|
ฉันมีเธอ
เวลาผ่านมาได้สามสัปดาห์แล้วที่ฉันนั่งเรียนข้างๆเธอ เพราะที่นี่ไม่ใช่ห้องเรียนทั่วไปที่มีการแนะนำตัวหน้าชั้นเรียนของนักเรียนใหม่ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะตามคำสั่งของอาจารย์ประจำชั้น ฉันจึงยังไม่รู้จักเธอสักที ดูเหมือนว่าเธอจะมาเรียนคนเดียวแต่ฉันมาเรียนกับเพื่อนเลยไม่เหงาอย่างเธอ หรือบางทีเธออาจไม่เหงาฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
วันนั้นที่ฉันเผลอทำปากกาตกพื้น มองหาอยู่นานกว่าจะเจอว่าตกไปอยู่ตรงไหน ฉันเอื้อมมือไปหยิบและทำให้ได้รู้ว่าเธอเองก็ก้มๆเงยๆอยู่ด้วยเช่นกัน ฉันไม่แน่ใจว่าเธอกำลังมองหายางลบก้อนจิ๋วของเธอหรือกำลังช่วยมองหาปากกาของฉัน พูดถึงยางลบของเธอฉันรู้สึกว่าเป็นยางลบก้อนที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยเห็น ไม่รู้ว่าเธอจับถนัดมือได้ยังไงกัน ฉันกะว่าหากเรียนจบคอร์สเมื่อไหร่ฉันจะซื้อยางลบก้อนใหม่ให้เธอเป็นที่ระลึก เธอคงทำหน้าแปลกใจน่าดู
วันที่ฉันกับกุ้งเต้นเพื่อนฉันไปกินข้าวกันที่ร้านหน้าปากซอย เต้นเล่าให้ฟังว่านั่งๆอยู่ฉันก็ร้องเฮ้ยขึ้นมาดังลั่น คนอื่นมองกันใหญ่ แต่ฉันกลับไม่รู้ตัวเลยว่าร้องออกไปในตอนไหนกัน รู้แต่ว่าตอนที่ฉันมองไปที่แก้วชาเย็นสองแก้วในถาดที่ลุงเจ้าของร้านเตรียมยกมาเสิร์ฟ แต่กลับมีภาพเธอมาหยุดที่โต๊ะยิ้มให้ฉัน ฉันงง แต่พอเริ่มรู้สึกตัวว่าเห็นเธอมายืนยิ้มให้ ฉันก็หันหลังกลับมองตามเห็นเธอกำลังจะเดินออกจากร้าน เต้นขำใหญ่กับเรื่องเปิ่นๆของเพื่อน ฉันไม่รู้ว่าอาหารที่ร้านนั้นเอร็ดอร่อยหรือไม่ ทุกอย่างจืดชืดไปหมดหลังจากได้เห็นรอยยิ้มสดใสของคนข้างๆซึ่งยังคงชัดเจนในใจ วันพรุ่งนี้มีเรื่องที่จะได้คุยกับเธอแล้ว
หลังจากวันนั้นฉันได้รู้ว่าบ้านเธออยู่แถวนี้ แต่ฉันกลับสงสัยว่าทำไมเธอถึงมาเรียนสายได้เกือบทุกวันทั้งที่บ้านอยู่แค่ฝั่งตรงข้าม ฉันถามและเธอเองตอบว่าตื่นสาย ฉันนึกขันในใจแต่ไม่ได้หัวเราะออกไป เพราะกลัวว่าเธอจะอาย
ฉันเองทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอมาเรียนสายแต่กลับไม่เคยหันไปบอกเธอสักครั้งว่าเรียนถึงหน้าไหนแล้ว ไม่รู้สิฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนต่างเพศที่ไม่ใช่พ่อและพี่ชายเท่าไหร่ ได้แต่เปิดหนังสือให้เธอเห็นง่ายๆ หวังว่าเธอคงไม่ว่าอะไรฉันนะ
จนกระทั่งวันที่เธอขอยืมหนังสือฉันไปเพราะจดไม่ทัน ฉันเต็มใจอย่างยิ่งเพราะเป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มพูดก่อน ฉันไม่ถือหรอกว่าเธอพูดเพราะความจำเป็น อย่างน้อยครั้งนี้เธอก็พูดกับฉันก่อน
ทุกครั้งก่อนหน้านี้ที่ฉันได้พูดกับเธอคงมีแค่ตอนที่ฉันยื่นลูกอมให้แล้วเธอก็พูดว่า ไม่เป็นไรครับ หรือหลังๆก็พูดว่า ขอบคุณครับ หลังจากที่ฉันวางลูกอมไว้บนหนังสือเธอ ทุกครั้งที่ฉันให้ลูกอมเธอฉันจะเก็บลูกอมเม็ดอื่นที่อยู่ในห่อเดียวกันนั้นไว้ในขวดโหลเสมอ มีวันหนึ่งฉันเก็บลูกอมไว้เม็ดหนึ่งเต้นเห็นเข้าทำท่าจะฉีกกระดาษห่อ ฉันร้องห้ามแทบไม่ทัน มันงอนที่ฉันงกไม่ยอมให้มันกิน ถามว่าทำไมต้องเป็นลูกอมเม็ดนี้ ฉันได้แต่ตอบว่าเป็นลูกอมเม็ดที่ฉันชอบ ฉันแค่อยากมีหลักฐานของความทรงจำบ้างก็เท่านั้น
มีครั้งหนึ่งอาจารย์แซวเธอว่าวิศวะหนุ่มอนาคตไกล ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธออยากเป็นอะไร หรืออยากเป็นวิศวะตามคำแซวของอาจารย์ ส่วนฉันยังไม่รู้เลยว่าอยากเรียนอะไร พยายามค้นหาตัวเองมาตั้งนานแต่ก็หาไม่เจอสักทีขอให้เธออย่าเป็นอย่างฉันเลย ขอให้เธอมีฝันและทำตามฝันนั้นให้สำเร็จ
จบคอร์สแล้วแต่ฉันไม่ได้ทำตามความตั้งใจที่จะซื้อยางลบก้อนใหม่ให้เธอ ก็เพราะเราไม่รู้จักกันเลยนี่นา ฉะนั้นมันคงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้เธอได้ เอาเถอะถึงแม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่คืบหน้าอย่างที่ฉันหวังแต่ฉันจะเก็บเธอเอาไว้ในความทรงจำ อย่างที่ฉันเก็บลูกอมเม็ดที่ชอบไว้ในโหลใบนั้น
----------------------------------------
ฉันรู้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ฉันสอบติดคณะวารสารอย่างที่อยากเรียน พ่อไม่ให้ฉันเลือกคณะนี้ พ่อว่าบุคลิกฉันไม่เหมาะหลังจากที่ฉันบอกว่าอยากเป็นนักข่าว แต่จนแล้วจนรอดฉันขอขัดใจพ่อสักครั้ง ฉันคิดถึงเธอ ไม่รู้ว่าเธอจะสอบติดไหม และติดคณะอะไร
เปิดเทอมแล้วฉันเริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ได้รู้ว่ามีเพื่อนหลายคนมาจากโรงเรียนเดียวกับเธอ ฉันรู้ว่าเธออยู่โรงเรียนนี้เพราะมีวันหนึ่งที่เธอใส่ชุดนักเรียนไปเรียนที่นั่น อยากลองถามเพื่อนใหม่ว่ารู้จักเธอบ้างไหม แต่ไม่ดีกว่าไม่อยากให้ใครรู้
วันนั้นวินโทรมาหาฉันตอนพักกลางวันบอกว่าจองโต๊ะไว้แล้วที่โรงอาหาร ฉันจึงรีบเดินไป เมื่อถึงที่โรงอาหารฉันเห็นวินแล้ว แต่กลับมีสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับวิน ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่คิดว่าเราจะได้เรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน วินแนะนำให้เรารู้จักกัน เพิ่งรู้ว่าเธอกับวินเคยเรียนอยู่ชั้นเดียวกันสมัยมัธยม ได้รู้ชื่อเธอก็วันนี้เอง ฉันไม่ได้พูดอะไรนักเพราะมีเพื่อนเธออยู่หลายคน ไม่รู้ว่าแต่ละคนคิดยังไงกับฉัน สักพักเธอกับเพื่อนขอแยกตัวไปเรียน เธอยิ้มให้ฉันและโบกมือเล็กๆก่อนจะเดินจากไป เธอใส่เสื้อช็อป
เธอคงได้เรียนวิศวะสมใจ ฉันคิด
ที่โต๊ะเหลือแค่ฉันกับวินเพราะมีเรียนวิชาเดียวกัน ฉันเห็นวินทำหน้ายิ้มๆ แล้วเฉลยให้ฟังว่ารู้เรื่องของฉันกับเธอ ฉันไม่แน่ใจว่าวินรู้ได้อย่างไร คงเป็นวิชาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ที่ฉันเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเธอ และนามปากกาที่ฉันใช้นั่นเอง
ตอนแรกฉันคิดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นพรหมลิขิตให้เราได้รู้จักกัน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย เป็นเพราะเราทั้งสองคนต่างก็รู้จักกับวิน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เพื่อนของเพื่อนจะได้รู้จักกัน เธอเองคงไม่ได้คิดอะไรมากมายอย่างฉัน เธอคงคิดว่าฉันเป็นแค่เพื่อนของเพื่อนเก่าเท่านั้น แต่สำหรับฉันการได้เห็นเธออีกครั้งและได้รู้ว่าเธอทำตามความฝันของเธอแล้ว มันทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะทำตามความฝันของฉันเช่นกัน
หลังจากวันนั้นฉันเห็นเธอบ้าง บนรถสองแถว ในโรงอาหาร หรือบางทีเห็นเธอขี่จักรยานไปเรียนในตอนเช้า เธอคงไม่ทันสังเกตเห็นฉันหรอกเพราะว่าโลกนี้มีผู้คนมากมาย หากเราไม่ใช้ความตั้งใจในการมองหาใครสักคนเพราะว่าเขาเป็นคนสำคัญ ก็คงไม่มีทางมองหาใครเจอง่ายๆ
วันที่เธอจักรยานล้มฉันยังจำได้ดี ฉันนั่งติวหนังสืออยู่กับเพื่อนข้างๆหอพักเห็นแล้วว่าจักรยานทำท่าจะล้มแต่ไม่รู้ว่าเป็นเธอ มีของร่วงลงมาหลายอย่างทั้งหนังสือ สมุด กล่องดินสอ เธอเก็บไปไม่หมด มีดินสอตกอยู่แท่งหนึ่ง เพื่อนฉันเห็นจึงอยากเก็บไปคืน ฉันเป็นคนขี่จักรยานให้เพื่อนซ้อนท้าย เพื่อนฉันร้องเรียกให้เธอหยุดรถ เธอหันมาฉันทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ยืนเงียบ จนเธอเริ่มขี่รถไกลออกไป เป็นอะไรรึเปล่า
ฉันร้องตะโกนออกไปไถ่ถามอาการของเธอ ไม่คิดว่าเธอจะหันกลับมายิ้มและยกมือขวาที่เอานิ้วชี้จรดนิ้วโป้ง นิ้วทั้งสามที่เหลือเหยียดตึง แล้วตะโกนกลับมาว่า ไม่เป็นไรครับ
หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้เจอกันเป็นเรื่องเป็นราวอีก จนกระทั่งวันศุกร์นั้นที่ฉันนั่งรถบริการของมหาวิทยาลัยกลับบ้าน นักศึกษาใช้บริการกันอย่างคึกคักเหมือนเคย ฉันเลือกนั่งเบาะหลังและเริ่มหลับทันทีหลังจากจ่ายค่าโดยสาร หลับได้งีบใหญ่พอควรก็ถึงคราวต้องตื่นเพราะศีรษะไปโขกเข้ากับไหล่ของคนข้างๆ ฉันรู้สึกเจ็บ แต่ไม่ลืมที่จะหันไปขอโทษ อย่างก้มหน้าก้มตาและให้เสียเวลาน้อยที่สุดเพราะตั้งใจว่าจะหลับต่ออีกสักตื่น
ไม่เป็นไรครับ คำพูดนี้ฉันคุ้นดีอยู่แล้ว แต่ยังคงน้อยกว่าน้ำเสียงที่คุ้นหูอย่างยิ่ง ทำให้พลันหายง่วง เงยหน้าขึ้นมอง
เธอนั่นเอง ฉันคิดในใจ พยายามคิดหาถ้อยคำมาเริ่มบทสนทนากับเธอ โดยหวังว่าจะทำให้เป็นบทสนทนาที่จบลงช้าที่สุด
สวัสดีครับ ใช่เพื่อนวินรึเปล่าครับ เธอกล่าวทักขึ้นก่อน
ตอนนี้ฉันไม่สนใจแล้วว่าบทสนทนาจะเนิ่นนานเพียงใด แต่ฉันจะจดจำทุกถ้อยคำของเธอ ฉันตอบว่าใช่ และเราก็คุยกันอีกหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องยางลบก้อนจิ๋ว เธอหัวเราะเบาๆหลังจากที่ฉันเอ่ยถามถึงมัน
คือคนส่วนใหญ่ไม่เคยใช้ยางลบหมดก้อนเลยน่ะครับ คิดว่าเล็กเกินไปก็เลิกใช้ หรือไม่ก็หาย ตอนนั้นเลยพนันกับเพื่อนว่าถ้าใครใช้ได้จนเหลือก้อนเล็กกว่าจะได้ของที่อยากได้ เขาเล่ายิ้มๆทำให้ฉันพอจะเห็นภาพในอดีตของเขาอยู่บ้าง
แล้วสรุปใครชนะคะ ฉันถามตอนจบของเรื่อง
ผมแพ้ครับ เพราะว่ามันหายไปตอนที่เรียนที่นั่นแหละครับ ท่าทางเขาจะอายนิดๆที่เสียฟอร์มเพราะเป็นคนเริ่มพนันแท้ๆ
ถึงว่าคุณเปลี่ยนมาใช้ปากกาแทน ฉันนึกได้ว่าตอนหลังชักไม่ได้เห็นยางลบจิ๋วออกมาทำหน้าที่
คุณสังเกตด้วยหรือครับ เขาทำหน้างงปนตกใจหน่อยๆ
เอ่อ...คือเพื่อนฉันเขาชี้ให้ดูนะค่ะ กลับมานั่งคิดทีหลังฉันได้แต่โกรธตัวเองที่ไม่พูดความจริง
ผมทราบดีว่าตกเป็นประเด็นสนทนาในหมู่พวกคุณ
คุณรู้...แต่คุณก็ไม่เห็นย้ายที่นั่งหนีไปไหน ยิ่งทำให้พวกฉันได้ใจ พูดถึงคุณบ่อยขึ้น ฉันมองเห็นภาพเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
ผมไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรนี่ครับ ดีเสียอีกไม่เหงา
วันนั้นเมื่อถึงที่หมายฉันกับเธอกลับบ้านคนละทาง ฉันจำต้องแยกจากเธอเพื่อมาเดินในเส้นทางของตนเอง ไม่รู้ว่าหัวใจเธอจะเป็นเหมือนหัวใจฉันรึเปล่า มันพองโต อิ่มเอิบ และดูเหมือนจะทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตอย่างไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย
หากวันนี้หัวใจของเธอยังคงเป็นเหมือนปกติ ฉันก็ได้แต่หวังเล็กๆว่าในสักวันหัวใจเธอจะเต้นแรงและเร็วยิ่งขึ้นจนเธอไม่อาจเก็บไว้ในใจได้ และหากเพียงเธอเริ่มเอ่ยคำๆนั้นที่ฉันรอคอยมาทั้งชีวิต ฉันก็จะไม่ลังเลเลยที่จะบอกคำๆเดียวกันนี้ให้เธอรู้ความรู้สึกของฉัน
ขอเพียงเธอบอกฉันสักนิด... ให้ฉันได้มั่นใจ ...ว่าเธอเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
-------------------------------------- อ่านอะไรอยู่คะติ น้ำทิพย์ถามสามี เมื่อเห็นว่าปีติจับหนังสือเล่มนี้อย่างไม่วางมือมาตั้งแต่เช้า ปีติหันปกหนังสือออกให้ดูแทนคำตอบ
อ๋อหนังสือที่ทิพย์เพิ่งได้มาเมื่อวานนี้ สายตาของปีติยังคงจับจ้องอยู่ที่ปกในของหนังสือ ไม่ใคร่สนใจในคำตอบของผู้เป็นภรรยามากนัก
เธอเรียนอยู่คณะเดียวกับทิพย์ค่ะ รู้จักผิวเผินเท่านั้น น้ำเสียงของน้ำทิพย์แสดงชัดถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหินนั้น
เธอเรียนคณะบริหาร ไม่ใช่วารสารหรือ ปีติยังไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก
ค่ะ เรื่องสั้นที่อยู่ในหนังสือนั่น ได้ยินเพื่อนๆคุยกันว่าแต่งให้ผู้ชายที่เธอรัก ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะค่ะ แม่ของเธอเจอพับอยู่ในซองในกระเป๋าทำงาน ทิพย์ว่าคงพกติดตัวตลอดเวลาค่ะ น้ำทิพย์เล่าด้วยเสียงเรียบเฉย ปีติครุ่นคิดกับคำพูดของน้ำทิพย์อยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
เธอเป็นอะไร ปีติถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
เธอเป็นธาลัสซีเมียค่ะ
สิ้นเสียงตอบของน้ำทิพย์ ความว่างเปล่าย่างกรายเข้ามาในความรู้สึกของปีติ
เป็นอะไรคะติ น้ำทิพย์จับมือปีติแล้วบีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจ
ตรงข้ามกับปีติที่สองมือยังคงจับหนังสือเล่มนั้น คล้ายกับจะยื้อแย่งเอาบางสิ่งกลับคืนมา
ในขณะที่ลูกชายวัยซนของทั้งคู่หยิบโหลลูกอมที่วางในตู้โชว์ออกถือมาเล่น น้ำทิพย์หันมาเห็นจึงรีบเดินมาหยิบขวดโหลจากมือลูกแล้วนำไปเก็บที่เดิม
เล่นไม่ได้นะคะลูก ของคุณพ่อ น้ำทิพย์ให้เหตุผลกับลูกไปตามเรื่องตามราวแล้วจึงพาไปส่งให้พี่เลี้ยงดูแล
ปีติเดินมาที่ตู้โชว์หยิบขวดโหลใบนั้นออกมาดูอย่างมีความหมาย น้ำทิพย์กลับมาดูแลสามี แต่ก็อดสงสัยในความสำคัญของของสิ่งนี้ไม่ได้
ติคะ โหลนี้มันมีอะไรหรือคะ แค่โหลลูกอม เก่าแล้วด้วยนะคะ
สำหรับคนอื่นมันเป็นแค่ลูกอม แต่สำหรับผมมันเป็นลูกอมที่ผมชอบ
ติชอบแต่ทิพย์ไม่เห็นติหยิบมาทานเลย
ถ้าผมทานมันก็จะหมดไป ไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้
ติพูดแปลกๆนะคะ
ถึงลูกอมจะมีไว้ทาน และผมก็ชอบลูกอมพวกนี้ แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความชอบด้วยการทานลูกอมนั้น
ยิ่งพูดยิ่งแปลกนะคะติ ช่างเถอะค่ะ ทิพย์ไม่ถามแล้ว น้ำทิพย์ทำท่าจะเดินไป
จำนวนลูกอมในโหลของผมเท่ากับลูกอมในเรื่องสั้นเรื่องนั้น ปีติพูดขึ้นหลังจากน้ำทิพย์เดินไปไม่ห่างนัก
ติ น้ำทิพย์หันมา ชักสีหน้าไม่พอใจเล็กๆ เธอพอจะเข้าใจขึ้นมา จึงเริ่มรู้สึกน้อยใจ แต่ความรู้สึกนี้มีไม่มากเท่าความไว้เนื้อเชื่อใจที่เธอมีให้สามี เธอจึงให้โอกาสปีติอยู่คนเดียวเพื่อคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา
มือของปีติเริ่มสั่นมากขึ้น น้ำตาลูกผู้ชายเกือบจะหลั่งรินออกมา หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งแรงและเร็ว วันนี้เขาอยากตะโกนคำที่เธอรอคอยมาทั้งชีวิตให้ดังที่สุด ให้เธอผู้อยู่ไกลแสนไกลได้รับรู้ความรู้สึกของเขา แต่ทว่ามันสายเกินไป....
------------------------------------------
Create Date : 17 กรกฎาคม 2548 |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2548 12:35:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 171 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|