just can't {imagine} our ends
Group Blog
 
All blogs
 

เมื่อ...ฉันแค้นคน

ฉันแค้นคน
และรู้จักตัวเองว่า
จะให้อภัยได้
ก็ต่อเมื่อ

คนนั้นตายแล้วเท่านั้น



ตายสิ
แล้วฉันจะอภัยให้แก

ฉันจับแกมาฆ่า
แล้วก็ให้อภัยได้

ฉันนี่มันแม่พระจริงๆ




ฮือๆๆ
แล้วฉันจะให้อภัยตัวเองได้ยังไงล่ะ






insprired by
"Hear The Wind Sing"
Haruki Murakami



...ฉันคืนดี กับ มุราคามิ แล้ว
7-5-51
(เมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา)

อยากอ่านเล่มอื่นๆ (แต่ดันไม่ยอมซื้อมา)
ทีนี้จะไปหาที่ไหนฟะเนี่ย




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2551    
Last Update : 5 มิถุนายน 2551 15:15:43 น.
Counter : 340 Pageviews.  

ฝนพรำ ค่ำแล้ว ฉันกลับบ้าน

ฝนพรำ
เงาสะท้อนจากหลุมบ่อบนพื้นถนนของเมืองไทย ดูสวยงามก็ตอนนี้แหละ


ความเย็นชื้นที่ร่มกำบังไม่มิด

ฉันแบ่งที่ว่างใต้ร่มคันเดียวกันให้กับสาวแปลกหน้า
เพราะเห็นว่า เธอก็เป็นผู้หญิงเหมือนกับฉัน
เพราะเห็นเธอไอค้อกแค้กๆ และเพราะฉันยืนอยู่ใกล้เธอที่สุด
ที่สำคัญ เห็นจะเป็น ฉันมีร่ม ที่มีที่ว่างอีกหนึ่ง

ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป
(คนไม่รู้จักกัน ไม่ค่อยมีใครทำกันแบบนี้นะฉันว่า)
ฉันยกร่มมาไว้กลางระหว่างเราสองคน (ผู้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน)
ใครสักคนคงคิดว่า ความโรแมนติก น่าจะเกิดขึ้น
(ขออภัย อย่าพยายามจินตนาการแบบนั้นจะดีกว่า)
แทนที่จะอบอุ่น ฉันกลับอึดอัดพอสมควร เพราะแม้แต่หน้าเธอ ฉันยังไม่ได้เหลือบมองเลยด้วยซ้ำ
ใจคิดเพียง ไม่อยากให้เธอ เปียกมากไปกว่านี้ ถ้ายกร่มให้เธอได้ ฉันก็อยากยกให้
(แต่ดูจะแมนเกินไป และฉันจะป่วยเสียเอง)

เธอเอง ก็ยอมรับพื้นที่ใต้ร่มคนเดียวกับฉันอย่างเงียบๆ
มันช่างเงียบ และนาน ... ไม่มีอะไรทำลายความเงียบเนิ่นนานนั้นได้เลย
แม้ฝนยังตกไม่หยุดก็ตาม

รถมาแล้ว
รถมาแล้วผ่านไป ประมาณ 2-3 คันแล้ว
แต่มีคนรอเยอะมาก และเขาเหล่านั้นไม่รู้จักคำว่า “คิว”
ฉันเดินกางร่มไปส่งเธอขึ้นรถคันหนึ่ง
ฉันมีร่ม จะไปเมื่อไหร่ก็ได้
สักพัก...
ฉันได้ยินเสียงหนึ่ง เป็นเธอคนนั้นเรียกฉัน
“ตัวเอง มาขึ้นรถเถอะ” (ไม่อยากบอกเลยว่าแอบจั๊กจี้ กับคำว่า “ตัวเอง” ของเธอคนนั้นมาก)
ตัวเอง... ฉันงงกับสรรพนามนั้นที่สุด
เฮ่อ ... นี่แหละนะผู้หญิง (แล้วฉันคิดว่าตัวเองเป็นเพศไหนอยู่หนอ)

ยังมีที่เหลือบนรถอีกสองที่ และฉันเห็นผู้หญิงอีกคนไม่มีร่มเหมือนกัน
ฉันเลยปล่อยให้เธอขึ้นไปแทน

เราจากกัน ง่ายๆ แบบนี้
ฉันไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีก...

ตอนนี้ ฉันเอง ก็จำหน้าเธอคนนั้นไม่ได้แล้ว




23 เมษายน 51
วันเกิดพ่อ / หลังเทากี้เสีย 1 วัน

**เรื่องนี้มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง**

จริงๆ แล้ว มันคือเรื่องจริงจ้ะ




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 17:35:34 น.
Counter : 409 Pageviews.  

ผมและเธอ และผม (1)

1.

ผมเป็นผู้ชายที่ชอบการทำผม
ไม่ว่าจะทำสีผม ดัดผม ยืดตรง ลองมาหมดแล้ว
แต่ขอย้ำ ผมเป็นผู้ชายนะครับ


ชั้นเป็นผู้หญิง แต่เกลียดการทำผมที่ร้านเป็นที่สุด
เข้าร้านทำผมครั้งสุดท้าย ก็คงเกือบๆ 5 ปีแล้วมั้ง ที่ชั้นไม่เข้าใจก็คือ ทำไมมีแต่ผู้หญิงเข้าร้านทำผมกันนัก ถ้ามีคนแบบชั้นอยู่บนโลก ร้านเค้าคงเจ๊งแน่นอน


ผมเห็นเธอครั้งแรก แทบคะมำหงายหลังตึง
ผมเธอช่างดูเป็นธรรมชาติจัง
สงสัยคงไม่เคยรู้จักร้านทำผม
ผมว่ามันเกินไปนะ ผู้หญิงน่าจะรักสวยรักงามถึงจะถูก

(ผมคิดจะแนะนำเธอ ให้ลองเข้าร้านทำผมร้านโปรดของผมดู
แต่เราก็ไม่รู้จักกันนี่นา เข้าไปคุยด้วยคงแปลกๆ
เค้าจะคิดว่าผมคิดอะไรกับเค้าหรือเปล่า
ดีไม่ดีซวยอีก อย่าเลย ช่างเหอะ)


ชั้นอดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงผู้ชายคนนั้นและทรงผมของเขา
ชั้นว่าน่าจะเคยเจอเค้าไม่ต่ำกว่าสามครั้ง แต่ละครั้งผมเค้าไม่เคยเหมือนกันเลย จริงๆชั้นอาจจะเคยเจอเค้ามากครั้งกว่านั้นก็เป็นได้ แต่ใครจะไปจำหัวที่เปลี่ยนได้บ่อยเท่าที่ต้องการขนาดนั้นกันได้ล่ะ อีตานี่ ท่าจะแต๋วแน่เลย


นั่นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นประโยคสนทนาแรกระหว่างเรา
(เอ นี่ฉันอดไม่ได้ขนาดต้องไปหาเรื่องเขาก่อนเลยหรือเนี่ย)

“ท่าทางจะเป็นร้านทำผมเคลื่อนที่แฮะ” นั่นคือประโยคแรกที่หลุดจากปากฉันลอยๆ ขณะเราเดินสวนกันครั้งที่สี่


“อ้าว คุณ แล้วมันหนักหัวคุณนักเหรอครับ” นั่นเป็นประโยคของอีตานั่น สวนขึ้นทันควันเชียวนะ
“ขอโทษด้วยค่ะ ชั้นไม่ได้พูดกับคุณเสียหน่อย มารับไปเฉยเลย”

“คุณ ขอที อย่าหาเรื่องกันได้ป่ะ”
“อยากได้คำวิจารณ์เหรอคะ คุณก็ดูมีความมั่นใจดีนะ แต่ชั้นว่า คุณเปลี่ยนทรงผมคุณทุกวันแบบนี้ จำได้รึเปล่าว่าเคยทำอะไรกับหัวมาแล้วบ้าง”
(ชั้นอยากบอกว่า หัวของเค้าเองมันคงจะจำตัวมันเองไม่ได้เป็นแน่
แต่ก็ไม่ได้บอก)


แค่บทสนทนาแรกระหว่างเรา ก็ทำเอาผมหมั่นไส้เธอเสียเต็มขีด ระวังเถอะแม่คุณ ผมแอบหยอดในวินาทีสุดท้ายขณะสวนกัน
“คุณก็อุดหนุนร้านเค้ามั่งเหอะ ใจคุณคิดจะปล่อยผมเกะกะรุ่มร่ามอย่างนี้
ตลอดไปรึไง”

ผมแอบยิ้มเยาะใส่เธอเป็นการลา ก่อนจะหันหน้าเดินต่อไปโดยไม่เหลียวมามอง
...จำเอาไว้นะ ชั้นไม่มีทางลืมหนี้แค้นหนนี้แน่นอน นายเองก็ระวังเอาไว้ดีๆแล้วกัน


พอผมกลับถึงที่พัก ลองเอาคำพูดเธอมานั่งนึกดู
เอ...หรือบางทีเราน่าจะลองหาทรงที่มันเหมาะๆ แล้วอยู่กับมันสักอาทิตย์ ท่าจะดีไหมหว่า

แต่นึกอีกที เฮ้ย เรื่องอะไร ทำไมเราต้องเอาที่ยายคนนั้นพูดมาคิดตามด้วย เดี๋ยวยายนั่นได้ดูถูกเอาได้ เราต้องมีจุดยืนที่แน่วแน่ มั่นคงดั่งหินผาสิ ถึงจะถูก เออ เป็นเอามากคนเรา


ส่วนเธอผู้ไม่เคยหวั่นไหวกับคำพูดใดๆ ของใครก็ตาม แม้แต่เจ้านายเธอ เธอยังกล้าเถียง แล้วทำไม ถึงต้องเอาคำพูดของนายคนนั้นมาเป็นอารมณ์ด้วยนะ ทั้งวันวันนั้น เธอทำหน้าบูดเป็นตูดปลาหมึกใส่ทุกคนจนทุกคนขวัญหนีดีฝ่อ ว่ายายคนนี้จะวีนอะไรอีก แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ทำงานไปเธอก็ครุ่นคิดอีก

ไม่เห็นมีใครบอกชั้นมาก่อนเลยว่า ผมทรงนี้มันไม่ดีน่ะ ...แน่เลย ตานั่นจงใจแกล้งให้เราเสียความมั่นใจแน่นอน ชะ คิดเหรอว่าจะสำเร็จ เจ้าบ้าเอ๊ย เอ หรือไม่ตานั่นต้องมีเอี่ยวกับกิจการเสริมสวยบนหนังหัวแน่ๆ เชอะ แค่นี้คิดหรือว่าจะทำให้ชั้นไขว้เขว ไม่มีวันซะหรอก




(ติดตามตอน 2 จ้ะ)




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2550    
Last Update : 28 ธันวาคม 2550 13:28:35 น.
Counter : 362 Pageviews.  

กลับสู่...ภาวะไร้คำถาม

ข้าพเจ้าอยากรู้ว่าเหตุใดท่านจึงสงบได้อย่างน่าทึ่ง ในขณะที่โลกกำลังลุกเป็นไฟ
ท่านเงียบ

ข้าพเจ้าจึงบอกออกไปว่า ข้าพเจ้าไม่อาจทนความสงบจากท่านอีกต่อไปได้แล้ว ข้าพเจ้าขอลาท่านแต่บัดนี้



หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็เดินออกมาจากท่านผู้นั้น ไม่เหลียวหลังกลับไปอีกเลย

นับแต่นั้น ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นอิสระจากความเงียบสงบ กลับสู่โลกแห่งหายนะ

ข้าพเจ้ากลับมาครุ่นคิดได้ว่า แท้จริงวันนั้นข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากท่านแล้ว ทว่ากลับทำเป็นไม่ไยดีมันแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าได้ปล่อยให้คำตอบของท่าน ไหลผ่านหูข้าพเจ้าออกไปสิ้น... คำตอบที่ไม่ใช่คำพูด คำตอบที่ไม่อาจเข้าใจเพียงแค่ฟัง ข้าพเจ้ายอมรับมันไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่าไม่เคยได้รับคำตอบใดๆ

ข้าพเจ้าอดรำพึงในใจบ่นว่าตัวเองนี้ช่างดื้อด้านและหัวรั้นเป็นอย่างยิ่ง
(ในเมื่อข้าพเจ้าไม่เชื่อท่าน ไหนเลยทนรับฟังคำสั่งสอนจากท่านตลอดมาโดยไม่ปริปากบ่น... ข้าพเจ้าไม่ได้สงสัยตัวเองในเรื่องนี้เท่าไรนัก)



นานหลายเวลาแล้ว (ข้าพเจ้าขณะนั้นไม่รู้เวลา เนื่องจากไม่มีนาฬิกาทั้งนอกกายและในกายมานานนัก) ที่ข้าพเจ้าเฝ้าติดตามรับใช้ท่านดุจศิษย์ที่ดี... แม้ท่านจะมีคำสอนเพียงไม่กี่บท หากข้าพเจ้าเองก็จดจำและจดใส่สมุดเอาไว้ทุกครั้ง


คำสอนบทหนึ่งของท่าน ซึ่งท่านบอกว่าเป็นหัวใจของการติดตามท่าน ก็คือ “จงคิดตาม อย่าติดตาม”


เหตุที่ข้าพเจ้าขอติดตามท่าน เนื่องจากข้าพเจ้าเล็งเห็นว่า ภายภาคหน้า ข้าพเจ้าจะมีโอกาสหลุดพ้น อย่างที่ท่านเป็น และข้าพเจ้ายังคิดอีกว่า การคาดการณ์ของตัวเองมักไม่ผิดนัก ทว่า... ข้าพเจ้ากลับหันหลังให้กับท่านเสียเอง ทั้งๆ ที่จิตใจยังไม่สามารถเข้าถึงอะไรได้ทั้งนั้น มีแต่ความสับสน งุนงง สงสัย ไม่เคยสงบเลย นับตั้งแต่ก่อนติดตามท่าน หรือ ณ ขณะนี้ก็ตาม (การที่ข้าพเจ้าทำแบบนั้น ไม่มีประโยชน์อันใดกับตัวเองเลยหรือ)


โลก ณ ขณะนี้ ถึงจุดเปลี่ยนอันเลวร้ายสุดประมาณ เรียกได้ว่าเลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษยชาติจะเคยพบเจอ... ธรรมชาติเอาคืนกับทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น ตึกสูงในเขตเมืองถูกสูบลงดินไม่รู้กี่ตึกต่อกี่ตึก ทะเลเองก็ดูดกลืนทุกสิ่งอย่างที่ขวางทางมัน เกาะหลายเกาะ ณ บัดนี้ ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป บ้านช่องเองก็เจอทั้งน้ำท่วมถล่มและพายุโหมกระหน่ำ ใครยังสามารถมีบ้านอยู่ได้ นับว่าบ้านต้องทนทานขนาดรถถังนั่นเทียว


แล้วเหตุใดเพียงคำถามเดียว จึงทำให้ข้าพเจ้าลาจากท่านมาเล่า (นึกแล้วน่าโขกหัวตัวเองเหลือเกิน) หรือข้าพเจ้าคิดว่า ตัวเองพร้อมที่จะอยู่ในฐานะเดียวกับท่านแล้ว... เพราะในเมื่อข้าพเจ้าตอนนี้ มีคำสอนที่ท่านไม่เคยคิดแม้แต่จะจดจารไว้... ข้าพเจ้าเองคิดว่าตัวเองก็สามารถสั่งสอนสิ่งที่ท่านสอนได้เช่นกัน ทว่า... ข้าพเจ้ากลับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้จดเอาไว้นั่นเลย


สิ่งที่ข้าพเจ้าเพียรพยายามมาโดยตลอด กลับให้ผลลัพธ์เป็นศูนย์ ไม่สิ กลายเป็นติดลบเสียด้วยซ้ำ ...ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าคงต้องเริ่มต้นใหม่สิ



ทันใดนั้นเอง แสงสว่างวาบบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า ทำเอาตาพร่าและเห็นภาพหลอน... เมื่อครั้งยังติดตามท่านอยู่...


ท่านได้เลือกข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ได้มีโอกาสเลือกท่าน ...และท้ายที่สุด ข้าพเจ้าก็เลือกจะหนีออกจากท่านไป...
เอ... ตกลง ข้าพเจ้าเต็มใจติดตามท่านด้วยตัวเอง หรือท่านเป็นผู้เลือกข้าพเจ้าให้เป็นศิษย์ติดตามท่านกันแน่


“หากสงสัย อย่าถาม หากเห็น จงอย่ามอง
หากเป็นทุกข์ จงหยุดรู้สึก อย่าเป็นตา ถ้าท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย
แท้จริงคือ ไม่มีอะไรเลย ไม่เคยมีอะไรมาก่อน และไม่มีอะไรตลอดไป”


...อย่าเชื่อตาของตัวเอง อย่าเชื่อสมองของตนเอง...


ครั้งหนึ่ง ท่านถามข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเลือกที่จะเชื่อจากสิ่งใด ข้าพเจ้าหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบไปว่า เชื่อจากความไม่อคติ
ท่านจึงถามต่อไปว่า ...เท่านั้นหรือ
ข้าพเจ้าก็บอกว่า ...เท่านั้น... ท่านก็ไม่ว่าอะไรต่อ



มีคนมองข้าพเจ้าด้วยสายตาประหลาด... ข้าพเจ้าไม่เคยไยดี ข้าพเจ้ากำลังท่องจำคำท่านอีกบทที่ว่า...

ตาที่มืดบอดดีกว่า หูที่หนวกดีกว่า แขนขาที่พิการดีกว่า ...มันสมองอัจฉริยะ...



“ท้องฟ้าบอกความจริงอะไรเจ้าบ้าง” ไม่ได้บอกว่าเมื่อไรฝนจะตกอย่างเจ้าว่า หากบอกว่าไม่มีอะไรจีรังต่างหาก ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทุกขณะ


“แม่น้ำเล่า บอกอะไรแก่เจ้าบ้าง” บอกว่าการตัดสินใจของเจ้า ณ ขณะนั้น ถือเป็นสิ้นสุด โลกไม่มีทางหยุดหมุน เช่นเดียวกับน้ำที่ไม่เคยหยุดไหล ...ใจของคนนั้นก็ไม่เคยหยุดนิ่ง โลกถึงได้ปั่นและป่วยอย่างนี้อย่างไรเล่า


“นกในอากาศ บอกอะไรเจ้าบ้าง” อิสระเสรีหรือ ปีกที่น่าทึ่งหรือ นวัตกรรมของมนุษย์ที่คิดเลียนแบบนกหรือ นกน่ะพยายามบอกเจ้าว่า จะมัวแต่เงยหน้ามองพวกมันไปไย แต่เจ้าเลือกที่จะไม่ยอมใส่ใจ กลับเฝ้าถามแต่คำถามโง่งมซ้ำซากไปมา


“ยุงนั้น กัดที่เนื้อตัวเจ้าทำไม” ใช่อย่างที่เจ้าว่ามันกินเลือดเป็นอาหาร มันทำถูกแล้ว ที่เตือนเจ้าให้รู้สึกตัวเสียบ้างว่ากำลังทำอะไรอยู่


“อาหารที่เจ้ากินทุกวันนี้ กินไปเพื่ออะไร” นอกจากเพื่อการเจริญเติบโต และความแข็งแรง อาหารยังทำให้เจ้าบรรลุได้ด้วย เจ้ารู้หรือไม่


“เจ้าชมชอบเสียงเพลงหรือไม่ อย่างไร” ข้าพเจ้าชอบ อย่างที่มันเป็น “แล้วดนตรีให้อะไรเจ้าบ้าง” ได้ทั้งความเพลิดเพลิน บางคราวถึงกับล่องลอยไปตามท่วงทำนอง ไปจนถึงการปล่อยวาง “มันให้ชีวิตเจ้าต่างหาก”


“เจ้ารู้จักศิลปะหรือไม่ อย่างไร” ข้าพเจ้าไม่แน่ใจนักว่ารู้จักศิลปะจริงๆ หรือเปล่า เพราะบางอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้นเช่นกัน แต่ไม่อาจเรียกเป็นผลงานรังสรรค์เปี่ยมจินตนาการเยี่ยงงานศิลปะได้ “แล้วงานศิลปะให้อะไรแก่เจ้า ลองบอกมาให้ฟังหน่อย” ให้หลากความรู้สึก อีกยังรู้สึกทึ่งในตัวมนุษย์ผู้นั้นเหลือเกิน

“เวลาที่พวกเขาทำงานศิลปะ พวกเขามีความสุขหรือไม่ เจ้าคิดเห็นอย่างไร” ควรต้องมีความสุข ยกเว้น งานที่ดูรุนแรง น่าจะเป็นการได้ปลดปล่อยมากกว่า “งานศิลปะสอนเจ้าว่า ‘อย่าแหยมกับธรรมชาติ’ ”



…เหล่านี้ ข้าพเจ้าหวนกลับมาทบทวนความทรงจำปนความรู้สึก ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกนับถือท่านเป็นล้นพ้น แล้วให้สงสัยแก่ตัวเองอีกครั้ง ด้วยเหตุอันใด ข้าพเจ้าจึงจากท่านมาด้วยประโยคคำถามเพียงประโยคเดียว ทำไมท่านจึงไม่สนใจเหตุต่างๆ รอบกาย...


“ทำไมไฟจึงเกิดขึ้นมาได้” เพราะมีเวลากลางคืนและมนุษย์มีความกลัว “ควันวูบหนึ่งลอยขึ้นมาก่อนต่างหาก”


ทำไมคนเราต้องตาย” เป็นสิ่งที่จริง และพิสูจน์ไม่ได้ “ที่เอ็งเป็นอยู่น่ะ ทำให้ดีเสียก่อน เรื่องนั้นยังไม่ต้องคิด รู้ไหม”


ท่านสอนข้าพเจ้าให้เป็นคนมีเหตุมีผล ท่านจะพร่ำถามคำถามลับสมอง (หรือไม่ท่านก็คิดว่ามันคงลับสมองข้าพเจ้าได้) ให้ข้าพเจ้าขบคิดไม่เว้นแม้ชั่วขณะหนึ่งเลย


“ศาสนา ศาสดา หรือพระเจ้า เกิดจากอะไร” ความกลัวของมนุษย์ย้อนกลับมาทำร้ายมนุษย์เอง “ก็เช่นเดียวกับที่โลกหมุนนั่นล่ะ”


“แล้วเจ้าคิดเป็น เพราะอะไร” มีสมองไงล่ะ เราจึงมีวิวัฒนาการเหนือทุกอย่าง “อย่างเจ้าน่ะ แค่สะสมสิ่งกลวงๆ ไว้ในก้อนที่มีรอยหยักจอมปลอมเท่านั้นล่ะ รู้เอาไว้เสียด้วย” (อย่าทะนงตนไปนักเลย ข้อนี้ข้าพเจ้าเห็นมันจากสายตาท่าน)



“เจ้าเรียนรู้ที่จะถามกลับตั้งแต่เมื่อไร” ก่อนข้าพเจ้าคิดออกห่างท่านเล็กน้อย

ทำไมถึงคิดว่าจะได้คำตอบอะไรกลับไป เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ทันคิด คิดเพียงแต่อยากเป็นฝ่ายทราบบ้าง อยากเป็นผู้ถามกลับบ้าง ไม่ใช่ผู้ตอบที่ตอบผิดซ้ำซากเหมือนเช่นที่เป็นมา นี่กระมัง คือสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเพิ่งคิดได้ หลังจากเพียรตอบคำถามท่านเป็นแรมปี



...แท้จริง ท่านเป็นฝ่ายให้คำตอบข้าพเจ้ามาโดยตลอด...


“เหตุใดโลก จึงมีคนเลว” เพราะเป็นคู่ตรงข้ามกับคนดี และพวกเขาต้องไม่เชื่อกฎแห่งกรรมแน่ๆ “เจ้าเล่า เป็นคนดีแล้วหรืออย่างไร กล้าไปตัดสินผู้อื่นเช่นนั้น”



วันๆ หนึ่ง คำถามและคำตอบที่ได้มีไม่มากนัก เพราะไม่ว่าข้าพเจ้าจะตอบว่ากระไร ท่านจะบอกอะไรต่อมิอะไรกลับมาสั่นคลอนคำตอบของข้าพเจ้าได้เสมอ และทำให้ข้าพเจ้าต้องเก็บงำสิ่งเหล่านี้ไปครุ่นคิดคนเดียว เนื่องจากที่แห่งนั้น มีเพียงท่านและข้าพเจ้า เวลาที่เหลือจากนี้ จึงมีเวลาส่วนตัวให้กับตัวเองได้พอสมควร

เมื่อเริ่มต้นคิดเรื่องนั้น ก็นำมาต่อเข้ากับเรื่องนี้และเรื่องโน้น เป็นมาแบบนี้ทุกวัน นานวันเข้า ข้าพเจ้าก็รู้สึกซึมซาบเข้าไปด้วยความอิ่มเอิบ...

ทว่า บางอย่างยังคงเกี่ยวพัน จนยากจะแก้ให้หลุดพ้นจากพันธนาการได้โดยง่าย



“ทำไมเหรียญจึงมีสองด้าน” เจ้าว่าเพราะเป็นคู่ตรงข้ามกันน่ะหรือ “ไม่มีอะไรที่มีเพียงด้านเดียวหรอก”


“ทำไมคนรวยถึงมีความสุข” เงินบันดาลความสะดวกสบาย สนุกสนาน สำราญใจมาให้ได้อย่างครบครัน “หากคิดเช่นนั้น เจ้าคิดอยากรวยหรือไม่” หากข้าพเจ้าอยากรวย ไหนเลยจะติดตามท่าน ฮ่าๆๆ ข้าพเจ้าขออภัยที่ลบหลู่ท่าน ข้าพเจ้าเองเคยคิดอยากรวย ถ้ารวยแล้วจะเอาเงินมาพัฒนาชุมชน จะเอามาบริจาคให้คนที่เดือดร้อนกว่า
“เจ้าสามารถช่วยผู้อื่นได้ โดยไม่ต้องใช้เงิน เจ้ารู้หรือไม่”


“เจ้าคิดว่าสังคมจะตกต่ำถึงขีดสุดเมื่อไร” น่าจะเมื่อคนเราไร้จริยธรรมและศีลธรรม “เมื่อมีคนดีมากเกินไปต่างหาก”



วันหนึ่ง ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า ถึงเวลาท่องเที่ยวของท่านแล้ว ท่านถามข้าพเจ้าว่า เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ข้าพเจ้าก็ยืนยันว่าจะไปด้วย ท่านจึงบอกแก่ข้าพเจ้า
“รออยู่ที่นี่เถอะ” ท่านต้องการไปลำพัง
“แล้วอย่างนั้นท่านจะได้อะไรจากการไปเที่ยวบ้าง” ท่านก็เงียบ



การตั้งคำถามเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ เพราะคำถามนี้แหละ ทำให้เราเกิดความเจริญ และพัฒนาไปไม่หยุดยั้ง แม้จะมีคุณ...ก็มีโทษปานกัน จะหนักกว่าเสียด้วย เพราะฉะนั้น “เราถึงไม่ให้โอกาสเจ้าถามคำถามไงเล่า แต่เจ้าก็ยังถามข้ามาจนได้ นี่เป็นการเตือนครั้งแรกนะ จำเอาไว้”


ข้าพเจ้าเองก็เกรงว่านานวันไป ข้าพเจ้านั่นแหละจะเป็นฝ่ายที่ทนไม่ได้ และแล้ว...การณ์ก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ


“ปัจจัย 4 ของมนุษย์คืออะไร และแค่นั้นพอไหม” ประกอบด้วย อาหาร ยา บ้าน เสื้อผ้า หากเพียง 4 อย่างนี้ ในยุคข้าพเจ้าถือว่าไม่พอ ต้องมีเพิ่มอีกอย่างน้อย 4 อย่าง คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เนท ยศถาบรรดาศักดิ์และรถใหม่ๆ ป้ายแดงด้วย “เหตุใดจึงไม่รวมอากาศไว้ในปัจจัยจำเป็นสำคัญที่สุดของมนุษย์เล่า”


“สิ่งใดบังตาเจ้าอยู่ จงเขี่ยออก”


“คำสอนไม่จำเป็นต้องได้รับจากครูเท่านั้น ไส้เดือน หรือแม้แต่แมลงสาบก็สอนมนุษย์ได้”


“เด็กคือความชั่วร้ายที่เคลือบรสหวาน ฉาบความน่ารักน่าเอ็นดู แต่หลังจากเราเพียรเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงจนเด็กเจริญวัยขึ้น เปลือกหอมหวานจะแตกออก เผยให้เห็นเนื้อร้ายภายใน และหากถึงตอนนั้น คิดจะกำจัดก็สายไปเสียแล้ว”


“มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม” จะมีได้อย่างไร ในเมื่อดาวอื่นๆ ล้วนไม่เหมาะต่อการดำรงชีวิต “เจ้าใช้เพียงสิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์เองน่ะหรือ ฮะๆๆ ถ้าจะมีมนุษย์ต่างดาว ก็คงเป็นพวกเรานี่ล่ะ ลงมาบนโลกไม่ทันไร ก็ทำลายทุกอย่างที่มีไว้จนราบพณาสูร เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า คนเรานี่แหละ มนุษย์ต่างดาวที่มารุกรานโลกดีๆ นี่เอง ซึ่งความจริงข้อนี้มันก็คงจะผ่านเวลามานานจนบรรพบุรุษพวกเราปกปิดความลับเอาไว้ได้”


“เจ้าเชื่อในกฎวิวัฒนาการหรือเปล่า” ไม่อย่างนั้นจะเชื่ออะไรเล่าท่าน “เจ้าไม่ได้เห็น ทำไมจึงเชื่อเล่า”


“ระบบการปกครองจำเป็นหรือไม่” จำเป็นแน่นอนท่าน “จำเป็นต้องฆ่ากันน่ะสิ อะไรๆ ก็อ้างจำเป็นเอาไว้ก่อน”


“ทำไมถึงไม่ควรเปิดบทสนทนาด้วยเรื่องทางศาสนา หรือการเมือง” เพราะเกิดข้อขัดแย้งได้ง่ายมากเลยล่ะท่าน “พวกเขาคงไม่คุ้นชินกับการพูดถึงธรรมชาติสินะ”



“หากคำตอบที่ได้มา ไม่ได้มาจากความจริงใจแล้วล่ะก็ สู้ไม่ตอบอะไรเลยดีกว่า” นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับจากการติดตามท่านหรือ ข้าพเจ้าคิดว่าท่านอาจจะคิดเช่นนี้ แต่ก็นั่นเองทั้งหมดมาจากความคิดของข้าพเจ้า หากตอนนี้...ข้าพเจ้ารู้แล้วไม่ควรคิดแทนใคร และไม่สามารถคิดแทนได้ด้วย ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม


ความคิดเป็นปัจเจก



ข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่เหมาะที่จะเฝ้าติดตามท่านอีกต่อไป เนื่องจากข้าพเจ้ามีคำถามอยากถามท่านกลับมากเกินไป



จากนี้ ข้าพเจ้าคงต้องมุ่งหน้าไปในเส้นทางของตัวเอง แล้วหาผู้ติดตามที่จะคอยตอบคำถามข้าพเจ้าสักคน...


ข้าพเจ้าคิดว่าคงหาไม่ยากจนเกินไป




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2550    
Last Update : 29 ตุลาคม 2550 16:54:22 น.
Counter : 460 Pageviews.  

“รักครั้งแรกของคุณคือใคร”







พอดีมีเพื่อนชวนทำหนังสารคดี ที่เกี่ยวกับ “ความรักครั้งแรก” สาเหตุก็เพราะเพื่อนคนนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังญี่ปุ่นเรื่องเดียวกันนี้ ( First Love หรือ Hatsu-Koi ที่มีน้องอาโออิ มิยาซากิ ที่เราคุ้นกันในบทฮาจิจากเรื่องนานะ1 เล่น)


คือเพื่อนชอบหนังเรื่องนี้มาก (ชอบมากจนเรางง เพราะเราเคยดูไปสองรอบ ซึ่งไม่จบทั้งสองรอบ เพราะไม่ได้นั่งดูในโรง แต่โทนหนังก็มาอย่างที่เราชอบนะ เหงาๆ ทึมๆ หม่นๆ แต่ก็มีเหตุให้ดูไม่จบทั้งสองรอบ หนึ่งในนั้น เพราะว่าหลับง่ะ อายจัง)


พอดีเราได้เมล์ของทาง Bioscope เรื่องชวนไปอบรมตัดต่อหนังฟรี ทันใดก็นึกถึงเพื่อนคนนี้ ก็เลยโทรไปหา แต่แล้วพอจะชวนเพื่อน เพื่อนก็กลับชวนเราทำหนังสารคดีกัน เราซึ่งอยากจะลองประสบการณ์การทำหนังอยู่แล้วเป็นทุนเดิม (ก็คงต้องเริ่มจากเป็นผู้ช่วยที่แสนดีก่อนดีกว่า) ก็ตกลงด้วยทันที


แล้วอยู่ๆ เพื่อนก็ถามขึ้นมาว่า รักครั้งแรกของเราคือใคร ทำเอาอึ้งไป เพราะลำดับไม่ถูก หลายๆ คนมันประดังกันเข้ามาเต็มไปหมด เพื่อนเลยสวนกลับมาว่า ทำไมมีแต่คนสับสนหรือไม่ก็จำไม่ได้แล้ว


เราก็คิดในใจว่า รักครั้งแรก นี่หมายถึงอะไร หมายถึงการที่เรารู้สึกดีๆ กับใครสักคนหนึ่ง หรือว่าต้องคบกันด้วย แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจตอบไปว่า “รักแรกของฉันเกิดขึ้นตอนป.3”

“แล้วเคยบอกเขาหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่เคยหรอก”
“แล้วถึงตอนนี้ ถ้ามีโอกาส จะบอกไหม”
ในใจเราคิดว่า ไม่เคยคิดจะบอกหรอก เพราะอะไรน่ะหรือ...

“แล้วรู้ไหมว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาเป็นบาทหลวงไปแล้วล่ะ”
“แล้วยังเจอกันอยู่บ้างไหม”
“ไม่รู้เค้าไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”

รู้สึกว่าเพื่อนสนใจกรณีของเราขึ้นมาทันที เหอๆ เราเลยบอกว่า ของแฟนเราน่าสนใจกว่าอีกนะ อิๆ
เพื่อนก็มีทีท่าว่าจะสนใจ แต่ก็ออกตัวว่า แฟนไม่กลัวเสียภาพลักษณ์เหรอ หรือไม่ก็ไม่กลัวทะเลาะกันบ้านแตกเหรอ

“งั้นไว้นัดคุยกันนะ พรุ่งนี้เลยไหม” ฉันถามด้วยความกระตือรือร้น
“อาทิตย์นี้เรายังไม่ว่างเลย ไว้อาทิตย์ถัดไปนะจ๊ะ” เพื่อนก็อยากทำนะ แต่ติดธุระ

“โอเค เจอกันอาทิตย์หน้าจ้ะ”


*
*
*



แล้วคุณล่ะ ถ้าถามคำถามเดียวกัน ...

“รักครั้งแรกของคุณคือใคร”

จะตอบกันว่าอย่างไร ขอแบบตามตรงนะ เหอๆๆๆ





 

Create Date : 11 ตุลาคม 2550    
Last Update : 11 ตุลาคม 2550 17:45:28 น.
Counter : 395 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

quin toki
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




everything has a begining , has an end.

link to my thought
~~*http://pompom67.bloggang.com*~~




บล็อกน้อยอิเหละเขะขะ
เก็บ+กระจุกของไว้สารพัด
สารบัญก็ไม่มีให้กดง่ายๆ ขออภัยด้วยเน้อ




เคยมีคนบอกกับเราว่า
ถ้าเราไม่ได้ดูหนัง
คงหายใจไม่ออกสินะ

...
ขาดหนัง
ก็ขาดใจ
(ไอ้บ้าเอ๊ย!)

เข้าใจพูดนะเนี่ย
>_<








นิตยสารดีโอ DE.O. Magazine E-Book

issue 6

L.O.V.E.







คุณป้าสุวคนธ์ ไม้แดง

และหมาแมวจรนับร้อย

ที่กำแพงเพชร



เล่นกับแกรี่ได้นะจ๊ะ (แต่แกรี่ตัวนี้ไม่มีเขี้ยวเท่านั้นแหละ)
Friends' blogs
[Add quin toki's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.