Group Blog
 
All Blogs
 

บนถนนสายหนึ่ง

เรื่องสั้นในอดีต

บนถนนสายหนึ่ง

เพทาย ทิพยสุนทร

ฉันเดินทอดน่องไปตามถนนอย่างสบายอารมณ์ เช้าวันนี้อากาศปลอดโปร่งแจ่มใส ยังความสุขสดชื่นให้แก่ฉันเป็นอย่างยิ่ง จากสายลมเย็นที่พลิ้วมาลูบไล้ผิวกายของฉัน ได้ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์กังวลในสมอง ให้หายไปได้อย่างประหลาด ฉันถอนใจยาวอย่างมีความสุข ปัญหาที่ว่าวันนี้จะได้อะไรมาใส่กระเพาะ และค่ำนี้จะนอนที่ไหนนั้น พักเอาไว้ก่อน มันคงจะหาได้ไม่สู้ยากนัก ชีวิตเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีค่าอย่างฉัน จะต้องไปพิถีพิถันอะไรกับมันนัก ไม่มีใครเขามาเอาใจใส่ด้วยหรอก มันเป็นกรรมของฉันเอง ที่เกิดมาอาภัพ ปราศจากพ่อแม่พี่น้อง

ฉันต้องผจญกับโลกด้วยตัวคนเดียวแท้ ๆ แต่ฉันก็ไม่เคยวิตกทุกข์ร้อน ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน ชีวิตมันก็เหมือนกับถนนที่กำลังเดินอยู่นี่แหละ บางตอนก็เรียบร้อยร่มรื่น บางแห่งก็เป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปด้วยโคลนเลน ชีวิตมีทั้งด้านร้ายและดี แต่โดยมากมักจะเป็นไอ้ที่ร้าย ๆ นั่นแหละ ที่เวียนมาพบกับฉันบ่อย ๆ

ฉันต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อรู้สึกว่าใครคนหนึ่ง เดินมาชนฉันเข้าเต็มแรง จนตกลงไปจากทางเท้าริมถนน ฉันจึงเงยหน้าขึ้นดู เขาเป็นชายหนุ่มแต่งกายเรียบร้อย แต่เขาคงจะมีเรื่องยุ่งใจ และรีบร้อนไปไหนสักแห่งหนึ่ง จึงขาดความระมัดระวังจนเดินมาชนฉันเข้า แต่แทนที่เขาจะรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ผิด เขากลับตวาดจนฉันสะดุ้ง

“ไอ้ห่ะ................เดินเกะกะจริง เดี๋ยวพ่อด....”

พร้อมคำพูดเท้าของเขาก็เหวี่ยงวืดมาทันที ฉันรีบเผ่นพรวดออกไปกลางถนน หวังจะหลบให้พ้นรัศมี แต่เป็นคราวเคราะห์ รถยนต์คันหนึ่งแล่นสวนมาด้วยความเร็ว ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น กันชนหน้าของรถคันนั้น ก็เกยพรวดเข้ามาเต็มแรง ร่างของฉันกระเด็นไปคล้ายถูกเหวี่ยงด้วยแรงยักษ์ รู้สึกว่าส่วนล่างชาวูบไปทั้งแถบ หูอื้อ ตาลาย ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ ตัวหมุนเคว้งคว้างไปหมด และก่อนที่ฉันจะทำประการใดต่อไป รถคันนั้นก็แล่นลับหายไปจากสายตาอันพร่ามัวของฉันเสียแล้ว

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฉันจึงขยับตัวจะออกเดินก็ต้องสะดุ้ง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่งสรรพางค์กาย ความรู้สึกบอกตัวเองว่า ขาทั้งสองข้างได้หักเสียแล้ว ฉันต้องเหยียดร่างลงกับพื้นถนนตามเดิม กัดฟันแน่นเหงื่อซึมออกมาทุกขุมขน ความเจ็บปวดได้ทวีขึ้นทุกขณะ จนทนไหวต้องร้องออกมา เด็ก ๆ สองสามคนที่วิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นพากันมามุงดูฉันเป็นกลุ่ม แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ บรรดาผู้คนซึ่งสัญจรไปมาเมื่อมองเห็นฉันเข้า บางคนก็ปลงอนิจจัง บางคนก็สมเพช และบางคนก็สมน้ำหน้า แต่เขาเหล่านั้นก็เดินผ่านไปจนหมดสิ้น ไม่มีเลยแม้สักคนเดียว ที่จะหยุดช่วยเหลือฉัน

นอกจากแม่หนูน้อยผู้หนึ่งในเครื่องแบบนักเรียนอนุบาล ซึ่งเดินมากับมารดา เธอวิ่งลงมานั่งข้าง ๆ ฉัน พร้อมกับยื่นมือเล็ก ๆ ขาวสะอาดของเธอลูบศีรษะฉันพลางว่า

“ เป็นอะไรไปหรือ....เจ็บมั้ย....โถ...เจ็บหรือจ๊ะ................”

ฉันรู้สึกซาบซ่านไปตลอดร่าง ความเจ็บปวดดูเหมือนจะหายไปสิ้น ฉันซุกศีรษะลงเกลือกมือของหนูน้อยผู้นั้น อย่างเต็มตื้นไปด้วยความภักดี เธอขยับเข้ามาใกล้ มือยังคงลูบไล้ร่างกายของฉันอยู่

“ เป็นไงบ้าง.... เจ็บมากหรือ... โถ...น่าสงสาร.....”

แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้รับความสุข อันเกิดจากความปราณีของหนูน้อยผู้นั้นได้สมใจ หญิงผู้เป็นมารดาก็เข้ามาฉุดมือเธอ ให้ลุกขึ้นยืนพลางว่า

“ ดูซี ลูกแต๋ว ไปยุ่งกับมันทำไมนะ สกปรกออก ไอ้หมากลางถนนพรรค์นั้น ไปเถอะลูก เดี๋ยวไม่ทันเข้าแถว “

ว่าแล้วก็จูงมือหนูน้อย ให้ออกเดินไปจากที่นั้นปล่อยให้ฉันนอนครวญครางอยู่แต่เดียวดาย.

############


สนามประกวดเรื่องสั้น ๕ นาที

วารสารพิมพ์ไทยรายเดือน
พฤศจิกายน ๒๔๙๔

Create Date : 18 มีนาคม 2554




 

Create Date : 11 กันยายน 2554    
Last Update : 11 กันยายน 2554 14:11:26 น.
Counter : 444 Pageviews.  

สัจธรรมของผู้เฒ่า

เรื่องสั้น

สัจธรรมของผู้เฒ่า

“เพทาย”

เมื่อเดือนก่อน เขาอ่านคอลัมน์ จังหวะชีวิต ในนิตยสารรายเดือน เฉพาะราศีมีน อันเป็นเดือนเกิดของเขาได้ความว่า

" ตัวท่านเองจะมีทุกข์ใจ ร้อนใจ ไม่สงบ มีเคราะห์กรรมแต่ปางก่อนมารบกวน ทำสิ่งใดก็มักจะผิดหวัง "

พอถึงเดือนนี้ก็ทำนายว่า

" ขอให้ท่านทำบุญ สวดมนต์บูชาพระเสาร์อยู่เสมอ การงานและการเสี่ยงโชคก็ทำท่าจะดี แต่ก็อย่าเพิ่งไว้ใจ จะผิดหวังได้ง่าย ๆ ความสำเร็จในการงาน ยังคงมีมาจากมิตรสหายของท่าน "

เขาอ่านแล้วก็เฉย ๆ เพราะเขาเชื่อตามคำ ที่พระท่านเทศน์อยู่เสมอว่า การทำดีเป็นฤกษ์ดี ดวงดาวจะทำอะไรได้ เขาเองก็เกิดมานานมากแล้ว พระเสาร์ก็คงจะเคยมาเสวยอายุหลายครั้งแล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้างเขาก็ไม่ได้จดจำ อะไรจะเกิดก็เกิด ถ้าดีเขาก็ต้อนรับ ถ้าร้ายเขาก็ทนเอาไม่ว่า ดีว่าร้าย ลงท้ายมันก็ผ่านเลยไปหมด

เขานึกของเขาอย่างนี้ ขณะที่ออกจากบ้าน จะเดินทางไปตรวจสุขภาพยังโรงพยาบาล เมื่อถึงศาลาพักผู้โดยสารที่ป้ายรถประจำทาง ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มจะสว่าง การที่เขาต้องรีบไปแต่เช้ามืดก็เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่แออัดขัดข้อง แม้ว่าสายตาของเขาจะแย่ลงกว่าเดิมมาก ในเวลาค่ำหรือเช้ามืดที่ยังไม่มีแสงอาทิตย์เช่นนี้ เขาจะต้องระวังการเดิน เพราะสายตาอันพร่ามัวไปตามวัยของเขาทีแรกเขามองไม่เห็นมีคนรอรถที่ศาลานั้นเลย นอกจากเด็กหญิงคนหนึ่งตัวเล็กนิดเดียวที่นั่งอยู่กับพื้นทางเท้า แต่เมื่อเพ่งดูที่ช่องว่างระหว่างม้านั่ง ก็เห็นชายผู้หนึ่งนอนอยู่ ไม่ทราบว่าด้วย ความเพลีย หรือความง่วง หรือความเมา เพราะเห็นแต่ขาโผล่ออกมาเท่านั้น

แต่ที่สะดุดใจวูบใหญ่ ก็คือเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ประมาณอายุไม่เกินห้าขวบ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นั้น เธอจะรอให้พ่อตื่น เพื่อจะได้จะได้กลับไปบ้านด้วยกัน หรือว่ากำลังจะไปทำธุระอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่พ่อง่วงจนหลับไปเสียก่อน ก็ไม่สามารถจะเดาได้

ยังไม่ทันที่เขาจะตัดสินใจทำอะไร รถประจำทางสายที่เขาต้องการจะไปด้วย ก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า มีคนลงเพียง ๒-๓ คน เขาจึงก้าวขึ้นไป แล้วเหลียวกลับมาดูข้างล่าง ทุกคนที่ลงจากรถก็เดินผ่านหนูน้อยไปอย่างเฉยเมย ไม่มีใครสนใจมากกว่าเขาเลย

บนรถประจำทาง ซึ่งเป็นรถเมล์ฟรีคันนั้นมีคนเต็ม ทั้งนั่งทั้งยืน เขาเห็นปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่งตกอยู่บนพื้นรถ ใกล้ ๆ กับเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ด้านข้างทางเดิน เขาจึงชี้บอก แกสั่นศีรษะว่าไม่ใช่ของแก เขาจึงบอกว่าเก็บเอาไว้เถอะ ไม่มีเจ้าของแล้วละ แกจึงหยิบขึ้นมาถือไว้อย่างไม่เต็มใจ เขาก็ทำเมินเสีย

เขาลงจากรถประจำทางที่หน้าโรงพยาบาล พอดีเห็นตู้จ่ายเงินอัตโนมัติ ตรงหน้าธนาคาร อยู่ริมถนน คิดได้ว่าเงินในกระเป๋ามีน้อย อาจไม่พอค่ายาก็ได้ จึงหยิบบัตรเอทีเอ็มออกมาจากกระเป๋า แล้วก็เดินเข้าไป
เขาจึงเห็นชายคนหนึ่ง ผมยาวประบ่า แต่รุงรังยุ่งเหยิง หน้าบวมฉุ ๆ นั่งกอดเข่าอยู่ที่ขั้นบันไดทางขึ้นธนาคาร ใกล้ตู้เอทีเอ็มนั้น ในอ้อมแขนมีถุงกระดาษใบหนึ่งเก่ายับเยินเต็มที

เวลานั้นค่อนข้างจะสายแล้ว เขาจึงไม่สนใจเพราะจะรีบไปวางบัตรคิว เมื่อกดเอาเงินออกมาจากตู้แล้วหันกลับ ก็มีเสียงจากชายผู้นั้นเรียกเบา ๆ ซึ่งเขาได้ยินไม่ถนัด เพราะเดี๋ยวนี้หูตึงลงกว่าเมื่อก่อนมาก ชายคนนั้นจึงพูดซ้ำพอได้ยินว่า

" ลุงครับ ขอเงินกินข้าวสักสิบบาทเถอะครับ "

เขาเคยชินกับการบริจาคเงินให้ขอทานอยู่เป็นประจำ เพียงแต่ให้คนละบาทสองบาทเท่านั้น แต่เขาก็ล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยมือ ได้เหรียญสิบบาทกับเศษอีก ๒-๓ อัน จึงส่งเหรียญสิบบาทให้ผู้ขอแต่โดยดี ไม่พูดว่ากระไร ไม่ได้มองด้วยซ้ำ ว่าเขายกมือไหว้ และขอบคุณหรือเปล่า

หลังจากตรวจโรคและซื้อยาเสร็จแล้วก็ใกล้เที่ยง เขาจึงหาอาหารกิน แล้วก็เถลไถลเรื่อยเปื่อยไป กลับมาลงรถที่ป้ายเก่าเมื่อบ่ายสองโมงกว่า ระหว่างที่เดินเข้าซอยหน้าบ้าน ผ่านร้านขายหนังสือเจ้าประจำ จึงแวะดูหัวข่าวหนังสือพิมพ์รายวันตามประสาคนที่สนใจข่าวสารบ้านเมือง แต่ไม่ชอบซื้อให้เสียเงิน

กำลังพลิกเพลินก็มีเสียงเรียกลุง หันไปดูข้างหลังเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอชี้ให้เขาเก็บสลากกินแบ่งใบหนึ่งที่พื้นทางเท้า คงเข้าใจว่าเขาทำหล่น แล้วก็เดินเลยไป โดยเขาไม่ทันจะบอกว่าไม่ใช่ของเขาหรอก เขาก็ลังเลที่จะหยิบขึ้นมา เหมือนกับเด็กนักเรียนหญิงบนรถประจำทางเมื่อเช้านี้เช่นเดียวกัน

แต่ก็ไม่รู้จะเอาไปคืนให้ใคร จึงเก็บใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ และอดที่จะเหลือบดูเลขท้ายไม่ได้ เป็นเลข ๙๖ ก็นึกในใจว่า เมื่องวดที่แล้ว เพื่อนข้างบ้านรุ่นน้าถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๙๖ ปี ผู้ที่ไปฟังสวดถูกเลขท้ายกันหลายคน คราวนี้คงไม่มีทางที่จะออกซ้ำ

เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน แม่บ้านกำลังเปิดวิทยุฟังประกาศ ผลของการออกสลาก กินแบ่งอยู่พอดี จวนจะจบรายการแล้ว เสียงโฆษกชายประกาศว่า เจ้าหน้าที่หมุนวงล้อเพื่อออกรางวัลเลขท้าย ๒ ตัว แล้วก็มีเสียงออดตามด้วยเสียงแกรกกราก ของอุปกรณ์การออกรางวัลก็ดังแซ่ด ออกมา พร้อมกับได้ยินเสียงลูกชายร้องตะโกนลงมาจากข้างบน

" คุณพ่อครับ รับโทรศัพท์ "

เขาจึงก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบน รับหูโทรศัพท์แล้ว ก็ยังไม่ได้พูด เพราะเสียงวิทยุดังลั่น ก้องอยู่ในหู เสียงผลการออกสลากรางวัลเลขท้ายสองตัวดังแว่ว ๆ หมายเลขที่ออก หกเก้า

เขาบอกให้แม่บ้านลดเสียงวิทยุลง แล้วก็กล่าวสวัสดีพร้อมกับบอกชื่อผู้พูด ซึ่งติดมาจากสมัยรับราชการ เสียงเพื่อนพูดประโยคยาว ๆ แต่จับความไม่ได้ว่าเรื่องอะไร จึงต้องบอกให้พูดช้า ๆ ชัด ๆ อีกทีซิ ก็ได้ยินเพื่อนกรอกเสียงเข้ามาดังลั่นว่า

“ แกได้ข่าวหรือยัง เขาจะขึ้นเงินบำนาญให้ห้าเปอร์เซ็นต์ เท่ากับข้าราชการ เดือนเมษานี้ว่ะ “

เขายิ้มให้กับหูโทรศัพท์ พลางนึกถึงคำทำนายโชคชะตาราศีในหน้าหนังสือฉบับนั้น

เมื่อเป็นคนแก่เต็มขั้น ตาก็มัว หูก็ตึง ฟันก็ร่วง นั่งก็ปวด เดินก็เมื่อย นอนก็ไม่ค่อยหลับ แล้วจะมีโชคดีมาจากอะไรได้อีก นอกจากความหวัง ลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น

มีแต่เงินบำนาญนั่นแหละ ที่จะเป็นของจริงแท้แน่นอน

เขารำพึงกับตนเอง เมื่อวางหูโทรศัพท์ลงบนแท่นตามเดิม.

##############




 

Create Date : 10 กันยายน 2554    
Last Update : 10 กันยายน 2554 7:39:20 น.
Counter : 977 Pageviews.  

คนพูดน้อย

เรื่องสั้น

คนพูดน้อย

เพทาย

วันนั้นเป็นวันเกิดของ นายพึง เพื่อนร่วมวงของผม เราจึงนัดมาพบกันอย่างเคยที่ร้านเจ้าประจำ แถวตรอกโรงหนังเก่าย่านบางลำพู แต่ ผม กับ นายหงอกติดธุระจึงไปถึงที่หมายเอาเมื่อเลยเวลาค่ำย่ำสนธยาลงแล้ว ก็พบว่าเพื่อนพ้องที่ตั้งวงมาเมื่อชั่วโมงก่อนคือ นายชัน นายจิน นายพึง และใครอีกคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก ต่างก็มีสีชมพูแต้มบนใบหน้าไปตาม ๆ กันแล้ว ด้วยฤทธิ์ของบรั่นดีไทยชื่อฝรั่งที่พร่องไปกว่าครึ่ง

เมื่อได้คารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว จึงทราบว่าชายกลางคนค่อนไปทางแก่ ที่ผมไม่รู้จักนั้น คือเพื่อนของนายจิน เมื่อเราทักกันเขาเพียงแต่ยิ้มท่าทางเรียบร้อยเงียบขรึม แต่ดูอารมณ์ดี เพราะเห็นยิ้มอยู่เรื่อย

เมื่อผมซดเบียร์ตามเพื่อนฝูงไปได้อีกเกือบชั่วโมง เสียงคุยเรื่องสัพเพเหระของโต๊ะเราก็ชักจะดังมากว่าโต๊ะอื่น ๆ แต่ที่นั่นไม่มีใครถือสากัน ใครใคร่ดังก็ดังไป ถ้าอยู่ภายในโต๊ะของตนเอง คนอื่นก็ไม่เกี่ยว

นายหงอกนักเล่าเรื่องโจ๊กประจำคณะซึ่งล่อเบียร์เข้าไปหลายแก้วแล้ว ก็เริ่มต้นเล่านิทานในวงเหล้าขึ้น ซึ่งพวกเรารู้กันว่า จะต้องคาบเส้นเสมอ

"พวกแกรู้ดีอยู่แล้วว่า คนอิสานเขาเรียกควายว่ายังไง ใช้มั้ย"

เขาเริ่มเกริ่น นายจิ้นรีบตอบ "เขาเรียก...."

นายหงอกรีบตะครุบปากไว้ก่อนที่คำนั้นจะหลุดออกมาจริง ๆ เพราะเสียงหมอดังคับร้าน

"เอาละ รู้กันแล้วก็แแล้วไป ตานี้มีคนกรุงเทพคนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าชาวอิสานจะเรียกยังงี้ทุกคนหรือเปล่า เมื่อมีโอกาสไปทางภาคอิสาน ก็เดินไปตามท้องนา เจอเด็กนักเรียนหญิงแต่งเครื่องแบบขี่ควายผ่านมา ก็ถามว่า

“หนูเอ๋ยเจ้าขี่อันหยังมา"

นายหงอกทอดจังหวะ

"พวกแกรู้ไหมว่าเด็กตอบว่าไง"

ทุกคนมองหน้ากันแล้วก็อมยิ้ม เดาไม่ถูกว่านายหงอกจะเลี่ยงอย่างไรไม่ให้ต่ำกว่าเส้นแดง แล้วเขาก็ต่อว่า

"เด็กตอบว่า หนูขี่กระบือจ้ะลุง"

พลันเสียงฮาก็ดังขึ้นพร้อมกันทั้งโต๊ะ ผมเอากระดาษเช็ดมือขึ้นซับน้ำตา แล้วหันไปถามเพื่อนใหม่ซึ่งเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ว่า

“ เจ้าหงอกมันฉลาดนะครับ เลี่ยงไปจนได้ “

แกก็ยิ้มอยู่อย่างเดิม แต่ไม่ตอบว่าอะไร ผมนึกในใจว่าคนพูดน้อยนี่น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีได้คนหนึ่ง

นายพึงซึ่งเป็นครู ก็เล่าเรื่องขึ้นมาบ้างว่า

เมื่อสองสามวันก่อนฉันไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ พอรับยาแล้วจะเดินกลับออกมาขึ้นรถ เจอยายแก่คนหนึ่ง แกถามว่า

“ ช่องห้านี่ อยู่ทางไหนจ๊ะพ่อหนุ่ม “

“ สนามเป้าแค่นี้เองครับยาย “

“ แล้วช่องเจ็ดล่ะอยู่ไกลกันมั้ย ? “

“ ไม่ไกลหรอกป้า เลยจากช่องห้าไปแค่หมอชิตเก่าเอง “

“ แล้วช่องสามล่ะ อยู่ไหน ? “

“ โอยไกลลิบถึงหนองแขมโน่นแน่ะ ยายจะไปทำไม วันเดียวสามช่องเลยเรอะ “

“ อ้าว ก็ดูนี่ซิ หมอเขาสั่งยังงี้ “

แกก็ยื่นกระดาษในมือให้ฉันดู มันคือใบสั่งยาของโรงพยาบาลนั้นเอง แต่ ด้านหลังมีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกา ความว่า จ่ายเงินช่อง ๕ รับยาช่อง ๗ แล้วไปทำบัตรใหม่ที่ช่อง ๓ ! ! !

เสียงฮาก็ดังประสานกันขึ้นมาอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าคุณยายหรือนายพึงกันแน่ที่เพี้ยนไปได้ถึงขนาดนี้

ผมก็หันไปเห็นเพื่อนใหม่นั่งยิ้มอยู่อย่างเดิม อดไม่ได้จึงถามอีกว่า

"พี่ไม่ขำหรอกหรือครับ"

แกกลับย้อนถามว่า "ว่าไงนะ"

ผมชักฉุน "ผมถามว่าพี่ไม่ขำเหรอไง"

แกกลับเร่งเสียงดังขึ้นอีก "หา...ว่าไงนะ"

ก่อนที่ผมจะคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป นายจิ้นก็เอื้อม
มือมาสะกิดขา

"...อย่าไปเซ้าซี้แกนักเลย ปล่อยให้กินเหล้าตามสบายเถอะ...”

เมื่อผมทำสีหน้าไม่เข้าใจ นายจิ้นจึงบอกต่อว่า

“ แกหูตึงว่ะ"

################


Create Date : 18 ธันวาคม 2553
Last Update : 18 ธันวาคม 2553 9:28:41 น. 2 comments
Counter : 71 Pageviews. Add to





ขอบคุณค่ะ



ไว้แก้ง่วงจ้าาา บ่ายๆแบบนี้ง่วงนอน

โดย: Junenaka1 วันที่: 18 ธันวาคม 2553 เวลา:13:55:32 น.




ขออภัยผมไม่มีฟันจะเคี้ยวแล้ว น้ำลายสอเลยครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 ธันวาคม 2553 เวลา:7:50:41 น.





 

Create Date : 09 กันยายน 2554    
Last Update : 9 กันยายน 2554 5:52:49 น.
Counter : 503 Pageviews.  

คิดถึงแมว (๒)

เรื่องสั้น

คิดถึงแมว (๒)

เพทาย

แมวหน้าบ้านตัวแรกที่เข้ามาในบ้านคือนังด่างขาวดำ มันเดินท้องโย้อยู่ไม่นาน ก็ออกลูกซุกไว้ในพุ่มไม้ ได้ยินแต่เสียงร้อง พอหามันเจอ มันก็คาบลูกย้ายไปนอนที่อื่น เจออีกก็ย้ายอีก เพราะบ้านเรามีเนื้อที่ด้านหน้าที่ไม่ได้ดูแล ปลูกต้นไม้หรือทำเป็นสนามหญ้า นอกจากต้นอะไรที่มันขึ้นเอง จึงดูรกรุงรัง ส่วนหลังบ้านก็เป็นเตียงและชั้นวางของที่เก็บสัมภาระจิปาถะ เป็นที่แมวอาศัยนอนได้สบาย

จนกระทั่งลูกแมวลืมตา และออกมานอนกินนมที่ลานหน้าบ้าน จึงนับได้ว่ามันมีลูกสี่ตัว เป็นตัวผู้ทั้งหมด มีสีขาวสลับดำแต่ไม่เหมือนกันทุกตัว เจ้าตัวโตได้ชื่อว่าเจ้าหูขาว ตัวรองชื่อเจ้าหูดำ ตัวที่สามชื่อเจ้าซ่า และตัวสุดท้ายตาบอดข้างหนึ่ง จึงได้ชื่อเจ้าเดี่ยว อยู่ต่อมาจนเลิกกินนมแม่ไม่นาน เจ้าเดี่ยวก็หายไปก่อน

ส่วนเจ้าซ่าถูกรถเก๋งที่จอดในซอยหน้าบ้าน ถอยหลังทับขาหักยืนเดินไม่ได้ จึงอุ้มเข้ามานอนใต้ร่มไม้ในบ้าน หาอาหารหาน้ำ มาวางไว้ให้กิน จนรอดตายลุกขึ้นเดินได้วิ่งได้อย่างปกติ แล้วก็อยู่ในบ้านไม่ค่อยจะออกไปไหน ส่วนนังด่างแม่ของมันก็เข้าออกนอกบ้านในบ้านตามสบาย

วันหนึ่งเจ้าหูดำกลับจากไปเที่ยวนอกบ้าน ก็เห็นว่ามันมีร่องรอยไฟไหม้ที่หน้าอกและช่วงท้อง คล้ายกับไปวิ่งข้ามกองไฟมา มันนอนเลียรักษาแผลทุกวันจนหายดี แล้วก็ออกไปหากินนอกบ้าน และไม่กลับมา คงจะเบื่อหน้าเจ้าพี่น้องสองตัวที่แย่งมันกิน ส่วนเจ้าหูขาวตัวโตออกไปติดสาวบ้านอื่น เลยไปอาศัยอยู่กับเขาที่ซอยถัดไป เจ้าซ่าจึงเป็นใหญ่ในบ้าน ไล่เจ้าทองดำไปอยู่หลังบ้าน

เจ้าหูขาวหายไปนานพอควร ก็กลับมาด้วยอาการผอมโกรก รู้สึกว่าจะมีแผลในปาก จากการต่อสู้แย่งตัวเมีย คงจะกินอาหารไม่ค่อยได้ เราก็ทนเวทนาไม่ได้ พาไปหาหมอที่คลินิก หมอก็ฉีดยาให้เข็มหนึ่ง แล้วก็ให้มาฉีดอีกสองครั้ง เมื่อกลับบ้านก็มีทีท่าว่าแข็งแรงขึ้นไม่เดินโซเซเหมือนเมื่อกลับมาใหม่ ๆ คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ฉีดเข้าไป สองเข็ม แต่ยังไม่ทันได้ฉีดเข็มที่สาม มันก็หมดแรงนอนอยู่กับที่ และไม่กินข้าว กินน้ำ แล้วก็หมดอายุขัยไปอีกตัวหนึ่ง

ทางด้านเจ้าผู้ร้ายสองตัวคือ เจ้าลายกับเจ้าเหลือง เมื่อต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่กันหลายครั้งแล้ว เจ้าลายแก่กว่าสู้ไม่ได้ เจ้าเหลืองจึงเป็นนักเลงประจำบ้าน ต่อมาก็มีเจ้าแด่นเข้ามาไล่เจ้าเหลืองไป และไล่ต้อนเจ้าซ่าวิ่งหัวซุกหัวซุน จนเจ้าซ่าเป็นหนุ่มขึ้นก็ฮึดสู้ เผอิญเจ้าแด่นเจ็บเป็นแผลที่เท้าหน้าซ้าย ต้องยอมหมอบให้เจ้าซ่าข่มขู่บ้าง และสุดท้ายก็หายไปไม่เข้ามากินอาหารอีกเลย

วันหนึ่งผมไปเจอเจ้าหูดำเดินอยู่ในซอยถัดไป ตัวผอมซี่โครงขึ้น แต่พอจะจำสัญลักษณ์ของมันได้ จึงร้องเรียกชื่อ มันก็ขานรับแล้ววิ่งมาหา ไม่รู้ว่ามันอาศัยอยู่บ้านไหน แต่ก็เดินตามมารออยู่หน้าบ้าน เราก็เอาอาหารมาให้มันกิน มันก็กินและมากินเกือบทุกวัน โดยไม่ย่างกรายเข้ามาในบ้าน ที่เจ้าซ่าเป็นใหญ่อยู่ตัวเดียว แต่ไม่นานนักมันก็หายไปอีก คราวนี้ก็ไม่กลับมาให้เห็นหน้าเลย

ต่อมานังน้ำเงินคงจะแก่ตัวลงก็เข้ามานอนในบ้าน แต่ก็ไม่กินอาหารร่วมจานกับนังทองดำ เราพยายามที่จะจานวางให้ใกล้กันเข้าไปทุกที หวังจะให้มันกินนอนด้วยกัน เพราะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันแท้ ๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ ต่อมาน้ำเงินก็ไปนอนตายอยู่หลังบ้าน โดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร เห็นมีเลือดไหลออกจากปากด้วย

และต่อมาอีกหลายปี นังทองดำแก่เต็มที วันหนึ่งเราออกจากบ้านไปธุระตอนเช้า เห็นมันนอนอยู่ใต้โต๊ะข้างจานข้าว ก็ไม่ได้ไปลูบหัวลูบหางอย่างเคย แต่เมื่อกลับมาในตอนกลางวัน เห็นมันนอนอยู่ในท่าเดิมก็เอะใจ ก้มลงไปจับตัวมัน ก็ปรากฏว่าแข็งเป็นแมวสต๊าฟไปเสียแล้ว

ในระหว่างนี้ก็มีลูกแมวเพิ่มขึ้นในบ้านอีกหลายตระกูล ซึ่งเป็นลูกของ นังด่าง นังสีอ่อน นางสีเทา และนังสามสี ที่อยู่หน้าบ้านทั้งสิ้น ซึ่งลืมไปแล้วว่าครอกไหนมาก่อนมาหลัง

พวกแรกมีหกตัวแม่ทิ้งไปตั้งแต่ยังไม่ลืมตา เราก็เอามาใส่กาละมังหานมมาป้อน แล้วก็เขียนกระทู้ปรึกษากับสมาชิกห้องแมวจตุจักร ก็ได้รับคำแนะนำเป็นอันดี แต่มันก็ตายไปวันละตัว จนครบหกวันก็หมดไปทั้งครอก

หลังจากนั้นก็มาอีกสองพวก กลุ่มหนึ่งมีสามตัว อีกกลุ่มหนึ่งมีห้าตัว สีด่างบ้างสีเทาบ้าง วิ่งกันรอบบ้าน ไม่รู้ว่าตัวไหนเป็นลูกตัวไหน แต่พวกมันจำกันเองได้ทั้งแม่ทั้งลูก เมื่อโตถึงห้าเดือนก็เอาตัวเมียไปทำหมัน คู่หนึ่งลายไม่รู้เรื่องและเหมือนกันชื่อ เลอะเทอะ กับ มอมแมม ตัวผู้หายไป ตัวเมีย ไปทำหมันกลับมาก็เลยเรียกว่า มอมแมม

อีกคู่หนึ่งเจ้ากระดิ่ง กับ นังปะ เพราะมีสีดำปะที่ข้อศอกขาหน้า ส่งไปทำหมันเกิดท้องเสียตายไป เจ้ากระดิ่งอยู่มาอีกนานก็ป่วยตายตามไปด้วย คู่ต่อมาตัวเมียชื่อ กะดำ ตัวผู้ชื่อ กะด่าง พอเอา กะดำไปทำหมันกลับมา เจ้ากะด่างก็ออกไปหากินนอกบ้าน แล้วยังมีคู่สุดท้าย ลูกนังสีเทา ชื่อเจ้าแหลม กับเจ้าทื่อ ตัวผู้ทั้งคู่แต่ยังไม่ทันโตเท่าไร ก็ตายไปทีละตัว

จนเหลือแต่ตัวเมียที่ทำหมันแล้วสามตัวคือ นังมอมแมม นังพุงขาว ซึ่งจำไม่ได้ว่าเป็นลูกใคร กับนังกะดำ ส่วนแมวหน้าบ้านที่แก่ตัวลงก็เข้ามาอยู่ในบ้าน คือนังหน้าดำ นังสีอ่อน และนังสีเทา สุดท้ายนังหน้าดำ กับนังสีอ่อนก็ตายไป เหลือนังสีเทาตัวเดียว ก็กลับไปอยู่หน้าบ้าน แต่นอนที่ไหนไม่รู้ สมาชิกหน้าบ้านก็เพิ่มจากบ้านอื่น มากินอาหารด้วยอีกหลายตัว แต่โผล่เข้ามาในบ้านไม่ได้ เพราะเจ้าของบ้านทั้งสาม โดยเฉพาะ นังมอมแมม จะขับไล่ทุกครั้ง

ส่วนเจ้าซ่าที่เคยอยู่ดูแลเจ้าพวกผู้ร้าย ก็เตร็ดเตร่ไปตามประสาแมวตัวผู้ แล้วสุดท้ายก็หายไปเลย ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงมีผู้ร้ายประจำบ้านมาใหม่ สีเหลืองส้มทั้งตัว แต่เป็นเด็กหนุ่มกว่าเจ้าของบ้านหลายปี จึงไม่สามารถจะทำให้ เจ้าของบ้านกลัวเกรงได้ เพียงแต่ถอยให้กินอาหารที่เหลือก็เป็นบุญแล้ว

ทั้งหมดนี้ก็เป็นบันทึกจากความจำ ที่ผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว ซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนสับสนไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพียงแต่อยากจะนึกถึงเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ที่ได้มีความสัมพันธ์เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันมา ในชาตินี้เท่านั้น ในยามที่เพื่อนเหลือน้อยลงทุกที

โดยที่ไม่ได้หวังว่า ถ้าเราเป็นฝ่ายจากพวกมันไปบ้าง มันจะนึกถึงเราเช่นเดียวกันนี้หรือไม่.

###########


Create Date : 12 กันยายน 2553
Last Update : 12 กันยายน 2553 5:54:23 น. 19 comments
Counter : 72 Pageviews. Add to





แวะมาทักทายค่ะ...
เมื่อก่อนที่บ้านก็มีแมว 2 - 3 ตัว แต่ตอนนี้แยกย้ายกันไปเกือบหมด เหลืออยู่ตัวเดียวแล้วค่ะ

โดย: namfaseefoon วันที่: 15 กันยายน 2553 เวลา:19:55:26 น.




ตัวเดียวน่ะดีแล้วครับ
ดูแลง่ายและน่าจะสนิทสนมกันมากขึ้นนะครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:5:47:42 น.




ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะคะ ...





วิงวอน ...


ดั่งดวงยิหวาปริวิเวก..........บ่มิเสกกุศลมา
พรหมพรากพิลาปลา.........อิริยาสิอาลัย


คำมั่นมิหมายวิริยภาพ........อุระสาปวิกฤตินัย
พรเทพทิศาใด.................ผิวใจอธิษฐาน


วิงวอนสวรรค์อภิรดี...........สุรสีห์วิวรรธน์วาร
แสงทองมหาศาล............ สิริโชติสวัสดิ์ชนม์


ดังนาฏกรรมสุริยกาน.........มิติวารทิวาวน
ราตรีหฤษฎ์ยล.................ปณิธานจะคู่กัน


จันทร์งามนิราอุระถวิล........มิประทินประทับขวัญ
โดมดาวระยับพลัน............ละวิกาล ฤ คลาดคลา

.
..
....

โดย: ploythana วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:23:39:37 น.




สวัสดีครับ

อยากเขียนร้อยแก้วได้แบบนี้บ้าง
แต่พยายามหลายครั้งแล้วทำไม่ได้เลยครับ

ขอบคุณนะครับที่แวะไปทักทาย

โดย: เสกคาถา วันที่: 17 กันยายน 2553 เวลา:9:11:09 น.




คุณเสกคาถา หมายถึงเรื่องคิดถึงแมว หรือบทร้อยกรองของคุณploythana ครับ
ที่เธอเขียนนั้นเป็นคำฉันท์ ซึ่งผมไม่ถนัดเลยครับ

ขอบคุณคุณploythana สำหรับบท "วิงวอน"ด้วยครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 17 กันยายน 2553 เวลา:17:53:55 น.




ขอบคุณนะครับที่ไปแวะอ่าน บล๊อก

ผมเคยมีแมวอยู่ตัวหนึ่ง ไม่เชิงว่าเป็นของผมเป็นแมวที่บ้านจะตรงกว่า
เราไม่ได้ตั้งใจเลี้ยงมาอยู่เอง..

ปกตินิสัยแมวทั้งเชิดทั้งทรนงอยู่แล้ว แต่เจ้านี่ ตัวดำสนิทหางกุด ตาเดียว และเป็นใบ้..

สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ามันแตกต่างคือ ทั้งตัวตนที่ดูเหมือนนักเลง นิสัยก็ยังนักเลงอีกต่างหาก

มันชอบแกล้งสุนัขจรจัด ที่มานอนพึ่งแถวๆ หน้าบ้าน ด้วยการย่องไปตบก้นสุนัขเหล่านั้นขณะนอน เจ้าสุนัขจรจัดทั้งหลายก็ตกใจวิ่งร้องเอ๋งเป็นรายๆ ไป..

โดย: Untrue วันที่: 21 กันยายน 2553 เวลา:12:55:14 น.




ที่บ้านผมมีนกมาทำรังอยู่บนต้นแก้ว
แมวในบ้านก็ไปนั่งแหงนคอมอง

แม่นกไปธุระกลับมา ร้องเสียงดังและบินโฉบลงมาเฉี่ยวหัวแมวเลยครับ

ซึ่งตามธรรมดานกจะกลัวแมวนะครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 21 กันยายน 2553 เวลา:13:29:49 น.




แมวน่ารักที่สุดในโลก

โดย: เช้านี้ยังมีเธอ วันที่: 23 กันยายน 2553 เวลา:15:37:58 น.




ถูกต้องแล้วครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 23 กันยายน 2553 เวลา:19:23:02 น.




ขอบคุณที่แวะไปที่บล๊อกนะคะลุงเจียวต้าย

บ้านหนูก็เคยมีแมวจรจัดมาวิ่งเล่นอยู่บ่อยๆค่ะ บางตัวก็ถือวิสาสะนั่งนอนบนเก้าอี้ยังกะเป็นเ้จ้าของบ้านแน่ะค่ะ
ขนาดไม่ได้เลี้ยงเป็นกิจลักษณะ แค่ซื้ออาหารแมวมาไว้ให้กินเวลาเค้ามาวิ่งเล่นที่บ้าน แต่พอเวลารู้ว่าเค้าไปแอบนอนตายในตรอกข้างบ้านก็ใจหายนะคะ



โดย: พจมารร้าย วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:11:52:45 น.




ผมเห็นชื่อคุณแล้วคิดว่าเราเคยคุยกันมาบ้างเมื่อหลายปีมาแล้ว
เดี๋ยวนี้วางกระทู้ที่ห้องไหนครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:12:06:34 น.






โดย: หน่อยอิง วันที่: 25 กันยายน 2553 เวลา:16:55:12 น.




ขอบคุณครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 25 กันยายน 2553 เวลา:18:05:15 น.




หวัดดี แบบ แมวๆ นะครับ

โดย: jejeeppe วันที่: 26 กันยายน 2553 เวลา:11:58:26 น.




ขอบคุณครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 26 กันยายน 2553 เวลา:14:13:47 น.




ขอบคุณค่ะที่แวะไปทักทาย ยินดีค่ะเชิญแวะไปบ่อยๆนะค่ะ

โดย: วาดะจัง วันที่: 26 กันยายน 2553 เวลา:20:59:56 น.




ขอบคุณครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 27 กันยายน 2553 เวลา:8:24:43 น.




แถวบ้านเรามีแมวผู้ร้ายเยอะเลย ชอบกัดกันเวลาที่กำลังนอนหลับสนิท ฝันดีอยู่เชียวค่ะ่



โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 27 กันยายน 2553 เวลา:16:01:34 น.




แมวก่อนที่มันจะต่อสู้กันนี่ ส่งเสียงกวนประสาทที่สุดเลยนะครับ

โดย: เจียวต้าย วันที่: 27 กันยายน 2553 เวลา:18:24:50 น.





 

Create Date : 08 กันยายน 2554    
Last Update : 8 กันยายน 2554 8:06:24 น.
Counter : 569 Pageviews.  

คิดถึงแมว (๑)

เรื่องสั้น

คิดถึงแมว (๑)

เพทาย

เมื่อผมยังแข็งแรงก็ออกจากบ้านทุกวัน ไปหาข้อมูลมาเขียนหนังสือ เวลานี้ความขี้เกียจเข้ามาครอบงำ ขี้เกียจเดินแล้วเมื่อยขา ขึ้นสะพานลอยไม่ไหว โหนราวรถเมล์ก็เจ็บหัวไหล่ ขึ้นแท็กซี่ก็เสียดายเงิน จึงออกจากบ้านเพียงวันอาทิตย์ที่ไปทำบุญตามวัดวาอารามต่าง ๆ เท่านั้น แล้วอยู่บ้านไม่รู้จะทำอะไรก็ง่วงนอน วิธีที่จะแก้ง่วงนั้นมีวิธีเดียว คือนอนเสีย เลยต้องนอนหลังอาหารเช้า นอนหลังอาหารกลางวัน และนอนหลังอาหารเย็นแต่หัวค่ำ

ถ้าไม่นอนก็ต้องนั่งคุยกับแมว ซึ่งมีอยู่สามตัว ที่แก่กว่าเพื่อนอายุสี่ปี อีกสองตัวก็อ่อนลงมาตามลำดับ ดูเหมือนจะห่างกันประมาณตัวละห้าเดือนเป็นอย่างน้อย นึกไม่ถึงว่าในชีวิตจะมีอายุยืนอยู่ถึงขั้นต้องคุยกับแมว เหมือนตาแก่ของฝรั่งในภาพยนตร์ที่เคยดูเมื่อหนุ่ม ๆ

แม้จะเป็นคนที่ไม่เคยรักแมว แต่ก็มีกรรมต้องเลี้ยงแมวมาสิบกว่าตัวแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยอยู่พร้อมหน้ากันถึงสิบตัวเลย มาแล้วก็จากไป พบแล้วก็พลัดพราก เกิดมาแล้วก็ตายไป หมุนเวียนอยู่เป็นเวลากว่ายี่สิบปี ตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ จนใกล้จะถึงกำหนดที่จะต้องเกษียณจากโลกไปเหมือนกัน

ถ้าวันไหนไม่นอนกลางวัน ก็จะได้นั่งรำลึกถึงเรื่องราวชีวิตของแมว แต่ละตัวที่ได้ผ่านเข้ามาในวงจรชีวิตของเราดูบ้าง แล้วก็จะทำให้รู้สึกภูมิใจในความอดทนของตนเอง ที่สามารถทำให้แมวรัก และตนเองก็รักแมวเข้าจนได้ ในวัยที่เพื่อนเหลือน้อยลงทุกที อย่างในทุกวันนี้.

เมื่อรำลึกถึงแมวตัวแรก ก็ต้องนึกถึงตัวที่ชื่อไม่ไพเราะ ผมตั้งชื่อมันว่าอีแหว่ง แม่ของมันตัวดำสนิทตั้งแต่หัวจรดหาง ดูเหมือนมันจะมาตายให้เราต้องฝังที่โคนต้นไม้หน้าบ้าน ทิ้งลูกสีดำด่างขาวที่ปลายหางไว้ให้ดูตั้งแต่วัยรุ่น จนโตเป็นสาวแล้วไปถูกใครกัดมา คอด้านหลังเป็นแผลเหวอะหวะและเลียไม่ถึง ต้องซื้อยาจากร้านเป็นสีม่วง เหมือนยากวาดลิ้นทารกมาป้ายให้ จนหายแต่ขนไม่ขึ้นเป็นรอยแหว่ง จึงเรียกอีแหว่งตั้งแต่นั้นมา รู้สึกจะไม่สุภาพเพราะตอนนั้นยังไม่รักแมวเลย หายามาทาให้มันเพราะเวทนาเท่านั้น

นังแหว่งมีลูกตัวเมียสองตัว ตัวหนึ่งสีขาวด่างดำที่หางกลับกันกะแม่ อีกตัวเป็นสามสีขาวเหลืองและดำ มันทำความรำคาญให้เราหลายอย่าง เที่ยวสร้างความสกปรกเลอะเทอะทั่วบ้าน ต้นไม้ เล็ก ๆ ปลูกไว้ในกระถางก็เหี่ยวเฉาหักงอ ก็ต้องไล่ตีกันไม่เว้นแต่ละวัน จนมันหายไปจากบ้าน แต่ไม่ยักพาลูกไปด้วย ต่อมาจนลูกตัวสามสีหายไปก่อน แล้วก็ตัวขาวหางดำก็ออกจากบ้านไปบ้าง ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร

จนนานนับสิบปี นังขาวหางดำ จึงกลับมาหาเราโดยที่ร่างกายทรุดโทรมเต็มที เราก็ดีใจหาข้าวให้กิน เพราะคิดถึงมันเหมือนกัน แต่ก็อยู่เพียงสองสามวัน แล้วก็ไปนอนตายในบ้านข้างเคียง มันคงมาลาเราก่อนตายก็ไม่รู้

ในระหว่างที่นังขาวยังอาศัยอยู่ในบ้าน ก็มีแมวข้างบ้านตัวเมียสองตัว สีน้ำตาลเข้มชื่อทอง สีขาวชื่อเงิน เจ้าของเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดจนกินข้าวคลุกปลาทูไม่เป็น มันเพียงเข้ามานอนเล่นใต้ร่มไม้ พอถึงเวลากิน เจ้าของตะโกนเรียก ทองเอ๊ย เงินเอ๊ย มันก็มุดรั้วกลับไปกินอาหาร พอว่างก็มานอนใหม่

จนกระทั่งผู้เลี้ยงซึ่งมีอายุคราวน้าของเผม ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจอย่างกะทันหัน ก็เลยไม่มีใครให้อาหารเจ้าสองตัว เพราะเป็นบ้านแบ่งห้องเช่า คนที่อยู่ต่อไปก็ไปทำงานเช้าเย็นกลับ ถึงเดือนลูกสาวคุณน้าแกก็มาเก็บค่าเช่า นังทองและนังเงิน ก็เข้ามาจ้องหน้าร้องขอกินอาหาร เอาข้าวคลุกอะไรให้ก็ไม่กิน จึงต้องลงทุนไปซื้ออาหารเม็ดมาให้ และนับว่าเป็นการรับเลี้ยงแมวด้วยความสงสารเวทนา โดยไม่เจตนาเป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่ออายุประมาณ ๖๐ ปี โดยตั้งชื่อนังดำว่าทองดำ และนังเงินว่าน้ำเงิน

และแล้วนังดำก็อาศัยอยู่ในบ้านเป็นสุขสืบมา เหมือนตอนจบของนิทาน ส่วนนังน้ำเงินมากินอย่างเดียว ทั้งเช้าและเย็น แต่ตอนกลางคืนไม่รู้ว่าไปนอนที่ไหน ทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกัน คือไม่ชอบหน้ากัน แต่ไม่ถึงกับทะเลาะกัน และไม่มีลูกเพราะเจ้าของเดิมได้ทำหมันแล้วทั้งคู่ จนมีแมวมาอาศัยกินอาหารเพิ่มขึ้นอีกหลายตัว ทั้งหน้าประตูบ้านและหลังบ้าน อาหารแมวก็ต้องซื้อมากขึ้น จากเดือนละถุงสองถุง จนในที่สุดประมาณสี่ห้าถุง จะเลิกเลี้ยงก็ไม่ได้เพราะมันไม่ยอมไปไหน ถึงเวลาเช้าเย็นก็มารวมร้องประชันเสียงกันทุกวัน

แมวที่อยู่นอกบ้านมีอยู่หลายตัว ทั้งสีดำขาว ที่เรียกว่านังอ้วน ทั้งสีเขาปนน้ำตาล เรียกนังสีอ่อน ส่วนสีขาวเหลืองดำ เรียกนังสามสี และสีน้ำตาลอ่อนทั้งตัว เรียกว่านังสีเทา ทั้งสี่ตัวนี้ในเวลาต่อมาได้เป็นต้นตระกูลของแมวในบ้านทั้งหมด

แมวที่เข้ามาทางหลังบ้าน เพื่อกินอาหารอย่างเดียว เป็นตัวผู้ มีเจ้าลายเสือ เจ้าเหลือง เวลาเข้ามาเห็นเราก็จะถอยไป พอเราให้อาหารไว้ในจานแล้ว มันก็จะเข้ามาข่มขู่นังทองดำให้ถอยไป แล้วก็รีบ ๆ กิน ถ้าเจอกันระหว่างสองตัว ก็ต้องลองกำลังกันเอง ตัวไหนชนะก็ได้กินก่อน ตัวไหนสู้ไม่ได้ก็ออกไป แล้วค่อยย่องมากินทีหลัง

วันหนึ่งมีแมวลายเสืออีกตัวหนึ่ง แต่หางสั้นลงมาครึ่งหนึ่ง และปลายขอด แอบมานอนอยู่ใต้พุ่มไม้ เวลาเราเดินเข้าไปใกล้ก็จะร้องอ่อย ๆ น่าสงสาร เรียกให้ออกมากินข้าวก็ไม่กล้าออกมา ต้องเอาใส่จานไปวางไว้ใกล้ ๆ จึงจะกิน เราเรียกว่าเจ้ากุด

เจ้ากุดอยู่ได้ไม่นาน ด้วยการหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากเจ้านักเลงสองตัวนั้น เพราะอ่อนแอสู้ใครไม่ไหว นังทองดำก็ยังไม่กลัวเลย ลงท้ายมันก็ป่วยแสดงอาการให้เห็น เราก็ให้มันกินอาหารกินน้ำตามปกติ เพราะคิดว่าไม่ใช่แมวเลี้ยง ลงท้ายก็กินอะไรไม่ได้น้ำลายไหลยืด จึงต้องพาไปหาหมอที่คลินิกรักษาสัตว์ ได้ยาน้ำมาหยอดให้กิน แต่สายเสียแล้ว รุ่งขึ้นเช้าก็เห็นเจ้ากุดนอนตายตัวแข็งอยู่หลังบ้าน

เจ้ากุดจึงเป็นแมวตัวแรกที่นอนตายให้เราเห็น.



Create Date : 09 กันยายน 2553
Last Update : 9 กันยายน 2553 12:55:20 น. 7 comments
Counter : Pageviews. Add to





อ่านบล็อกนี้บล็อกเดียว ก็คิดว่า สำนวนโวหารแบบนี้น่าจะเป็นนักเขียว

เล่าเรื่องสนุกดีค่ะ

ว่างๆจะตามไปอ่านบล็อกเก่าๆค่ะ



หลังจากอ่านคอมเม้น เนตรได้เข้าไปอธิบายเพิ่มเติม

ขอเชิญเข้าไปอ่านอีกครั้งเพื่อความกระจ่างค่ะ


//www.bloggang.com/mainblog.php?id=sunet&month=09-09-2010&group=5&gblog=65







โดย: นาฬิกาสีชมพู วันที่: 9 กันยายน 2553 เวลา:18:40:31 น.




ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมครับ
ลองอ่านเรื่องอื่น ๆ ด้วยนะครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 กันยายน 2553 เวลา:20:22:24 น.




ไปดูแล้วได้ผลอย่างนี้ครับ
ผลการค้นหา
ไม่พบเว็บ Blog ของสมาชิก ชื่อ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=sunet&month=09-09-2010&group=5&gblog=65
เนื่องจากสมาชิกชื่อ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=sunet&month=09-09-2010&group=5&gblog=65 อาจจะยังไม่ได้เปิดเว็บ Blog
หรืออาจจะไม่มีชื่อ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=sunet&month=09-09-2010&group=5&gblog=65 เป็นสมาชิกอยู่ในระบบ

โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 กันยายน 2553 เวลา:20:29:36 น.




สวัสดียามเช้าค่ะ มีเรื่องมากมายให้อ่าน เช้าวันนี้อ่านเรื่องแมวค่ะ เคยเลี้ยงค่ะเเต่มันหายไป ถ้าว่างก็ขอเชิญ ไปฟังเพลงที่ Blog บ้างนะค่ะ

โดย: jamaica วันที่: 13 กันยายน 2553 เวลา:8:06:52 น.




เข้าไปฟัง my way เป็นเพลงแรกเลยครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 13 กันยายน 2553 เวลา:13:34:50 น.






สวัสดีค่ะ
วันนี้มีธุระที่อยุธยา พอเสร็จงานก็ได้แวะเข้าไปไหว้พระทำบุญ
ที่วัดพุทไธสวรรค์ จากนั้นก็ไหว้ท่านพ่อจตุคามรามเทพ
เอาบุญมาฝากนะค่ะ
ขอให้หลับฝันดีนะค่ะคืนนี้


โดย: แม่หมู (jamaica ) วันที่: 22 กันยายน 2553 เวลา:21:56:39 น.




ขอบคุณครับ
เมื่อคืนนอนหัวค่ำแค่ทุ่มครึ่ง แต่ตืนตีสามครึ่ง เลยต่อจนถึงหกโมงครึ่งครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 23 กันยายน 2553 เวลา:10:16:07 น.





 

Create Date : 07 กันยายน 2554    
Last Update : 7 กันยายน 2554 8:02:20 น.
Counter : 747 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.