Group Blog
 
All Blogs
 

ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๙) ตำแหน่งที่ไม่อยากเป็น

ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๙)

ตำแหน่งที่ไม่อยากเป็น

ในสมัยที่รับราชการตั้งแต่เริ่มสำเร็จจากโรงเรียนนายสิบทหารสื่อสาร แล้ว ก็ได้ทำงานในกองกำลังพลมาตลอด กองนี้มีหน้าที่เกี่ยวกับบุคคล ซึ่งศัพท์ทหารเรียกว่า กำลังพล บุคคลที่เข้ารับราชการ เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนชั้นเงินเดือน การย้ายตำแหน่ง การออกจากราชการ ไม่ว่าลาออกหรือปลดออก และการลงโทษลงทัณฑ์ ทั้งหมดนี้อยู่ในหน้าที่ของกองนี้กองเดียว เราทำงานอยู่ที่เดียวเป็นเวลา ๓๐ ปี จึงได้ย้ายไปอยู่กองอื่น

ก่อนจะย้ายท่านรองเจ้ากรมเรียกไปบอกว่า จะย้ายให้ไปอยู่กองจัดหา เกี่ยวกับการซื้อการจ้างเอกชนที่ให้เข้ามาประมูลรับทำงานให้หน่วยในเรื่องต่าง ๆ เช่น การซื้อเครื่องอุปกรณ์สื่อสาร การซ่อมสร้างอาคาร หรือกิจการสาธารณูปโภค ซึ่งเราไม่ชอบงานประเภทนี้เลย เมื่อใกล้จะจบการศึกษาหลักสูตรนักเรียนนายสิบ หัวหน้าแผนกพลาธิการ ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณ ได้ชวนให้ไปทำงานด้วย ก็ไม่กล้าปฏิเสธ แต่บังเอิญมีเพื่อนชอบงานนี้ได้อาสาสมัครไปแทน จึงรอดตัวได้ครั้งหนึ่งแล้ว

ตำแหน่งงานที่เราไม่ชอบนี้ มีสองสามอย่างคือ งานที่เกี่ยวกับการเงิน เกี่ยวกับสโมสร เกี่ยวกับการคลัง เกี่ยวกับการเบิกจ่ายยุทธภัณฑ์ คือพลาธิการ

แต่บังเอิญเคราะห์ยังดีได้ย้ายไปเอยู่ห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นงานที่ถูกอัธยาศัยโดยไม่รู้ตัว จึงอยู่อย่างมีความสุขจนเกษียณอายุ

เราอยู่อย่างสงบสุขหลังเกษียณอายุราชการมาได้ ๔ - ๕ ปี หมู่บ้านของเรา ก็เกิดอยากจะจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านขึ้นให้เป็นหลักฐาน เพื่อติดต่อกับทางราชการในเรื่องต่าง ๆ กลุ่มที่เคยช่วยกันจัดงานประจำปี หลายคนก็เพ่งมองมาที่เรา ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบไปสุงสิงกับชาวบ้าน

มีผู้มาทาบทามว่าอยากจะเชิญไปร่วมเป็นกรรมการจะขัดข้องหรือไม่ เราก็สงสัยว่าที่ทำกันอยู่ก็ดีแล้ว จะมาเอาเราเข้าไปยุ่งด้วยทำไม เขาก็ว่าอยากจะได้ผู้ที่มีประสบการณ์ในทางราชการ หรือเคยบริหารงานราชการมาก่อน เรียกว่าจะได้อาศัยความรู้ในด้านหนังสือหนังหาที่จะติดต่อราชการได้สะดวก เราก็คิดว่าน่าจะมีผู้อื่นอีกที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ ส่วนตัวเราเองนั้นได้ทำงาน จนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว อยากจะพักผ่อนให้สบายอกสบายใจเสียที ไม่ต้องแบกภารกิจอะไรอีก

เขาก็ว่าต้องการจะให้ช่วยออกความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่ควรทำเท่านั้น เราก็บ่ายเบี่ยงว่าถ้าเช่นนั้น ก็ควรจะเชิญไปร่วมปรึกษาหารือ เป็นครั้งคราวจะดีกว่า ความคิดความเห็นของเรานั้น จะรับเอาไปใช้ก็ได้ ไม่เอาก็ได้ไม่ต้องลำบากใจ อย่าให้ต้องรับผิดชอบในฐานะกรรมการเลย เขาผู้นั้นก็นิ่งอึ้งไป

เรื่องก็เงียบไปประมาณ ๒ อาทิตย์ คราวนี้เธออีกผู้หนึ่งก็มาทาบทาม ว่ามีผู้จะทำหนังสือเชิญให้เราไปเป็นประธานกรรมการหมู่บ้าน จะรับหรือไม่ เราก็ตอบโดยไม่ต้องคิดว่ารับไม่ได้แน่ เธอก็เกลี้ยกล่อมว่าที่ประชุมอยากจะได้อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่เคยมียศ หรือตำแหน่งสูงมาเป็นประธาน เพื่อจะได้สะดวกในการติดต่อกับทางราชการ

เราก็ยังยืนยันว่าเรารับไม่ได้ เพราะเราอยู่ในระหว่างพักฟื้น จากโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ซึ่งต้องไปนอนโรงพยาบาลมาแล้ว

การเป็นประธานหมู่บ้านไม่ใช่เป็นแต่ชื่อ จะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความเจริญหรือความเสื่อมของหมู่บ้าน จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำทั้งปวง ตามภาษาทหารที่ว่าทั้งที่ได้กระทำและมิได้กระทำ และในฐานะเช่นนั้น เราจะต้องเป็นตัวแทนของชาวบ้านทุกคน บ้านใดมีทุกข์ร้อนก็ต้องมาแจ้งให้เราขจัดปัดเป่า

เราก็จะเกิดความเครียด อันจะเป็นเหตุให้แผลในกระเพาะของเรา ไม่ทุเลา หรืออาจจะลุกลามออกไปอีก จนเป็นอันตรายแก่ชีวิตของเราได้เร็วกว่าที่ควรก็ได้ ดังนั้นจึงต้องขอความกรุณา อย่าให้เราต้องได้รับเคราะห์กรรม อันแสนจะหนักหนานี้เลย เธอผู้นั้นก็แสดงความเข้าใจ และเห็นใจในความทุกข์ของเราเป็นอย่างดี เรื่องนี้จึงเงียบสงบลงไปได้อีกครั้งหนึ่ง

ความจริงเรายังมีเหตุผลอื่นอีกหลายประการ นอกจากที่ได้อ้างไปแล้ว ในการที่จะไม่ขอรับตำแหน่งอันมีเกียรตินั้น ประการหนึ่งเราเห็นว่าหมู่บ้านของเรา ได้พัฒนามาจนเกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว อยู่เป็นสุขสบายพอสมควรแล้ว ยังมีหมู่บ้านอื่นอีกมากมายก่ายกอง ที่ด้อยกว่าหมู่บ้านของเรา ที่ทางราชการควรจะทุ่มงบประมาณเข้าไปโอบอุ้ม หรือช่วยเหลือให้มีความเป็นอยู่ เท่าเทียมกับหมู่บ้านของเรา แล้วเรายังจะต้องการสิ่งใดอีก

ในภาวะความเป็นอยู่อย่างปัจจุบัน ที่ความลำบากยากจนได้เข้ามาเยือนถึงทุกบ้านทุกครัวเรือนเช่นนี้ หมู่บ้านของเราไม่ทำให้ทางราชการต้องเป็นห่วง เป็นกังวลในเรื่อง อาชญากรรม โจรกรรม และสิ่งเป็นพิษ เป็นภัยอันตรายทั้งหลาย โดยไม่ต้องมีคณะกรรมการหมู่บ้านให้ยุ่งยาก ก็น่าจะเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวดแล้ว

และเหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ เราชอบคติที่ว่า เรื่องการเมืองไม่ยุ่ง เรื่องการมุ้งไม่เกี่ยว มาเป็นเวลานานแล้ว และสบายใจดีแล้ว จะไปหาเหามาใส่หัวอีกทำไม

ใครจะเป็นก็เป็นไปเถิด เราคนหนึ่งละที่ไม่ยอมเป็น เพราะไม่อยากให้การเมือง ทั้งระดับมหานคร และระดับชาติ เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา

ก็เราไม่อยากเป็นหัวคะแนน ไม่ว่าพรรคไหนทั้งสิ้น.

#############




 

Create Date : 27 มีนาคม 2555    
Last Update : 27 มีนาคม 2555 18:56:46 น.
Counter : 867 Pageviews.  

ผู้เฒ่าเล่าอดัต (๘) สังสรรฉันท์มิตร

ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๘)

สังสรรค์ฉันท์มิตร

เราเดินเข้ามาในถนนนักเขียน ของห้องสมุดพันทิป เป็นครั้งแรกเมื่อกลางเดือน มกราคม ๒๕๔๘ และอีกไม่นานนักก็พบว่า ในถนนนี้มีนักเขียนเรื่องสั้น เรื่องยาว บทกวี และความเรียงอยู่มากมาย ที่เสนอข้อเขียนของตนเป็นประจำ และมีผู้อ่านอีกมากกว่า ที่อ่านเพียงอย่างเดียว ซึ่งติดตามอ่านมาเกือบทุกเรื่องอย่างเหนียวแน่น นับเป็นจำนวนร้อยคน หรือร้อยนามแฝง ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงผู้ที่อ่านเงียบโดยไม่ออกความเห็นอีกด้วย

เขาเหล่านั้นคงจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เพิ่งจะได้มาพูดคุยสังสันทน์กันในหน้าจออินเตอร์เนตนี้เอง ต่อมาจึงอยากจะรู้จักตัวตน ของคนที่มีรสนิยมใกล้เคียงกันนอกเหนือจากที่ได้พบกันบ้างในงานหนังสือประจำปี จึงได้เกิดการพบปะกันเป็นกลุ่มย่อย ๆ ซึ่งในรอบปีที่ผ่านไปเราได้คุ้ยหามาบันทึกไว้หลายรายการ

รายแรกดูเหมือนจะเป็นการร่วมทำบุญเข้าพรรษา ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๘ มีผู้ไปร่วมงานมากมาย

รายต่อมาเป็นการไปพักผ่อนที่ สวนห้อมล้อมดาว จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๓๐-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ มีผู้ร่วมขบวนพอสมควร

ถัดมาเป็นการพบปะพูดคุยกันเพียงหกคน ที่ภัตตาคารพงหลี อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ – ๒๒.๐๐ น.

และในคืนเดียวกันนั้นเอง ผู้ที่ร่วมกลุ่มพงหลี ได้นัดพบกับอีกกลุ่มหนึ่ง ที่บ้านสวนน้ำแล้วพากันไปต่อที่โรงเตี๊ยม แถวถนนรามอินทรา ตั้งแต่เวลาประมาณ ๒๓.๐๐ น.ไปจนถึงเกือบเช้า

จากนั้นก็มีการพบกันเพียงสองคน ที่สโมสรนายเรืออากาศ ดอนเมือง เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ – ๑๘.๐๐ น.

แล้วก็มีการกลับไปที่ สวนห้อมล้อมดาว นครราชสีมา อีกครั้งหนึ่ง เพื่อดู น้ำตก ม่านฟ้า ซึ่งครั้งก่อนไม่มีน้ำไหล เมื่อวันที่ ๑๙-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ดูเหมือนจะมีผู้ร่วม ไปด้วยกันประมาณเจ็ดคน

ส่วนที่ผ่านไป เมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ เป็นการส่งท้ายปีเก่า ที่ร้าน ซิสเลอร์ เซ็นทรัล ลาดพร้าว มีผู้ไปร่วมงานสิบสามคน

เราไม่ได้สมัครไปกับกลุ่มนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการคือ เราเป็นคนโบราณไม่เคยเข้าไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เลย ไม่รู้ว่าร้านอะไรตั้งอยู่ที่ด้านไหน ประการต่อมาก็คือ เราไม่รู้ว่าร้านซิสเลอร์เขาขายอะไรที่เรากินได้บ้าง ไม่รู้ว่าเขามีเบียร์มีโซดาขายหรือเปล่า และประการหลังนั้นมีสุภาพสตรีไปกันเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเราจะกินดื่มตามรสนิยมของเรา จะกลายเป็นตัวประหลาดไปหรือไม่ ส่วนประการสุดท้ายก็คือ เรามีวัยแตกต่างกับผู้ร่วมงานท่านอื่น ๆ มากเสียจนเราอาจจะอ้าปากค้าง ฟังท่านคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้ เราจึงต้องสงวนตัวสงวนใจไว้ก่อน แต่เมื่อเราได้อ่านรายงานของท่านที่ไปกันแล้ว เราก็พลอยมีความสุขไปด้วย และได้ถือโอกาสฝากกลอนไปอ้อนไว้ว่า

อ่านรายงานกลุ่มสังสรรค์มันปนเผือก
หนุกหนานกันเป็นเทือกที่ซิสเลอร์
สิบสามคนหนนี้ที่เพิ่งเจอ
เล่าให้คนอ่านเพ้อเพราะอยากไป

ชาวถนนพบกันแต่ละกลุ่ม
พวกสาวหนุ่มแสนดีจะมีไหน
ส่วนคนแก่ตั้งวงอยู่ห่างไกล
ถูกแยกไว้พวกย้ายที่กินเหล้า

โอ้....อีกนานสักเท่าไรจะได้แจม
ช่วยแต่งแต้มแสงสีสิ้นปีเก่า
ขอบอกน้องพวกพี่ไม่มีเมา
คอยจนเข้าปีใหม่อีกไม่นาน

ปีสี่แปดผ่านไปให้หมดทุกข์
มีแต่สุขสดใสหลายสถาน
ปีสี่เก้าจะเข้ามาอย่ารำคาญ
ท่านผู้อ่านหวังสิ่งใดไม่พลาดเอย.

และแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ นี้เอง เจียวต้าย กับคุณGTW และ(คุณ)นายทิวา ก็คบคิดกันไปสังสรรค์ฉันท์มิตร ที่เก่าเวลาเพล และให้คุณทิวาชวนใครอีกก็ได้ตามความพอใจ จึงได้พบกันทั้งหมด ๑๐ คน ดังนี้

ที่สิบเจ็ดธันวามาพงหลี
สิบเอ็ดโมงพอดีไม่เหหัน
เจียวต้ายถึงก่อนใครไม่ช้าพลัน
ขมีขมันจัดทำเลห้อง เอ.สี่

ตั้งโต๊ะกลมเก้าอี้วางข้างหน้าต่าง
วิวกว้างขวางเตรียมรับรองพวกน้องพี่
คนถัดมาเพิ่งเห็นหน้า คุณอาร์พี
สวัสดีทักทายกันจำนรรจา

คุณรวี บอกอ รูปหล่อแท้
ผลิตหนังสือทำมือแน่รีบมาหา
อีกเดี๋ยวเดียวนิรนามก็ตามมา
รอไม่ช้าหมอโมโนก็โผล่ร่าง

คุณจันทร์แห้ง เพิ่งรู้ข่าวเมื่อเช้านี้
รีบเร็วรี่มาทันใดห้ามใครขวาง
ท่านตัวใหญ่น้ำใจดีมีสตางค์
ดื่มเบียร์สิงห์ไปพลางกับเจียวต้าย

อีกสักพักศาลาไทยก็ไปถึง
อาศัยพึ่ง คุณทิวา มาที่หมาย
สั่งร้อยปีดื่มแต่น้อยค่อยผ่อนคลาย
เกือบสุดท้ายจึงเห็นหน้าอาจารย์ G

คนที่สิบ จอมยุทธ ณ เมรัย
แต่วันนี้เหตุไฉนไม่ดื่มปี่
นั่งรอบโต๊ะครบแล้วยกแก้วที
ร่วมแสดงความยินดีให้หิ่งห้อย

ขออาศัยอาศรมโคลงเชื่อมโยงเพื่อน
สะกิดเตือนคนช่างฝันคุยกันหน่อย
อีกหลายคนไม่ได้มาพากันคอย
อย่าใจน้อยไว้คราวหน้ามาพบกัน

ขอเกริ่นกล่าวเล่าเรียงแต่เพียงนี้
กินเนื้อที่อาศรมชมรมขยัน
อยากอ่านโคลงศาลาไทยเล่าให้มัน
เจียวต้ายนั้นหลบไปนอนพักผ่อนเอย.

เราได้หวังไว้ว่ากลุ่มย่อย ๆ เหล่านี้ อาจจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ในอนาคตอันใกล้ อย่างน้อยก็คงจะไม่เกินห้าปี เพราะถ้าเลยไปแล้ว เราก็คงจะหมดโอกาสที่จะมาร่วมวงละครับ สุดท้ายก็ขออวยพรปีใหม่ให้แด่ ทุกคนในถนนนักเขียนอีกครั้งหนึ่ง

ขึ้นปีใหม่สี่เก้าหนาวในจิต
แต่จะคิดสิ่งใดให้สมหวัง
มีความสุขทุกวันคืนชื่นใจจัง
อยู่กระทั่งร้อยปีกว่าอย่าเหี่ยวเอย.

แต่เวลาก็ได้ล่วงมากว่าห้าปี ก็ไม่มีโอกาสได้จัดงานสังสรรค์เช่นนั้น อีกเลย นอกจาก การทำบุญที่วัดเทพธิดาราม ในวาระครบห้าปีอาศรมโคลง และรำลึกถึงท่านสุนทรภู่

จนกระทั่ง ถึงวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จึงมีการสังสรรค์ครั้งหลังสุด ที่ภัตตาคารพงหลี ดั้งเดิม โดยไม่มีท่านที่มีชื่อก่อนหน้านี้เลย เว้นแต่อาจารย์จีกับเราเท่านั้น คราวนี้มีผู้มาร่วมวง สิบกว่าท่าน ซึ่งเราได้นำมาเล่าแล้ว ในเรื่อง

นัดพบกันคราวนี้มีเพื่อนมาก 

นัดพบกันครั้งนี้มีเพื่อนมาก

ที่สิบสองกุมภามาพงหลี
เป็นวันดีรวมพลถนนนักเขียน
วันอาทิตย์สิบเอ็ดนอขอแวะเวียน
คุยแลกเปลี่ยนกันเต็มที่สิบสี่คน

เจียวต้ายมาก่อนใครไม่ผิดพลาด
สิบโมงครึ่งดังคาดเหมือนทุกหน
ห้องเอห้าร้านเขาจัดอยู่ชั้นบน
ยังไม่เห็นมีผู้คนมืดตื๋อเลย

ไม่เปิดแอร์อยู่ได้ไงลงไปก่อน
พอหลบร้อนซดเบียร์ไปไม่อยู่เฉย
อ้าว...นั่นใครนั่งรออยู่ดูคุ้นเคย
พิโธ่เอ๋ย...อาจารย์จีคนนี้เอง

ท่านอยู่ถึงดอนเมืองไม่เชื่องช้า
กลับมาถึงเร็วกว่ายกว่าเก่ง
อย่ารอท่าสั่งเบียร์มาเริ่มบรรเลง
ไม่กลัวเกรงใครจะว่าค้ากำไร

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนฝัน
ห้าโมงครึ่งเข้าไปนั่นรอไม่ไหว
ชวนกันเข้าห้องที่จองด้วยทันใด
พอนั่งปุ๊บแขกผู้ใหญ่ก็เข้ามา

อรุสา (npuiy) ชื่อเก่าเราจำแม่น
เธอเป็นแฟนห้องชานเรือนเพื่อนมากหน้า
กลายมาเป็นนักเขียนไม่ธรรมดา
ฝากฝีมือให้ลือชาทุกวันนี้

KTH (KTHc) มากับผู้ติดตาม
ใกล้คนงามชื่อเรียกยากจริงพับผี่
คุณaritsumemoon ฟังกี่ที
คนยิ่งหูไม่ดีเลยไม่จำ

เกือบเที่ยงแล้วเอาเมนูมาดูเล่น
เดี๋ยวเพื่อนเห็นโต๊ะว่างจะไม่ขำ
สั่งออร์เดิร์ฟ ปลาผัด และกุ้งยำ
เพื่อนมาหลังหิวหน้าคล้ำต้องเอาใจ

คุณ ZOI ซามูไรพ่อลูกอ่อน
นั่งหัวโต๊ะตามขั้นตอนเพื่อชิดใกล้
อาจารย์จีบอกเด็กชงให้ทันใจ
เบียร์ของไทยเขาดีเรามีเพื่อน

อีกสามสาวรีบตามมาไม่ช้านาน
รุริกะ เป็นประธานไม่คลาดเคลื่อน
มาแต่เช้ายางชำรุดสุดบิดเบือน
อีกสองเพื่อน แอนู Kiwi_brown

ทิ้งรถไว้ต่อรถไฟวิ่งบนฟ้า
จึงได้มาถึงก่อนบ่ายพอหายหนาว
สั่งข้าวสวยกับต้มยำเหมือนทุกคราว
ให้หลายสาวช่วยกันซดได้คล่องคอ

อีกครอบครัวมาด้วยกันจากบางพลัด
ไม่ติดขัดสามคนแม่ลูกพ่อ
กาแฟเย็นฯ ห่วงลูกชายคงต้องรอ
ลูกซามูไรวิ่งปร๋อเสริฟข้าวผัด

คนสุดท้าย แพรวดาว แสนร้าวจิต
ไม่ทันคิดคอเจ็บจังนั่งอึดอัด
แวะหาหมอได้ยาสารพัด
ไม่ผิดนัดอุตส่าห์มาจากออสซี่

มีของฝากมากมายแจกให้หมด
ไม่รันทดพูดเสียงใสไม่ต้องหรี่
นั่งติดกันกับผู้เฒ่าดูเข้าที
เธอใจดีถามอาการขาอ่อนแรง

กินอิ่มแล้วเริ่มซุกซนไม่ทนนั่ง
ถ่ายรูปหมู่รูปคู่มั่งช่างขันแข็ง
แต่คงเก็บไว้ดูเองไม่แสดง
ให้ผิดแผลงไปจากที่นิยมกัน

ต่างก็มีความสุขหมดทุกข์โศก
ได้พบหน้าเพื่อนร่วมโลกของคนฝัน
คุยกันไปแซวกันมาพอมันมัน
เว้นตัวฉันยิ้มเรื่อยไปไม่ได้ยิน

นัดพบกันครั้งนี้มีเพื่อนมาก
ล้วนคนใหม่มาจากถนนฯ สิ้น
ส่วนเกลอเก่าเหลืออาจารย์เคยดื่มกิน
มาจากถิ่นช่วยเป็นล่ามตามขอร้อง

ขอทุกท่านจงสุขขีในปีใหม่
คิดสิ่งใดไม่ทันช้ามาสนอง
ห่างโรคภัยไร้ระทมสมใจปอง
ทรัพย์เนืองนองอยู่ยืนไปไม่เหี่ยวเอย.

๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลาประมาณสองทุ่ม

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 55 06:45:15

 

และได้พิจารณาตนเองแล้วเห็นว่า สังขารได้ร่วงโรยลงไปจากเมื่อก่อนนั้นเป็นอันมาก ทั้ง ตา หู และฟัน จนงานนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ แล้วจึงได้หวนรำลึกถึงความหลัง ที่ผ่านมาหลายครั้ง ในถนนนักเขียน ตลอดช่วงเวลาเจ็ดปี ที่ผ่านมา  ซึ่งยังฝังอยู่ในความทรงจำมิรู้ลืม  แม้จะไม่มีผุ้ใดจำได้เลยก็ตาม.              

 

 


 ##########




 

Create Date : 25 มีนาคม 2555    
Last Update : 25 มีนาคม 2555 9:17:05 น.
Counter : 847 Pageviews.  

ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๗) ทหารถือปากกา

ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๗)

ทหารถือปากกา

เรามีอาชีพหลักเป็นทหารก็จริง แต่เป็นทหารที่อยู่ในกองบัญชาการ กรมการทหารสื่อสาร ซึ่งไม่ต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ในการประหัตประหารใครเลย ใช้แต่ดินสอ ปากกา พิมพ์ดีด จนมาถึงยุคคอมพิวเตอร์ หน้าที่แรกที่สุดก็คือเป็น เสมียน อยู่จนเป็นนายทหาร ก็เหมือนเป็นหัวหน้าเสมียน แม้ยศจะสูงขึ้นแค่ไหนก็ทำงานในเรื่องที่เกี่ยวกับ สารบรรณ และธุรการ ทั้งสิ้น

หน้าที่รองที่แฝงอยู่ก็คือการเขียนเรื่อง ส่งไปลงพิมพ์ในนิตยสารทหารสื่อสาร ซึ่งเป็นวารสารประจำ เหล่าทหารสื่อสาร ในกองทัพบก เขียนอยู่นานจนได้เข้าไปประจำทำงานในกองบรรณาธิการ และสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ ก็ได้เป็น ผู้ช่วยบรรณาธิการ ซึ่งต้องทำงานแทนตัวบรรณาธิการ ทุกอย่างทุกประการ ในช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับนิตยสารเล่มนี้ ประมาณ ๓๐ ปี กับช่วงสุดท้ายอีกสามปีนั้น ได้เขียนหนังสือหลายประเภท ทั้งเรื่องสั้น สารคดี ขำขัน และบทกวี จึงต้องมีนามปากกา ในแต่ละประเภท เมื่อไม่ให้ดูซ้ำซาก มากกว่าสิบชื่อ

เมื่อถึงปีสุดท้าย หลังจากที่ได้ทำหน้าที่ ผู้ช่วย บก.มา ๑๒ ฉบับแล้ว ก็เขียนคำอำลาผู้อ่าน จึงได้ทราบว่ามีนามปากกาที่เขียนเรื่องลงในนิตยสารเล่มนี้เท่าใดแน่

จากนิตยสารทหารสื่อสาร ฉบับ มกราคม ๒๕๓๔ คอลัมน์ จากสื่อสาร ถึงสื่อสาร โดย “ฒูณญ์”
















 

Create Date : 23 มีนาคม 2555    
Last Update : 23 มีนาคม 2555 5:12:44 น.
Counter : 955 Pageviews.  

ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๖) สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๖)

สามก๊กฉบับลิ่วล้อ

ในอาณาบริเวณที่เรียกกันว่า สวนอ้อย ที่เป็นชุมชนใหญ่ ตรงข้ามวขิร พยาบาล ซึ่งได้ขยายขึ้นเป็น วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์ และในปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัย ไปแล้วนั้น มีสมาคมเกี่ยวกับสื่อมวลชนตั้งอยู่สองราย คือ สมาคมนักหนังสือพิมพ์ และพ่วงอะไรต่ออะไรอีกมาก อยู่ริมถนนสามเสน กับ สมาคมหนังสือพิมพ์ อยู่มุมถนนราชวิถีตัดกับถนนราชสีมา

เราเป็นคนเขียนหนังสือมาหลายสิบปี ก็ไม่มีโอกาสได้เกี่ยวข้องกับสองสมาคมนี้เลย จนถึง พ.ศ.๒๕๔๑ สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น ได้จัดพิมพ์นิยายอิงพงศาวดาร ฉบับของ “เล่าเซี่ยงชุน” ที่เรียกว่า สามก๊กฉบับลิ่วล้อ พอออกวางตลาดเขาก็เชิญให้ไปสมภาษณ์ ที่สมาคมหนังสือพิมพ์ เป็นการประชาสัมพันธ์หนังสือของเรา

แม้จะไม่ชอบการที่ต้องพูดอะไรกับบุคคลมาก ๆ นอกจากเวลาเมาเท่านั้น โดยเฉพาะการตอบคำถามโดยปฏิภาณ เพราะเป็นคนคิดช้า และเป็นคนขี้ลืมโดยสันดาน จึงขอให้เขาบอกหัวข้อที่จะสัมภาษณ์มา แล้วเราก็เขียนตอบไป แต่เขาก็เชิญไปปรากฏตัวจนได้ เพราะอยู่ใกล้หลังบ้านนิดเดียวเอง

รายการนั้นจะผ่านไปอย่างไรก็จำไม่ได้ เพราะตื่นเต้นมาก ต่อมาอีกไม่นาน ก็ได้เห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ของผู้ที่เขาสัมภาษณ์ จึงรู้ว่าได้พูดอะไรไปบ้าง

จาก หนังสือพิมพ์ มติชน ปีที่ ๒๑ ฉบับที่ ๗๕๗๔ วันพฤหัสบดีที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๑

สามก๊กฉบับลิ่วล้อ วรรณกรรมจีนที่มีชื่อเสียงแพร่ไปทั่วโลก ๓ ฉบับ ที่หากเป็นนักอ่านแล้วไม่ยอมพลาดเด็ดขาดนั้น นอกจาก วีรบุรุษเขาเหลียงซาน กับ ความฝันในหอแดง แล้ว สำหรับคนไทยก็รู้จักแต่เพียง สามก๊ก มาก่อนเท่านั้น

จากฉบับ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) ที่เรียนมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ บัดนี้มีแทบจะนับกันไม่ถ้วน เมื่อภูมิรู้จากการศึกษาของผู้คนมากขึ้น การถ่ายทอดใหม่จึงเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก นอกเหนือการแปลใหม่ ก็ยังมีการวิเคราะห์วิจารณ์เกิดขึ้น เช่น ชุดผ่าหัวใจหรือชำแหละคนนั้นคนนี้ ของ เล่าชวนหัว เป็นต้น

และเมื่อมี สามก๊กฉบับนายทุน ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับ สามก๊กฉบับวณิพก ของ ยาขอบ ที่เขียนขึ้นก่อนแล้ว วันดีคืนดีมี สามก๊กฉบับลิ่วล้อ ของ เล่าเซี่ยงชุน ออกมาวางแผงยั่วสายตานักอ่าน ก็ย่อมไม่น่าประหลาดใจ

วรรณกรรมที่เสมือนขุมทรัพย์สำคัญแหล่งนี้ มีสมบัติปัญญาให้ขุดได้อีกไม่รู้สิ้น เมื่อเขียนกันได้ถึงตัวละครเอก ๆ ไม่ว่า เล่าปี่ หรือ กวนอู หรือ เตียวหุย หรือ โจโฉ หรือ ขงเบ้ง หรือ ลิโป้ กันชนิดจำชื่อกันได้เป็นรุ่น ๆ แล้ว ก็ย่อมถึงวันของบรรดาผู้มีความรู้ความสามารถ แต่ไร้ตำแหน่งใหญ่โตบ้าง และโดยผู้มีความสามารถ ซึ่งไร้ตำแหน่งเหล่านี้เอง ที่หนุนช่วยให้บรรดาตัวละครเอกข้างต้น สัมฤทธิ์ผลจากความคิดที่วาง ๆ แผนกันไว้

สามก๊กฉบับนี้สำหรับนักอ่านทั้งหลาย ที่ผ่านฉบับอื่น ๆ มาบ้าง พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง รีบ ๆ ไปหาได้.

จาก หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๓๘๓๒ วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๒

หนังสือสามก๊กในประเทศไทยที่คนรู้จักกันดี อาทิ ฉบับวณิพก ของ ยาขอบ และ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ ของ เจ้าพระยาพระคลัง(หน) ทั้งสองฉบับมีลักษณะแตกต่างกันออกไป และได้รับกสารกล่าวขาน ได้รับความนิยมจากนักอ่านอย่างกว้างขวาง

อยู่ ๆ ก็มีฉบับใหม่ปรากฏนามว่า สามก๊กฉบับลิ่วล้อ ผลงานของ เล่าเซี่ยงชุน ชื่อหากฟังเฉพาะเสียงที่เปล่งออกมา ช่างน่ากระดกดื่ม และช่างยั่วน้ำลายคอทองแดง งานเปิดตัวจัดขึ้นที่ สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มี อาทร เตชะธาดา เลือดใหม่ของ ประพันธ์สาส์น ผู้จัดพิมพ์หนังสือ เป็นแม่งาน ลักษณะการจัดเป็นงาน เล็ก ๆ คุยกันฉันท์คนวรรณกรรม มี ฉันทลักษ์ รักษาอยู่ เป็นผู้ซักถาม เล่าเซี่ยงชุน เกี่ยวกับประวัติคนเขียน และความเป็นมาของหนังสือ

นามปากกา เล่าเซี่ยงชุน มาจากเหล้ายี่ห้อหนึ่ง เป็นที่นิยมกระดกดื่มของคอทองแดงผู้ยากไร้ ซึ่งตอนหนุ่ม ๆ หลงรสชาติอยู่ เลยนำมาใช้เป็นนามปากกา

ความเป็นมาของ สามก๊กฉบับลิ่วล้อ เล่าเซี่ยงชุน บอกว่าเป็นคนหลงรสวรรณคดีไทยมาตั้งแต่เด็ก อ่านมาทั้ง ผู้ชนะสิบทิศ พระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผน แต่เล่มที่ชอบมากที่สุด และอ่านมาประมาณ ๓๐ เที่ยวคือ สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน)

แรกรับราชการทหารก็เป็นลูกน้อง เรียกอีกอย่างว่าระดับ ลิ่วล้อนั่นเอง

“ หากเป็นผู้มีบทบาทผลักดันพลิกผันสถานการณ์ในสมรภูมิ เพื่อให้นายก้าวขึ้นสู่อำนาจในสงครามสามก๊ก ผู้ที่มีความสามารถ รู้สถานการณ์รอบด้าน ไม่อาจครองแผ่นดินได้ หากไร้ซึ่งคนมีฝีมือ “

ไม่มีขุนพลผู้ทรงประสิทธิภาพ จอมทัพจะเกรียงไกรได้ ฉันใด ดูแต่ชีวิต เล่าเซี่ยงชุน เองเถิด กว่าจะไต่เต้ามาปลดเกษียณเอาที่ยศ พันเอก ก็สาหัสสากรรจ์ อาจด้วยเหตุนี้เอง จึงเกิดเห็นใจตัวเองขึ้นมา และยังเผื่อแผ่ต่อ ลิ่วล้อ คนอื่น ๆ ด้วย สำหรับลิ่วล้อในสามก๊ก ออกจะเข้าใจเป็นอย่างดี

โอกาสเปิดให้ เล่าเซี่ยงชุน เขียนเรื่องราวอย่างแท้จริง ก็ต่อมาเมื่อนิตยสารของทหารต้องการเรื่องลง จึงเขียนออกมาเป็นตอน ๆ ทยอยส่งไปลง และเป็นที่ถูกอกถูกใจของพี่น้องทหารเป็นอย่างดี เขียนเพลินจนได้กว่า ๑๕๐ ตอน ก็ได้รับการทาบทามจาก สนพ.ประพันธ์สาส์น ขอรวมเล่ม จึงนำเอาเรื่องราวที่เขียนมาทั้งหมด จัดหมวดหมู่ใหม่ ขัดเกลาสำนวนอีกครั้ง แล้วก็ส่งเข้าโรงพิมพ์

ทำไม เล่าเซี่ยงชุน จึงจับปากกาเขียนเรื่อง สามก๊กฉบับลิ่วล้อ คำตอบก็คือ ต้องการให้คนอ่านวรรณคดีเรื่องนี้เข้าใจง่าย เอกสารประกอบการเขียน ใช้หนังสือคือ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง เล่มเดียว สาเหตุง่าย ๆ คือ เล่มอื่น ๆ มีความขัดแย้งกันอยู่ หากใช้หลายเล่ม ก็จะไม่ชัดเจนว่า เรื่องราวเป็นอย่างไรแน่ ผู้อ่านจะเกิดความสับสนได้

สามก๊กจากอดีตสู่ปัจจุบัน ในวิถีชีวิตของคนไทยคือ เมื่อก่อนผู้ใหญ่ใช้สอนเด็ก ประการแรกใช้สอนอ่านการผันชื่อของคนจีนในสามก๊ก ผันยาก แล้วก็การเว้นวรรคตอนของเรื่อง เด็กที่สนใจอ่านแล้ว จะเขียนหนังสือเป็น แต่งประโยคเป็น ส่วนเนื้อหาของสามก๊ก เมื่อเด็กเรียนแล้วก็จำไม่ไหว สมัยนั้นเขาให้เรียนตอนโจโฉแตกทัพเรือ ซึ่งเป็นการใช้โวหาร สำนวนของปราชญ์ในเมืองกังตั๋ง ต่อสู้กับขงเบ้ง ซึ่งอันนั้นเมื่ออายุมากแล้วถึงจะเข้าใจ เมื่อเด็กอ่านแล้วก็อ่านไปอย่างนั้นเอง ไม่ซาบซึ้งว่าเขาฉลาดกันอย่างไร

ตอนที่ชอบมากเป็นพิเศษ เล่าเซี่ยงชุน บอกว่ามีหลายตอน แต่ตอนโจโฉแตกทัพเรือ ก็ถือว่าเป็นตอนที่สุดยอดตอนหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงการใช้ไส้ศึก การใช้เล่ห์เพทุบายจริง ๆ เรื่องลมที่จะพัดมานั้น มันพัดมาอยู่แล้วตามฤดูกาล ขงเบ้งรู้ก่อนก็เลยตั้งพิธีขึ้น ตอนนี้ถือว่าเป็นการต่อสู้กันด้วยสมอง

เป้าหมายของการเขียนที่แท้จริงแล้ว ประการหนึ่ง ต้องการให้เจ้านายเข้าใจจิตใจของลูกน้อง ประการที่สอง เมื่อเห็นใจลิ่วล้อ ก็เอามาเชิดชูให้ผู้อ่านรู้จัก และประการที่สาม คือเป็นการท้าทายผู้อ่านด้วยว่า ตอนที่เขียนนั้นมีอยู่ในตอนไหน

สรุปแล้วคือ “ เราเป็นคนเสนอสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง ให้อ่านกันมาก ๆ “

#############




 

Create Date : 21 มีนาคม 2555    
Last Update : 21 มีนาคม 2555 20:33:48 น.
Counter : 1190 Pageviews.  

ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๔) เหตุเกิดที่พระรูป

ผู้เฒ่าเล่าอดีต (๔)

เหตุเกิดที่พระรูป

เราย้ายบ้านจากตรอกโรงเรียนนายร้อย ถนนราชดำเนินนอก มาอยู่ที่สวนอ้อย หน้าวชิรพยาบาล ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ แล้วก็ได้มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นประปราย ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา

เข่น พ.ศ.๒๔๘๕ น้ำท่วมใหญ่ต้องใช้เรื่องสัญจรไปมาแทนรถเมล์

พ.ศ.๒๔๘๗ สวนอ้อยโดนเครื่องบิน B29 มาทิ้งระเบิดกรุงเทพ เป็นครั้งแรกในโลก

พ.ศ.๒๕๑๘ น้ำท่วมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง น้ำขึ้นจากแม่น้ำเจ้าพระบา ผ่านสวนอ้อยมาถึงถนนราชสีมา

และ พ.ศ.๒๕๒๓ ก็เกิดเรื่องที่เกี่ยวกับสวนอ้อยอีกครั้งหนึ่ง

เดือนตุลาคมในอดีตที่ผ่านมาเกือบร้อยปีนั้น มีวันอันสำคัญยิ่งอยู่วันหนึ่ง ซึ่งประชาชนชาวไทยทั้งหลาย น้อมรำลึกถึงตลอดมา นั่นก็คือวันที่ ๒๓ ตุลาคม วันปิยมหาราช

เมื่อ ๕๐ ปีที่ผ่านมา การวางพวงมาลา ณ พระบรมราชอนุสาวรีย์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ลานพระราชวังดุสิต หรือที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า ลานพระบรมรูปทรงม้านั้น เป็นไปอย่างธรรมดาไม่มีการจัดระเบียบมากมายนัก ตอนค่ำก็จะมีผู้คนเบียดเสียดเข้ามาชมพวงมาลา และถวายสักการะพระบรมรูปอย่างเนืองแน่น ริมถนนราชดำเนินจะมีร้านขายของกินนานาชนิด และของเล่นประเภทหมวกกระดาษ หน้ากาก หัวโขนและชฎา กับดาบไม้ ปืนจุกไม้ก๊อก มีบรรยากาศคล้ายกับงานภูเขาทอง

รอบในที่ติดกับพระบรมรูป จะตั้งราวปักเทียนและกระถางปักธูปใบใหญ่ มีผู้เฒ่าผู้แก่จุดธูปเทียนสักการะกันหนาแน่นมาก กลิ่นธูปควันเทียนคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ เป็นการแสดงความกตัญญู ต่อพระคุณอันมากล้นพ้นที่จะรำพันของพระองค์ท่าน จากผู้ที่อยู่ร่วมสมัยหรือได้ยินได้ฟัง พระบารมีอันแผ่ไพศาลปกเกล้าชาวประชา มาไม่นานนัก

ต่อมาการวางพวงมาลามีการประกวดประชันขันแข่งกันมากขึ้น ทั้งการจัดริ้วขบวนและวงดนตรีนำขบวน จนเกือบจะเป็นการแสดงไปแล้ว ทางราชการจึงได้จัดระเบียบมากขึ้น และบรรยากาศในตอนค่ำก็เปลี่ยนแปลงไป ร้านค้าริมถนนราชดำเนินก็ถอยไปรวมกันอยู่ในบริเวณสวนอัมพร แต่ร้านขายของเล่นที่คล้ายงานวัดนั้นก็สาบสูญไปสิ้น

การจุดธูปเทียนสักการะพระบรมรูปก็ลดน้อยลง จนกระทั่งหมดสิ้นไปในที่สุด เพราะผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยมากันมากมาย ก็ลดน้อยลงจนเหลือแต่หนุ่มสาวและเด็กในรุ่นหลังเป็นส่วนใหญ่ จนมาถึงปัจจุบันจึงได้มีการรื้อฟื้นการเคารพบูชา ด้วยธูปเทียน ดอกไม้ พวงมาลัย และเครื่องสังเวย ขึ้นมาอีกเมื่อไม่กี่ปีนี้ แต่เป็นไปในทำนองการบูชาเทพเจ้า มากกว่าที่จะรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ดุจกาลก่อน

แต่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า พระบรมรูปทรงม้าอันเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดของชาวไทยทั้งปวงมาร่วมศตวรรษนี้ จะมีเหตุการณ์ที่เป็นไปในทำนอง ลบหลู่พระบรมเดชานุภาพเกิดขึ้นได้ ในรอบทศวรรษที่แล้วมานี้เอง

ความจริงเคยมีนิยายปรัมปราที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระบรมรูปทรงม้าที่ประดิษฐานอยู่ ณ ลานพระราชวังดุสิตนี้ เดิมทีมียอดพระมาลาเป็นทองคำ แต่ในกาลครั้งหนึ่ง ได้มีผู้ยากจน ข้นแค้นไปกราบบังคมทูลขอเด็ดเอาไปขายกินเสีย โดยที่พระองค์ท่านก็พระราชทานแต่โดยดี จนต่อมากรมศิลปากร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอนุสาวรีย์ได้อ้างหลักฐานว่า พระมาลาที่ทรงกับเครื่องแบบเต็มยศทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นั้น มีพู่ขนนกและไม่มียอดแหลม ไม่ว่าจะเป็นโลหะชนิดใดทั้งสิ้น สังเกตได้จากพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งทรงฉายในที่ต่าง ๆ เรื่องดังว่าจึงได้กลายเป็นนิทานโคมลอยไปในที่สุด

แต่คราวนี้เกิดเรื่องจริงขึ้นมาจนได้ แม้ว่าค่อนข้างจะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย คือในกลางดึกของคืนวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๓ ขณะที่ใกล้จะถึงงาน วันปิยมหาราช ซึ่งกรมศิลปากร จำเป็นต้องบูรณะตกแต่ง องค์พระบรมรูปทรงม้าเป็นประจำ ด้วยการทำความสะอาดลงรักสีดำ และนำพวงมาลัยคล้องคอม้า เจ้าหน้าที่จึงได้ตั้งนั่งร้านขึ้นไป เพื่อจะดำเนินการดังกล่าว ก็มีชายไทยชื่อ สมชาย (นามสมมุติ) อาชีพขับสามล้อเครื่อง กับ นาย น้อย (นามสมมุติเหมือนกัน) ซึ่งเป็นเพื่อนเกลอ ทั้งคู่ดื่มเหล้ากันมาได้ที่ดีแล้ว ก็ไต่นั่งร้านขึ้นไปช่วยกันถอดพระแสงกระบี่ ออกจากแผงอานม้า ด้านซ้ายของพระบรมรูป ในเวลาค่อนรุ่ง แล้วก็เอาไปห่อกระดาษซุกซ่อนไว้ ที่ต้นไทรใหญ่ใบหนาทึบและมีรากดกแถวสวนอ้อย ซอยหน้าวชิรพยาบาล ซึ่งอยู่ในบ้านอันกว้างขวาง ที่ในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เคยเป็นบ่อนตีไก่กัดปลาประจำตำบล แต่ในขณะนั้นได้ดัดแปลงเป็นห้องเล็ก ๆ ให้ครอบครัวของโชเฟอร์สามล้อเครื่อง เช่าพักอาศัยอยู่นับสิบราย ห่างจากบ้านของเราไม่ไกลนัก

พอวันรุ่งขึ้นสองนายก็แอบหอบหิ้วพระแสงกระบี่ ซึ่งยาวเกือบ ๒ เมตร หนัก ๖๐ กิโลกรัม มูลค่ามหาศาล แค่เฉพาะเนื้อโลหะซึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ก็มีราคาประมาณสิบล้านบาท ไปขายที่ร้านค้าของเก่าแถวหน้าไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง ได้เงินมาแบ่งกันเพียง ๒,๕๐๐ บาท แล้วก็แยกย้ายกันหลบหนีอาญาแผ่นดิน ไปคนละทิศ

เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลดุสิต ซึ่งได้รับแจ้งความจากเจ้าหน้าที่ผู้รับ ผิดชอบของกรมศิลปากรแล้ว ก็ได้รีบออกติดตามควานหาตัวคนมือไวใจกล้าทั้งสองนายอย่างกวดขัน และในเวลาอันรวดเร็วเพียงสามวันต่อมา ก็ตะครุบตัวนายสมชายได้ที่บ้านเพื่อน แถวซอยสันติสุข ถนนประชาสงเคราะห์ ได้โดยละม่อม

นายสมชายให้การรับสารภาพว่า เหตุเกิดขึ้นจากการที่ได้เอาเงินของภรรยา ที่ให้ไปวางประกันหาเช่ารถตุ๊กใหม่จำนวน ๓๐๐ บาท ไปกินเหล้ากับเพื่อนเสียจนหมด จึงไม่กล้ากลับบ้านมือเปล่า และเกิดความคิดวิตถารที่จะขโมยพระแสงกระบี่ไปขาย เพราะนึกว่าคงจะมีบางส่วนที่เป็นทองคำอยู่บ้าง แต่เมื่อขายได้เงินมาแล้ว ก็ไม่มีความปกติสุขเลยทั้งเวลากินเวลานอน ได้ยินแต่เสียงเหมือนคนเดินลากโซ่ตรวน รบกวนอยู่ในจิตใจตลอดเวลา ครั้นหลับก็ฝันเห็นสมเด็จพระปิยมหาราชทรงชี้หน้าทวงพระแสงกระบี่อยู่ทั้งคืน เป็นที่ทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่งยวด

เรื่องก็เป็นอันจบลงด้วยดี เป็นที่โล่งหัวอกหัวใจของประชาราษฎร์ ที่จงรักภักดีต่อองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง โดยทั่วหน้ากัน สำหรับผู้ที่กระทำผิดโดยความโลภเพียงชั่วครู่ รวมทั้งผู้ร่วมมือ ก็ได้รับโทษตามสมควรแก่กรณี

นับว่าเป็นคดีตัวอย่างของเมืองไทยอีกคดีหนึ่ง ที่เราจะได้จดจำเอาไว้เล่าขาน ให้ลูกหลานได้ฟังในภายหน้า อีกนับร้อยปีทีเดียว

ถ้าไม่ตายเสียก่อน.

##########




 

Create Date : 21 มีนาคม 2555    
Last Update : 21 มีนาคม 2555 8:47:35 น.
Counter : 819 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.