Never Ending Journey ....
Group Blog
 
All blogs
 
Naruw'an Taiwan (ตอนที่ 3 )

October 7, 2005

ตื่นมาตี 5 ฟ้ายังไม่ค่อยสางดี อากาศเย็นๆ ยังคงมองเห็นดาวทั้งๆที่ใกล้จะสว่างแล้ว รอจน 6 โมงพระอาทิตย์เริ่มขึ้น เปิดหน้าต่างและประตูห้องรับไอเย็นและแสงแรกของวัน นั่งจิบกาแฟร้อนๆดูพระอาทิตย์ขึ้นบนเตียงเลย โชคดีที่เลือกห้องนี้ รีบคว้ากล้องมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น

เดินออกมารับไอเย็นหน้าโรงแรม ถ่ายรูปกับบรรยากาศรอบๆรอเวลานัดกับสองสาวเพื่อจะได้ไปกิน breakfast เวลา 7.15 ย้อนกลับไปถ่ายรูปกับ Starbucks ที่สูงที่สุดในโลกอีกครั้ง เจอคุณลุงที่ขายข้าวหมูจานร้อนให้เมื่อวาน แกทักทายเราเพราะจำได้ เอาละสิพูดกันก็ไม่รู้เรื่อง เดาออกแค่ว่าไทกั๋ว คือคนไทยเท่านั้น

กลับไปรอ Effie กับ Kate ที่ลอบบี้ แล้วเริ่มบรรเลงอาหารเช้าแบบจีนๆอีกครั้ง เป็นข้าวต้มและกับข้าวแบบบุฟเฟต์ ก็มีหมูหยอง-ถั่วลิสงทอด-ถั่วฝักยาวผัดน้ำมัน-กะหล่ำปลีผัด-ไข่ไชโป๊ว-เห็ดใส่เต้าหู้ตุ๋นและหมั่นโถว



กินข้าวเสร็จก็ไปเชคเอาท์โรงแรม และเอากระเป๋าฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ จากนั้นออกไปรอรถเมล์ฝั่งตรงข้ามโรงแรมตามที่ได้ข้อมูลมา ถามคนโน้นคนนี้ว่าจะไปขึ้นรถเมล์ได้ที่ไหน ก็ไม่มีใครรู้ Effie เข้าไปถามพนักงานขายในมินิมาร์ท เค้าบอกว่าให้เราไปรอที่ Parking lot พอไปถามอีกคนเค้าบอกว่ารอหน้าโรงแรม

กำลังมองไปมองมา รถเมล์ขับเลยไป อุตส่าห์รีบโบกมือเรียก คนขับเค้าทำมือบอกว่าจะไปข้างบน เพราะว่าเราไปยืนผิดฝั่ง คนขับนึกว่าเราจะโบกลงไปข้างล่าง พอรถเมล์เลยไป Effie โมโหใหญ่ไม่รู้จะทำยังไง ไม่งั้นเราต้องรอรถเที่ยวต่อไปคือ 9.40 อีกตั้งชั่วโมง

Effie กลับเข้าไปในร้านมินิมาร์ทอีกครั้ง แล้วไปต่อว่าพนักงานคนนั้นที่บอกให้เราไปรอ parking lot เถียงกันสักพัก พนักงานคนนั้นบอกว่าไม่แน่ใจก็เลยบอกแบบนั้น

สุดท้าย manager ของร้านเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น Effie คุยกับเค้าเป็นภาษาจีนว่าพนักงานเค้าซึ่งไม่รู้ข้อมูลแต่บอกเราผิดๆ ถ้าไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้จะได้ไปถามคนอื่น ทำให้พวกเราต้องพลาดรถเมล์ไป ซึ่งเวลาเรามีไม่มากนัก

Manager ช่วยเราแก้ปัญหาด้วยการจะเอามอเตอร์ไซค์ของเค้าเองไปส่งพวกเราที่ Chingjing Farm ทีละคนจนครบ ต้องขอบคุณเค้ามากๆเพราะไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เดินก็คงไม่ไหว ขอถ่ายรูปกับคนใจดีไว้เป็นที่ระลึก

Chingjing Farm สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวสุดตา มีแกะขนเกรียนที่ผ่านการตัดขนมาแล้วอยู่กันเป็นกลุ่มๆ แทะเล็มหญ้าอย่างสบายใจ ด้านหน้าทางเข้ามีร้านขายของชาวบ้านพวกผลไม้เมืองหนาว ผักสดๆอยู่หลายร้าน น่าเสียดายที่พวกเรามาช่วงเช้าไม่งั้นคงได้ดูวิธีการตัดขนแกะโชว์



เจ้าของฟาร์มเป็นหนุ่มชาวนิวซีแลนด์ มาหลงรักสาวชาวไต้หวัน จึงมาลงหลักปักฐานที่นี่ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของไต้หวัน



Kate ซื้ออาหารให้แกะ มันเดินตามพวกเราเป็นฝูง ทัศนียภาพบริเวณทุ่งหญ้าสวยงามมาก โชคดีที่วันนี้ไม่มีฝน ท้องฟ้าสีสดใสเป็นใจอย่างมาก คุ้มค่ากับการเสียตังมาตั้ง 2,000 NT นั่งรถมาอีก 4.30 ชั่วโมง



เดินถ่ายรูปกันแทบทุกมุม มีทัวร์มาลงหลายคณะ รถบัสจอดอยู่หน้าฟาร์มเป็นแถว รถเมล์ของเราจะมาเวลา 12.07 เลยต้องรีบลงมารอก่อน ไม่อยากพลาดรถอีก คราวนี้ยุ่งแน่เดี๋ยวจะพาลตกรถกลับไทเปด้วย เผื่อเวลาไว้ก่อนดีกว่า

รอตั้งนานจน 12.15 รถก็ยังไม่เห็นมาสักที ชักกะสับกระส่าย มีลุ้นอีกแล้ว Effie โทรไปที่บริษัทรถเมล์ถามว่ารถมาหรือยัง เค้าบอกว่ารถคงเสียเวลา ตอนที่ยืนรอรถเมล์เขียวนั้น เห็นรถเมล์ที่จะพาเรากลับไทเปขับผ่านขึ้นไป เลยโทรไปถามเค้าว่าจะมากี่โมง เรารอรถเมล์เขียวเพื่อจะกลับไปเอาของที่โรงแรมก็ยังไม่มา เค้าบอกว่าจะไปส่งคนก่อนแล้วถึงจะลงไปรับเราตามเวลา

เลยนัดกับเค้าว่าถ้าขับลงมาแล้วไม่เจอพวกเรายืนอยู่ที่ป้าย Chingjing Farm หมายความว่าพวกเราลงไปรอที่จุดนัดหมายหน้าโรงแรม รอสักพักรถเมล์ เจ้าปัญหามาถึง เลยนั่งกลับไปที่โรงแรม



ไปรอขึ้นรถกลับบ้านที่เดิม รถมารับตามเวลา คราวนี้คนในรถเหลือแค่ 8 คน นั่งนอนกันสบาย ขากลับรถจอดพักที่ Puli Winery เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการทำไวน์ซึ่งทำจากข้าวและข้าวสาลี รถแวะให้พักแวะชอปปิ้ง 30 นาที

เข้าไปในโรงงานไวน์มีแต่ร้านขายของเกี่ยวกับไวน์ ส่วนใหญ่จะเป็นขนม ไอติม เค๊ก ตีนเป็ดชุบไวน์ และโสม เดินชิมซะทั่วจนเกือบเมา ก่อนขึ้นรถลองไส้กรอกใส่ไวน์ รสชาติและหน้าตาคล้ายๆกุนเชียงบ้านเรา กลิ่นไวน์ฉุนเชียวแต่ว่าอร่อยดี อันละ 25 NT อากาศเริ่มขมุกขมัว ต่างจากเมื่อเช้าลิบลับเลย


*ไส้กรอกผสมไวน์ อันละ 25 NT*

เริ่มเข้าเขต Taipei จราจรเริ่มติดขัด ซึ่งเป็นปกติของวันศุกร์ โดยเฉพาะวันหยุด long weekend ผ่านสถานีรถเมล์ที่จะออกต่างจังหวัด(เหมือนหมอชิต) คนแน่นขนัด ยืนเข้าคิวรอซื้อตั๋วเพื่อจะกลับบ้านกันวุ่นวายไปหมด กว่าพวกเราจะถึง Taipei Main Station ก็ 6 โมงกว่าๆ ต่อรถแท๊กซี่กลับบ้าน (195 NT)

บอก Effie ว่าเย็นนี้หาก๋วยเตี๋ยวแถวๆบ้านกินกันดีกว่า ไม่ต้องออกไปไหนไกล รถก็ติด เหนื่อยแล้วด้วย เลยออกไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านประจำใกล้บ้าน เดินไปประมาณ 5 นาที เป็นก๋วยเตี๋ยว บะหมี่เส้นแบนๆ สีไม่เหลืองเหมือนของเรา แค่เส้นก๋วยเตี๋ยวกับซุปเท่านั้น ไม่มีอะไรเลย ถ้าสั่งแบบมีกุ้งก็เพิ่มกุ้งมา ราคา 50 NT ถ้าเส้นธรรมดาก็แค่ 20 NT



สั่ง rice noodle ก็มาเป็นหลอดกลมๆเล็กๆคล้ายเส้นสปาเกตตี้ มีน้ำซุปเท่านั้น ไม่มีหมูหรือลูกชิ้นอะไรเลย Effie กลัวพวกเราไม่อิ่มเลยสั่งอาหารมาเพิ่ม เป็นสาหร่ายดำๆ กรุบๆกรอบๆ แล้วก็มีไส้หมู-ตับหมูต้ม-เต้าหู้ทอดมากินแกล้ม



อิ่มแล้วเดินกลับบ้าน รีบโหลดรูปลงในเครื่อง อุตส่าห์หอบเอา notebook ไปด้วย เพราะว่ากลัวเมมโมรี่จะไม่พอ ซึ่งก็ไม่น่าจะพอจริงๆ ถ่ายรูปไปเยอะมากเหมือนกัน

@@@@@@


October 8,2005

วันนี้จากที่วางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยว Yeliou ช่วงเช้า แล้วบ่ายจะไปเจียงไคเชค เมมโรเรียลฮออลนั้น ต้องมีการปรับแผนนิดหน่อยเพราะว่าฝนตกหนักตั้งแต่เช้า คงจะเที่ยว outdoor ไม่ได้ซะแล้ว ดูท่าทางฝนไม่น่าจะหยุดตกง่ายๆซะด้วย



Effie บอกว่าถ้างั้นเราไป Lung Shan Temple กันแทนดีกว่า วัดนี้เก่าแก่มากที่สุดในไทเป ฝนยังคงพรำๆ ทำให้คนน้อยกว่าปกติ เพื่อนบอกว่าที่นี่คนจะเยอะมากๆเบียดเสียดกันแทบจะเดินไม่ได้ สถานที่ก็คับแคบไม่สามารถขยับขยายได้แล้ว

พอเข้าไปในเขตวัด ด้านหน้าจะมีสวนและ มีน้ำตกเล็กๆอยู่ด้านขวามือ หลังจากเหยียบย่างเข้าไปภายในจะได้ยินเสียงสวดมนต์ดังพึมพัมตลอดเวลา ควันธูปกรุ่นไปทั่วบริเวณ ทางส่วนหลังของวัดจะเป็นมุมเทพเจ้าต่างๆ เช่นเทพเจ้าแห่งสุขภาพ -การศึกษา – ขอพรให้มีบุตร- เนื้อคู่ แต่ละมุมจะมีคนมากราบไหว้ขอพรอยู่อย่างต่อเนื่อง ดอกไม้ที่นำมาไหว้จะเป็นดอกจำปี



อยู่ในนั้นนานพอสมควร ก็เดินออกมาด้านหน้า ตรงข้ามวัดเป็นสถานีรถไฟไต้ดินเลย สะดวกสบายมาก ฝนยังตกไม่เลิก Effie ไปเอารถมารับที่หน้าวัด เพื่อจะไปต่อที่ Chiang Kai Chek Memorial Hall



พอไปถึง ก็เห็นมีคนมากมายใส่ชุดสีขาว กำลังซ้อมอะไรสักอย่างท่ามกลางสายฝน เข้าไปถามเจ้าหน้าที่ ได้ความว่าเป็นกลุ่มของพวก Ti Shi เตรียมซ้อมเพื่อจะไปโชว์ในวันชาติคือวันที่ 10 ตุลาคมที่จะถึง พวกเค้าเคยได้ไปโชว์ที่งานเปิด Olympic Sydney เมื่อปี 2000 มาแล้ว และได้รับเลือกให้มาร่วมโชว์ในงานฉลองวันชาติของไต้หวันติดกันมาหลายปีแล้ว

จากนั้นก็เดินไปยังตึกด้านหลังซึ่งตัวเป็นอาคารของเจียงไคเชค เมมโมเรียล ฮอล บันไดสูงมาก ที่ห้องโถงใหญ่จะมีรูปปั้นของท่านเจียง ไค เชค เด่นเป็นสง่าตรงกลางโถง มีการ์ดยืนเฝ้าอยู่ข้างละคนในมาดเข้ม



Effie บอกว่าเดี๋ยวเค้าจะมีการเปลี่ยนการ์ด ซึ่งต้องเปลี่ยนทุกๆชั่วโมง คงคล้ายๆกับที่อังกฤษแต่ไม่อลังการ์เท่า เพราะว่ามีแค่ 2 คน สักประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงรองเท้าบูทกระทบกับพื้นหินอ่อนใกล้เข้ามา มีทหาร 3 คนท่าทางขึงขังถือดาบปลายปืน เดินมาพร้อมกับมีการโชว์การควงปืน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที มีนักท่องเที่ยวมายืนมุงดูกันพอสมควร



เดินอ้อมลงไปยังด้านล่างของตัวอาคาร เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของท่านเจียง ไค เชค จัดไว้เป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ กว่าจะเดินครบทุกห้องก็เป็นชั่วโมง เพื่อนๆบอกว่าหิวแล้ว เลยออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า

วันนี้บอกว่าอยากกินข้าว Effie จึงพาไปที่แหล่งนักท่องเที่ยวชอบไปกินกัน แถวนั้นมีร้านขายอาหารเยอะไปหมด หาที่จอดรถข้างถนน บังเอิญว่าวันนี้ฝนตกเลยได้ที่จอดแบบฟลุคๆริมถนน ก็ต้องเสี่ยงดูเห็นมีคนอื่นจอดอยู่แล้วเหมือนกัน ปกติแล้วจะจอดไม่ได้โดนตั๋วแน่

อาหารคาวอิ่มแล้ว ต่อด้วย Monster Ice ตบท้าย ทีแรก Effie เล่าให้ฟังว่าเป็นแบบน้ำแข็งใสใส่ผลไม้แล้ววัยรุ่นเค้าจะฮิตกันมาก ก็เลยต้องลองชิมดู ร้านเล็กๆน่ารักริมถนน เป็นน้ำแข็งใสโปะลงบนผลไม้สดที่เลือก แล้วตามด้วยไอติม 1 ก้อน ราคา 160 NT ชามใหญ่เราแค่จะลองชิมเท่านั้นเลยสั่งมาแค่ 1 จานกินกัน 4 คน แอบเหลือบมองโต๊ะข้างๆเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากัน 5 คน สั่งมา 5 จาน ดูแล้วจะกินหมดหรือเนี่ย

Effie บอกว่าใกล้ๆแถวนี้มีร้านติ่มซำที่ดังและแพงมาก นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นชอบมากิน แล้วก็ต้องมาจบลงด้วยน้ำแข็งใสร้านนี้จึงจะครบสูตร ในช่วง Summer ต้องเข้าคิวกันยาวเหยียด ไม่มีที่นั่งว่าง ต้องสั่งแล้วยืนกิน



บ่ายนี้จะไปไหนต่อดี วันนี้โปรแกรมที่วางไว้ต้องเปลี่ยนไปหมดเพราะฝนเจ้ากรรมทำพิษ เลยตกลงว่าไปเที่ยว Lin Garden ที่ Ban Choaw กันดีกว่า อยู่ใกล้ๆบ้าน Steve ด้วย โทรไปบอกให้ Steve จองที่จอดรถหน้าบ้านเอาไว้ให้ด้วย หาที่จอดรถยากมากๆ



เป็นบ้านของเศรษฐีคนหนึ่งในราชวงศ์ชิง ยังคงความเป็นบ้านแบบไต้หวันอยู่อย่างครบถ้วน รัฐบาลจึงได้อนุรักษ์เอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ชม ค่าเข้าคนละ 100 NT ภายในกว้างขวางมาก แต่ละห้อง เช่น ห้องนอน ห้องหนังสือ ห้องรับแขก แยกออกจากกันคนละตัวบ้านเลย ดูน่าสนใจมาก ไม่แพงเลยสำหรับค่าเข้าชม



เดินเล่นกันจนเย็น จากนั้นก็ถึงเวลา dinner วันนี้ตั้งใจว่าจะไปเดินที่ Shilin Night Market เป็นตลาดกลางคืนที่ใหญ่ที่สุด ตะวันตกดินแล้ว Effie เอาพวกเราไป drop ที่หน้าทางเข้าตลาดก่อน จึงไปหาที่จอดรถ แล้วนัดกันว่าเจอตรงไหน

มองเข้าไปข้างในตลาด ละลานตาไปหมด ร้านรวงเยอะแยะ เป็นตลาด indoor ส่วนตรงนี้จะขายของกิน

ต้องหาอะไรใส่ท้องกันก่อนแล้วค่อยไปเดินต่อ เริ่มต้นกันด้วยเมนูแนะนำ ไก่ทอดที่ชื่อ Houta Fried Chicken เห็นคนยืนเรียงแถวยาวมาก ต้องอร่อยแน่ๆ เป็นไก่ทอดเป็นชิ้นใหญ่มาก ราคา 45 NT ลองชิมแล้วก็อร่อยสมคำบอกเล่าจริงๆ



ต่อด้วย Stinky Tofu ที่ก่อนไป มีคนบอกว่าต้องไปกินให้ได้ จึงต้องลอง ดูจะเป็นเต้าหู้ทอดคล้ายๆบ้านเรา แต่อาจจะมีกลิ่นฉุนกว่า ก็งั้นๆไม่ค่อยประทับใจเท่าไร แต่ยังไงก็ขอให้ได้ลอง



Effie ไปซื้อหอยทอดมาให้ ลักษณะก็เกือบจะเหมือนหอยทอดที่บ้านเราเลย แต่รสชาติจะจืดๆ ก็ไม่ได้กินกับซอสพริกศรีราชาแบบของเรา จึงดูเลี่ยนไปหน่อย จากนั้นก็มีมาเรื่อยๆ หมี่ขาวราดหน้า ....



ตามด้วยเกี๊ยวสูตรไต้หวันที่มีซอสดำๆราด ตบท้ายด้วยชาที่ใส่สาคูเม็ดใหญ่ๆที่ฮิตกันมาก อิ่มจนเดินแทบไม่ไหว นี่ขนาดว่าชิมอย่างละนิดละหน่อยเท่านั้น

จะแปลกก็คือในตลาดนี้ ทีแรกเห็นว่าเป็นร้านขายอาหารเต็มไปหมด สุดท้ายดูไปดูมา ขายอาหารประเภทเดียวกันหมดเลย มีอยู่ไม่กี่อย่างเอง ใครเป็นแฟนร้านไหนก็ไปกินร้านนั้น ถ้าให้เราไปก็คงเลือกไม่ถูกว่าร้านไหนอร่อยกว่ากัน



จากนั้นไปเดินที่ Night Market ก็ขายของสารพัดอย่างแบบบ้านเรา มีเสื้อผ้า รองเท้า ของกระจุกกระจิก รวมถึงของกินด้วย ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ ข้าวของก็ไม่ได้ราคาถูกกว่าบ้านเราเท่าไร พวกเราเข้าไป shop กันในร้าน NET ได้เสื้อมาคนละ 2-3 ตัว

เริ่มเมื่อยและเหนื่อย หลังจากเที่ยวมาทั้งวัน ก็เลยกลับบ้านพักผ่อนดีกว่า


(โปรดติดตามตอนที่ 4)


Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 24 ตุลาคม 2549 9:39:46 น. 1 comments
Counter : 964 Pageviews.

 
คุณเจ้าของบ้านค่ะ รบกวนถามค่ะ

"บ้านของเศรษฐีคนหนึ่งในราชวงศ์ชิง" นี้ ไปยังไงค่ะหากเริ่มจาก MRT ที่ใกล้ที่สุดหน่ะคะ

รบกวนช่วยบอกด้วยนะคะ เนื่องจากสนใจอยากเข้าชมมั๊กมากค่ะ


โดย: aday_ago IP: 183.89.151.31 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:22:44:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

calpoppy
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ไม่ใช่คนเชียงใหม่ แต่มาอยู่แล้ว รักเชียงใหม่จนไม่อยากย้ายไปไหนอีก ...

I LOVE CHIANGMAI ....
Friends' blogs
[Add calpoppy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.