Ponsawang1
Group Blog
Best 4 You
blog to you
All Blogs
คนอกหักไม่ใช่คนโง่
5 วิธีเคลียร์สมองให้ปลอดโปร่งพร้อมรับวันใหม่อย่างสดใส
คุมโรคอ้วน! นิวยอร์กออกกฎ ห้ามขายน้ำอัดลมแก้วใหญ่
8 เหตุผลดี ๆ ที่ควรผสมน้ำมันมะกอกในอาหารสุนัข
8 ไอเดียฮิต จัดการกับไอโฟนรุ่นเก่า
เหตุผลง่าย ๆ ที่สาวโสดปฏิเสธการแต่งงาน
23 กลยุทธ์เด็ด จีบ จับ และมัดใจผู้ชายให้อยู่หมัด
20 สิ่งวิเศษสุดเมื่อท้อง
เผย หญิงไทยเกินครึ่ง ยุ่งแต่งาน เมินดูแลสุขภาพ
ดูแลตัวเองอย่างไรดี เมื่อน้ำหนักขึ้นไปแล้ว
5 สิ่งที่ไม่ควรพูดเมื่ออยู่ในสังคม
เทคนิคการทำงานให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ
!เรื่องเพี้ยนที่สาว ๆ ชอบทำกัน
การเลือกชุดชั้นใน ให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย
5 สิ่งที่หนุ่ม ๆ ควรรู้ในการใช้น้ำหอม
เรื่องที่สาว ๆ มักโกหกในเดทแรก
ช่องคลอดอักเสบ สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง
ถ้าอยากผิวสุขภาพดีตลอดกาล อะไรที่ควรทำ อะไรที่ต้องห้าม
เตือนกินไส้กรอก-แฮม มาก ๆ เสี่ยงมะเร็ง
กินของหมักดองเสี่ยงต่อสุขภาพหญิง
วิธีรักษาผิวให้ดูดีได้ง่าย ๆ
มาดูสิว่า แอลกอฮอล์ชนิดใดที่ทำให้เมาค้างกันแบบสุด ๆ
ผลสำรวจเผยผู้ชายยอมงดมีเซ็กส์มากกว่าตกงาน
เคล็ดลับง่าย ๆ แต่งหน้าให้สวยเป๊ะ
4 วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้สาว ๆ อารมณ์ดี
7 กิจกรรมที่สาว ๆ ควรทำหลังเลิกกับแฟน
คำพูดต้องห้าม เมื่ออยู่กับแฟน
ซัมซุงเผยราคา Samsung Galaxy Tab 2 แล้วทั้งหน้าจอ 7 นิ้วและ 10.1 นิ้ว
ตกแต่งสถานที่จัดงานแต่งงานด้วยตัวเอง
OPPO Finder แอนดรอยด์โฟนบางเพียง 6.65 มิลลิเมตร
งานเกษตรแฟร์ 2555 เริ่ม 30 พ.ค. นี้
HTC One S สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์อัจฉริยะ
สาวออฟฟิศที่ชอบกินจุบจิบ เสี่ยงเบาหวาน!!
งานบ้านชะลอวัย
ทำอย่างไรดี...คุณหมอวินิจฉัยว่าคุณแม่เป็นโรคซึมเศร้า
จับตาเทรนด์อาหารสุขภาพ ปี 2555
กินช้าๆ สร้างหุ่นสวยทันใจ
หันมาดูแลตัวเองป้องกันโรคสมองเสื่อมกันเถอะ
ผลวิจัยเผยกินน้ำตาลมากไป มีส่วนทำลายสมองได้
ว่ายน้ำเพื่อสุขภาพ
ไดเอทงดแป้งแล้วหงุดหงิด คิดไปเองหรือเปล่า?
แนะนำหนังสือน่าอ่านประจำสัปดาห์
ปลาคาลูก้าไซส์บิ๊ก ชาวจีนจับได้หนักกว่าครึ่งตัน
เปรี้ยวแซ่บ! กุ้งมะนาวตัวโต ๆ อร่อยจี๊ดโดนใจ
อึ้ง! เยอรมันสั่งห้ามว่ายน้ำในทะเลสาบ หลังคนฉี่ลงน้ำทำปลาตาย 500 ตัว
อ๊อกซิโตซิน ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน
อังกฤษติด 1 ใน 4 ใช้ทวิตเตอร์มากสุดในโลก
ฮ้าว!! นอนเต็มอิ่ม แต่ทำไมยังง่วงล่ะ ?
หมวกกันน็อคพับได้
ตับอ่อนอักเสบ
รู้จัก โรคซาง ในเด็ก
ฟักข้าว พืชพื้นบ้าน ช่วยต้านมะเร็งชั้นยอด
ปรับพฤติกรรมลดเสี่ยงใหลตาย
แหวนหมั้นและแหวนแต่งงาน
โลกนี้มีแต่ภัย
ไขมันทำเซ็กส์หด
ทึ่ง! คุณยายนักยิมนาสติก วัย 86
คุณนอนหลับเพียงพอหรือเปล่านะ??
สังขละบุรี มนต์เสน่ห์เมืองกาญจนบุรี
กระชับหน้าท้องให้เด้งเต่งตึง
จีนเปิดใช้สะพานแขวนที่ยาวและสูงที่สุดในโลก
โฟลิก...ต้องเริ่มก่อนตั้งครรภ์
ไอศกรีมซันเดเบคอนจาก Burger King
เตรียมสร้างระบบถนนบนท้องฟ้า รองรับรถยนต์บินได้
10 สัญญาณเตือนว่าแฟนที่คุณคบอยู่นั้นไม่เวิร์ค
นักวิจัยในฝรั่งเศส ทดสอบยาแก้โรคติดเหล้าได้สำเร็จ
Instagram คืออะไร? ...เห็นดาราใช้กันนัก
15 แอพพลิเคชั่นฟรีแต่งภาพเด็ด ๆ สำหรับไอโฟน
9 ขั้นตอน พลิกโฉมตู้เสื้อผ้า “หยิบใช้ง่าย – ไมรก”
โฟลิก...ต้องเริ่มก่อนตั้งครรภ์
โฟลิก...ต้องเริ่มก่อนตั้งครรภ์
(รักลูก)
โดย: ผศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล
กรดโฟลิก หรือ โฟเลต วิตามินชนิดหนึ่งในกลุ่มที่ละลายในน้ำ
ในทางวิชาการพบว่า หญิงวัยเจริญพันธุ์เหมาะสมที่สุดที่จะเริ่มกินโฟลิก ก็เพื่อเป็นการเตรียมการล่วงหน้าที่จะเสริมสร้างและป้องกันไม่ให้ลูกที่เกิดมาเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่ายค่ะ
กรดโฟลิกหรืออีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกกันทั่วไปว่า "โฟเลต" จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในกลุ่มที่ละลายในน้ำ ในร่างกายกรดโฟลิกมีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของเซลล์ต่าง ๆ และมีบทบาทในการสร้างสารคาร์บอน ซึ่งเป็นกลไกการทำงานของดีเอ็นเอในการถ่ายทอดคำสั่งทางพันธุกรรมเพื่อสร้างโปรตีนชนิดต่าง ๆ รวมทั้งการควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก
เมื่อตั้งครรภ์..โฟลิกกลับลดลง
ภายหลังการปฏิสนธิโดยการผสมของไข่จากแม่และสเปริ์มจากพ่อจะเกิดเป็นเซลล์ที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ของสารพันธุกรรม หลังจากนั้นจากเซลล์ ๆ เดียวจะมีการแบ่งตัวเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับการก่อรูปของอวัยวะระบบต่าง ๆ จนเป็นทารกที่สมบูรณ์ การตั้งครรภ์จึงต้องมีการสร้างสายดีเอ็นเอและโปรตีนเพื่อเป็นองค์ประกอบของเซลล์และเนื้อเยื่อของระบบต่าง ๆ จำนวนมาก ดังนั้นจึงมีความต้องการกรดโฟลิกเพิ่มมากขึ้นคิดเป็นจำนวนประมาณ 2 เท่าของคนปกติ
ซึ่งในขณะที่ร่างกายมีความต้องการกรดโฟลิกมากขึ้น กลับพบว่าในขณะตั้งครรภ์ลำไส้สามารถดูดซึมกรดโฟลิกจากอาหารได้ลดลงและมีการสูญเสียกรดโฟลิกทางปัสสาวะมากกว่าปกติ ทำให้พบการขาดกรดโฟลิกในสตรีตั้งครรภ์ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป
ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา วงการแพทย์และโภชนาการให้ความสนใจกรดโฟลิกนี้มาก เนื่องจากมีรายงานการศึกษาโดยการตรวจหาระดับกรดโฟลิกในเลือดของมารดาขณะตั้งครรภ์พบว่า มีมารดาที่มีระดับกรดโฟลิกในเลือดต่ำได้ถึงร้อยละ 25 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของพัฒนาการของสมองและระบบประสาทของทารก เพราะในภาวะปกติ สมองและระบบประสาทจะเจริญและพัฒนาโดยเริ่มจากแผ่นเนื้อเยื่อระบบประสาทแล้วม้วนตัวเป็นท่อเรียกว่าหลอดประสาทซึ่งมีสองปลาย
ต่อมาปลายหลอดประสาททั้งสองด้านจะปิดโดยปลายท่อด้านหัวจะพัฒนาเป็นส่วนของสมองส่วนปลายด้านหางก็จะพัฒนาเป็นประสาทไขสันหลัง ในกรณีที่มารดามีระดับกรดโฟลิกในเลือดต่ำ จะมีผลทำให้ปลายท่อหลอดประสาททั้ง 2 ด้านไม่ปิด จึงเกิดความพิการของสมองและประสาทไขสันหลัง ซึ่งมีความรุนแรงได้แตกต่างกันหลายระดับ
ทารกที่ขาด "โฟลิก"
ในรายที่เป็นมากจะทำให้ทารกคลอดออกมาโดยไม่มีเนื้อสมอง จึงไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้และจะเสียชีวิตในเวลาไม่นานหลังคลอด ส่วนรายที่เป็นน้อยจะพบความพิการของประสาทไขสันหลัง โดยการเกิดความผิดปกติดังกล่าวมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย
ปัจจัยที่สำคัญได้แก่
การมีความผิดปกติที่บางตำแหน่งของยีนส์ ซึ่งซ่อนอยู่ในประชากรทั่วไปได้ระหว่างร้อยละ 5-25 ความผิดปกตินี้จะไม่แสดงอาการใด ๆ แต่มีผลต่อเมตาบอลิซึมของกรดโฟลิกในร่างกาย ทำให้มีสารโฮโมซิสทีนในเลือดสูงขึ้นและมีกรดโฟลิกต่ำลง
นอกจากนี้อาจมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น
การได้รับความร้อนในระยะเวลาสั้น ๆ จากการเป็นไข้ การประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อนหรืออบซาวน่า รวมทั้งการได้รับยาป้องกันโรคลมชักบางชนิด ซึ่งมารดาที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ หากได้รับกรดโฟลิกเพิ่มจากอาหารปกติอีกวันละ 400 ไมโครกรัม ในรูปของยาหรืออาหารที่เสริมด้วยกรดโฟลิก จะสามารถป้องกันหรือลดการเกิดความพิการดังกล่าวได้
ทำไมต้องเสริมโฟลิกก่อนตั้งครรภ์
เนื่องจากพัฒนาการของสมองและระบบประสาทเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังการปฏิสนธิ โดยหลอดประสาทจะปิดอย่างสมบูรณ์ในระหว่างสัปดาห์ที่ 3-4 หลังการปฏิสนธิ (วันที่ 21-28) ซึ่งปกติกว่าที่แม่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ โดยสังเกตจากประจำเดือนไม่มาตามกำหนด แล้วจึงไปพบแพทย์ก็ล่วงเข้าสัปดาห์ที่ 3 เป็นอย่างเร็วที่สุด การเริ่มรับประทานกรดโฟลิกในระยะนี้จึงไม่ทันการณ์
ดังนั้นหากจะให้ได้ผลจริง ๆ จะต้องเริ่มรับประทานกรดโฟลิกก่อนการตั้งครรภ์ประมาณ 1-3 เดือนเป็นอย่างน้อย และถ้าจะให้ครอบคลุมถึงการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้าให้ครบถ้วนด้วย จะต้องแนะนำให้สตรีวัยเจริญพันธ์ทุกคนรับประทานกรดโฟลิกเพิ่มทุกวันเป็นประจำ
ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีอุบัติการของโรคสมองพิการแต่กำเนิดมากประเทศหนึ่ง ได้รณรงค์ให้สตรีวัยเจริญพันธุ์ทุกคนรับประทานกรดโฟลิกเพิ่มวันละ 400 ไมโครกรัมในรูปของยาเม็ดหรืออาหารที่เสริมด้วยกรดโฟลิกมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว และพบว่าสามารถลดการเกิดความพิการของสมองได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีผู้ที่ทำตามคำแนะนำอย่างครบถ้วนเพียงร้อยละ 30 ก็ตาม
นอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทานกรดโฟลิกยังช่วยป้องกันหรือลดความพิการของอวัยวะระบบอื่น ๆ เช่น ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ และโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดด้วย ทั้งช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด ภาวะการแท้งบุตร และภาวะครรภ์เป็นพิษด้วย ความจริงกรดโฟลิกมีในอาหารที่เรารับประทานเป็นประจำ โดยพบมากใน
ผักใบเขียว ถั่วลันเตา ตับ และผลไม้บางชนิด
ความต่างของ "โฟลิก" ในรูปอาหารกับรูปยาเม็ด
เนื่องจากกรดโฟลิกเป็นวิตามินที่ถูกทำลายได้ด้วยความร้อน ดังนั้นเมื่อมีการปรุงอาหารโดยใช้ความร้อน จะทำให้มีการสูญเสียกรดโฟลิกได้ตั้งแต่ร้อยละ 50-95 นอกจากนี้กรดโฟลิกที่มีในอาหารจะถูกดูดซึมได้น้อยกว่า (ประมาณร้อยละ 50) เมื่อเทียบกับกรดโฟลิกที่รับประทานในรูปของยาเม็ด ดังนั้นแม้ผู้ที่ตั้งครรภ์จะได้รับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำอยู่แล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดการขาดกรดโฟลิกได้ ยิ่งผู้ที่มียีนส์ผิดปกติแฝงอยู่ยิ่งมีความจำเป็นต้องได้รับกรดโฟลิกมากขึ้นเป็นพิเศษกว่าคนทั่วไป
สำหรับในบ้านเรา แม้จะพบความพิการทางสมองในทารกแรกเกิดและมีผู้ที่มียีนส์ผิดปกติแฝงอยู่ได้แม้ไม่สูงเท่าประชากรในประเทศทางตะวันตก แต่ก็ควรรับประทานกรดโฟลิกเพิ่มวันละ 400 ไมโครกรัมเช่นเดียวกัน ซึ่งกรดโฟลิกชนิดเม็ดที่มีจำหน่ายมี 2 ขนาดคือ 1 มิลลิกรัม และ 5 มิลลิกรัม ซึ่งหากใช้ขนาด 1 มิลลิกรัม ก็รับประทานวันละครึ่งเม็ด แต่หากเป็นขนาด 5 มิลลิกรัม ให้รับประทานเพียงวันละ 1/10 เม็ด
"โฟลิก" ชนิดเม็ด แค่ไหนไม่อันตราย
โดยทั่วไปกรดโฟลิกเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง จะมีข้อควรระวังเฉพาะในผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัต ซึ่งมีโอกาสเกิดภาวะซีดและปลายประสาทอักเสบจากการขาดวิตามินบี 12 การรับประทานกรดโฟลิกในขนาดสูง ๆ จะทำให้บดบังอาการ และทำให้การวินิจฉัยโรคล่าช้า จนเกิดการทำลายของปลายประสาทอย่างถาวรได้
อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยขอแนะนำให้รับประทานกรดโฟลิกไม่เกินวันละ 1 มิลลิกรัม (10,000 ไมโครกรัม) สำหรับท่านที่ไม่ชอบการรับประทานยา การเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกสูงแทนยาเม็ด อาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรเนื่องจากเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
Create Date : 07 พฤษภาคม 2555
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 22:11:08 น.
0 comments
Counter : 539 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
ponsawang1
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
D
D
D
D
D
D
D
D
D
beststorebestsale
shoppingbestbuynow
lowerpricesshoppingday
bestsalebestshopping
wowbestpricesnow
lowestpricesshoppingday
beststorebestpricenow
bestsalebeststore
buylowestpricesonline
buylowestpriceonline
bestbuyshoppingonsale
.
.
.
.
.
.
.
Friends' blogs
donmaikoom
bestjitlada
bestjingjai1
rugdongdung1
konngambanpon
bannongsang
jaideedee1
ponsaviman
jaideeda1
Webmaster - BlogGang
[Add ponsawang1's blog to your web]
Links
beststorebestsale
shoppingbestbuynow
lowerpricesshoppingday
bestsalebestshopping
wowbestpricesnow
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.