Group Blog
 
All Blogs
 

อะไรก็ได้ (๔๘) มนุษยสัมพันธ์

อะไรก็ได้ (๔๘)

นิตยสารทหารสื่อสาร ฉบับประจำเดือน มกราคม ๒๕๓๙ คอลัมน์ “ที่นี่สะพานแดง” เป็นเรื่องการถักผมเปียของผู้หญิง จึงเปิดเลยไปเจอเรื่อง “มนุษยสัมพันธ์” ของท่าน “ศ.ศิลาแลง” เป็นบทความที่น่าสนใจเช่นเคย จึงเอามาบันทึกไว้ มีหัวข้อว่า

๑.จะเอาน้ำผึ้ง อย่าแตะรังผึ้ง

การดุด่าคนอื่นนั้น เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา เพราะมนุษย์เราทุกคนนั้น มิได้มีความเฉลียวฉลาดกันทุกคน การตำหนิติเตียนก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เพราะจะทำให้ผู้ถูกติเดตียนแก้ตัวต่าง ๆ และพยายามที่จะเข้าข้างตัวเอง การตำหนิติเตียนเป็นภัย ก็เพราะมันสามารถทำให้จิตใจอันภาคภูมิของมนุษย์ ได้รับความปวดร้าว ทำความรู้สึกแห่งการเป็นคนมีความสำคัญ และก่อให้เกิดโทสะ
กองทัพบกเยอรมันไม่อนุญาตให้ทหารยื่นฟ้อง และวิจารณ์ในทันทีทันใดเมื่อเกิดเรื่องขึ้น เจ้าทุกข์ต้องเก็บเรื่องขุ่นข้องหมองใจไว้เสียก่อนคืนหนึ่ง เพื่ออารมณ์จะได้สงบเยือกเย็นลง

๒.จงเอาใจใส่ต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง

การผูกมิตรกับผู้อื่น จะสำเร็จเรียบร้อยภายในเวลา ๒ เดือน ด้วยการเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อเขาผู้นั้น ซึ่งจะได้ผลยิ่งกว่าการผูกมิตรซึ่งใช้เวลาถึง ๒ ปี แต่ด้วยความพยายามให้เขาผู้นั้นเอาใจใส่ต่อตัวเรา
ท่านและกระผมต่างรู้จักมนุษย์ผู้ประสบความผิดพลาด มาจนตลอดชีวิตของเขา จากความพยายามที่จะให้ผู้อื่นเอาใจใส่ต่อตัวเขา แน่ละ การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ผลอันใดเลย ผู้อื่นมิได้เอาใจใส่ต่อตัวท่าน และไม่เอาใจใส่ต่อตัวกระผมด้วย เขาต่างจะเอาใจใส่แต่ตัวของเขาเอง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น จะเป็นไปได้ไหมที่ผู้อื่นจะเอาใจใส่ต่อตัวท่าน ในเมื่อท่านมิได้แสดงอาการเอาใจใส่ต่อตัวเขา
บุคคลใดที่ละเว้นการเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่พียงแต่เขาจะดำรงชีวิตอยู่โดยปราศจากความราบรื่น หากเขาจะเป็นมนุษย์ที่อันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่ผู้อื่นด้วย มนุษย์เหล้านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ห่างไกลจากความก้าวหน้า และความเจริญรุ่งเรืองในประการทั้งปวง

๓.ท่านไม่สามารถชนะการโต้แย้ง

เก้าในสิบครั้งของการโต้แย้ง จะจบลงด้วยต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นยิ่งขึ้นไปกว่าเก่า ว่าตนเป็นฝ่ายถูกเต็มที่ คนที่จำใจต้องเชื่อในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ ความคิดเห็นของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง
ถ้าท่านได้โต้แย้งยังพูดให้เจ็บใจ และเถียงท่าน อาจจะประสบชัยชนะในบางครั้ง แต่เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า ทั้งนี้ก็เพราะท่านจะไม่สามารถรับไมตรีจิตจากอีกฝ่ายหนึ่ง
การโต้เถียงย่อมจะเป็นผลให้เกิดโทสะ และทำลายอำนาจการบังคับตนเอง จงยอมจำนนต่อการโต้เถียงในเรื่องเล็ก แม้ว่าท่านจะมีสิทธิ์ที่จะกระทำอย่างเต็มที่
เพราะฉะนั้น วิธีที่ท่านจะระงับการโต้เถียงที่ดีที่สุด ก็คือการหลีกเลี่ยงเสีย

(ยังมีต่อ)


Create Date : 23 สิงหาคม 2553
Last Update : 23 สิงหาคม 2553 5:51:29 น. 2 comments
Counter : 11 Pageviews. Add to




บทความสุดยอด
ขอบคุณที่นำมาลงให้อ่านค่ะ


โดย: zagai2002 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:11:32:35 น.




ขอบคุณที่ถูกใจครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:6:11:25 น.





 

Create Date : 30 สิงหาคม 2553    
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 5:48:14 น.
Counter : 1459 Pageviews.  

อะไรก็ได้ (๔๗) เกิดมาทำไม (๓)

อะไรก็ได้ (๔๗)


ศ.ศิลาแลง ได้ยกเอาคำสอนของ พระเทพเวที มาสรุปบทความเรื่อง เกิดมาทำไม ในนิตยสารทหารสื่อสาร ฉบับประจำเดือน กันยายน ๒๕๓๖ ดังนี้

๑.ต้องรู้งานดี

คนจะทำงานให้ได้ดีนั้น ประการสำคัญต้องมีความรู้ความเข้าใจ งานที่ตนเองทำเสียก่อน คนที่ไม่รู้งานที่ตนเองทำ จะทำงานได้ดีได้อย่างไรกัน ความรู้งานนั้นต้องรู้อย่างลึกซึ้ง มีความเข้าใจตลอด มิใช่รู้แบบท่องจำ หรือแค่จำได้ แค่นั้นยังไม่พอ ต้องมีความเข้าใจจริง สามารถปฏิบัติได้จริง เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง มันสัมพันธ์กันอย่างไร ต้องเข้าใจหมด จึงจะเรียกว่ารู้งานดี

๒.ทำหน้าที่ไม่บกพร่อง

เมื่อรู้งานดี ขั้นต่อไปคือการทำหน้าที่ไม่บกพร่อง การทำหน้าที่ให้ได้ดีนั้น ยังจะต้องมีองค์ประกอบอีก คือ ความเอาใจใส่ ความอดทน การกำกับดูแลตรวจตราอยู่เป็นนิจมิได้ขาด สิ่งใดที่ที่คิดว่ามันล่อแหลมก็อุดรูรั่วเสีย นั่นคือการป้องกันเหตุอันจะเกิดขึ้นตามมา ความขยันหมั่นเพียรเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้ทำหน้าที่สมบูรณ์เกิดผลสำเร็จลงได้

๓.ต้องมือสะอาด

พูดง่าย ๆ ก็คือ ความซื่อสัตย์สุจริตนั่นเอง คนเราถึงจะมี ข้อ ๑-๒ แล้ว แต่หากขาดความซื่อสัตย์ก็ไร้ค่า ไม่มีความหมายที่เขาเรียกว่าเก่งแต่โกง บ้านเมือง ก็ล่มจมได้เหมือนกัน หลักการทำงานข้อนี้ เป็นหลักใจที่สำคัญมาก ดังที่คนไทยบอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

๔.ไม่ขาดมนุษยสัมพันธ์

การทำงาน เรามิได้ทำคนเดียว แต่เราต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลอีกหลายประเภท ดังนั้น ถ้าท่านเก่งแต่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ ก็ไม่มีความหมาย คนจะต้องติดต่อกับคน ต้องสัมพันธ์กับคน ต้องรู้จักคนดี คนที่ทำงานทั่ว ๆ ไป เขาแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท

ประเภทที่เมื่อไม่อยู่ จกระทบต่องาน พวกนี้มีความสำคัญมาก ขาดเขาเสียแล้วงานมีผลกระทบ

ประเภทที่เมื่ออยู่จะมีส่วนช่วยงาน พวกนี้ไม่อยู่ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่จะช่วยงานได้

พวกอยู่หรือไม่อยู่มีค่าเท่ากัน พวกนี้ไปไหนก็ได้ ไม่ค่อยมีค่า (ในสังคมมีมาก)

ประเภทไม่อยู่กลับช่วยให้งานสำเร็จ แสดงว่าชุดสุดท้ายนี้แย่มาก ๆ พูดง่าย ๆ ว่าไปเสียดีกว่า อย่าอยู่เลย อยู่ก็คงจะเป็นพวกตอไม้ตายแล้ว

อันการงานคือค่าของมนุษย์
ของวิเศษสูงสุดอย่าสงสัย
ถ้าสนุกด้วยการงานเบิกบานใจ
ไม่เท่าไรได้รู้ธรรมฉ่ำซึ้งจริง.

###########


Create Date : 17 กรกฎาคม 2553
Last Update : 17 กรกฎาคม 2553 10:00:54 น.




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2553    
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 5:47:28 น.
Counter : 1210 Pageviews.  

อะไรก็ได้ (๔๖) เกิดมาทำไม (๒)




อะไรก็ได้ (๔๖)

เรื่องเกิดมาทำไม ของ ศ.สิลาแลง ตอนต่อ

๔.ทำงานเพื่ออะไร

งานเป็นกิจกรรมหลักของมนุษย์ เมื่อต้องการทราบว่าเขาดำเนินชีวิตกันอย่างไร เราก็ให้ไปดูที่การทำงานของเขา แล้วเราก็จะเห็นส่วนสำคัญของชีวิตของเขาด้วย คนเรานั้นมองการทำงานแตกต่างกันไปหลายอย่าง

อย่างแรก
คนโดยมากมองความหมายของงานว่า เป็นเครื่องมือเลี้ยงชีพ ทำให้มีเงินทอง สำหรับนำมาซื้อปัจจัยต่าง ๆ และหาความสุข

อย่างที่สอง
งานจะนำชีวิตของเขาไปสู่การมีตำแหน่ง มีฐานะ ตลอดจนความรุ่งโรจน์ หรือความรุ่งเรือง และความนิยมนับถือต่าง ๆ

อย่างที่สาม
งานเป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์เป็นไปเพื่อการพัฒนา เป็นกิจกรรมของสังคม ของประเทศ ของโลก คนที่ทำงานจึงเท่ากับได้มีส่วนในการสร้างสรรค์ พัฒนาสังคมและประเทศชาติ

อย่างที่สี่
งานเป็นโอกาสที่จะได้พัฒนาคน งานนี้แหละเป็นสิ่งที่พัฒนาชีวิตของเรา พัฒนาให้เรามีความสามารถทำได้ เรามีความขยัน มีความอดทน ทำให้มีระเบียบวินัย ทำให้รู้สึกสัมพันธ์กับเพื่อนพ้อง ผู้ร่วมงาน สิ่งเหล่านี้อาศัยงานเป็นเครื่องฝึก ถ้าเรารู้จักทำงานเป็น จะสามารถใช้งาน เป็นเครื่องมือในการฝึกฝนพัฒนาตนเองได้มากมาย

๔.ควรทำงานอย่างไร

งานถือเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ คล้ายกับหน้าที่อันสำคัญอย่างอัตโนมัติที่มนุษย์ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ ชาวญี่ปุ่นบอกว่า คนจะทำงานได้ดีขึ้น เมื่อมีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง การฝึกฝนทำให้คนสมบูรณ์ เพราะการทำบ่อย ๆ จะทำให้เกิดทักษะความชำนาญ ดังนั้นการฝึกฝนจะทำให้เรามีประสบการณ์ มีการลองผิดลองถูก เป็นบทเรียนของชีวิต

(ยังมีต่อ)


Create Date : 16 กรกฎาคม 2553
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 5:01:27 น. 2 comments
Counter : Pageviews. Add to




สวัสดีค๊า พี่เจียวต้าย

ทุกวันนี้ทำงานเพื่อเงิน คนดีดีเขาคงไม่ตอบแบบนี้ แน่เรย

ไปเที่ยวหลายวันคงไม่ได้มาอ่านอะไรดีดี

มีหลายเรื่องของพี่เรยที่อยากอ่าน

เช่นคุ้ยวรรณคดี ขุนช้างชุนแผน แระอีกมากมาย

ชอบเรื่องประวัติศาสตร์ค๊า

รักษาสุขภาพด้วยนะค๊า ฝนตกทุกวัน

โดย: แฟนหล่อ วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:12:02:09 น.




มันเป็นความจริงครับ เมื่อเราเข้าทำงานครั้งแรก เราก็ทำเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว
เมื่อทำไปจนชำนาญแล้ว จึงมีการพัฒนาให้งานนั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ
สุดท้ายก็รักงานนั้น แม้จะหมดเวลาที่จะทำแล้ว ก็ไม่อยากทิ้งไปเลยครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:26:41 น.








 

Create Date : 30 สิงหาคม 2553    
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 5:46:37 น.
Counter : 1371 Pageviews.  

อะไรก็ได้ (๔๕) เกิดมาทำไม

อะไรก็ได้ (๔๕)

นิตยสารทหารสื่อสาร ฉบับประจำเดือน กันยายน ๒๕๓๖ คอลัมน์ “ที่นี่สะพานแดง” เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด ไม่ค่อยน่าสนใจนัก จึงเปิดเลยไปเจอเรื่อง “เกิดมาทำไม” ของนายทหารสื่อสารท่านหนึ่ง ที่เคยเอาเรื่องของท่านมาบันทึกไว้ใน “อะไรก็ได้” นี้มาสองสามครั้งแล้ว ปัจจุบันท่านเป็นพันเอกพิเศษ และใช้นามปากกาว่า ศ.ศิลาแลง เขียนเรื่องที่เกี่ยวกับปรัชญาของชีวิต ให้กรมการทหารสื่อสาร พิมพ์แจกเป็นของขวัญปีใหม่ หลายปีมาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านง่าย ๆ เบา ๆ จึงเอามาบันทึกไว้ ท่านแยกเป็นข้อ ๆ ดังนี้

๑.เกิดมาทำไม

มนุษย์เราเกิดมาเพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุด การกระทำใดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และเพื่อนมนุษย์นั่นแหละ คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ เราจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เพราะการกระทำหน้าที่ เราต้องทำหน้าที่ของมนุษย์ จึงจะเป็นมนุษย์ ดังกลอนที่ท่านพุทธทาสกล่าวเอาไว้ว่า

เพ่งหน้าที่เรามีอยู่อย่าดูหมิ่น
มอบชีวินสู้อุทิศไม่คิดหวั่น
โลกอลวนเพราะคนหนีหน้าที่กัน
โลกสุขสันต์เพราะคนชี้หน้าที่ตน
ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ยิ่งชีวิต
อย่าพะวงหลงติดเรื่องสิทธิ์ผล
นั่นเพียงสิ่งหน้าที่มันพลอยบันดล
ข้าวช่วยคนได้ลิ้มให้อิ่มเอง.

๒.ควรใช้ชีวิตอย่างไร

พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นอุปมา เปรียบเหมือนช่างร้อยดอกไม้ผู้ชาญฉลาด เก็บเอาดอกไม้สีสันวรรณะต่าง ๆ จากกองดอกไม้กองหนึ่งมาร้อยเป็นพวงมาลัยบ้าง จัดแจกันบ้าง ทำให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ที่สวยงามอย่างหลากหลายฉันใด คนเราเกิดมาแล้วชาติหนึ่ง ก็ควรจะใช้ชีวิตนี้ทำความดีให้มากฉันนั้น

ถ้าเราเอาชีวิตนี้มาใช้ทำความดีได้มากมาย หรือในทางตรงข้าม จะทำชั่วก็ทำได้มากมายเหมือนกัน

๓.การฝึกฝนพัฒนาตนเอง

คนเราเกิดมาไม่มีความสมบูรณ์ในตัว ชีวิตคนเราเริ่มต้นจากความไม่รู้ และยังไม่มีความสามารถอะไรต่าง ๆ แต่เราสามารถพัฒนาชีวิตของเราได้ ฝึกฝนตนเองได้ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ และฝึกได้เป็นพิเศษยิ่งกว่าสัตว์ใด ๆ ในโลก สามารถนำมาฝึกและใช้งานต่าง ๆ ได้มากมายแสนวิเศษอัศจรรย์ ตามความคิดนี้ ความวิเศษของมนุษย์อยู่ที่การฝึก ถือว่ามนุษย์เกิกดมายังไม่สมบูรณ์ ไม่ว่าสติปัญญา คุณธรรม เราจึงพยายามพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถ้ามนุษย์ไม่ได้รับการฝึกแล้ว อาจจะต่ำทรามกว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย

(ยังมีต่อ)


Create Date : 15 กรกฎาคม 2553
Last Update : 15 กรกฎาคม 2553 6:43:58 น. 4 comments
Counter : 21 Pageviews. Add to




ขอบคุณค๊า

ตอนนี้พยายามไม่ทำให้ตัวเองเป็นภาระของคนอื่น

เป็นการฝึกตนหรือปล่าวค๊า ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

แระพยายามช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่เราทำได้

รักษาศีล ได้ 4 ข้อ แระค๊า

ขาดข้อ มุสา

บางทีการทำงานที่ทำอยู่

ทำให้เรารักษาศีลข้อนี้ไม่ได้ ข้ออ้างเนอะ ห้าห้า

โดย: แฟนหล่อ วันที่: 15 กรกฎาคม 2553 เวลา:12:00:18 น.




ทักทายยามบ่ายจ้า อิอิ :)


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 15 กรกฎาคม 2553 เวลา:13:50:34 น.




การฝึกตนไม่ให้เบียดเบียนคนอื่น แต่พยายามช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะช่วยได้นั้น
เป็นการพัฒนาตนเองที่ดีที่สุดอยู่แล้วครับ

การรักษาศีลนั้นเราขาดบางข้อ ด้วยความมุ่งหมายที่ยังอยู่ในเรื่องข้างต้น
คงจะไม่บาปมากนะครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:5:09:08 น.




มาขอบคุณยามเช้าครับ คุณหาแฟนตัวเป็นเกลียว.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:5:09:57 น.





 

Create Date : 30 สิงหาคม 2553    
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 5:46:00 น.
Counter : 491 Pageviews.  

อะไรก็ได้ (๔๔) ผู้ตามรอยพระอรหันต์ (๓)

อะไรก็ได้ (๔๔)


ตอนจบของคำสอนจากท่านพุทธทาสภิกขุ โดย “ประภัสสร” ในนิตยสารทหารสื่อสาร ฉบับกันยายน ๒๕๓๖

พ.ศ.๒๕๐๕ ความว่าง
ความว่างก็คือ สุญญตา และ สุญญตา ก็คือ นิพพาน ส่วน นิพพาน ก็คือ ความว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์
วิธีปฏิบัติเพื่ออยู่ด้วยความว่าง
จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง
ยกผลงานในความว่างทุกอย่างสิ้น
กินอาหารของคาวหวานอย่างพระกิน
ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที
ท่านผู้ใดว่างได้ดังว่ามา
ไม่มีท่าทุกข์ทนหม่นหมองศรี
“ศิลปะ”ในชีวิตชนิดนี้
เป็น”เคล็ด”ที่ใครคิดได้สบายเอย.

หลักปฏิบัติเพื่อความไม่ยึดมั่น
เมื่ออยู่โดยปกติ ให้มีปัญญารู้เท่า ว่าคนเราทำผิดทุกอย่าง ก็เพราะเห็นแก่ตัวทั้งนั้น เมื่อไม่เห็นแก่ตัว ก็ไม่มีทางที่จะผิด
เมื่อมีอารมณ์ต่าง ๆ เข้ามากระทบ ไม่ว่าทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ว่าดีหรือร้าย จะต้องมีสติรู้ทันอารมณ์นั้น ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามความเห็นแก่ตัว

พ.ศ.๒๕๒๒ ตถตา หรือ ตถาตา ถือเป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่สั้นที่สุด
ตถตา หรือตถาตา แปลว่าความเป็นเช่นนั้น หรือ เช่นนั้นเอง ตัวอย่างเช่น
พระไตรลักษณ์ ได้แก่สังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ และ ธรรมทั้งปวงเป็นอนั้ตตา ก็คือมันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีทางจะเป็นอย่างอื่น
อริยสัจ ได้แก่ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ และ หนทางแห่งความดับทุกข์ ก็คือมันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตน จิตก็จะว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดอีกต่อไป

พ.ศ.๒๕๒๕ ความหมายของธรรมะ
ธรรมะมี ๔ ความหมาย ๑.หมายถึงธรรมชาติ ๒.หมายถึงกฎของธรรมชาติ ๓.หมายถึงการปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ
๔.หมายถึงผลของการปฎิบัติตามกฎของธรรมชาติ สรุปแล้ว ธรรมะคือหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่ คืแอการปฏิบัติธรรม

พ.ศ.๒๕๒๙ ปณิธาน
๑.พยายามให้ทุกคน เข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร
๒.ให้ทำความเข้าใจเป็นอันดี ในระหว่างศาสนาทุกศาสนา เพื่ออยู่ร่วมกันในโลก
๓.มุ่งหมายที่จะดึง หรือชัก หรือลากชาวโลก ให้ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม

พ.ศ.๒๕๓๑ อตัมมยตา ความไม่ผูกพันกับสิ่งใด
อตัมมยตา แปลว่า ไม่สำเร็จในสิ่งนั้น เป็นธรรมะข้อสุดท้ายของท่านพุทธทาส คือ การที่จะทำตนให้หลุดออกจากโลกิยะ
หลุดออกจากการปรุงแต่งของสังขารไม่ยอมให้สิ่งใดมาหลอกให้รัก โกรธ เกลียด กลัว ตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัย อาวรณ์ อิจฉาริษยา
หวงหึง หลงอยู่ในความเป็นคู่ เช่น บุญ บาป ดี ชั่ว เป็นต้น
อตัมมยตา ทำให้พระพุทธศาสนาขึ้นถึงยอดสุดแห่งศาสนาทั้งปวง และทำให้เกิดสันติภาพขึ้นในโลกได้

ก่อนที่ท่านพุทธทาส จะมรณภาพหลายปี ท่านได้เขียนกลอนฝากไว้ เป็นเสมือนหนึ่งพินัยกรรม แก่พุทธศาสนิกชน ดังนี้

พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตาย
แม้ร่างกายจะดับไปไม่ฟังเสียง
ร่างกายเป็นร่างกายไปไม่ลำเอียง
นั่นเป็นเพียงสิ่งเปลี่ยนไปในเวลา
พุทธทาส คงอยู่ไปไม่มีตาย
ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
สมกับมอบกายใจรับใช้มา
ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย
พุทธทาส ยังอยู่ไปไม่มีตาย
อยู่รับใช้เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ที่วางไว้อย่างเคย
โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตาย
แม้ฉันตายกายลับไปหมดแล้ว
แต่เสียงสั่งยังแว่วหูสหาย
ว่าเคยพลอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย
ก็เหมือนฉันยังไม่จายกายธรรมยัง
ทำกับฉันอย่างกะฉันนั้นไม่ตาย
ยังอยู่กับท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
มีอะไรมาเขี่ยไค้ให้กันฟัง
เหมือนฉันนั่งร่วมด้วยช่วยชี้แจง
ทำกะฉันอย่างกับฉันไม่ตายเถิด
ย่อมจะเกิดผลสนองหลายแขนง
ทุกวันนัดสนทนาอย่าเลิกแล้ง
ทำให้แจ้งที่สุดได้เลิกตายกัน.

###############





Create Date : 01 กรกฎาคม 2553
Last Update : 1 กรกฎาคม 2553 9:09:25 น.




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2553    
Last Update : 24 ธันวาคม 2553 5:45:13 น.
Counter : 486 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.