้ำแข็งเกาะรถเต็มเลย ต้องมาช่วยกันขูดออก มองไม่เห็นทางกระจกหน้าฝ้าไปหมด ผู้คนแต่งตัวดูแปลกไปจากที่เราคุ้นเคย ใส่เสื้อคลุมยาวๆ แบบยุโรป แวะเข้าไปที่ Haward University จอดรถไว้ข้างนอก แล้วเดินเข้าไปในมหาลัย บรรยากาศดูร่มรื่น มีสะพานโค้งด้านหลังเป็นหอนาฬิกาสีแดง ที่คลองนี้จะเอาไว้แข่งเรือซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของยูนี้ นักศึกษาเดินกันขวักไขว่ หน้าตายุ่งๆ ท่าทางจะเรียนหนัก

(โปรดติดตามตอนที่ 3 )





 

Create Date : 16 กันยายน 2548    
Last Update : 24 ตุลาคม 2549 8:59:44 น.
Counter : 905 Pageviews.  

จาก West สู่ East (ตอนที่ 3)

   

และแล้วก็มาถึง New York ขับรถยากพอสมควร แตกต่างจากที่อื่นๆที่ผ่านมา เหมือนที่เราเห็นในหนังยังไงยังงั้น คนเดินข้ามถนนแบบไม่แคร์ รถก็บีบแตรไล่ วุ่นวายกันไปหมด ผู้คนดูเคร่งเครียด รีบเร่ง ที่พักจะค่อนข้างแพง ตกลงว่าจะเข้าไปนอนใน New Jersey รัฐติดกันเป็นเมืองแฝด เช้าๆค่อยขับรถเข้ามาขับมาทาง Staton Island เป็นทางเชื่อมระหว่าง New Jersey –New York เสียค่าผ่านทาง 7 เหรียญ สำหรับคนที่ข้ามไปข้ามมา สังเกตว่าคนที่ทำธุรกิจในรัฐนี้จะเป็นพวกแขกทั้งนั้น ทั้งปั๊มน้ำมันและโรงแรม เช้าข้ามกลับมาฝั่ง New York รีบแจ้นไปทีท่าเรือกลัวว่าจะไม่ทัน เรือที่ไป Statue of Liberty



จะออกเป็นเวลา เรามีเวลาน้อย ถ้าพลาดเรือก็จะเสียเวลาไปที่อื่นๆไปด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องทำเวลาให้ได้ ทันเรือเที่ยวแรกพอดี เป็นเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่จุคนได้เป็นร้อยๆ พอเรือออกจากท่า ก็รีบเดินไปที่กราบเรือเพื่อถ่ายรูปกับ downtown เมือง New York ทางด้านหลัง



ยังคงเห็นตึก World Trade ตระหง่านคู่กัน (นับแต่นี้ไม่มีอีกแล้ว)นอกนั้นก็เป็นตึกสูงๆเต็มไปหมด อากาศไม่ดีเท่าไร ฝนตกปรอยๆ ไม่มีแดดเลย นั่งเรือออกไป 45 นาที ตัวที่ตั้งเทพีเสรีภาพอยู่กลางเกาะในแม่น้ำ Hudson ค่าข้ามเรือก็คนละ 7 เหรียญ ในเรือมีของขายพวกแซนวิช กาแฟ แล้วก็ของที่ระลึก เมื่อเรือจอดเทียบท่าต้องดูเวลาเรือจะออกให้ดี ไม่งั้นจะตกเรือเอาได้ ที่ห่วงมากก็คือหยอดเหรียญค่าจอดรถที่ท่าเรือเอาไว้แค่ 3 ชั่วโมง เดินดูรอบๆ ด้านใน จะเป็นพิพิธภัณฑ์มีรายละเอียดบอกประวัติความเป็นมา และการก่อสร้างของเทพีแห่งนี้ ได้เวลาเรือจะออกก็รีบมารอที่ท่าเทียบ เรือจะต้องแวะอีกเกาะนึงเพื่อรับนักท่องเที่ยว เจอนักเรียนกลุ่มใหญ่ เสียเวลามากกว่าปกติ นั่งลุ้นระทึกว่าเรือจะทันกับค่าจอดที่เราหยอดไว้หรือเปล่า พอเรือถึงท่าโกยแนบวิ่งไปที่รถ พระเจ้ายังปราณี เจอเจ้าหน้าที่กำลังให้ตั๋วคันก่อนหน้าเราแค่ 2 คัน เฮ้อ.... รอดตัว นึกว่าจะเที่ยวแพงซะแล้วเรา



ไปต่อที่ museum หาที่จอดรถใกล้ๆ แต่พวกเราไม่ค่อยสนใจเท่าไร ใช้เวลาเดินไม่นาน อยากไปสัมผัสตลาดหุ้น Wall Street มากกว่า นึกภาพไม่ออกว่ามันเป็นยังไง



พอเห็นจริงๆก็คือถนนชื่อ Wall Street ซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นดาวโจนส์ NYSE หรือ New York Stock Exchange มีรูปปั้นกระทิงเปลี่ยวสีบรอนซ์เด่นเป็นสง่า



นักเลงหุ้นถือว่ากระทิงเป็นสัญญลักษณ์ของหุ้นที่ภาวะตลาดขาขึ้น การจะเข้าไปดูข้างใน ต้องไปขอบัตรจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวหรือคนที่อยากชมการซื้อ-ขายหุ้น ที่ยังคงเอกลักษณ์แบบโบราณเข้าไปได้ แต่จะแค่ดูจากกระจกทางด้านนอกซึ่งเค้าเตรียมสถานที่ไว้เท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปจนถึงห้องเทรดได้ อีกห้องนึงก็จะขายของที่ระลึกสารพัดทั้งแก้ว-เสื้อ-หมวก ดูดเงินจากเราอีก ลาแล้ว... New York… แวะชอปปิ้งที่ New Jersey ก่อน รัฐนี้ไม่มี tax คนจากฝั่งนิวยอร์คมักจะมาหาซื้อข้าวของกันที่นี่เพราะว่าไม่ต้องเสีย tax ท้ายรถเริ่มแน่นแล้ว ต้องจัดของกันใหม่ คราวนี้ใครจะซื้อของต้องวางบนตัก นี่คือ....คำสั่ง !!!!!!



เที่ยวหน้าหนาวจะพะรุงพะรังกับเสื้อผ้ากันหนาวมาก จุดหมายต่อไปคือ Washington D.C. ยังคงใช้เส้น I-95 ไปถึงดีซีขับรถวนหาทางเข้าทำเนียบขาวไม่เจอ หลงเข้าไปใน First Street ตกใจมาก มีแต่คนดำทั้งนั้น นี่ขนาดว่าชินกับ homeless ที Fifth Street ในL.A.มาแล้ว ยังลนลานหาทางกลับรถแทบไม่ทัน



แว่บเข้าไปดู White House มารอบนึง ฟ้ามืดเร็วมาก แค่ 4 โมงเย็นพระอาทิตย์ตกแล้ว นัดกับเพื่อนเก่าเอาไว้ กำลังเรียนโทอยู่ที่นั่น เค้าพากลับไปพักที่ Baltimore คุยกันจนถึงตี 2 เพราะว่าไม่ได้เจอกันมาหลายปี (ขอบคุณฟาง) เข้าไปเที่ยวใน White House ทำเนียบประธานาธิบดี Washington Monument แท่งสูงๆยาวๆที่เห็นในหนังบ่อยๆ (เจอซ่อมแซมอีก แท่นเหล็กระโยงระยางไปหมด) ใกล้ๆกันเป็นสระน้ำที่ด้านหลังเป็นอนุสาวรีย์อับราฮัม ลิงคอนน์ ขับไปอีกก็จะเป็น park เล็กๆมีสะพานข้ามแม่น้ำ Potomac แล้วก็มีโดมของ Jefferson



ล่องใต้ ด้วยเส้นเดิม I-95 เพื่อจะไปหาเพื่อนเกาหลี ที่ Columbia- South Carolina กำลังเรียนต่อโทใบที่สองอยู่ USC ดีอกดีใจใหญ่ เพราะว่านานมากอีกเหมือนกันที่ไม่ได้เจอ เช้านัดกิน breakfast กันที่ร้าน IHOP ร่ำลากันแล้วบอกว่าสักวันคงได้ไปเที่ยวเมืองไทย ตอนนี้กำลังจะจบปริญญาเอกแล้วที่ Florida State


(โปรดติดตามตอนที่ 4 )




 

Create Date : 16 กันยายน 2548    
Last Update : 24 ตุลาคม 2549 9:02:14 น.
Counter : 629 Pageviews.  

จาก West สู่ East (ตอนที่ 4)

  

ชีวิตคือการเดินทาง ....ว่าแล้วก็เดินทางกันต่อไป มา Atlanta ฝนตกพรำๆตลอดทาง งานชักกร่อยเพราะว่าลงรถเที่ยวแทบจะไม่ได้ ที่นี่เป็นที่ตั้งของบริษัทแม่ Coca-Cola มีคนยืนรอคิวยาวเหยียดเพื่อจะเข้าชม



ออกไป Georgia Dome สถานที่แข่งขันโอลิมปิค ยุคที่สมรักษ์ คำสิงห์ได้เหรียญเงิน ฝนตกมากขึ้นเรื่อยๆ เซ็งมาก จะมัวรอฝนหยุดซึ่งก็ยังไม่เห็นวี่แวว น่าจะเป็นพายุเข้าแน่ๆ คราวนี้ย้อนกลับมาทาง West ต้องเปลี่ยนเวลาจาก Pacific time เป็น Central Time แต่ครั้งนี้ได้กำไร 1 ชั่วโมง แทนที่จะเป็น 4 โมงก็กลายเป็น 3 โมง มีเวลาเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก อยากจะแวะ Chattanooga แต่ฝนตกหนักแบบนี้คงไม่ไหว



มุ่งหน้าสู่ Memphis ด้วยเส้น I-40 แวะเยี่ยมบ้าน Elvis Presley ทีGraceland อีกครั้ง เข้าไปชมในตัวบ้านเสียค่าเช้า 10 เหรียญ ต้องนั่งรถของ Graceland ข้ามถนนเข้าไปยังบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายของที่ระลึก



หน้ารั้วบ้านเป็นอิฐ บรรดาแฟนๆเพลงได้ไปสลักลายชื่อไว้บนกำแพงรั้วบ้านแทบทุกตารางนิ้วจนไม่มีที่ว่าง แวะdowntown ของ Memphis ไปเดินถนน Elvis หัวถนนจะเป็นสวนเล็กๆมีรูปปั้นเอลวิสยืนถือกีตาร์ส่ายสะโพกอยู่ ถนนทั้งสายจะเป็นร้านขายของ ร้านอาหาร และร้านของที่ระลึก พร้อมใจกันตกแต่งด้วยสไตล์ Elvis จะได้ยินเสียงเพลงของเอลวิสแว่วมาตลอดเวลา



ต่อไปยัง Piramid พิพิธภัณฑ์ โชคไม่ดีอีกไม่เปิดวันอาทิตย์ เลยอดเข้าไปชมด้านใน ขับรถผ่านแม่น้ำ Mississippi ที่เมือง Little Rock แต่ไม่ได้แวะ



ต้องไปหาเพื่อนที่ Dallas ระหว่างทางหมอกลงจัดมาก ขับได้ไม่เร็วเท่าไร ช่วงนี้ถือว่าขับยาวพอสมควร ถึงดึกแล้ว น้องทำกับข้าวไว้รอ ทั้งต้มยำกุ้งและส้มตำ อร่อยมาก ตื่นสายเพราะว่าเมื่อคืนดึก กินข้าวต้มกันอิ่มท้องแล้ว น้องพาออกมาเที่ยวที่สนาม Baseball ชื่อ Texas Ranger ของเมือง Arlington เคยเป็นของจอร์จ บุช แต่ขายไปแล้ว แยกย้ายกับน้อง (ขอบคุณนุ้ย)



หนึ่งในคณะทัวร์เป็นแฟนตัวยงของ Dallas Cowboy บอกว่ามาแล้วต้องขอแวะเฉียดๆสนาม Texas Stadium ซักหน่อย คุณขอมาก็ต้องให้ ช่วงนี้ยังไม่มีการแข่งขัน เข้าไปจอดในที่จอดรถของสนามได้เลย



ดีใจที่ได้กลับมาเยือน Collage Station บ้านเก่าอีกครั้ง หลานกำลังเรียนโทอยู่ ได้ที่พักฟรีอีก 1คืน (ขอบคุณตวง) อากาศยังไม่เป็นใจ หมอกคลุมตลอดตั้งแต่เช้า ต่อไปยัง San Antonio เมืองท่องเที่ยวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของ Texas ไปหลายครั้งจนจำได้เลยทำหน้าที่เป็นไกด์



เข้าไปใน The Alamo สักพัก ออกมาเดินเที่ยวที่ River Walk แหล่งชอปปิ้ง เป็นอาคารที่มีแม่น้ำอยู่ตรงกลาง มีเรือให้นั่งชมบรรยากาศรอบๆ ค่าตั๋วรู้สึกว่าจะ 5 เหรียญถ้าจำไม่ผิด ใกล้ๆจะมี สนามบาส The Alamo Dome ของทีม San Antonio Spurs บ๊าย..บาย Lone Star State คราวนี้ยาวมาถึงชายแดน El Paso ด้วยเส้น I-10 เคยมีคนกล่าวว่า Sunrise and sunset in Texas ก็คือมันใหญ่มาก ขับรถตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตกก็ยังไม่พ้น



วันนี้อากาศดีมาก แดดสดใส ต้องไป White Sands National Monument ที่ New Mexico ข้ามเขตและเปลี่ยนเวลาเป็น Mountain Time ได้กำไรมาอีก 1 ชั่วโมง คราวนี้อยู่นานจนพระอาทิตย์ตก ต้องรอพระอาทิตย์ลับฟ้าก่อนจะเห็นภูเขาทรายขาวมีแสง เงา ทำให้เห็นมองแปลกตาไป



สวยกว่ามาช่วงแดดเปรี้ยง แสบตามากเพราะว่าขาวโพลนเหมือนมองหิมะ ร้อนด้วยเพราะไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้หลบร่มแม้แต่ต้นเดียว แต่ช่วงหน้าหนาวก็หนาวขาดใจอีกวันอากาศกลับเย็นขึ้นอีก ใช้เส้นทาง I-25 Albuquerque



มุ่งหน้าสู่ Bandelier National Monument เจอหิมะตกเล็กน้อย เป็นภูเขาที่หินเป็นรูๆตรงหน้าผา ถ้าใหญ่หน่อยก็จะเป็นที่พักของคนอินเดียนสมัยโบราณ มีบันไดให้เราปีนขึ้นไปดูด้านในด้วย ไปอีกที่นึงคือ Chaco Culture National Historic Park หมู่บ้านอินเดียนเหมือนกัน อันนี้ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร หนาวเหน็บจนน้ำแข็งเกาะกระจกรถ ต้องขูดกันอีกแล้ว น่าจะต่ำกว่า 0 องศาแน่ๆ เแวะ Aztec Ruins National Monument ดูซากเมืองเก่าๆที่ถูกทำลายไปหมดแล้ว ยังมีที่น่าสนใจกำลังรอพวกเราอยู่ คือ Durango : Colorado



ต่อไปยัง Mesa Vadre National Park ต้องขับรถขึ้นสูงไปยอดเขา เคยเป็นอดีตที่อยู่อาศัยของพวกอินเดียน หน้าผามีโพรง เป็นหมู่บ้านมีประมาณ 600-800 ครอบครัว ด้านหลังเป็น Square Tower House กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดน่าจะเป็น Cliff House เสียดายไม่ได้เข้าไปใกล้ๆ เพียงแค่ดูจากฝั่งตรงข้ามเท่านั้น เพราะต้องเดินไต่เขาลงไป อีกแห่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก Four Corners จุดชายแดนของ 4 รัฐ คือ Colorado , New Mexico, Utah, Arizona มาตัดกัน ถ้ายืนตรงนี้เหมือนได้ไปเที่ยวมาแล้ว 4 รัฐ



อากาศ 6 องศา แต่ไม่มีน้ำแข็งเกาะหน้ากระจกรถ ฝ่าความหนาวลงรถไปแอคท่าบนจุดบรรจบ 4 รัฐ มีธงชาติของแต่ละรัฐอยู่บนเสา ส่วนตรงพื้นก็เป็นชื่อรัฐทั้ง 4 มาชนกันอยู่บนแท่น หนาวจริงๆ ใครถ่ายรูปแล้วต้องรีบวิ่งเข้าไปหลบหนาวในรถทันที เปิดฮีตเตอร์อุ่นๆรอไว้ ไม่ไหวเลย

โปรดติดตามตอนที่ 5




 

Create Date : 16 กันยายน 2548    
Last Update : 24 ตุลาคม 2549 9:01:07 น.
Counter : 474 Pageviews.  

จาก West สู่ East (ตอนที่ 5)

       

ต่อไป Grand Canyon เสียค่าเข้าอีก 20 เหรียญ คราวที่แล้วมาช่วงใกล้เที่ยง แดดแรงมาก ถ่ายรูปไม่สวยเพราะว่าแสงมันจ้า มาครั้งนี้จะไม่รีบ รออยู่จนพระอาทิตย์ตก แสงอาทิตย์เริ่มจางลง สีของหน้าผาสวยขึ้นเรื่อยๆ


เดินไปดูของที่ระลึกตรงหอคอยหินสูงๆ เสียค่าขึ้นไปดูวิวคนละ 25 เซนต์ พระอาทิตย์ตกแล้วก็ออกมาเที่ยวที่ point อื่นๆ อยู่ในนั้นประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า กำลังถ่ายรูปมีทัวร์ไทยมาลง นั่งรถมาตั้งไกล ใช้เวลาชะโงก 20 นาที หาที่พักได้ที่ Kingman เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าจะไป Las Vegas แวะ Hoover Dam



เขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ต้นแบบของเขื่อนภูมิพลของเรา) ตรงสันเขื่อนจะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างรัฐ Nevada และ Arizona มีนาฬิกายักษ์บอกเวลาของทั้งสองรัฐอยู่คู่กัน เปลี่ยนเวลาลดลงอีก 1 ชั่วโมงเขื่อนอยู่ห่างจากตัวเมือง Las Vegas ประมาณ 45 นาที เบื่อๆควันบุหรี่ในบ่อน ออกมาหาอากาศบริสุทธิ์ที่นี่ได้ น่าทึ่งที่สามารถทำให้รัฐ Nevada ซึ่งเป็นเมืองทะเลทรายมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ไหนจะไฟฟ้าอีก Vegas ทั้งเมืองใช้ไฟทั้งวันทั้งคืน ก็ใช้พลังน้ำจากเขื่อนนี้ด้วยเหมือนกัน



แวะโรงงานชอคโกแลต ชื่อ Ethel M. Chocolates เข้าไปดูวิธีการทำชอคโกแลตแบบโบราณ และชิมฟรี แถมมีสวนตะบองเพชรให้ชม มีหลายสายพันธ์ ช่วงคริสตมาสจะประดับไฟที่ต้นตะบองเพชรด้วย Las Vegas เมืองที่ไม่เคยหลับไหล กลางวันไม่น่าเที่ยว แต่ถ้าเป็นกลางคืนแสงสี พราวพราย เคยมา count down เมื่อปี 2000 เดินกันขาลากตลอดถนน Strip เดินถ่ายรูป ดูความสวยงามแต่ละโรงแรมไปเรื่อยๆ ถ้าจะให้หมดทุกที่ต้องใช้เวลาสัก 2-3 วัน



พวกเราก็เลือกเอาโรงแรมใหม่ๆ Mandalay Bay สีทองอร่าม ซึ่งกลายเป็นที่จัดมวยโลกแทน MGM แล้ว นอกนั้นก็ไป Luxor เคยมีคนพูดว่าเลเซอร์ที่ยอดปิรามิด สามารถมองเห็นจากบนเครื่องบินเลย นอกนั้นก็มี New York New York , Excalibur ดูน้ำพุดนตรีที่หน้าโรงแรม Ballagio เดินเข้าไปดูในร้าน Coca-Cola เป็นคล้ายๆพิพิธภัณฑ์ เสียค่าเข้าคนละ 2 เหรียญ มีการสาธิตวิธีการผลิต Coke ให้ดู



และยังมีประวัติความเป็นมาของน้ำอัดลมตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ได้ชิมน้ำอัดลมจากทั่วโลกรวม 30 ชนิด มีน้ำลิ้นจี่ของไทยเราด้วย เป็นที่น่าดีใจที่ผลิตผลของไทยมาไกลถึง LasVegas อีกมุมหนึ่งจะมีน้ำพุ coke พุ่งมาใส่แก้ว ให้เราเอาแก้วไปรอรับ ชิมสารพัดน้ำจนพุงกาง ได้เวลากลับบ้านแล้ว 1 เดือนเต็ม กับการเดินทางจาก West สู่ East ได้พบเห็นสิ่งต่างๆแปลกหูแปลกตามากมาย เป็นประสบการณ์ที่คงจะลืมไม่ลง ......

(โปรดติดตามทริปต่อไปครับ)


ป.ล. รูปอาจจะไม่ค่อยชัด เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีกล้องดิจิตอล ต้องเอารูปมากอปปี้ใหม่




 

Create Date : 15 กันยายน 2548    
Last Update : 24 ตุลาคม 2549 9:04:02 น.
Counter : 584 Pageviews.  


calpoppy
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ไม่ใช่คนเชียงใหม่ แต่มาอยู่แล้ว รักเชียงใหม่จนไม่อยากย้ายไปไหนอีก ...

I LOVE CHIANGMAI ....
Friends' blogs
[Add calpoppy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.