Group Blog
 
All blogs
 
[ย้ายบ้านมา] การเดินทางสู่อวกาศ


Post ที่ //pitithana.spaces.live.com เมื่อ: September 15, 2006 12:35 PM

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้ทำการย้ายมาจาก //pitithana.spaces.live.com เนื่องจากที่โน่นมีข้อจำกัดหลายอย่าง และไม่สะดวกแก่การใช้งานนัก

เรื่องทั้งหมด ภาษาอาจไม่ถูกต้อง และอาจไม่เหมาะสม เนื่องด้วยสถานการณ์ และอารมณ์ บวกด้วยวุฒิภาวะขณะที่ผมเขียน แต่เนื่องด้วยต้องการคงอารมณ์เดิมของเนื้อหาไว้ จึงจะไม่มีการแก้ไขใดๆ ขอให้เข้าใจตรงกันนะครับ แล้วผมจะพยายามพัฒนาขึ้นเรื่อยๆครับ

ปล. ส่วนของ Comment ผมไม่ได้เอามาด้วย เนื่องจากไม่รู้จะเอามายังไง ใครอยากอ่าน ก็ตามไปอ่านที่บ้านเก่าได้นะครับ

Link ไปที่เก่า: //pitithana.spaces.live.com/blog/cns!2B19BFB8873AA6CA!278.entry


3 กันยายน 2549 (ตามเวลาประเทศไทย): และแล้ว วันที่ต้องออกเดินทางไกลก็มาถึง


อันที่จริงแล้วผมกังวลมากกับการเดินทางครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการเดินทางมาต่างประเทศคนเดียว ครั้งแรก และยังมาด้วยภาระกิจที่ผมไม่เคยคิดว่าจะทำสำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ได้เลย มันเลยทำให้ผมออกจะกระวนกระวาย และดูตื่นๆนิดๆ


ทางไปดอนเมือง คนเยอะน่าดู

 

เราเริ่มออกเดินทางจากที่พักผมกันประมาณ สองทุ่มครึ่ง เดินทางไปถึงก็ราวๆสามทุ่มนิดๆ จอดรถ เดินกันไป แทบไม่น่าเชื่อว่าแถว Check-in ยาวมากๆ (นี่ขนาดคิดว่ามาเร็วแล้วนะนี่) แต่ที่ต้องตกใจอีกนิดหน่อยก็คือกระเป๋าเดินทาง ที่ใครๆก็มีกันคนละใบใหญ่ๆ มากๆ ผมดูแล้วก็ได้แต่ทำใจ เพราะมีแต่คนเตือนผมว่ากระเป๋าที่มีมันใหญ่ไป ระวังเค้าจะไม่ให้เอาขึ้นและระวังน้ำหนักเกิน ผมเลยเอากระเป๋าใบเล็กมา 2 ใบแทน และจัดของเอามาเท่าที่จำเป็น แต่พอมาเห็นกระเป๋าของคนที่จะเอา Load ข้างหน้าแล้ว ก็เซ็งทันที เพราะมันใหญ่กว่ากระเป๋าที่ผมมีเสียอีก

 

คณะบุคคลที่มาส่งกระ ผมในครั้งนี้ มีรายนามอันได้แก่ น้าแตง (ขาประจำ ตอนไป LA แกก็เป็นคนมาส่ง) เน่ นัท และ โอ๋ โดยที่นัทและโอ๋ตามมาทีหลัง เรายืนต่อแถว Check-in ตอนแรก ผมก็เห็นแถว Premium-Economic แล้ว แต่กลัวไม่ใช่ เรามันคนธรรมดา แต่หลังจากต่ออยู่นานเลยถามพนักงาน เค้าบอก เราไปต่อที่ แถว Premium ได้ อ้าวเหรอ งั้นก็ไปต่อแถวนั้นดีกว่า ดูสั้นกว่า แล้วก็รอ รอ และ รอ อีก ก็ไม่ได้ Check-in ซะที แถวก็ไม่ยาว แต่เวลาที่ใช้ต่อคนนั้นประมาณ 10 – 15 นาทีเห็นจะได้ ผมก็เผลอคิดว่า เค้าถามประวัติกันอยู่ เพราะไม่ได้เห็นเช็คกระเป๋ากันซักหน่อย ผมต่อมาจนถึงอีก หนึ่งคนจะถึงคิวผม ก็เลยได้เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้นาน ตอน Scan กระเป๋าเสร็จและระหว่างต่อแถว จะมีพนักงานเอาแบบฟอร์มมาให้กรอกเกี่ยวกับอะไรผมก็จำไม่ได้ ประมาณที่ๆจะไปอยู่กับของในกระเป๋านี่แหละ ซึ่งตามหลักทุกคนก็น่าจะกรอกให้เสร็จตั้งแต่ตอนรออยู่ในแถว แต่ไม่เลยครับ โดยเฉพาะคนไทยเรานี่แหละ ยืนเก๊ก ทำหน้าประมาณว่ากูนี่แหละคนที่จะไปนิวยอร์ค แล้วพอไปถึงเคาน์เตอร์ เค้าก็สั่งให้กรอกก็ค่อยกรอก เลยนาน แต่จะยังไงผมก็ได้ Check-in สมใจ ปรากฎว่า น้ำหนักกระเป๋ารวมกันได้แค่ 29 กก. กว่าๆเอง เจ็บใจนัก แต่ไม่อยากคิดอะไร ผมเครียดเรื่องอื่นที่จะเกิดในอนาคตมากกว่า การ Check-in ของผมใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที เพราะผมกรอกทุกอย่างเรียบร้อยมาตั้งแต่ได้รับแล้ว มันน่า… จริงๆครับ สำหรับคนที่ทำให้เสียเวลานี่

 

หลังจาก Check-in เป็นที่เรียบร้อย เราก็มารอ Boarding กัน เลยถ่ายรูปคณะที่มาส่งกันเล็กน้อย

 

ยืนถ่ายรูปกันก่อน ยืนถ่ายรูปกันก่อน

 

จากนั้นก็ร่ำลากันและผมก็เข้าไปที่ Gate 52 ถูกเช็ค Passport และ VISA เจ้าหน้าที่ถามผมว่า อีกกี่ปีจบ ผมงง ผมไป VISA B1 ไม่เห็นหรือไง เช็คยังไงกัน มาถามอีกกี่ปีจบ เลยตอบสวนไปว่า ไม่รู้ครับ ไม่ได้เรียน เลยไม่รู้เมื่อไหร่จะจบ อาจเป็นคำถามล่อ แต่ผมตอบไปแล้ว และได้ผ่านเข้าไป จานั้นก็ถูกเช็คกระเป๋า ตรวจกระเป๋าหาระเบิด ซึ่งผมอยากจะบอกเจ้าหน้าที่ไปเหลือเกินว่า จริงๆผมพกระเบิดเวลามาด้วย แต่มันอยู่ในใจผมต่างหาก ไม่ได้อยู่ในกระเป๋า และคนกดชนวนก็คือคนที่ผมจะไปเจอที่โน่น ผมไม่เกี่ยว

 

โชคดีที่ผมได้รับในการเดินทางครั้งนี้ก็คือ ตั๋วผมได้รับการเลื่อนไปเป็น Business Class เนื่องจากมันว่าง และเค้าจะขายตั๋วของผมให้คนอื่น ทำให้ผมได้นั่งสบายขึ้นมากทีเดียว อาหารก็ดี อร่อยดี ขอชมการบินไทยตรงนี้เลย แต่ที่แย่ก็คือ แอร์โอสเตสคนที่ผมนำตัวไปถามที่นั่ง เค้าปฏิบัติกับผมไม่ค่อยดีเลย คงเป็นเพราะรู้ว่าที่นั่งเราได้อัพเกรด เพราะแอร์คนอื่นๆ เค้าดีมากเลย แต่โดยรวมก็ถือว่าดีแล้วกันครับ ผมไม่มีทางเลือกอะไร คงต้องยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้ก้าวเท้าขึ้นเครื่องเป็นที่เรียบร้อย

 

การเดินทางอันยาวนาน 16 ชั่วโมงเกือบ 17 ชั่วโมงก็ได้จบลงโดยการที่เครื่องของเรามาถึงที่ท่าอากาศยานนานาชาติ JFK ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 4 กันยายน 2549 (ตามเวลาท้องถิ่น) ทุกอย่างเรียบร้อย ผ่านตรวจคนเข้าเมืองมาได้สบาย แล้วก็มารอรับกระเป๋า ซึ่งใช้เวลานานนิดหน่อย (รออยู่เกือบ 45 นาที) เนื่องจากระบบสายพานขัดข้อง (สนามบินเค้าบอกอย่างนั้น) พอได้กระเป๋า ผมก็เดินหน้าออกมาจากสนามบินทันที ดูป้าย แล้วพุ่งตรงไปที่ Taxi Stand ตามคำแนะนำของคุณ Manager

 

หลังจากขึ้น Taxi มา เค้าก็ทำความเข้าใจกับผมว่า ค่า Taxi 45$ บวกค่า Toll-way อีก ไม่รวม Tip ซึ่งผมเองก็งงๆ ทางผมนั้นอะไรก็ได้ ขอให้รวมมาเลยแล้วจะได้ใช้บัตรเครดิตรูดไป แล้วเอาบิลไปเบิก แต่พอเค้าขอค่า Toll-way ผมเลยบอกไปว่าไม่มีเงินสดเลย ไม่ได้เบิกมา เค้าก็ใจดี ออกให้ก่อนด้วย นั่งกันมาตลอดทาง เราก็คุยกันหลายอย่าง (โชคดีที่ Taxi คนนี้เป็นคนดี) เค้าแนะนำผมหลายเรื่อง แถมบอกว่าเค้าชอบคนไทย ใจดี แถมเค้าชอบฟังเพลง Jazz เหมือนผม เราเลยมีเรื่องคุยกันมาตลอดทาง

 

นั่งTaxi ไป Apartment Taxi ใจดี ออกค่า toll-way ให้ก่อน

 

Riverbank West คือชื่อที่พักที่ทางบริษัทจัดให้ เป็นอาคารอยู่อาศํย 46 ชั้น ผมเดินเข้าไปข้างใน และติดต่อ Vallet เพื่อขอกุญแจเข้าห้อง เค้าก็งงๆ โทรเข้าไปที่ห้อง แล้วก็บอกว่าไม่มีคนอยู่ เค้าถามว่าผมได้บอกเจ้าของห้องหรือเปล่าว่าจะมา ผมก็งงคืน บอกเค้าไปอีกว่า ผมนี่แหละคนที่จะมาอยู่ เค้าเลยขึ้นไปเช็คดู แล้วก็กลับลงมาพาผมขึ้นห้องในที่สุด

 

เมื่อเข้ามาในห้อง ห้องที่ทางบริษัทจัดให้เป็นห้อง 1 ห้องนอน คือ มี 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องน้ำและ มีส่วนที่เป็นครัว ผมซึ่งกำลังอ่อนล้าที่สุดและต้องการๆพักผ่อน ก็ได้วางกระเป๋าลง และเดินไปดูห้องนอน และมองหาที่เปิดแอร์… อยู่ไหนน้า switch หรือ remote ของแอร์เนี่ย… หาไม่เจอ!!! งงครับ เลยเดินไปดูที่ตัวแอร์ ก็เลยถึงบางอ้อ มันไม่มีหรอกครับ switch มันเป็นแอร์รุ่นเก่ามากๆ switch มันก็อยู่ที่ตัวมันแหละ แถมดูสภาพแล้ว และจากการลองกดๆดู ไม่กล้าเปิดครับ!!! กลัวมันระเบิด กรรมจริงๆ แต่ก็เอาน่า เปิดหน้าต่างเอาก็ได้ ไม่มีปัญหา อยู่ LA ก็เปิดหน้าต่างตลอดอยู่แล้ว ว่าแล้วผมก็เดินไปเปิดหน้าต่าง อึ๊บ!! เอ้า อึ๊บ … … อีกทีน่า อึ๊บ!! เอ… ปลดล็อกแล้วนี่น่า ลองอีกที อึ๊บ!!! ไม่ออก ผมเปิดหน้าต่างไม่ออก!!! ซวยแล้ว เลยเดินไปเช็คแอร์ และหน้าต่างที่ห้องนั่งเล่น เหมือนกันเด๊ะ!! ซวยแล้ว แล้วจะหายใจยังไงเนี่ย เดินไปเปิดประตูระเบียง… เอ้อ เปิดได้แฮะ!! โล่งใจครับ อย่างน้อยผมก็ไม่โดนระเบิดหรือขาดอากาศหายใจตาย และอีกอย่างอากาศที่นี่ก็เย็นๆนิดๆ เปิดไว้แค่ประตูก็คงพอ

 

หลังจากตกใจกับหน้าต่างและแอร์แล้วร่างกายมันก็ตื่นซะงั้น เลยตัดสินใจต่ออินเทอร์เน็ตก่อนเลย ติดต่อคนที่เมืองไทย ซื้อการ์ดโทรศัพท์ให้เรียบร้อย จะได้โทรกลับบ้าน เดินวน 3 รอบ ไม่รู้จะต่ออินเทอร์เน็ตยังไง!! ผมมองไปมองมา ก็ไปเจอกับเจ้าบอกซ์ที่มีไฟกระพริบๆอยู่ 2 อัน อ่านๆดู ตัวนึงเขียนว่า VoIP และอีกอันเป็นตัวคล้ายตัวควบคุม สาย LAN (Ethernet Cable) มันต่ออยู่ระหว่าง 2 ตัวนี้ เลยอ่านๆและทำความเข้าใจดู ก็รู้ว่ามันคือ Controller Box อันนึง ส่วนไอ้ตัวที่เขียนว่า VoIP นี่คือ Broadband Router with VoIP port เพราะโทรศัพท์ที่เค้าให้มามันเป็น VoIP Phone แต่ที่ทำให้ตกใจอย่างมากก็คือ เค้าไม่ได้ให้สาย LAN มาด้วย!! แล้วผมจะติดต่อกับอุปกรณ์พวกนี้ได้ยังไงเนี่ย นึกแล้วก็เจ็บใจเพราะตอนแรกว่าจะเอา Wireless-Hub มาด้วย แต่มันไม่มีที่ใส่ (ถ้ารู้ว่าเอากระเป๋าใบใหญ่มาได้ล่ะ โอย… สบายมาก) ทั้งเซ็งทั้งเจ็บใจ แล้วความอยากติดต่อผู้คนก็เลยพุ่งพล่านขึ้นมาทันที อยากติดต่อผู้คนให้ได้ อยากโทรบอกแม่ว่าปลอดภัยดี โทรบอกเน่ บอกนัท บอกโอ๋ ว่ามาถึงปลอดภัย ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่หลง เมื่อคิดได้อย่างนี้ ลูกผู้ชายอย่างผมจึงตัดสินใจ เป็นไงเป็นกัน ออกไปหาซื้อซะทั้งๆที่รู้ว่ารอไปเอาที่ออฟฟิตพรุ่งนี้กได้ แต่ผมจะติดต่อคนที่โน่นให้ได้ในวันนี้ นี่คือสิ่งที่ตัดสินใจ

 

เปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปถามที่ Vallet ว่าแถวนี้มีร้านขายของพวกนี้หรือเปล่า เค้าบอกมีน่ะมี แต่วันนี้วันหยุด (Labor Day) ไม่รู้ว่าจะมีร้านเปิดหรือเปล่า ให้ไปดูแถว Broadway ดู ได้ความว่าอย่างนั้น ผมก็ออกไปทันที แผนที่ก็ไม่มี คิดในใจว่าผมจำทางเก่ง ไม่ค่อยหลง เดียวนับเป็นบอล์กกับจำสถานที่สำคัญๆเอา เดินไปเรื่อย ไปจนถึง Times Square เจอออฟฟิตโดยบังเอิญ แต่มาเจอร้านที่ต้องการ เดินหาอยู่นาน เกือบท้อ ในที่สุดก็เจออยู่จนได้ แต่ที่ต้องตกใจคือ Ethernet Cable ราคา 27.XX$ เอ่อ… อึ้งไปซักพัก แต่เอาก็เอา เงินพันนึงจ่ายครั้งเดียวใช้สามเดือน เลยซื้อซะ ปรากฏว่าราคารวมภาษีเป็น 32.XX$ ซะงั้น เฮ้อ แต่ก็ได้สายมาต่ออินเทอร์เน็ตสมใจ

 

กลับมาถึงที่พัก และสามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้ดังปรารถนา เริ่มด้วยซื้อการ์ดโทรศัพท์ก่อนเลย ซื้อซะ 200$ กะซื้อครั้งเดียวไปเลยเพราะเค้าลดให้ เหลือ 170$ ถ้าซื้อ 200$ รอซักพัก ไม่ได้ PIN เลยติดต่อไป (มีแต่ Live Chat Support ไม่มีโทรศัพท์) เค้าบอกว่าซื้อเยอะเกินไป ต้องขอเอกสารยืนยัน ให้ Fax หรือ Email ไปให้ อ้าว… จะทำได้ยังไงล่ะ ไม่มี Fax นี่นา!! คุยกันอยู่นาน ก็สรุปได้ว่า พรุ่งนี้ผมต้อง Fax เอกสารให้เค้าไปถึงจะใช้ได้ Cancel ก็ไม่มีผล ถ้าสั่งซื้อใหม่เค้าก็จะขออยู่ดี เหมือนโดนสงสัยไปแล้ว ผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรมาก ก็เลยกะว่าจะรอพรุ่งนี้ก็แล้วกัน แต่ทว่า… แล้ววันนี้ล่ะ อุตสาห์เสียเงินไปซื้อสาย LAN สุดแพงมาแล้ว ไม่ติดต่อใครไม่ได้ เสียเงินฟรี ผมจึงตัดสินใจดูรายชื่อคนที่ออนไลน์ MSN อยู่ เจอ พัด พอดี เลยรบกวนพัดโทรไปบอกให้เน่ออนไลน์ แล้วผมก็ Skype ไปคุยแต่เนทของเน่ไม่ค่อยเสถียร คุยไปได้ซักพัก ก็เลยต้องเลิกคุย ส่วนแม่ กับคนอื่นๆ ผมกะว่าให้ได้ PIN ก่อนแล้วจะโทรไปหาพรุ่งนี้

 

จบเรื่องทุกอย่าง ก็เลยหาอะไรกินโชคดีที่ตอนขากลับจากไปซื้อสาย LAN นั้นเจอ Grocery Store เล็กๆเข้าโดยบังเอิญ และซื้อของตามประสบการณ์มา ก็เลยมีวัตถุดิบในการทำ ตอนแรกจะแค่ลวกมาม่ากินก็พอ แต่ว่าเค้าไม่มีชามใบใหญ่ให้ มีแต่ชามใบเล็กกระจิ๋ว ไหนๆจะต้องต้มน้ำในหม้อแล้ว ก็เลยลงมือทำสปาเก็ตตี้ราคาถูกกับแฮมราคาถูก (หรือเปล่า) ที่ซื้อมาซะเลย

 

น้ำไม่มีกิน ผมเพิ่งจะนึกได้ แย่แล้ว โชคดีที่เพื่อนผมออนไลน์พอดี น้ำตาลเรียนต่อปริญญาเอกอยู่ที่ CMU เป็นเพื่อนที่ดีมากๆของผมในเวลานี้ คอยให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ชีวิตที่นี่ และแนะนำให้ผมไปซื้อที่กรองน้ำมาใช้ แถมยังหาที่อยู่ของร้านให้ด้วย CVS Pharmacy – ร้านขายยาที่เหมือนเป็น 7-11 บ้านเราที่อยู่อีกหัวมุมตึกเลยกลายเป็นที่พึ่งชั้นดีของผม ได้กาน้ำและของนิดหน่อยมา

 

นั่งกินน้ำ นั่งทำใจกับเรื่องเซอร์ไพร์ซต่างๆที่เกิดขึ้นใน 9 ชั่วโมง หลังจากที่มาถึง ผมจึงทำใจและคิดว่า แค่นี้ ผมทนอยู่ได้แน่นอน เรื่องแย่ๆกว่านี้ก็เจอมาเยอะแล้ว และพรุ่งนี้คงมีเรื่องดีๆที่ทำงานรอผมอยู่บ้าง เมื่อทำใจได้ ก็เลยไปอาบน้ำ… เอาจนได้ ชักโครกมันมีน้ำไหลไม่ยอมหยุด และก็ไม่รู้ว่ามันไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมต้องลงมือกับมันอีกนิดหน่อยก็เจอ trick ที่จะทำให้มันหยุดจนได้ แต่มันต้องทำทุกครั้งหลังจากกดชักโครก จากนั้นก็ก้าวขาเข้าไปในอ่างอาบน้ำ เปิดน้ำ… เอ่อ อุณหภูมิของน้ำมันไม่คงที่ครับ แย่แล้ว มันร้อน(ร้อนจริงๆ)สลับกับเย็น(เย็นจริงๆ) ผมยืนเซ็งมองดูมันอยู่ 5 นาที จึงเริ่มมองหา trick ที่จะใช้กับมัน ก็เจอว่ามันจะเป็นอย่างนี้ตอนเปิดน้ำอุ่นเท่านั้น โชคดีมากที่ผมเป็นคนไม่ชอบอาบน้ำอุ่น ผมเลยตัดสินใจไม่ใช้ อาบน้ำเย็นเอา ถึงมันจะเย็นกว่าที่เมืองไทย แต่ไม่นานผมคงชิน

 

อาบน้ำเสร็จมานั่งลง รู้สึกเหนื่อยมากๆกับวันแรกที่มาถึง เริ่มง่วงแต่หลับไม่ได้ เพราะเดี๋ยว Jet Lag พรุ่งนี้ตอนทำงาน แย่แน่ๆ เลยมานั่งจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ให้เรียบร้อย มันก็มีเรื่องปวดหัวจนได้ว่า เสื้อยับและไม่มีเตารีด เค้ามีแต่ที่รองรีดให้ เตารีดผมไม่ได้เอามาเพราะไม่มีที่ใส่ ผมจึงตัดใจ และทำใจใส่เสื้อไม่รีดไปจนกว่าผมจะทำใจไม่ได้หรือทนไม่ไหวซื้อเตารีดที่นี่

 

ผมใช้เวลาศึกษาอีกนิดหน่อยศึกษาการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ และตกใจกับเสียงของไมโครเวฟ จากนั้นก็ดูทีวี และเข้านอน เป็นอันจบการเดินทางสู่อวกาศ และวันแรกของผมที่นี่ในที่สุด

 

โป๊ะ


+ + + + + + + + + + + + +



Create Date : 22 กันยายน 2549
Last Update : 11 ตุลาคม 2549 10:05:21 น. 6 comments
Counter : 482 Pageviews.

 
อ้าว เรานึกว่าเราเขียนอะไรไปแล้วซะอีก อืม ดีใจที่เธอไม่ได้ใช้สุวรรณภูมินะ - -' เห็นเค้าว่าโกลาหลน่าดู รุ่นน้องเราเพิ่งกลับมา ด่ายับ

คอมเสีย ต้องออกบัตร boarding pass โดยการเขียนเอา ก็เลยห่วงว่ากระเป๋าจะหายไหมเนี่ย แล้วก็สกปรก กระจกไม่เช็ด ห้องน้ำไม่มีทิชชู - -'

อ้าว เรามาบ่นอะไรเนี่ย ไปละ อิอิ


โดย: Namtarn IP: 71.206.220.37 วันที่: 1 ตุลาคม 2549 เวลา:11:22:05 น.  

 


โดย: มายด์ IP: 124.157.232.216 วันที่: 31 มกราคม 2550 เวลา:13:56:07 น.  

 
อะไรหนักหนากูเข้ามาดูการเดินทางสู่อวกาศมีเหี้อยอะไรก็ไม่รู้อีควาย


โดย: เปิ้ล IP: 58.10.140.201 วันที่: 7 มกราคม 2551 เวลา:13:30:52 น.  

 
เปิ้ลพูดไม่เพราะเลยน่ะจ๊ะไอ้บ้า


โดย: มิ้งค์กี้ IP: 125.26.252.48 วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:9:11:19 น.  

 
มิ้งค์กี้พูดไม่เพราะเลยน่ะจ๊ะอีบ้า


โดย: มิลค์ IP: 125.26.252.48 วันที่: 13 มกราคม 2552 เวลา:9:12:57 น.  

 
ไม่เพราะเลยไม่เพราะเลย


โดย: เอม IP: 119.31.126.141 วันที่: 20 ธันวาคม 2552 เวลา:17:47:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poetra
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




กับเส้นทางที่ผ่านมา ถึงแม้จะไม่ได้ดี ไม่ได้เด่นเหมือนใครๆ แม้มันไม่ได้เลวร้ายเหมือนกับคนอื่นๆ แต่มันก็น่าจะเพียงพอที่จะมาเล่าสู่กันฟังได้บ้าง ...




Friends' blogs
[Add Poetra's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.