Group Blog
 
All Blogs
 

ผู้ทำคุณบูชาโทษ (๒)

๕.ผู้ทำคุณบูชาโทษ

ตอนที่ ๒ แม่ทัพปัญญาอ่อน

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อหนีมาจากโจโฉแล้ว ตันก๋งก็หลบไปอยู่เมืองตองกุ๋น ปล่อยให้โจโฉไปรวบรวมผู้คนตั้งขบวนการกู้ชาติ ที่บ้านของโจโก๋ผู้เป็นบิดาที่เมืองตันลิว จนมีกองทัพมาเป็นพันธมิตรด้วยถึงสิบหกหัวเมือง รวมกำลังได้หลายสิบหมื่น แล้วยกไปทำสงครามปลดแอกกับตั๋งโต๊ะ ได้ชัยชนะหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สำเร็จเด็ดขาด เพราะตั๋งโต๊ะมีทหารเอกฝีมือดีคือลิโป้ คอยตอบโต้ต้านทานไว้ได้ คราวที่รบกันที่ด่านเฮาโลก๋วน ฝ่ายโจโฉให้ทหารเอกออกรบทีเดียวแปดคน ลิโป้ขี่ม้าเซ็กเธาว์มีทวนเป็นอาวุธคู่มือ ออกรบแต่ผู้เดียว ฆ่าทหารรองที่ออกมาต่อสู้ด้วยตายไปหลายคน อีกคราวหนึ่งเคยเข้ารบกับสามพี่น้อง เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ซึ่งรุมล้อมเป็นสามเส้า ก็ยังเอาตัวรอดไปได้

ต่อมาโจโฉเสียทีฝ่ายตั๋งโต๊ะถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บ ก็ไม่มีกองทัพหัวเมืองใดช่วยเหลือ และยังแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อิจฉาริษยากันเอง จนเกิดรบราฆ่าฟันกันเป็นหลายฝ่าย ขบวนการกู้แผ่นดิน ก็เลยแตกกระจัดกระจายแยกย้ายกันกลับไปบ้านเมืองของตน ส่วนโจโฉก็ถอยไปตั้งหลักอยู่อีกทางหนึ่ง

จนกระทั่งตั๋งโต๊ะซึ่งพาพระเจ้าเหี้ยนเต้ ย้ายเมืองหลวงจากลกเอี๋ยงไปสร้างเมืองใหม่อยู่ที่เมืองเตียงฮัน ต้องตายลงด้วยฝีมือของลิโป้ เพราะนางเตียวเสียนเป็นเหตุ เมืองหลวงก็เลยวุ่นวายกันต่อไปอีกพักหนึ่ง ต่อมาลิฉุย กับกุยกี คนสนิทของตั๋งโต๊ะกลับมาแย่งอำนาจคืนไปได้ เกิดอ้างรับสั่งฮ่องเต้ให้โจโฉยกทัพไปปราบปรามพวกโจรโพกผ้าเหลืองที่เหลืออยู่ จนได้ชัยชนะก็เลยฟื้นตัวขึ้นมาอีก มีทหารยี่สิบหมื่นเศษ และมีความชอบได้รับตราตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการใหญ่ภาคตะวันออก จึงเข้าครองเมืองกุนจิ๋ว ซึ่งเป็นเมืองเอกมีผู้คนเข้ามาเป็นบริวารมากมาย

ฝ่ายลิโป้ต้องหนีลิฉุยกุยกีออกจากเมืองเตียงฮัน ไปอยู่เมืองลำหยง แต่อ้วนสุดเจ้าเมือง เห็นว่าเป็นคนอกตัญญู เคยฆ่าเต๊งหงวนพ่อเลี้ยงคนแรก เพื่อมาอยู่กับตั๋งโต๊ะ และฆ่าตั๋งโต๊ะเพื่อแย่งเอานางเตียวเสียนภรรยามาเป็นของตน จึงไม่ยอมรับไว้ ต้องย้ายไปอาศัยอ้วนเสี้ยว พี่ชายของอ้วนสุดที่เมืองกิจิ๋ว อยู่ได้ไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นอีก ต้องหลบไปอยู่กับเตียวเอี๋ยน เจ้าเมือง เซียงต๋ง ซึ่งเป็นพวกของลิฉุยกุยกี จะถูกจับตัวไปฆ่า พอดีรู้ตัวก่อนเลยต้องซัดเซพเนจรมาอยู่กับเตียวเมา เจ้าเมืองตันลิว

ทางด้านโจโฉนั้น พอได้เป็นใหญ่เป็นโตอยู่ทางภาคตะวันออกแล้ว ก็คิดถึงบิดาที่ยังอยู่เมืองตันลิว จึงมีหนังสือบอกให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน โจโก๋ก็จัดแจงเก็บทรัพย์สินและพาพี่น้องครอบครัว กับบริวารทั้งหลายประมาณสองร้อยเศษ ขึ้นเกวียนเป็นขบวนยาว เดินทางผ่านเมือง ชีจิ๋วซึ่งโตเกี๋ยมเจ้าเมืองนี้เคยเข้าร่วมขบวนการปลดปล่อยกับโจโฉเมื่อครั้งก่อน และนับถือกันมา จึงเชิญให้โจโก๋แวะเข้าไปพักในเมืองก่อน จัดการเลี้ยงดูอย่างดีอยู่สองวัน แล้วจึงให้ลูกน้องชื่อ เตียวคี ซึ่งเดิมเคยเป็นโจรโพกผ้าเหลือง คุมทหารห้าร้อยคนไปส่งโจโก๋ที่เมืองกุนจิ๋ว
เตียวคีคุมขบวนคาราวานเกวียนของบิดาโจโฉ มาจนถึงตำบลวัดแฮหุยเป็นเวลาจวนค่ำ ฝนก็ตกต้องหยุดพักค้างคืน พอถึงกลางดึกสันดานโจรแต่ดั้งเดิมกำเริบ เกิดความโลภ จึงยกพวกเข้าฆ่าฟันโจโก๋และครอบครัว ตายเรียบไป แล้วชิงเอาทรัพย์สมบัติหลายร้อยเล่มเกวียน หนีไปหลบซ่อนอยู่ในป่า

ความผิดก็มาตกอยู่กับโตเกี๋ยม เพราะโจโฉทราบข่าวแล้วโกรธจนลมจับตกเก้าอี้ อาฆาตว่าจะยกทหารไปเหยียบเมืองชีจิ๋วให้ราบ และจะฆ่าผู้คนพลเมืองให้เกลี้ยง เหลือแต่แผ่นดิน ว่าแล้วก็ยกกองทัพมาล้อมเมืองชีจิ๋วไว้

ฝ่ายตันก๋งซึ่งอยู่ที่เมืองตองกุ๋น ก็เป็นมิตรสหายกับโตเกี๋ยม รู้ดีว่าเพื่อนไม่มีความผิด แต่เคราะห์ร้ายที่ใช้คนผิด ด้วยความสงสารเพื่อนและคิดว่า ตนเองเคยมีคุณกับโจโฉมาก่อน จึงขึ้นม้าแต่ผู้เดียวมาหาโจโฉที่ค่าย โจโฉยังจำบุญคุญของตันก๋งได้ จึงยอมให้เข้าพบ ตันก๋งก็ชี้แจงความจริงว่า โตเกี๋ยมเป็นคนสัตย์ซื่อมีความอารี จึงใช้ให้เตียวคีคุมทหารไปส่งบิดาโจโฉ แต่เตียวคีเป็นคนเลวจึงก่อเหตุขึ้น โดยที่โตเกี๋ยมไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยแต่ประการใด ซึ่งโจโฉจะฆ่าชาวเมืองชีจิ๋วผู้ไม่มีความผิดให้สิ้น เป็นการแก้แค้นนั้น ไม่ชอบด้วยเหตุผลขอให้ดำริตริตรองเสียใหม่

โจโฉก็มีแต่ความโกรธแค้น และถือว่าโตเกี๋ยมเป็นผู้รับผิดชอบ จึงย้อนว่าตันก๋งเคยเป็นพวกตนหนีตั๋งโต๊ะมาด้วยกัน กลับทิ้งไปเสียกลางทาง แล้วจะกลับมาหาอีกทำไม โตเกี๋ยมนั้นทำอุบายฆ่าบิดาและญาติพี่น้องของตน ตายไปเป็นอันมาก จะต้องแก้แค้นให้ได้อย่ามาห้ามตนเลย ตันก๋งก็ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมคนใจเหี้ยมอย่างโจโฉได้อย่างไร จึงต้องหันหลังกลับ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปหาโตเกี๋ยม และไม่กลับไปเมืองตองกุ๋น เลยไปอยู่กับเตียวเจี๋ยวน้องชายเตียวเมา เจ้าเมืองตันลิว บ้านเก่าของโจโก๋นั่นเอง จึงได้พบกับลิโป้ที่นั่น ตันก๋งก็เสนอให้เตียวเมายกทหารไปตีเมืองกุนจิ๋วของโจโฉ ในขณะที่โจโฉมัวไปล้อมเมืองชีจิ๋วอยู่ เตียวเมาก็เห็นด้วยจึงให้ลิโป้เป็นแม่ทัพ และให้ ตันก๋งเป็นที่ปรึกษา ยกไปตีเมืองกุนจิ๋วได้อย่างง่ายดาย

และโจโฉก็ตีเมืองชีจิ๋วไม่ได้อย่าที่คิด เพราะมีหัวเมืองอื่น ๆ รวมทั้งเล่าปี่ เกิดเห็นใจโตเกี๋ยมยกมาช่วยกันใหญ่ พอโจหยินผู้รักษาเมืองกุนจิ๋ว มารายงานว่าเสียเมืองแก่ลิโป้แล้ว โจโฉก็เลยต้องถอนทัพกลับ ปล่อยให้บิดาและพี่น้องวงศ์ญาติตายใช้หนี้กรรม ดังที่เคยทำไว้กับครอบครัวของแปะเฉีย เมื่อครั้งก่อนนั้น โดยไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัวอีกเลย

ลิโป้รู้ว่าโจโฉกลับมาแล้ว ก็ยกออกไปตั้งท่าสู้ที่เมืองปักเอี๋ยง โดยให้นายทหารรองสองคน กับทหารหมื่นหนึ่งอยู่รักษาเมืองกุนจิ๋ว ตันก๋งก็แนะนำว่าโจโฉคงจะยกมาทางซอกเขา ไทสัน ทางทิศใต้ของเมืองกุนจิ๋วซึ่งเป็นทางลัด ถ้าลิโป้ไปดักทางนั้นก็จะเอาชนะได้ไม่ยาก ถ้าขืนไปตั้งที่เมืองปักเอี๋ยงจะเสียทีแก่โจโฉ แต่ลิโป้ไม่เชื่อคงยกไปตามที่ตั้งใจ โจโฉก็ยกมาทางเขาไทสัน จริง ๆ และเข้าล้อมเมืองปักเอี๋ยงไว้ ตันก๋งก็เสนออีกว่า ให้รีบเข้าตีทันทีที่โจโฉเพิ่งมาถึงทหาร กำลังอิดโรย ลิโป้ก็ตอบอย่างทรนงว่า

“……เดิมเราตั้งตัวมา ก็แต่ตัวผู้เดียวกับม้า คิดทำการรบพุ่งมาจนได้ทหารมากขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว เราจะคิดย่อท้อโจโฉนั้นหามิได้ ให้โจโฉตั้งค่ายมั่นลงแล้ว เราจะหักเอาให้ได้…..”

พอรุ่งเช้าต่างฝ่ายต่างก็ยกทหารไปประจันหน้ากัน โจโฉชี้หน้าลิโป้ว่า เราไม่เคยผิดใจกันเลย ทำไมยกมาตีเอาเมืองของเรา ลิโป้ก็เถียงไปว่า

“……..บ้านเมืองเหล่านี้เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็เหมือนหนึ่งของคนทั้งปวงซึ่งอยู่ในแผ่นดิน ถ้าผู้ใดมีบุญและเข้มแข็ง ก็จะครอบครองเมืองได้เหมือนกัน เหตุใดท่านจึงว่าบ้านเมืองนี้เป็นของท่าน……”

โจโฉไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของลิโป้ จึงต้องรบกันเป็นการใหญ่ ฝ่ายลิโป้มีทหารเอกถึงแปดคน ข้างโจโฉมีเพียงสองคน ล่อกันอุตลุดอยู่พักหนึ่ง ฝ่ายโจโฉก็แตกเข้าค่ายไป

ลิโป้ก็กลับมาเลี้ยงดูทหาร ฉลองชัยชนะกันเอิกเกริก ตันก๋งก็เตือนว่าอย่าประมาท โจโฉอาจย้อนมาปล้นค่ายตอนกลางคืนก็ได้ เพราะโจโฉนั้นมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดในการสงครามมาก คราวนี้ลิโป้เห็นด้วยจึงให้นายทหารรองสามนาย ยกกำลังไปช่วยดูแลรักษาค่ายตะวันตก ที่ล่อแหลมต่อการถูกโจมตี แต่ยกไปยังไม่ทันจะถึง ก็ถูกโจโฉปล้นค่ายได้แล้วตั้งแต่สองยาม จึงเข้าตีเพื่อแย่งค่ายคืน สู้รบกันอื้ออึงจนถึงรุ่งเช้า

ลิโป้รู้ข่าวก็รีบยกทหารไปช่วย โจโฉเห็นท่าไม่ดีก็สั่งถอยไปทางทิศเหนือ เจอทหารของลิโป้ดักไว้ ก็หนีไปทางทิศใต้ก็ยังเจอเข้าอีกกองจนได้ จนชักจะจวนตัว โจโฉกกับทหารห้าคนก็หนีซอกซอนไปทางเชิงเขา ก็ได้ยินเสียงประทัด และโดนเกาทัณฑ์ถล่มเข้าให้อีก ชักกลัวตายร้องเรียกทหารให้ช่วยชีวิต เตียนอุยผู้จงรักภักดีจึงลงจากหลังม้า หนีบหอกสั้นประมาณสิบห้าเล่ม เดินนำหน้าโจโฉฝ่าเกาทัณฑ์ไป ทหารที่เหลือตามมาข้างหลัง เมื่อเห็นทหารของลิโป้เข้ามาใกล้ถึงห้าวา ก็ร้องบอก เตียนอุยก็หันมาซัดเสียด้วยหอกสั้น ตายไปทีละคน จนหอกที่หนีบมาหมดลง จึงพากันขึ้นม้าจะกลับมาเข้าค่าย แต่มาได้กลางทางเป็นเวลาเย็นก็เจอกับตัวลิโป้เข้าอีก ทหารที่ตามมาก็หนีไปหมด เหลือแต่เตียนอุยอยู่ผู้เดียว ก็ตั้งหลักจะฟาดกับอัศวินลิโป้สักตั้ง พอดีแฮหัวตุ้นทหารเอกของโจโฉ คุมทหารมาสกัดไว้ได้ทัน จนพลบค่ำฝนก็ตกใหญ่ลิโป้ก็จำเป็นต้องถอย ฝ่ายโจโฉจึงหลบเข้าค่ายไปได้อย่างหวุดหวิด

เช้าวันรุ่งขึ้นตันก๋งก็ออกอุบาย ให้ลิโป้เกลี้ยกล่อมเตียนซี เศรษฐีใหญ่ของเมือง ปักเอี้ยง ให้มีหนังสือไปถึงโจโฉ บอกว่าลิโป้จะยกออกไปจากเมืองปักเอี้ยง ให้โจโฉยกทหารเข้าปล้นเมือง ตนจะเป็นไส้ศึกคุมชาวเมืองช่วยรบกระหนาบ โจโฉก็หลงเชื่อแต่ก็ระวังตัวด้วยการแบ่งทหารออกเป็นสามกอง คอยช่วยเหลือกัน พอเวลาค่ำโจโฉยกทหารไปทางประตูด้านตะวันตก เห็นธงขาวเป็นสัญญาณตามที่นัดหมาย ก็คอยเวลาอยู่

พอตกกลางดึกเดือนมืด มีเสียงสัญญาณม้าล่อ ประตูเมืองก็เปิด โจโฉจึงรีบนำหน้ายกทหารเข้าไปในเมือง แต่พอขี่ม้าไปถึงกลางเมืองไม่เห็นผู้คนก็สะดุ้ง กลัวจะต้องอุบาย จึงคิดจะถอยแต่ไม่ทันการ ได้ยินเสียงประทัดและทหารโห่ร้องอื้ออึงเป็นอันมาก แสงเพลิงก็ลุกโพลงขึ้นที่ประตูทั้งสี่ทิศ หันไปทางทิศตะวันออกก็เจอทหารเอกของลิโป้ ทางตะวันตกก็กระหนาบเข้ามา จะวกไปทางใต้ก็เจอข้าศึกอีก ต้องกลับม้าหนีไปทางทิศเหนือ ก็เจอลิโป้เข้าอย่างจวนตัว แต่เผอิญเป็นที่มืดมากลิโป้จำไม่ได้ นึกว่าเป็นทหารของตน จึงเอาทวนเคาะศรีษะถามว่าเห็นโจโฉบ้างไหม โจโฉเอามือบังหน้าหันข้างให้แล้วชี้มือไปอีกทาง ลิโป้ก็ชักม้าหันกลับไปทางที่ชี้ โจโฉจึงหลบไปทางประตูด้านตะวันออก

ฝ่ายเตียนอุยพลัดกับโจโฉ ตีฝ่าออกไปนอกเมืองสำเร็จแล้ว แต่ไม่เห็นเจ้านายตามมา ต้องย้อนกลับเข้าไปหาในเมืองอีก วนไปวนมาก็เจอเข้าที่ประตูซึ่งไฟกำลังลุกโชนอยู่ เตียนอุยพาโจโฉฝ่าเพลิงจะออก ก็พอดีขื่อหอรบพังลงมาถูกท้ายม้าโจโฉล้มตึง ถึงแก่ความตาย ตัวโจโฉเองนั้นกระเด็นหลุดออกมาจากกองเพลิงได้ แต่เสื้อผ้าตลอดจนหนวดและผมก็โดนไฟไหม้ ต้องฉีกเสื้อผ้า เอามือลูบหนวดและผมจนไฟดับ แล้วเตียนอุยก็ประคองขึ้นม้าออกจากเมือง กลับไปเข้าค่ายจนได้

พอรุ่งเช้าใครต่อใครมาเยี่ยม นึกว่าโจโฉคงป่วยหนัก แต่โจโฉกลับนั่งหัวเราะ บอกว่าเสียรู้คราวนี้สิ้นทหารไปมาก ต้องแก้ตัวให้ทันท่วงที จึงสั่งให้ทหารทั้งกองทัพนุ่งขาวห่มขาว ทำ เป็นไว้ทุกข์ให้โจโฉ ซึ่งหนีไฟลำบากมาตายในค่าย แล้วให้ทหารเอกยกพลไปซุ่มทางช่องเขา พอ ลิโป้รู้ข่าวว่าโจโฉตาย ก็ยกพลผ่านช่องเขาจะตีค่ายโจโฉให้สำเร็จเด็ดขาด โดยไม่ระวังตัว จึงถูกทหารของโจโฉล้อมฆ่าฟันตายเสียเป็นอันมาก แม้ตัวลิโป้จะรบต้านทานได้ แต่ก็สะบักสบอมเต็มทน ต้องถอยเข้าเมืองปักเอี้ยง รักษาเชิงเทินไว้ให้มั่นคงต่อไป

การศึกครั้งนี้ ต่างก็ผลัดกันเพลี่ยงพล้ำร่อแร่ด้วยกันทั้งคู่ ก็ยังไม่รู้ว่าจะลงเอยในรูปไหน ระหว่างแม่ทัพที่มีสติปัญญาพอฟัดพอเหวี่ยงกันคู่นี้.

###########




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2558    
Last Update : 25 ตุลาคม 2558 16:59:02 น.
Counter : 255 Pageviews.  

๕.ผู้ทำคุณบูชาโทษ (๑)

ผู้ทำคุณบูชาโทษ

ตอนที่ ๑ เจ้าเมืองใจงาม
“ เล่าเซี่ยงชุน “

ผู้ที่อ่านสามก๊ก วรรณคดีไทยซึ่งแปลจากนิยายอิงพงศาวดารจีน ที่โด่งดังที่สุดในยุครัตนโกสินทร์ คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก โจโฉ ซึ่งได้แสดงบทบาทอยู่ประมาณ สามในสี่ส่วนของเรื่องนี้ แต่ชีวิตและพฤติกรรมของโจโฉ ที่ยืนยาวมาได้นานถึงแค่นั้น ก็ด้วยความเมตตาปราณีของบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งไม่มีชื่อเสียงให้ใครได้รู้จัก บุคคลผู้นั้นได้ช่วยให้เขาพ้นจากความตาย มาตั้งแต่ยังหนุ่ม โดยมิได้หวังที่จะรับผลตอบแทน ของการกระทำนั้น แต่ประการใดเลย

เขาผู้นั้นมีชื่อว่า ตันก๋ง เป็นเจ้าเมืองจงพวน ซึ่งนับว่าเป็นเมืองเล็กชั้นจัตวา อยู่ห่างไกลความเจริญ ขณะนั้นพระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์ เกิดมีเรื่องราววุ่นวายขึ้นในเมืองลกเอี๋ยง ซึ่งเป็นเมืองหลวง จนเป็นเหตุให้ตั๋งโต๊ะเจ้าเมืองซีหลง ซึ่งเป็นคนมีนิสัยชั่วร้าย ยกกองทัพเข้ามาช่วยปราบการจลาจล แล้วก็ถอด หองจูเปียนรัชทายาทออกและหาเหตุฆ่าเสีย แล้วยกหองจูเหียบ ผู้น้องอายุเก้าปี ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ถวายพระนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วตนเองก็เข้ารับตำแหน่ง เซียงก๊ก เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จากนั้นก็ถืออำนาจบาตรใหญ่ ปกครองบ้านเมืองด้วยความเหี้ยมโหด จนเป็นที่เกลียดกลัวของเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ ตลอดจนอาณาประชาราษฎร ทั่วไป

ตอนนั้นโจโฉได้เป็นนายทหารอยู่ในเมืองหลวงแล้ว คิดจะกำจัดตั๋งโต๊ะ ด้วยวิธีพกกระบี่สั้นจะเข้าไปฆ่าเอาดื้อ ๆ แต่ไม่สำเร็จ เพราะตั๋งโต๊ะและลิโป้ลูกเลี้ยงซึ่งเป็นนายทหารคนสนิท รู้ทีเสียก่อน แต่ยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน โจโฉเลยหาอุบายหลบหนีออกจากเมือง เผ่นแน่บไปไม่ยอมเหลียวหลัง ตั๋งโต๊ะก็ได้แต่สั่งให้เจ้าหน้าที่เขียนรูปโจโฉ พร้อมด้วยประกาศจับ ส่งไปทุกหัวเมือง รวมทั้งเมืองจงพวนของตันก๋งด้วย

พอโจโฉผ่านมาทางเมืองนี้ เจอเอาชาวด่านตาดีจำหน้าได้ ก็ช่วยกันจับตัวมัดไปส่งให้เจ้าเมือง โจโฉไม่รู้ว่าหน้าตาของตนนั้น เป็นที่รู้จักกันดี จากประกาศจับนั้นแล้ว เมื่อถูก เจ้าเมืองสอบสวน จึงบอกว่าตนชื่อฮ่องอู เป็นพ่อค้าเร่ ขายของไปตามต่างเมือง ไม่ใช่ผู้ร้ายข้ามแดนอย่างที่กล่าวหา ตันก๋งเห็นว่ายังปากแข็งไม่ยอมรับ จึงสั่งให้เอาไปขังคุกไว้ก่อน รุ่งขึ้นจะได้ส่งตัวไปยังเมืองหลวง เพื่อรับรางวัลนำจับต่อไป

แต่โจโฉเข้าไปนั่งเล่นอยู่ในคุกได้แค่เที่ยงคืน ผู้คุมก็เข้าไปเบิกตัวเอามาหาตันก๋ง ในที่ลับหูลับตาตามลำพัง ซึ่งตอนแรกโจโฉก็ยังงง ๆ อยู่ว่าตันก๋งจะมาไม้ไหน แต่พอได้ฟังตันก๋งถามอย่างมีไมตรีว่า เกิดเหตุอันใดขึ้นจึงต้องหนีออกมาจากเมืองหลวง ทั้ง ๆ ที่เป็นนายทหารใกล้ชิดมหาอุปราชตั๋งโต๊ะ โจโฉก็เลยวางท่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ อย่ามาถามเซ้าซี้เลย อยากจะส่งตัวไปทางเมืองหลวงเอาความดีความชอบก็เชิญเลย

ตันก๋งเป็นคนมีอัธยาศัยนุ่มนวลนอบน้อมถ่อมตน จึงกลับอ้อนวอนว่า อย่าดูถูกเจ้าเมืองบ้านนอกว่าไม่มีความคิด ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยชอบ วิธีการปกครองของมหาอุปราชตั๋งโต๊ะเหมือนกัน แต่ติดขัดด้วยไม่มีผู้ร่วมคิด จึงตั้งใจจะหาคนที่กล้าหาญมีสติปัญญา เพื่อจะได้เป็นหลักในการทำปฏิวัติปฏิรูปบ้านเมืองต่อไป

โจโฉจึงยอมอ่อนข้อ เล่าความทั้งปวงให้ฟัง แล้วบอกว่าจะหนีไปหาบิดาที่เมือง ตันลิว เพื่อจะได้รวบรวมผู้คนที่มีความคิดเดียวกัน ตั้งกองทัพประชาชนยกไปกำจัดตั๋งโต๊ะผู้ชั่วร้าย ออกจากตำแหน่งเสีย บ้านเมืองจะได้มีความสุขดังเดิม

ตันก๋งจึงถอดเครื่องจองจำตามตำแหน่งนักโทษออก แล้วเชิญให้โจโฉนั่งในที่ สมควร โจโฉก็ถามว่าจะเอาด้วยแน่หรือ ตันก๋งก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ว่าจะทิ้งเมืองจงพวนไปร่วมขบวนการกู้ชาติกับโจโฉ ถึงไหนถึงกัน แล้วก็รีบไปจัดหาทรัพย์สินที่มีค่าติดตัวไปเป็นทุนสำรอง พร้อมด้วยกระบี่สองเล่ม และม้าคนละตัว พากันออกจากเมืองไปในค่อนรุ่งนั้นเอง

ทั้งสองเดินทางรอนแรมมาได้สามวัน ถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเวลาเย็น โจโฉจึงบอกให้แวะพักบ้านเพื่อนของบิดา เพื่อขออาศัยนอนก่อน และจะได้สืบข่าวคราวเหตุการณ์บ้านเมืองด้วย ตาเฒ่าเจ้าของบ้านผู้เป็นเพื่อนกับบิดาโจโฉชื่อ แปะเฉีย ก็เล่าความให้ฟังว่า ใคร ๆ ในหัวบ้านหัวเมือง ต่างก็รู้เรื่องร้ายของโจโฉทั่วไปหมด โจโก๋บิดาของโจโฉก็หนีไปแล้ว โจโฉจึงแนะนำแปะเฉียให้รู้จักตันก๋ง และเล่าถึงคุณงามความดีที่มีต่อตนเองให้ฟัง แปะเฉียก็สรรเสริญว่าเป็นคนมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ถ้าไม่ได้คนมีน้ำใจอย่างนี้ โจโฉก็ตายดับดิ้นสิ้นชื่อไปแล้ว ว่าพลางก็จัดที่หลับที่นอนให้ผู้เร่ร่อนทั้งสองพักผ่อน รอพ่อครัวจัดหาอาหาร ส่วนตนเองจะไปหาสุราอย่างดีมาเลี้ยงกันให้สำราญ แล้วก็ออกจากบ้านไปอย่างรีบด่วน

โจโฉกับตันก๋งเอนหลังลงพอหนังตาชักจะหย่อน ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็ได้ยินเสียงพ่อครัวปรึกษากันว่า จะมัดเสียก่อนหรือจะฆ่าทีเดียวเลย โจโฉซึ่งเป็นคนมีชนักติดหลัง ก็หวาดระแวงไปว่าแปะเฉียจะคิดไม่ซื่อ อาจไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้มาจับตัวก็ได้ ตันก๋งเองก็เพิ่งเคยเห็นหน้าแปะเฉีย ไม่รู้จักน้ำใสใจคอว่าเป็นอย่างไร โจโฉใจเร็วก็ชักกระบี่ออก ถลันเข้าไปฟันพ่อครัว และผู้คนในบ้าน รวมทั้งลูกเมียของแปะเฉีย ตายไปถึงแปดคน

พอดีตันก๋งเหลือบไปเห็นสุกรถูกมัดนอนดิ้นกระแด่วอยู่ จึงบอกว่าโจโฉคิดผิดไปเสียแล้ว แต่ก็กลับตัวไม่ได้ ต้องพากันเผ่นหนีออกจากบ้านฝุ่นตระหลบ ห้อม้ามาได้ไม่ไกลก็สวนกับแปะเฉียเข้ากลางทาง ผู้เฒ่าร้องทักว่าไม่อยู่กินข้าวกันก่อนหรือ จะรีบไปไหนกันหนักหนา โจโฉบอกว่ากลัวความผิดต้องรีบหนีไปให้พ้นภัยก่อน แต่ชักม้าไปได้แค่สองสามก้าว กลับคิดป้องกันตัว จึงหันมาฆ่าแปะเฉียเป็นการปิดปากเสียอีกคนหนึ่ง

ตันก๋งตกใจเป็นอันมาก เพราะเมื่อกี้โจโฉก็ฆ่าลูกเมียบ่าวไพร่ของผู้มีคุณไปแปดศพ ก็เลวพออยู่แล้ว คราวนี้กลับฆ่าแปะเฉียเสียอีก ก็เลยยิ่งเลวหนักขึ้นไปใหญ่ กลายเป็นคนอกตัญญูอย่างที่ไม่มีทางจะแก้ตัวได้ แต่โจโฉก็เถียงว่า

“……..เมื่อกี้เราคิดผิดอยู่แล้ว ครั้นจะละไว้แปะเฉียก็จะโกรธไปบอกนายบ้าน ๆ ก็จะคุมกันมาตามจับเราส่งขึ้นไปเมืองหลวง เราจึงซ้ำฆ่าแปะเฉียเสีย หวังให้เนื้อความสุญไป……”

แล้วสรุปว่า

“……ธรรมดาเกิดมาทุกวันนี้ ย่อมจะรักษาตัวมิให้ผู้อื่นทำร้ายได้ เราจึงทำการครั้งนี้…….”

ตกลงคืนนั้นสองนักปฏิวัติ ซึ่งกลายเป็นผู้ร้ายอุกฉกรรจ์ ก็พากันไปอาศัยนอนอยู่ในศาลาร้างแห่งหนึ่ง โดยไม่มีอาหารตกท้องเลย โจโฉนั้นพอหลังแตะพื้นก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ ส่วนตันก๋งนั่งลืมตาโพลง คิดถึงความผิดที่ติดตัวมา น้อยใจว่าอุตส่าห์สละตำแหน่งและสมบัติพัสถาน ทิ้งบ้านทิ้งช่องติดตามโจโฉมา ก็หวังว่าจะเป็นคนดีมีสติปัญญา ทำงานใหญ่เพื่อแผ่นดินสืบไป หารู้ไม่ว่าได้มาคบเอาคนเลวหยาบช้าสามาลย์ ไม่มีความกตัญญูรู้คุณผู้ให้ความอุปการะ ขืนคบต่อไปก็คงมีแต่เรื่องเสื่อมเสียมากขึ้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด อย่ากระนั้นเลยสังหารมันเสีย ทั้งกำลังหลับนี่แหละ จะได้สิ้นเสี้ยนหนามกันเสียที และไม่มีโอกาสที่จะไปก่อกรรมทำเข็ญกับผู้ใดได้อีก ตันก๋งนึกแล้วก็ถอดกระบี่ออกจากฝัก

แต่ความที่เป็นผู้มีน้ำใจอันงดงาม รู้จักบาปบุญคุณโทษ ตันก๋งจึงหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เหตุทั้งนี้เพราะแรกนั้นตนชอบใจโจโฉจึงตามมา ครั้นโจโฉทำผิดจะฆ่าเสียนั้น ก็หาประโยชน์มิได้ เมื่อไม่ชอบใจแล้วก็ควรจะหนีเอาตัวรอดดีกว่า ปล่อยให้มันไปตามเวรกรรมของมัน คิดแล้วก็สอดกระบี่คืนฝัก ขึ้นม้าแยกทางจากโจโฉไปแต่ผู้เดียว

ชีวิตของโจโฉจึงยืนยาวมาก่อกรรมทำเวร แก่คนชั่วบ้างคนดีบ้าง จนมีชื่อเสียงและชื่อเสีย ยิ่งกว่าผู้ใดในสามก๊ก ด้วยประการฉะนี้.

#########




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2558    
Last Update : 25 ตุลาคม 2558 16:50:18 น.
Counter : 304 Pageviews.  

๓. ผู้อยู่เบื้องหลังความชั่วร้าย

ลิ่วล้อเล่าเรื่องสามก๊ก

๓.ผู้อยู่เบื้องหลังความชั่วร้าย
"เล่าเซี่ยงชุน"

ตัวละครในวรรณคดีเรื่องสามก๊กทุกคน ไม่มีใครเลยสักคน ที่จะเป็นคนดีตลอดทั้งเรื่อง หรือเลวร้ายไปเสียทุกแง่ทุกมุม ต่างก็มีดีบ้างชั่วบ้างคละกันไป ตามวิสัยของปุถุชน แต่มีอยู่คนหนึ่ง ที่ถูกประนามว่าหยาบช้าสามาลย์ โหดร้ายทารุณ จนถูกสาปแช่งไปทั้งสิบทิศ เขาคือ ตั๋งโต๊ะ เจ้าเมืองซีหลง ที่เข้ามามีอำนาจอยู่ในเมืองหลวง และเป็นผู้แต่งตั้ง หองจูเหียบ ให้เป็นเจ้าแผ่นดินผู้มีนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ กับอีกคนหนึ่งที่ถูกกล่าวขวัญในทางลบอยู่เสมอ ว่าเป็นคนอกตัญญูต่อผู้มีคุณ และแม้จะเป็นคนรูปงาม มีฝีมือในการรบ แต่ก็เป็นคนโลภมากอีกทั้งโง่เขลาเบาปัญญาหาความคิดมิได้ นั่นก็คือ ลิโป้ นายทหารคู่ใจ หรือลูกเลี้ยงผู้ทรยศของตั๋งโต๊ะนั่นเอง

แต่พฤติกรรมของเขาทั้งสองนั้น เกิดขึ้นเพราะนิสัยสันดานเดิม หรือว่าเป็นเพราะได้รับการยุยงเสี้ยมสอน จากที่ปรึกษาชั้นเลว ก็ลองพิจารณาจากเรื่องราว ที่ได้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารจีน ภาคภาษาไทยดูจะดีกว่า

เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะ ยกทัพมาช่วยปราบขันทีสิบคน ที่ก่อเหตุวุ่นวายขึ้นในเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นเมืองหลวงอยู่ในขณะนั้น แล้วเชิญเสด็จ หองจูเปียน ให้กลับมาปกครองบ้านเมืองดังเก่า หลังจาก โฮจิ๋น ตายแล้วจึงไม่มีขุนนางผู้ใดเป็นใหญ่ ตั๋งโต๊ะเลยยึดครองการบังคับบัญชาทหาร ไว้ในมือแต่ผู้เดียวไม่มีใครขัดขวาง แต่ก็ยังอยากจะใหญ่ต่อไปอีก จึงหารือกับ ลิยู ที่ปรึกษาคู่ใจว่าจะทำอย่างไรดี ลิยูก็บอกให้ถอดหองจูเปียนออกเสีย แล้วตั้ง หองจูเหียบ ผู้น้องเป็นเจ้าแผ่นดินแทน ใครไม่เห็นด้วยก็จับฆ่าเสียให้หมด

ตั๋งโต๊ะจึงเชิญขุนนางใหญ่น้อยมากินโต๊ะ ในสวนดอกไม้ชื่ออุนเบ้งหุ้ย แล้วก็ถือกระบี่ออกมาประกาศว่า จะถอดหองจูเปียนออกแล้วยกให้หองจูเหียบเสวยราชย์ เพราะเห็นว่ามีสติปัญญาหลักแหลม กล้าหาญกว่าองค์พี่ บ้านเมืองจะได้ร่มเย็นเป็นสุข ใครจะว่าอย่างไรบ้าง ขุนนางก็พากันนั่งนิ่งเงียบด้วยความกลัวแต่ เต๊งหงวน เจ้าเมืองเต๊งจิ๋วลุกชึ้นยืนค้านว่า หองจูเปียนเป็นราชบุตรเอกของ พระเจ้าเลนเต้ จึงได้ราชสมบัติ และก็ไม่ได้มีความผิดอันใด ตั๋งโต๊ะเป็นแต่ขุนนางหัวเมืองบังอาจจะถอดเจ้าคิดจะเป็นกบฏหรือ

ตั๋งโต๊ะโกรธที่มีผู้ขัดขวาง ก็ชักกระบี่จะฆ่าเต๊งหงวน ลิยูเห็นลิโป้ยืนอยู่ข้างหลังเต๊งหงวน รูปร่างสูงใหญ่ถือทวน ท่วงทีมีสง่า จึงห้ามตั๋งโต๊ะว่าวันนี้จะมากินเลี้ยงกัน ขออย่าได้วิวาททุ่มเถียงกันเลย เต๊งหงวนก็ขึ้นม้าพาลิโป้กลับไป ตั๋งโต๊ะก็ถามขุนนางที่เหลือว่า เมื่อกี้ใครผิดใครถูก ก็ยังมีผู้ไม่เห็นด้วยอีก ที่ประชุมก็เลยเลิกไปโดยปริยาย

รุ่งเช้าเต๊งหงวนกับลิโป้ ก็ยกทหารมารบกับตั๋งโต๊ะ ทั้งสองเข้าตีทหารตั๋งโต๊ะ จนต้องถอยไปถึงห้าสิบเส้น จึงตั้งค่ายมั่นรับไว้ได้ ตั๋งโต๊ะถามลิยูว่าลิโป้เป็นใคร ลิยูก็บอกว่า เป็นลูกเลี้ยงของเต๊งหงวน มีฝีมือกล้าแข็งนัก ตั๋งโต๊ะชอบใจเห็นว่าเป็นคนเข้มแข็งกล้าหาญ อยากจะได้ตัวมาเป็นทหารของตน

นายทหารที่ชื่อ ลิซก จึงบอกว่าเป็นคนบ้านเดียวกันกับลิโป้ รู้จักนิสสัยใจคอดีว่าเป็นคนโลภเห็นแก่ได้ เพราะเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน จะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมให้ ขอให้จัดทรัพย์สิ่งของอย่างดี กับม้า เซ็กเธาว์ ที่มีกำลังเดินทางได้วันละหมื่นเส้น ไปให้ลิโป้เป็นการจูงใจ ลิยูก็เห็นด้วย ตั๋งโต๊ะจึงจัดทองคำพันตำลึงกับพลอยสิบยอด เข็มขัดประดับหยกสายหนึ่ง และม้าที่ว่านั้น ให้ลิซกไปจัดการตามความคิด

ลิซกก็ไปคุยกับลิโป้ในฐานะเพื่อนเก่า แล้วมอบม้าให้เป็นของขวัญ ลิโป้ชอบใจม้าเป็นอันมาก ก็ถามว่าเอามาให้เพราะอะไร ลิซกก็เกลี้ยกล่อมชักชวนลิโป้ ให้ไปอยู่กับตั๋งโต๊ะ โดยป้อยอว่าลิโป้นั้นมีฝีมือกล้าหาญในการสงคราม ขึ้นชื่อลือชาปรากฏไปทุกหัวเมือง ทำไมมาจมอยู่กับเต๊งหงวนพ่อเลี้ยง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเล็ก ๆ อย่างนี้ เมื่อไรจะได้ดี อันตั๋งโต๊ะนั้นมีสติปัญญากล้าหาญสัตย์ซื่อมั่นคง น้ำใจรักทหาร ต่อไปข้างหน้าคงจะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นที่พึ่งได้ ว่าแล้วก็เอาทองคำเพ็ชรพลอยของกำนัลออกมากองไว้ ย้ำว่าตั๋งโต๊ะให้เอามาให้ทั้งหมดนี่แหละ

ลิโป้ก็ขอบใจ แต่ไม่รู้ว่าจะแทนคุณอย่างไร ลิซกก็ชี้ช่องให้ว่าตนเองฝีมือพอประมาณก็ยังได้ดีพอสมควร ถ้าลิโป้ซึ่งมีฝีมือเข้มแข็งกว่ามากได้ไปอยู่ด้วย ก็คงจะได้เป็นขุนนางใหญ่ มีลาภสการเป็นอันมาก ถ้าจะทำความชอบตอบแทนน้ำใจตั๋งโต๊ะ ก็ง่ายนิดเดียว กลัวว่าจะไม่กล้าทำเท่านั้น ลิโป้ก็คิดออกว่าเต๊งหงวนกับตั๋งโต๊ะผิดใจกันอยู่ พรุ่งนี้จะตัดศีรษะเต๊งหงวนไปให้ตั๋งโต๊ะ ลิซกก็ลากลับ

ตอนดึกสองยามเศษ ลิโป้ก็พกกระบี่เข้าไปในห้องนอนของเต๊งหงวน ซึ่งกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ ก็ถามว่าลูกเอ๋ยเข้ามาทำไม ลิโป้ร้องว่า ตัวกูเป็นชายมีฝีมือลือชาปรากฏซึ่งมึงจะมาเรียกกูว่าลูกนั้นไม่สมควรเต๊งหงวนได้ยินดังนั้นก็ตกใจถามว่า เป็นไฉนเจ้าจึงคิดกลับใจเป็นดังนี้

ลิโป้ไม่ตอบประการใด ชักกระบี่ออกวิ่งเข้าไปฟันเต๊งหงวนตาย แล้วตัดศีรษะไปให้ ตั๋งโต๊ะในตอนเช้า ตั๋งโต๊ะก็ยินดียกย่องลิโป้เป็นอันมาก แล้วเอาเสื้ออย่างดี กับเกราะทองคำมาให้ ลิโป้จึงกราบคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้านี้มีใจภักดีจะมาทำราชการกับท่าน ซึ่งท่านมีใจเมตตาต่อข้าพเจ้านั้นก็เห็นประจักษ์สิ้นข้าพเจ้าจะขอเอาท่านเป็นบิดาจนกว่าจะสิ้นชีวิต

ตั้งแต่นั้นมา ตั๋งโต๊ะก็มีใจกำเริบหยาบช้าขึ้นกว่าแต่ก่อน ตั้งให้ ตั๋งหุ่น น้องชาย เป็นนายทหารซ้าย ลิโป้ซึ่งยอมเป็นลูกเลี้ยง เป็นนายทหารขวา และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยรวมตลอดจนทหารทั้งปวงในเมืองหลวง ก็อยู่ในบังคับบัญชาทั้งสิ้น

ต่อมาลิยูได้เตือนตั๋งโต๊ะ ให้ดำเนินการตามความคิดเดิมอีกครั้ง ตั๋งโต๊ะก็ให้ลิโป้คุมทหารพันเศษเข้าล้อมพระราชวังไว้ และประกาศในที่ชุมนุมขุนนางว่าจะถอดหองจูเปียน และตั้งหองจูเหียบอย่างเคย ปรากฏว่า อ้วนเสี้ยว ก็ลุกขึ้นคัดค้านอีก ตั๋งโต๊ะก็ว่าราชสมบัติทุกวันนี้อยู่ในเงื้อมมือเรา เมื่อเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็จะทำให้เหมาะสมเสีย ขืนขัดขวางก็จงดูกระบี่ที่ถือมานี้ว่าจะคมหรือไม่

อ้วนเสี้ยวก็ว่าเราก็ถือกระบี่มาเหมือนกัน ถ้าขืนจะตั้งหองจูเหียบให้ผิดธรรมเนียม ก็จงดูกระบี่ของเราว่าใครจะคมกว่ากัน แล้วทั้งสองต่างก็ชักกระบี่ออกจะเข้าสู้รบกัน ลิยูก็ห้ามตั๋งโต๊ะขุนนางอื่น ๆ ก็ห้ามอ้วนเสี้ยวไว้ อ้วนเสี้ยวก็เลยออกจากที่ประชุม ยกพรรคพวกและทหารไปอยู่เมืองกิจิ๋ว

ตั๋งโต๊ะก็ข่มอ้วนหงุย ผู้เป็นอาของอ้วนเสี้ยวว่า นี่เพราะเห็นแก่ท่าน จึงไม่ฆ่าอ้วนเสี้ยวเสีย ใครอยากจะขัดขวางอีก ก็ไม่มีใครกล้าหือ แถมมีขุนนางพลอยพยักออกความเห็น ให้ตั้ง อ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมืองปุดไฮ เพื่อเอาใจราษฎรไว้ และอ้วนเสี้ยวจะได้ไม่คิดแค้นต่อไป ตั๋งโต๊ะก็ยอมทำตาม จากนั้นขุนนางทั้งปวง ก็อยู่ในบังคับบัญชาของตั๋งโต๊ะจนหมดสิ้นไม่มีเสี้ยนหนามอีกต่อไปรวมทั้’ โจโฉ ก็ฝากตัวอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอยด้วย

อยู่มามิช้ามินาน พอหองจูเปียนเสด็จออกว่าราชการ ณ พระที่นั่งแกเต๊กเตี้ยนมีขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่เฝ้าตามตำแหน่ง ตั๋งโต๊ะก็ถือกระบี่เข้าไปประกาศว่า หองจูเปียนนั้นมีสติปัญญาน้อยไม่สมควรจะอยู่ในราชสมบัติ แล้วสั่งให้ขันทีอุ้มหองจูเปียนออกมาจากที่นั่ง และถอดตราสำหรับราชสมบัติออกจากพระศอ ให้อยู่เฝ้าในตำแหน่งลูกหลวง กับให้เรียกตัวนางโฮเฮาพระมารดา มาถอดเครื่องประดับสำหรับตำแหน่งออกเสียสิ้น ขุนนางหลายคนก็พากันร้องไห้สงสาร

เต๊งกวน ขุนนางคนหนึ่งทนไม่ได้ลุกขึ้นร้องว่าตั๋งโต๊ะเป็นศัตรูราชสมบัติ แล้วก็ฉวยง้าวประจำตำแหน่ง จะฆ่าตั๋งโต๊ะด้วยความโกรธ ตั๋งโต๊ะก็ให้ตำรวจจับไปฆ่าเสีย เต๊งกวนไม่กลัวความตาย ก็ร้องด่าอย่างหยาบคายไปตลอดทางจนถูกประหาร จากนั้นก็เชิญหองจูเหียบขึ้นพระที่นั่งเสด็จออก ขุนนางทั้งปวงก็กราบถวายบังคมสิ้น

ส่วนหองจูเปียน และนางโฮเฮามารดา กับนางสนมนั้น ให้เอาตัวไปขังไว้ในพระตำหนัก แล้วลั่นกุญแจห้ามติดต่อกับใครทั้งสิ้น ได้รับความทรมารอดอยากเป็นอันมาก

วันหนึ่งหองจูเปียนจึงผูกโคลง ปิดไว้ที่ข้างฝาตำหนัก ขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ซื่อสัตย์ ต่อพระเจ้าเลนเต้ผู้บิดา ช่วยแก้แค้นให้ด้วย คนสนิทของตั๋งโต๊ะซึ่งมาคอยสอดแนมอยู่ก็นำความไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ จึงให้ลิยูพาตำรวจสิบคนเปิดประตูเข้าไปในตำหนักนั้น ลิยูจัดแจงยื่นจอกสุราใส่ยาพิษ ให้หองจูเปียนดื่ม หองจูเปียนถามว่าอะไร ลิยูบอกว่ามหาอุปราชตั๋งโต๊ะเห็นว่าบ้านเมืองเป็นสุขแล้ว จึงเอาสุรามาให้ดื่ม นางโฮเฮาจึงว่าขอบใจ ผู้เอามาจงกินก่อนจึงให้บุตรเรากิน

ลิยูโกรธเรียกตำรวจให้เอากระบี่กับโซ่ มาวางไว้ตรงหน้า แล้วว่าเมื่อไม่กิน ก็เลือกเอาของสองสิ่งนี้จะเอาอะไร นางสนมที่อยู่ด้วยก็คุกเข่าลงคำนับขอกินแทน แต่ให้ไว้ชีวิตแก่สองแม่ลูกด้วยเถิด ลิยูไม่ยอม นางโฮเฮาก็ด่าว่าทั้งตั๋งโต๊ะและลิยู ว่าเป็นโจรกบฏต่อแผ่นดิน ถึงแม้ว่าสองแม่ลูกจะสู้ไม่ได้ อีกไม่นานก็จะมีคนมาฆ่าเสียจนได้

ลิยูจึงลากทั้งนางโฮเฮาและนางสนม เอาไปให้ตำรวจมัดจนตาย แล้วจึงเอาสุรายาพิษนั้นกรอกปากหองจูเปียน จนตายตามไปด้วย

ต่อมาอีกไม่นาน ตั๋งโต๊ะก็คุมทหารยกไปเมืองหยงเซีย แล้วให้ทหารหักเข้าไปในเมือง เก็บเอาทรัพย์สินของราษฎร แล้วจับผู้ชายฆ่าเสียเป็นจำนวนมาก ตัดศีรษะเอามาเมืองหลวง ประกาศว่าเป็นพวกโจร ส่วนผู้หญิงนั้นคุมตัวเข้ามาพร้อมกับทรัพย์สิน เอาไปแจกทหารทั้งปวง

ขุนนางคนหนึ่งชื่อ เงาฮู ทนไม่ไหว เอามีดเหน็บซ่อนไปในเสื้อ คอยดักอยู่หน้าประตูวัง พอตั๋งโต๊ะผ่านมาก็ปรี่เข้าไปแทง ตั๋งโต๊ะรับไว้ทัน ลิโป้ก็เข้ามาช่วยจับไว้ได้ ตั๋งโต๊ะก็ให้ตำรวจเอาตัวเงาฮูไปแล่เนื้อให้เสีย เงาฮูก็ร้องด่าอย่างหยาบคาย จนสิ้นใจตายไปอีกคน

พฤติการณ์เหล่านี้ คงจะพอเพียงที่ใคร ๆ เขาจะว่ากล่าวเล่าลือกันไป ดังที่ได้นำมาอ้างไว้ข้างต้นแล้ว และลงท้ายทั้งนายและลิ่วล้อคู่นี้ ก็ต้องตายอย่างทุเรศ ตามคำสาปแช่งของใครต่อใคร รวมทั้งนางโฮเฮาผู้สูญเสียอำนาจ เพราะน้ำมือของสองนายบ่าวคู่นี้ไปจนได้ในที่สุด.

##########




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2558    
Last Update : 25 ตุลาคม 2558 7:31:20 น.
Counter : 455 Pageviews.  

๒.ผู้ชักศึกเข้าบ้าน

ลิ่วล้อเล่าเรื่องสามก๊ก

๒.ผู้ชักศึกเข้าบ้าน
"เล่าเซี่ยงชุน"

จดหมายเหตุ หรือพงศาวดารจีน เรื่อง สามก๊ก ที่ได้รับการถ่ายทอดมาเป็นวรรณคดีไทยในสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้น เริ่มต้นตั้งแต่ พระเจ้าเลนเต้ พระราชบุตรเลี้ยงของพระเจ้าฮั่นเต้ ขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ.๗๑๑ และได้ปกครองบ้านเมืองมาด้วยความอ่อนแอ ตกอยู่ในอำนาจของขันทีซึ่งมีพรรคพวกรวมกันถึงสิบคน ตัวหัวหน้าชื่อ เตียวเหยียง แต่คนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการ แตกแยกอย่างใหญ่หลวงขึ้น จนบ้านเมืองยุ่งเหยิง วุ่นวายกลายเป็นก๊กเป็นเหล่าอย่างมากมาย แล้วลงท้ายฆ่าฟันกันเอง จนเหลือเพียงสามก๊ก ก็ยังรบพุ่งทำศึกกันอุตลุดต่อไปอีกร่วมร้อยปี จึงรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวเหมือนเดิมนั้น หาใช่ผู้น้อยระดับลิ่วล้อไม่ แต่เป็นข้าราชการชั้นบิ๊ก ระดับที่ปรึกษาของพระเจ้าแผ่นดินทีเดียว เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครจำชื่อได้ เพราะปรากฏอยู่ตอนต้นเรื่องเกินไปเท่านั้นเขาคือ โฮจิ๋น

เรื่องก็มีอยู่ว่าพระเจ้าเลนเต้ นั้น มีอัครมเหสีชื่อ นางโฮเฮา พระราชบุตร ชื่อ หองจูเปียน และมีสนมเอกชื่อ อองบีหยิน มีพระราชบุตรชื่อ หองจูเหียบ ต่างก็ พยายามแย่งกันเป็นใหญ่ โฮจิ๋น นั้น เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของนางโฮเฮา ซึ่งพระเจ้าเลนเต้ตั้งให้เป็นที่ปรึกษา ต่อมาเมื่อพวกโจรโพกผ้าเหลือง ได้ถูกปราบปรามหมดสิ้นไปแล้ว นางโฮเฮาเกิดริษยานางอองบีหยิน จึงหาเหตุให้มีความผิด เป็นเรื่องที่ร้ายแรงถึงขนาดต้องถูกประหารนางตังไทฮอ มารดาของพระเจ้า เลนเต้ จึงเอาหองจูเหียบไปเลี้ยงดูไว้และด้วยความเอ็นดูหลานกำพร้า จึงขอร้องให้พระเจ้าเลนเต้ยกราชสมบัติให้ ทั้ง ๆ ที่เป็นน้อง พระเจ้าเลนเต้เกรงใจก็รับปากไว้ก่อน

ต่อมาถึง พ.ศ.๗๓๓ พระเจ้าเลนเต้ประชวรหนัก และได้สวรรคตลง โดยยังไม่ได้ตั้งให้ผู้ใดเป็นรัชทายาท ขันทีคนหนึ่งชื่อ เกนหวน คบคิดกับขันทีทั้งสิบคน ซึ่งมี เตียวเหยียงเป็นหัวหน้าเข้าข้างนางตังไทฮอ คิดจะยกหองจูเหียบขึ้นครองราชย์ จึงอ้างรับสั่งให้โฮจิ๋นเข้าเฝ้าในวังแล้วจะได้จับฆ่าเสีย บังเอิญลูกน้องโฮจิ๋นรู้เรื่องก่อน จึงรีบบอกให้โฮจิ๋นแก้ไขเหตุการณ์ โฮจิ๋นก็ปรึกษากับ อ้วนเสี้ยว และ โจโฉ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนายทหารอยู่ในเมืองหลวง คิดแก้ไขโดยจะให้หองจูเปียน ขึ้นเสวยราชย์ก่อนเพราะเป็นพี่ จึงให้อ้วนเสี้ยวคุมทหารห้าพัน เข้าไปในวังด้วยกัน เพื่อจับขันทีทั้งสิบเอ็ดคนฆ่าเสีย แล้วก็ให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สามสิบคน รีบไปเชิญเสด็จ หองจูเปียนขึ้นนั่งบัลลังก์ ที่พระเจ้าเลนเต้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงก็กราบถวายบังคม ยกให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบไป

แต่เมื่อโฮจิ๋น กับอ้วนเสี้ยว เข้าไปในวังก็พบว่า เกนหวนถูกพวกขันทีที่เกลียดชัง ฆ่าตายเสียแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงเที่ยวตามหาขันทีอีกสิบคน หวังจะฆ่าเสียให้สิ้นเรื่องไปทีเดียว เตียว เหยียงก็พาขันทีพรรคพวก เข้าไปหานางโฮเฮาขอให้ช่วยชีวิตไว้ นางโฮเฮาก็เชิญโฮจิ๋นพี่ชายเข้าไปเจรจาข้างใน แล้วขอร้องว่าตัวเกนหวนซึ่งเป็นต้นคิด ก็ตายไปแล้ว พวกขันทีสิบคนนี้ ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยขอชีวิตไว้ก่อนเถิด โฮจิ๋นเกรงใจน้องสาว ซึ่งเป็นมารดาของพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ที่ตนเองตั้งมากับมือ ก็เลยต้องยอม นางโฮเฮาก็แต่งตั้งพี่ชายให้เป็นเสนาบดี สำเร็จราชการแผ่นดินไปเลย

อยู่มาอีกพักหนึ่ง นางตังไทฮอมารดาพระเจ้าเลนเต้ เกิดริษยานางโฮเฮา หาว่า พอลูกชายได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ชักกำเริบไม่เคารพยำเกรงตนเหมือนแต่ก่อน จึงไปปรึกษาขันทีทั้งสิบคนนั้นอีก เตียวเหยียงยังไม่เข็ด ก็ยุให้นางตังไทฮอออกว่าราชการ แล้วตั้งให้หองจูเหียบเป็น เจ้าตันลิวอ๋อง กับให้ ตั๋งต๋งน้องชายตนเอง เป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหาร และตั้งให้ขันทีทั้งสิบคนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ บรรดาขุนนางที่เข้าเฝ้าในวันนั้นก็งงไปเหมือนกันว่า ใครใหญ่กว่าใครในแผ่นดินนี้

นางโฮเฮาจึงเชิญแม่ผัวมากินโต๊ะแล้วคำนับว่า ทั้งพระองค์และข้าพเจ้าต่างก็เป็นสตรี ไม่ควรที่จะออกว่าราชการงานเมือง ให้มันก้าวก่ายเรื่องของผู้ชายเขา จะเกิดความเสียหายขึ้นได้ นางตังไทฮอก็ไม่ยอมฟังกลับลำเลิกว่า แต่ก่อนเมื่อตัวเป็นผู้น้อยก็ไม่มีใครนับถือพอเป็นมเหสี เลนเต้ลูกของตนก็ยังอ่อนน้อมดีอยู่เวลานี้ลูกชายได้ครองเมือง จะทำเป็นรู้ธรรมเนียมแผ่นดิน มาว่ากล่าวสั่งสอนผู้ใหญ่เชียวหรือ พวกขันทีทั้งสิบเห็นท่าไม่ดี ก็เข้ามาห้ามปรามทั้งสองฝ่าย ให้เลิกราต่อกันเสีย

แต่นางโฮเฮาไม่เลิก ไปฟ้องโฮจิ๋นให้จัดการกับแม่ผัวตัวดี โฮจิ๋นจึงไปพูดจาเกลี้ยกล่อมขุนนางผู้ใหญ่ว่า นางตังไทฮอนี้ไม่ใช่มเหสีของเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน เพราะพระเจ้าเลนเต้เป็นเพียงบุตรเลี้ยงของพระเจ้าฮั่นเต้ พอลูกได้เป็นเจ้าแผ่นดินจึงเข้ามาอยู่ในวัง ตอนนี้หมดสมัยแล้ว ก็สมควรจะไปอยู่นอกวังอย่างเดิม ขุนนางก็พลอยเห็นตามด้วย จึงชวนกันไปเชิญเสด็จนางตังไทฮอ ไปอยู่ที่ตำหนักกลางสระนอกเมือง แล้วก็ให้ทหารไปล้อมบ้านตั๋งต๋ง น้องชายของนางตังไทฮอ ที่เป็นผู้ว่าราชการทหาร ตั๋งต๋งเห็นว่าจวนตัว เลยแอบไปเชือดคอตายอยู่หลังบ้าน โฮจิ๋นก็เป็นใหญ่อยู่แต่ผู้เดียว พวกขันทีทั้งสิบคนก็ย้ายไปพึ่งบุญ โฮเบี้ยว น้องชายโฮจิ๋น และมารดาชื่อ นางบูยงกุ๋น ให้ช่วยเจรจาขอทำราชการต่อไปตามเดิม โดยไม่ต้องโดนหางเลขเข้าด้วย

อีกสองสามเดือนต่อมา โฮจิ๋นก็ให้ทหารคนสนิท ลอบไปฆ่านางตังไทฮอเสียอย่างเงียบเชียบ และเตรียมกำจัดขันทีทั้งสิบคน แต่ก็ไม่สำเร็จอีก เพราะนางโฮเฮาไม่ยอมเล่นด้วย โฮจิ๋นชักจะจนปัญญา จึงกลับไปปรึกษาอ้วนเสี้ยว ให้แต่งหนังสือบอกไปยังหัวเมือง ให้ยกกองทัพมาเรียกตัวขันทีทั้งสิบคนออกไปฆ่าเสีย เผื่อนางโฮเฮากลัวอันตรายถึงตนเอง จะได้ส่งตัวขันทีเหล่านั้น ออกไปให้พวกหัวเมืองเสียโดยดี

แผนนี้ดูแล้วเหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน จึงมีคนคัดค้านกันมาก ตันหลิม ขุนนางผู้หนึ่งท้วงว่า ทุกวันนี้ราชการบ้านเมืองทั้งปวงก็ตกเป็นสิทธิ์แก่โฮจิ๋น ผู้สำเร็จราชการคนเดียวอย่างเด็ดขาด เปรียบเสมือนกองเพลิงอันใหญ่ ขันทีสิบคนนั้นเหมือนฝูงแมลงเม่า จะมีอะไรมาต่อกรได้ อันพญาหงส์คิดการใหญ่แล้ว จะมากลัวฝูงกานั้นไม่ควร ถ้ากองทัพหัวเมืองยกมา ได้ตัวขันทีตามแผนแล้ว ก็จะกำเริบเกิดศึกกลางเมืองขึ้นได้ การที่จะคิดทำนุบำรุงแผ่นดินก็จะเสียไปหมด

โจโฉก็เห็นด้วย ว่าขันทีพวกนั้นที่จะมีสติปัญญาอยู่ก็เพียงคนสองคน จับหัวหน้ามันฆ่าเสียก็จะสำเร็จโดยง่าย จะให้หัวเมืองยกทัพโยธามาให้เอิกเกริกทำไม โฮจิ๋นก็ไม่ยอมฟังคำทัดทานเหล่านั้น เร่งให้ทำหนังสือรับสั่งออกไปบอกหัวเมือง ตามความคิดของตนต่อไปตามเดิม

ฝ่าย ตั๋งโต๊ะ เจ้าเมือง ซีหลง ซึ่งตามกิตติศัพท์ว่าเป็นคนมีใจหยาบช้า คิดอยากจะได้ราชสมบัติมานานแล้ว พอได้รับใบบอกก็ฉวยโอกาสยกทหารสิบหมื่น พร้อมกับทหารเอกอีกหกคน มาถึงเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นเมืองหลวงก่อนเพื่อน แล้วจึงแต่งหนังสือกราบทูลเข้าไปว่า จะมาช่วยจับขันทีทั้งสิบคนตามรับสั่ง โฮจิ๋นปรึกษาขุนนางทั้งหลาย ก็ไม่มีใครยินดีที่จะยอมให้ตั๋งโต๊ะยกทหารเข้ามาในเมือง โฮจิ๋นไม่เชื่อฟัง ก็พากันลาออกไปเสียหลายคน

เตียวเหยียงกับลูกน้องอีกเก้าคน เมื่อจนตรอกก็คิดสู้ หาสมัครพรรคพวกคนสนิท ได้ห้าสิบคนมีอาวุธครบมือ คอยดักจับโฮจิ๋นในวัง แล้วไปทูลนางโฮเฮาให้เรียกตัวโฮจิ๋น เข้ามาขอร้องอย่าให้ส่งพวกของตัวออกไปให้ตั๋งโต๊ะฆ่าเลย นางโฮเฮามีความเมตตาต่อพวกขันทีเหล่านี้อยู่แล้วก็ทำตาม โฮจิ๋นจะเข้าเฝ้าคนเดียว เพราะเห็นว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมาคงจะไม่มีอันตราย แม้ขุนนางผู้ใหญ่จะทักท้วงก็ไม่เชื่อฟัง แถมยังอวดตัวว่าตนเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หาผู้ใดเสมอมิได้ พวกขันทีสิบคนจะมีความกล้าหาญขนาดไหน จึงจะมาทำอันตรายได้

พวกทหารจึงว่า ถ้าจะเข้าไปก็ขอเอาทหารไปคุ้มกันด้วย อ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้อ้วนสุด น้องชายคุมทหารห้าร้อยคน เข้าไปคอยที่ประตูวังด้านหน้า ตัวอ้วนเสี้ยวกับโจโฉรีบแต่งตัวใส่เกราะถือกระบี่ เข้าไปกับโฮจิ๋นถึงประตูวังด้านใน นายประตูก็ห้ามทหารผู้ถืออาวุธไว้ตามธรรมเนียมปล่อยให้โฮจิ๋นเข้าไปคนเดียว พอผ่านประตูเข้าไปถึงชั้นใน เตียวเหยียงก็คุมพวกบริวารทั้งห้าสิบคน รุมฆ่าโฮจิ๋นตายคาที่ แล้วตัดศรีษะโยนออกมาให้โจโฉกับอ้วนเสี้ยว ทั้งสองจึงนำอ้วนสุดกับทหาร จุดเพลิงเผาประตูวัง แล้วบุกเข้าไปข้างใน พบขันทีไม่ว่าจะเป็นพวกไหน ก็ฆ่าเสียเป็นอันมาก

พวกตัวการสิบคน ก็แยกหนีกันไปคนละทาง มีอยู่กลุ่มหนึ่งสี่คนเข้าไปตันอยู่ในสวน อ้วนเสี้ยวกับโจโฉก็ตามไปสับเสียเละเป็นหมูบะช่อไปเลย เหลืออีกสี่คนรวมทั้งเตียวเหยียงตัวการ เห็นเพลิงไหม้วังลุกลามไปใหญ่ ก็พานางโฮเฮา กับหองจูเปียน และหองจูเหียบ หนีออกไปอีกทาง บังเอิญเจอกับทหารอีกกองที่มาดัก ก็เลยวิ่งเอาตัวรอดไปก่อน ทหารจึงช่วยนางโฮเฮาไว้ได้ แต่ โฮเบี้ยวถูกทหารหน้ามืด หาว่าคบคิดกับพวกขันที เลยโดนฆ่าตายไปด้วย

ผลของการจลาจลครั้งนี้ ปรากฏว่าเตียวเหยียงตัวหัวโจก หนีไปจนมุมอยู่ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ถูกล้อมไว้ไม่มีทางรอด ก็เลยกระโดดน้ำตายไป หองจูเปียน กับหองจูเหียบ สองคนพี่น้องถูกขันทีทิ้งไว้ในป่า ต้องเดินกระเซอะกระเซิงไปจนเจอ ซุยก๊ก นายบ้านผู้จงรักภักดี จึงรอดอยู่ได้ ครั้นกองทหารที่ติดตามหามาพบเข้า ก็พากันกลับเข้าเมือง พอดีตั๋งโต๊ะคุมกองทัพมาเจอเข้าอย่างจัง จึงช่วยคุ้มกันมาส่งถึงพระราชวัง

ตั้งแต่นั้นมา ตั๋งโต๊ะ ก็เลยถือโอกาสเข้ามาเป็นใหญ่ในเมืองหลวง ไม่เกรงกลัวผู้ใดเพราะมีทหารมากกว่า แล้วก็ก่อกรรมทำชั่วต่อไป จนกระทั่งถอดหองจูเปียน ออกจากราชสมบัติ แล้วยกหองจูเหียบ น้องชาย ขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อ พ.ศ.๗๓๓ ขณะที่มีอายุได้เพียงเก้าขวบ พร้อมทั้งตั้งตนเองเป็น พระยามหาอุปราช ถืออาญาสิทธิ์ว่าราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว จนแผ่นดินเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า บ้านเมืองระส่ำระสายแตกแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า รบพุ่งกันต่อมาอีกตั้งนานกว่าจะสงบ

ทั้งนี้ ก็ด้วยความโง่แกมหยิ่งของ โฮจิ๋น ผู้สำเร็จราชการคนก่อนแต่ผู้เดียว ที่ไม่ยอมเชื่อภาษิต อย่าชักน้ำเข้าลึก อย่าชักศึกเข้าบ้าน จนหัวของตนเองต้องกระเด็น นั่นแล.

##########




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2558    
Last Update : 25 ตุลาคม 2558 7:34:41 น.
Counter : 333 Pageviews.  

๑.ขุนโจรปล้นเมือง

ลิ่วล้อเล่าเรื่องสามก๊ก

๑. ขุนโจรปล้นเมือง

"เล่าเซี่ยงชุน"


ในหน้าประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก ผู้อ่านจะได้ยินชื่อโจรก๊กหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นกลุ่มโจรที่มิได้ตีชิงปล้นทรัพย์ จากชาวบ้านชาวเมืองแบบธรรมดา แต่เป็นโจรที่จะปล้นเอาทั้งบ้านทั้งเมืองกันเลยทีเดียว โจรกลุ่มนี้มีจำนวนมากมายหลายสิบหมื่น มีลักษณะที่แปลกไปกว่าชายชาวจีนในสมัยนั้นก็คือ ไม่เกล้ามวยผม แต่กลับปล่อยผมยาวให้กระจายอยู่ตามไหล่ เพียงแต่ใช้ผ้าสีเหลืองคาดศีรษะไว้เท่านั้น จึงมีสมญานามว่าโจรโพกผ้าเหลือง โจรก๊กนี้มีอิทธิพลแผ่กระจายออกไป ครอบคลุมประชาชนถึงแปดหัวเมือง หัวหน้าใหญ่มีสามคนพี่น้อง คนโตชื่อ เตียวก๊ก คนรองชื่อ เตียวโป้ และคนสุดท้องชื่อ เตียวเหลียง

ขณะนั้นเป็นรัชสมัยของ พระเจ้าเลนเต้ ซึ่งได้ครองราชสมบัติมาแล้วประมาณสิบห้าปี พี่น้องทั้งสามอาศัยอยู่ในเมืองกิลกกุ๋น วันหนึ่งพี่ชายใหญ่เดินทางไปเที่ยวหายาบนภูเขา พบชายแก่คนหนึ่งผิวหน้าอ่อนดังทารก ตาเหลืองเหมือนตาเสือ มือถือไม้เท้า พาเตียวก๊กเข้าไปในถ้ำ แล้วมอบตำราให้สามฉบับ ให้เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ สำหรับช่วยเหลือคนทั้งปวงให้อยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดินแล้ว จะมีภัยอันตรายมาถึงตัว เตียวก๊กก็กราบไหว้รับเอาตำรานั้นมาศึกษาที่บ้านทั้งกลางวันกลางคืน จนมีความรู้กว้างขวาง จึงตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ เรียกว่า โต๋หยิน

พอดีปีนั้นมีโรคห่าระบาดใหญ่ในเมืองกิลกกุ๋น ชาวเมืองเจ็บไข้ได้ป่วยกันแทบจะทุกหลังคาเรือน เตียวก๊กจึงเขียนเลขยันต์ตามตำรา แจกให้ชาวเมืองเก็บไว้รักษาก็หายไข้ มีคนนับถือเลื่อมใสมาสมัครเป็นลูกศิษย์ ให้สั่งสอนวิชาประมาณร้อยเศษ เตียวก๊กก็ตระเวนเดินทาง ไปรักษาคนไข้ตามหัวเมืองใหญ่น้อยต่าง ๆ ผู้คนก็นับถือเพิ่มมากขึ้นทุกที จนมีศิษย์เอกที่ตั้งให้เป็นนายบ้านตามตำบลต่าง ๆ ทั่วไป ตำบลใหญ่ก็มีคนอยู่ประมาณหมื่นเศษ ตำบลน้อยก็ประมาณหกเจ็ดพัน จัดเป็นหมวดหมู่มีธงบอกยี่ห้อรวมถึงสามสิบตำบล

เตียวก๊กก็เริ่มตั้งตัวเป็นใหญ่ โดยปล่อยข่าวออกไปให้ลือกันว่า บัดนี้แผ่นดินแปร ปรวนไปแล้ว เพราะพระเจ้าเลนเต้หลงเชื่อขันทียุยง ประพฤติผิดประเพณีไป จึงเกิดผู้มีบุญมาครองแผ่นดินใหม่ ให้บ้านเมืองเป็นสุข แล้วเตียวก๊กก็ให้เขียนอักษรไว้ที่หน้าประตูบ้านว่า ปีชวดบ้านเมืองจะเป็นสุข ชาวบ้านก็พากันทำตาม และภายในบ้านก็เขียนชื่อเตียวก๊กไว้บูชากันทั่วทุกบ้าน แพร่หลายไปถึง เมืองเฉงจิ๋ว เมืองอิวจิ๋ว เมืองชิวจิ๋ว เมืองยังจิ๋ว เมืองกุนจิ๋ว และ เมืองอิจิ๋ว

จากนั้นเตียวก๊กก็ดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป โดยให้ ม้าอ้วนยี่ ลิ่วล้อคนหนึ่ง นำเงินทองของกำนัลไปให้ขันที ชื่อ ฮองสี ที่อยู่ในวัง ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ในเมืองหลวง แล้วก็ร่วมมือกับน้องชายทั้งสอง ซ่องสุมทหารและเครื่องศาสตราวุธไว้อย่างพร้อมเพรียง จนเห็นว่า

"...บัดนี้ชาวเมืองทั้งแปด ก็รักใคร่นับถืออยู่ในโอวาทเราสิ้นแล้ว เมื่อการพร้อมฉะนี้ควรจะคิดเอาแผ่นดิน ครั้นจะมิคิดการบัดนี้ก็เสียดาย ดูมิควร.."

แล้วจึงป่าวประกาศแก่ทหารและไพร่พลเมืองว่า

"........เมืองพระเจ้าเลนเต้จะสูญฉิบหายแล้ว ผู้มีบุญมาเสวยสมบัติใหม่ คนทั้งปวงจงทำตามคำเทวดาทำนายเถิf จะได้อยู่เย็นเป็นสุขพร้อมมูลกัน....."

จากนั้นก็ตั้งตนเองเป็น เทียนก๋งจงกุ๋น เตียวโป้เป็น แตก๋งจงกุ๋น และ เตียวเหลียงเป็น ยินก๋งจงกุ๋น ไพร่พลทั้งหลายประมาณสี่สิบห้าสิบหมื่นก็ยินดีด้วย เตียวก๊กก็ให้เอาผ้าเหลืองโพกศีรษะเป็นสำคัญ แล้วพร้อมใจกันเป็นโจรยึดครองเมืองกิลกกุ๋นไว้ในอำนาจ พร้อมกันนั้นก็ส่งศิษย์คนหนึ่งชื่อ ตองจิ๋ว ถือหนังสือลับไปบอกฮองสีขันที ซึ่งเป็นพรรคพวกอยู่ในเมืองหลวง ให้คอยดูแลช่วยเหลือ แต่ตองจิ๋วทรยศกลับเอาหนังสือไปให้ขุนนาง นำไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ จึงมีรับสั่งให้ โฮจิ๋น ขุนนางผู้ใหญ่ยกกองทัพไปจับ ม้าอ้วนยีฆ่าเสีย และจับฮองสีใส่คุกไว้ จากนั้นก็มีรับสั่งออกไปถึงทุกหัวเมืองว่า ถ้าผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญ ให้ช่วยกันจับโจรโพกผ้าเหลือง ได้แล้วจะปูนบำเหน็จให้เป็นขุนนาง และพร้อมกันนั้นก็ให้ทหารเอกสามนายคือ โลจิ๋น ฮองฮูสง และ จูฮี คุมกำลังทหาร ยกไปจับตัวเตียวก๊กมาให้ได้

ฝ่ายเตียวก๊กก็กำลังยกทหารเข้าตีชายแดนเมืองอิวจิ๋ว เล่าเอี๋ยง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองจึงเรียก เจาเจ้ง นายทหารมาปรึกษา เจาเจ้งเห็นว่ากำลังของฝ่ายโจร มีมากกว่าทหารในเมือง จึงแต่งหนังสือไปประกาศแก่หัวเมืองใกล้เคียง หาผู้อาสาสมัครมาปราบโจรโพกผ้าเหลือง ถ้าสำเร็จแล้วจะได้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ให้ปูนบำเหน็จความชอบตามระเบียบ ก็มีผู้คนอาสาสมัครมาช่วยสู้รบกับโจรเป็นหลายพวก

กลุ่มหนึ่งก็คือสามพี่น้องร่วมสาบาน ซึ่งมีเล่าปี่ จากเมืองตุ้นก้วน อายุประมาณยี่สิบสามปี เป็นชายร่างสูงประมาณหกศอกเศษ หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า หน้าขาวดังสีหยก ถือกระบี่สองมือ และ กวนอู อายุประมาณยี่สิบสองปี สูงประมาณหกศอก หนวดยาวศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาติแต้ม คิ้วดังตัวไหม จักษุยาวดังนกการเวก ถือง้าวยาวสิบเอ็ดศอกเป็นอาวุธ กับ เตียวหุย อายุอ่อนกว่ากวนอู ตัวสูงประมาณห้าศอก ศีรษะเหมือนเสือ จักษุกลมใหญ่ คางพองโต ถือทวนคู่มือยาวสิบศอกหนักถึงแปดสิบห้าชั่ง คุมชาวบ้านที่มีฝีมือกล้าแข็งห้าร้อยคน มาสมัครกับเจาเจ้งและเล่าเอี๋ยน พอถามชื่อแซ่แล้วเห็นว่าเล่าปี่แซ่เดียวกันก็ยินดี รับไว้เป็นหลานชาย

ต่อจากนั้นอีกหลายวันได้ข่าวว่า เทียอ้วนจี้ นายโจรคนหนึ่งคุมพลพรรคประมาณห้าหมื่นยกมาใกล้แดนเมืองตุ้นก้วน เล่าเอี๋ยนจึงให้สามพี่น้องยกออกไปป้องกันไว้ ทั้งสามนำพลห้าร้อยของตนมาถึงเขาไทเหียงสัน ก็เจอกับพวกโจร เตียวหุยก็รำทวนแทง เตงเมา รองหัวหน้าโจรตายเป็นประเดิม เทียอ้วนจี้จะออกไปรบแก้มือแต่พอเจอหน้าอันแปลกประหลาดของกวนอูเข้าก็ตกใจชะงักอยู่ เลยถูกกวนอูฟันด้วยง้าวคู่มือ ตัวขาดเป็นสองท่อน พวกโจรก็แตกกระจัดกระจายไปสิ้น ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนมากกว่าถึงร้อยเท่า

พอรุ่งขึ้นก็มีหนังสือจาก สินเกง เจ้าเมืองเฉงจิ๋ว มาขอกองทัพให้ไปช่วยรบกับโจร เล่าเอี๋ยนก็ให้เจาเจ้งกับสามพี่น้อง ยกทหารห้าพันไปทันที กองทหารของเมืองอิวจิ๋วกับเมืองเฉงจิ๋วก็เข้าล้อมตีกระหนาบพวกโจร จนแตกพ่ายไปอีก เจาเจ้งก็จะพาทหารกลับเมืองอิวจิ๋ว เล่าปี่กับน้องชายก็ขอแบ่งทหารห้าร้อยไปช่วย โลติด รบกับโจรที่เมืองกงจ๋งต่อ เพราะตัวเตียวก๊กหัวหน้าโจรคุมพลอยู่ที่นั่น เจาเจ้งก็ไม่ขัดข้อง ทั้งสามจึงไปสมัครอยู่กับโลติดที่เมืองกงจ๋ง ซึ่งขณะนั้นมีทหารห้าหมื่นตั้งค่ายยันกับพวกโจรที่มีไพร่พลประมาณสิบห้าหมื่นอยู่ ยังทำอะไรกันไม่ได้

ส่วนทางด้านเมืองเองฉวนนั้น เตียวโป้กับเตียวเหลียง สองนายโจรก็กำลังรบอยู่กับ ฮองฮูสงและจูฮี ทหารเอกที่มาจากเมืองหลวง เป็นลูกติดพันอยู่เหมือนกัน ต่อมาพวกโจรเสียท่า ถูกฝ่ายทหารหลวงแอบเผาค่ายในตอนกลางคืนเวลาสองยาม เห็นแสงเพลิงสว่างดุจกลางวัน พวกโจรตกใจมิทันใส่เกราะและผูกอานม้า ก็แตกกระจายหนีเพลิงวุ่นวาย ฮองฮูสงและจูฮีก็ไล่แทงฟันฝ่ายโจรล้มตายลงเป็นอันมาก

ครั้นรุ่งเช้า เตียวโป้กับเตียวเหลียงพาพวกโจรที่เหลือตายหนีออกจากเมืองเองฉวนเพื่อเอาชีวิตรอด ก็มาเจอเอากองทหารถือธงแดงสกัดหน้าไว้ ตัวนายชื่อ โจโฉ อายุประมาณยี่สิบเก้าปี สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว ซึ่งคุมทหารห้าพันจากเมืองหลวงมาช่วยปราบโจรที่เมืองเองฉวน โจโฉก็เข้าตลุมบอนกับพวกโจรที่แตกหนีมานั้น สามารถฆ่าตายไปประมาณหมื่นเศษ เก็บเครื่องศาสตราวุธและม้า ได้เป็นอันมาก แต่ตัวเตียวโป้กับเตียวเหลียงหนีรอดไปได้ โจโฉจึงเข้าไปหาฮองฮูสงกับจูฮีขอยกทหารติดตามสองนายโจรต่อไป

พอดีเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ซึ่งโลติดสั่งให้มาช่วยเมืองเองฉวน ยกทหารพันห้าร้อยมาถึง ฮองฮูสงจึงบอกขอบใจ แล้วให้ติดตามเตียวโป้เตียวเหลียง ซึ่งจะไปสมทบกับเตียวก๊กพี่ชายที่เมืองจงก๋ง ทั้งสามจึงต้องหวนกลับมาช่วยโลติดอีก แต่พอมาถึงกลางทาง เจอโลติดซึ่งถูกถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง และถูกจองจำใส่กรง จะเอาไปส่งเมืองหลวง เพราะชาววังที่ชื่อ จูฮง จะเอาสินบนแล้วไม่ได้ ก็เลยใส่ความหาว่าโลติดไม่ตั้งใจรบกับโจรโพกผ้าเหลือง เตียวหุยมุทะลุจะช่วยถอดโลติดออกจากที่จองจำ แต่เล่าปี่ห้ามไว้ว่าเป็นรับสั่ง ใครขัดขืนจะมีโทษ กวนอูจึงว่าเมื่อไม่มีนายเสียแล้ว ขืนรบไปก็ป่วยการเปล่า กลับเมืองตุ้นก้วนดีกว่า เล่าปี่ก็เห็นด้วย

ทั้งสามคนพี่น้อง เดินทางมาได้อีกสองวัน ได้ยินเสียงโห่ร้อง แสดงว่ามีการรบกันอยู่หลังเขา ปรากฎว่าเป็นพวกโจรของเตียวก๊ก กำลังไล่ตีกองทหารหลวงของตั๋งโต๊ะ แตกพ่ายมา ทั้งสามก็พาทหารเข้าไปช่วยรบจนเตียวก๊กต้องถอยไปถึงห้าร้อยเส้น ตั๋งโต๊ะจึงพาทหารหลบกลับเข้าค่ายได้ แต่พอทั้งสามเข้าไปหาในค่าย และตั๋งโต๊ะรู้ว่าไม่ได้เป็นข้าราชการตำแหน่งใด ก็ดูถูกดูหมิ่นไม่เคารพนับถือ

เตียวหุยโกรธจัดว่า

"เราพี่น้องสามคน ช่วยเอาชีวิตมันไว้รอด มันไม่รู้คุณเรากลับทำหยาบช้าดูหมิ่น ชอบแต่จะฆ่าเสียจึงจะหายแค้น..."

ว่าแล้วก็จับดาบจะฟันตั๋งโต๊ะเสีย อีกสองคนก็ช่วยกันห้ามไว้ได้ แต่เห็นว่าถ้าขืนอยู่ด้วย ต่อไปก็ต้องเป็นลูกน้องเขาไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งสามจึงพาพวก กลับไปทำราชการอยู่กับจูฮีที่เมืองเองฉวนตามเดิม

ส่วนโจโฉนั้นตามเตียวโป้กับเตียวเหลียงไม่ทัน ก็กลับมาทำราชการอยู่ที่เมืองเองฉวนเหมือนกัน แต่สังกัดอยู่กับฮองฮูสง ต่อมารู้ข่าวว่าเตียวเหลียงกับเตียวก๊กพี่ชาย คุมโจรโพกผ้าเหลืองอยู่ที่เมืองโหเฉียง ส่วนเตียวโป้นั้นพาพวกโจรไปตั้งอยู่ที่หลังเขาแห่งหนึ่ง ฮองฮูสงกับโจโฉ ก็ยกไปรบกับเตียวก๊ก

ฝ่ายจูฮีกับเล่าปี่กวนอูเตียวหุย ก็ยกไปรบกับเตียวโป้เข้าล้อมเขาลูกนั้นไว้ และฆ่า โกเสง นายโจรรองตายไปคนหนึ่ง ตัวเตียวโป้โดนเล่าปี่เอาเกาทัณฑ์ยิงปักติดไหล่ หนีเข้าไปในเมืองเยียงเซีย จูฮีก็เอาทหารล้อมไว้ แล้วก็เร่งให้ทหารเข้าตีจนใกล้จะแตก ลำแจ้ง นายโจรรองอีกคนหนึ่ง ก็ลอบฆ่าเตียวโป้แล้วตัดศีรษะเอาออกมาให้จูฮี และยอมมอบตัวสามิภักดิ์ด้วย

ทางฮองฮูสงกับโจโฉ เข้ารบกับเตียวก๊กและเตียวเหลียงก็ฆ่าเตียวก๊กตาย เตียวเหลียงออกรบแก้แค้นก็ถูกตีแตกไปถึงเจ็ดครั้ง และสุดท้ายก็ถูกฮองฮูสงฆ่าตายกลางที่รบ พวกโจรก็ยอมแพ้จับตัวได้เป็นอันมาก

ฮองฮูสงก็เอาศพเตียวก๊ก กลับมาเฝ้าพระเจ้าเลนเต้ที่เมืองหลวง ก็ได้เลื่อนยศขึ้นเป็นนายทหารรักษาพระองค์ และให้ครองตำแหน่งเจ้าเมืองบุยจิ๋วด้วย ตัว โจโฉนั้นได้เป็นเจ้าเมืองเจลำเซียง

จากนั้นฮองฮูสงก็ได้ทูลให้พระเจ้าเลนเต้ทรงทราบว่า โลติดนั้นมีความชอบในการปราบโจรเป็นอันมาก มิได้มีความผิดตามที่ขุนนางสอพลอกล่าวหา พระเจ้าเลนเต้จึงรับสั่งให้พ้นโทษ และกลับไปเป็นเจ้าเมืองกงจ๋งตามเดิม

เมื่อหัวหน้าโจรโพกผ้าเหลืองทั้งสามพี่น้องตายไปหมดแล้ว ก็ยังเหลือเตียวฮ่อง กับ ฮั่นต๋ง นายโจรชั้นผู้ใหญ่ซึ่งตั้งตัวเป็นหัวหน้า คุมพลที่คงเหลืออีกหลายหมื่นเที่ยวปล้นบ้านปล้นเมืองต่อมาอีกหลายตำบล จนถึงเมืองอ้วนเซีย เมื่อมีผู้กราบทูลให้พระเจ้าเลนเต้ทรงทราบ ก็มีตรารับสั่งให้จูฮียกทหารไปปราบปราม

จูฮีก็พาทหารเข้าล้อมเมืองด้านตะวันออก ให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยล้อมด้านตะวันตก พวกโจรเห็นจนตรอกก็จะขอมอบตัว แต่จูฮีไม่ยอมรับและรวมกำลังเข้าตีทั้งสามด้าน เว้นด้านตะวันออกให้เป็นทางหนี พวกโจรก็ยกพลหนีออกจากเมืองตามแผน แต่ฮั่นต๋งไปไม่รอด ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ตายกลางทาง

พอตั้งตัวได้แล้วเตียวฮ่องกลับไม่ยอมแพ้ พาซุนต๋ง เข้าตีชิงเอาเมืองอ้วนเซียคืนจนได้ จูฮีจึงต้องพาสามพี่น้องถอยไปตั้งค่ายห่างเมืองประมาณร้อยเส้น คอยจะเข้าตีเมืองอีก

ก็พอดี ซุนเกี๋ยน ชาวเมืองต๋องง่อคนหนึ่ง มีใบหน้ายาว หน้าผากใหญ่ มีกิริยาเหมือนเสือ ยกพลพรรคพันห้าร้อยคน มาขออาสาจูฮีช่วยปราบโจรด้วย จูฮีก็ยินดีจึงให้ซุนเกี๋ยนเข้าตีด้านใต้ เล่าปี่เข้าตีด้านเหนือ จูฮีเข้าตีด้านตะวันตก

ซุนเกี๋ยนนั้นปีนกำแพงเมืองขึ้นไปบนเชิงเทินได้ก่อน ก็ไล่ฆ่าฟันพวกโจรตายไปยี่สิบคนเศษ ที่เหลือก็แตกหนีไป เตียวฮ่องขี่ม้าถือง้าวเข้ามาจะรบกับซุนเกี๋ยนซึ่งอยู่บนเชิงเทิน ซุนเกี๋ยนก็กระโจนลงมาใช้กำลังชิงง้าวจากมือได้ และฟันเตียวฮ่องตกม้าตายไปอย่างง่ายดาย แล้วก็ขึ้นขี่ม้าตัวนั้นเที่ยวไล่ฆ่าพวกโจรต่อ ซุนต๋งสู้ไม่ไหวก็ขี่ม้าพาพวกโจรล่าไปทางทิศเหนือ เจอเล่าปี่ตีตลบเข้ามา ซุนต๋งก็ถอยอีก เลยโดนเล่าปี่เอาเกาทัณฑ์ยิงตกม้าตาย จูฮีก็เข้าเมืองได้ ไล่ฆ่าพวกโจรตายไปประมาณหมื่นเศษ

จากนั้นจูฮีก็ยกกองทหารซึ่งมี เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย และซุนเกี๋ยนเป็นพรรคพวก ไปตีเมืองต่าง ๆ ที่พวกโจรโพกผ้าเหลืองยึดครองอยู่ ให้ปลอดภัยได้อีกสิบสี่สิบห้าหัวเมือง อาณาประชา ราษฎรจึงอยู่เย็นเป็นสุขสืบมา

พระเจ้าเลนเต้ก็ปูนบำเหน็จให้จูฮี เป็นนายทหารผู้ใหญ่มีตำแหน่งเฝ้า และเป็นเจ้าเมืองโห้หล้ำด้วย ซุนเกี๋ยนนั้นได้เป็นเจ้าเมืองเตียงสา ส่วนเล่าปี่คอยอยู่เดือนเศษ จึงมีผู้กราบทูลให้ และได้เป็นเจ้าเมืองอันห้อก้วน เล่าปี่จึงให้ทหารในสังกัดกลับไปบ้านเดิมหมด เหลือไว้เพียงยี่สิบคน แล้วพากวนอูเตียวหุยน้องร่วมสาบานไปตั้งตัวอยู่ที่เมืองนี้ตามรับสั่ง

ในบรรดาคนหนุ่ม ที่อาสาเข้ามาปราบโจรโพกผ้าเหลืองครั้งนี้ ต่อมาก็ได้เจริญเติบโต มีกำลังเข้มแข็ง แยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่า สู้รบแย่งชิงอำนาจกันเอง ทั้งฝ่าย แซ่โจ แซ่เล่า และ แซ่ซุน จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน อีกเก้าสิบเจ็ดปี จึงหมดยุคของสามก๊กลงโดยสิ้นเชิง.

##########




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2558    
Last Update : 25 ตุลาคม 2558 7:33:09 น.
Counter : 434 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.