Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๓ ชายกลายเป็นหญิง

ทหารกล้าแผ่นดินฮั่น

ตอนที่ ๓ ชายกลายเป็นหญิง

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ขณะเมื่อลิวซูกำลังตกใจกลัวว่า ตนจะพ้นจากความตายหรือไม่นั้น เอียบสิหยงก็บอกว่า

“………รูปร่างท่านงดงามสีหน้าและลักษณะเหมือนสตรี ท่านจงเอาเสื้อกางเกงแต่งตัวปลอมเป็นผู้หญิง ให้เราพาไปขายไว้กับชาวบ้านสักสี่ห้าวัน แล้วตามแต่ปัญญาของท่านเถิด แต่เมื่อขณะว่าราคากันนั้น ท่านอย่าได้พูดประการใด ตามแต่เราจะว่ากล่าว ถ้าทำได้ดังนี้แล้วจึงจะพ้นโทษ……”

ลิวซูได้ฟังจึงนึกว่าถ้าตนไม่ยอมก็คงตายเป็นแน่ จึงพูดว่าจะให้ทำอย่างไร ตนก็จะปฏิบัติตามใจทุกอย่าง เอียบสิหยงจึงเอาเสื้อกางเกงและรองเท้าสำหรับสตรี มาสวมใส่ให้ลิวซู แล้วชมว่า แต่งตัวแล้วงามเหมือนหญิงเพิ่งรุ่นสาว น่าเสน่หารักใคร่ แล้วให้ชื่อว่า นางกุ้ยหวย และให้เรียกตนเองว่าลุง ครั้นจัดแจงสั่งเสียเสร็จแล้ว พอเวลารุ่งสว่างหาข้าวปลาอาหารกินกันแล้ว เอียบสิหยงก็พานางกุ้ยหวยหญิงปลอม ออกจากบ้านไปถึงริมคลอง เห็นเรือเท้งจอดอยู่ ก็แวะลงไปดู

เจ้าของเรือเป็นหญิงนักเลง ชื่อนางอาจับเจ๋ ชอบคบชู้สู่ชายหาผลประโยชน์เลี้ยงชีวิต ด้วยการอัปมงคล พอเห็นเอียบสิหยงพาหญิงสาวมาด้วยคนหนึ่ง ก็มีความยินดีเชิญนั่งในที่สมควร แล้วให้คนใช้ยกน้ำชามาเลี้ยง และถามว่าวันนี้มีธุระสิ่งใด จึงได้พากันมาที่นี่

เอียบสิหยงก็ทำเป็นเศร้าโศกบอกว่า

“……..พี่เขยพี่สาวข้าพเจ้าตายเมื่อเวลาวานนี้ทั้งสองคน ไม่มีเงินทองจะทำบุญในการฝังศพ นางกุ้ยหวยหลานข้าพเจ้าคนนี้มีกตัญญู คิดจะสนองคุณบิดามารดา ยอมให้ข้าพเจ้าพามาขายสักสองร้อยตำลึง แต่ไม่ทราบว่าท่านจะชอบใจหรือไม่…….”

นางอาจับเจ๋พิเคราะห์ดูนางกุ้ยหวย เห็นรูปร่างลักษณะดี กิริยาก็เรียบร้อย ผิวพรรณผ่องใส จึงเรียกหญิงนักเลงที่อยู่ในเรือออกมาเก้าคน หญิงพวกนั้นเห็นนางกุ้ยหวยพากันชมว่า หญิงนี้งดงามนักพวกเราไม่มีใครสู้ได้ นางอาจับเจ๋จึงถามว่าอายุได้เท่าไร จะขอให้สักร้อยห้าสิบตำลึง จะยอมหรือไม่ เอียบสิหยงก็ว่า

“……..อายุได้สิบหกปี ยังไม่รู้จักขนบธรรมเนียมสิ่งใด เมื่อท่านจะให้ร้อยห้าสิบตำลึง ข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับด้วยเป็นคราวขัดสน แต่ขอท่านได้เมตตาช่วยสั่งสอนด้วย……”

นางอาจับเจ๋ก็รับรองว่า

“……..ข้อนั้นท่านอย่าวิตก ถ้าอยู่ด้วยกันแล้ว ข้าพเจ้าก็รักเหมือนบุตร……”

พูดแล้วก็หยิบเอาเงินมาให้เอียบสิหยงร้อยห้าสิบตำลึง เอียบสิหยงก็เขียนหนังสือขายมอบตัวนางกุ้ยหวยให้นางอาจับเจ๋ แล้วก็รับเงินคำนับลากลับไป นางอาจับเจ๋จึงให้นางกุ้ยหวยไปอยู่ในท้ายเรือ

บรรดาหญิงขายตัวที่ลิวซูหรือนางกุ้ยหวยได้เห็นหน้านั้น มีอยู่คนหนึ่งที่จำได้ว่าเคยได้รู้จักพูดจากันมาก่อน แต่นึกชื่อไม่ออกและไม่กล้าถามเพราะมีคนอยู่มาก พอเวลาค่ำหญิงทั้งปวงต่างก็รับผู้ชายเข้าไปอยู่ในห้องของตัวหมดแล้ว เวลาดึกประมาณยามเศษนางผู้นั้นก็เข้ามาในห้องของนางกุ้ยหวย และพูดว่า

“……..ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูท่านเหมือนผู้ชาย แต่เดิมอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยงไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาค้าขายตัวอยู่ดังนี้เล่า…….”

ลิวซูถอนใจใหญ่แล้วก็เล่าความ ตามที่ตนถูกพวกกังฉินคิดร้าย จนต้องหนีมาและถูกเอียบสิหยงบังคับให้ปลอมเป็นหญิง และเอามาขายให้นางอาจับเจ๋ แล้วก็ถามว่าตัวท่านเราก็จำหน้าได้แต่ลืมชื่อไป นางก็บอกว่าชื่อกิมเหนียว เป็นญาติห่าง ๆ กับลิวซู ถูกหญิงผู้หนึ่งล่อลวงมาเมื่อเดือนห้าขึ้นสิบสามค่ำ ขณะที่ตนไปเที่ยวดูงานลอยกระทงตามคลอง แล้วก็นำมาขายไว้กับนาง อาจับเจ๋ จึงถูกเคี่ยวเข็ญเฆี่ยนตีให้คบชู้สู่ชายเหมือนหญิงทั้งปวง แต่อยู่มามีชายผู้หนึ่งชื่อเตียวอ๋วน มาขอผูกขาดไปเดือนหนึ่ง โดยให้เงินนางอาจับเจ๋สิบตำลึง ตนจึงยอมรับแต่เตียวอ๋วนผู้เดียว และแนะนำว่าลิวซูจะต้องอดทนอยู่สักสี่ห้าวันก่อน อย่าเพิ่งให้ผู้ใดรู้ว่าเป็นชาย ตนจะช่วยหาเงินให้ซื้อเสบียงกินตามทางบ้างเล็กน้อยจึงค่อยหนีไป ลิวซูก็ดีใจบอกว่าถ้าตนได้ไปถึงเมืองหลวง คงจะคิดอ่านกลับมาสนองคุณนางกิมเหนียวให้จงได้ นางนั้นก็กลับไปห้องของตน

อยู่มาไม่นานก็มีชายคนหนึ่งชื่อบู๊ไต้หยง ทำมาหากินอยู่ในเมืองเซียงเอี๋ยง มีภรรยาชื่อนางพัวสี แต่ป่วยมานาน บู๊ไต้หยงไม่มีความสบายใจ จึงจ้างเรือไปเที่ยวดูผู้หญิงเล่นตามคลองหลายแห่งก็ไม่ชอบ พอมาถึงเรือเท้งของนางอาจับเจ๋ นางเชื้อเชิญให้ค้างในเรือ บู๊ไต้หยงก็ว่าถ้ามีหญิงรูปงามชอบใจก็อยู่ ถ้าไม่มีก็จะเลยไปที่อื่น นางอาจับเจ๋ก็ว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเพิ่งมาได้สามวัน ยังไม่เคยคบผู้ชาย จะเรียกมาให้ดูตัว

แล้วนางอาจับเจ๋ก็เดินมาที่ท้ายเรือบอกกับนางกุ้ยหวยว่า

“……..ค่ำวันนี้เห็นจะขายของดีมีกำไรมาก ด้วยบู๊ไต้หยงเขาเป็นคนมั่งมีรูปร่างก็ยังหนุ่มงดงามพอสมกับเจ้า จงออกไปให้เขาเห็นตัวสักหน่อย…….”

นางกุ้ยหวยก็ว่าตนเป็นหญิงสาว ไม่ควรจะคบค้าสมาคมกับชายชั่วเช่นนี้ นางอาจับเจ๋ก็โกรธพูดว่า เมื่อมาขายตัวแล้วต้องเชื่อฟังถ้อยคำตน ซึ่งจะขัดขวางดังนี้ไม่ได้ พูดแล้วก็ทุบตีเอาเป็นอันมาก บู๊ไต้หยงได้ยินเสียงก็วิ่งเข้ามาห้ามปรามแล้วว่า

“……..เขาเป็นคนยาก ถ้าเคี่ยวเข็ญดังนี้ เขามีความขัดแค้นมากขึ้นฆ่าตัวให้ตาย หรือหลบหนีไปเสียแล้ว เงินของท่านจะไม่สูญเปล่าหรือ ท่านจงเอาแต่เงินเดิมคืนเถิด ข้าพเจ้าจะช่วยไถ่เอาไปไว้ใช้ที่บ้าน พอได้เป็นเพื่อนกับภรรยาข้าพเจ้า……..”

นางอาจับเจ๋ก็ว่าช่วยไว้เป็นเงินสองร้อยตำลึง เมื่อท่านต้องการก็ตามใจ บู๊ไต้หยงว่าวันนี้มีเงินมาเพียงสามสิบตำลึง จึงวางมัดจำไว้ก่อน รุ่งขึ้นก็เอามาให้นางอาจับเจ๋อีกร้อยเจ็ดสิบตำลึง ครบจำนวนแล้ว ก็พานางกุ้ยหวยกลับมาบ้าน บอกกับภรรยาว่า เราเห็นเจ้าไม่สบายก็ไปช่วยสาวใช้มาให้ปฏิบัติคนหนึ่ง

นางพัวสีเดินออกมาดู เห็นนางกุ้ยหวยมีรูปร่างจริตกิริยางดงาม ก็คิดว่าบู๊ไต้หยงเห็นว่าตนมีอายุมากปรารถนาจะทอดทิ้งเสีย จึงได้ไปช่วยเอานางกุ้ยหวยมาเป็นภรรยาน้อย จึงบอกกับสามีว่า

“……..ข้าพเจ้าไปหาซินแสหมอดูเขาทายว่า ตัวท่านในปีนี้เคราะห์ร้ายนัก จะมีศัตรูมากระทำย่ำยีญาติพี่น้องซึ่งอยู่ในบ้าน ข้าพเจ้าเห็นว่านางกุ้ยหวยนี้มีอัชฌาสัยเรียบร้อย ควรจะให้ไปอยู่กับนางลิวเอ๋งน้องสาวท่าน พอได้เป็นเพื่อนพูดจาปรึกษาหารือกันจึงจะชอบ ด้วยนางลิวเอ๋งเป็นสาวอยู่เรือนห่างกันกับเรา………”

บู๊ไต้หยงจึงต้องจำยอมตามใจภรรยาไม่กล้าขัดขวาง นางพัวสีจึงไปบอกให้นาง ลิวเอ๋งมารับเอาตัวนางกุ้ยหวยไปอยู่ด้วย บู๊ไต้หยงก็สั่งว่า

“……เขาพึ่งมาใหม่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม จะผิดสิ่งใดค่อยพูดจาสั่งสอนกันแต่โดยดี อย่าเฆี่ยนตีเขาให้ได้ความเจ็บอาย………”

นางลิวเอ๋งก็รับคำแล้วพานางกุ้ยหวยไปถึงเรือน จูงมือขึ้นไปบนเหลาสูงอันเป็นที่อยู่ และถามชื่อแซ่ นางกุ้ยหวยก็แกล้งทำเสียงเหมือนผู้หญิงบอกชื่อแซ่แล้วว่า

“……..ข้าพเจ้ามาถึงบ้านท่าน ค่อยมีความสุขสบายมาก ข้าพเจ้าขอฝากตัวเป็นบ่าวท่าน สุดแต่ท่านจะเมตตาใช้สอยเถิด อย่าได้มีความรังเกียจเลย…….”

นางลิวเอ๋งก็สั่งให้คนใช้ยกโต๊ะอาหารและสุรามาเลี้ยงบนเหลา แล้วก็ปิดประตูนั่งกินอยู่กับนางกุ้นหวยสองคน นางกุ้ยหวยอดอยากมาหลายวัน จึงกินสุราเพลินไปจนเมาเหลือกำลัง ลงนอนหลับอยู่กับโต๊ะ นางลิวเอ๋งให้คนใช้มายกโต๊ะ และช่วยกันพยุงยกนางกุ้ยหวยขึ้นไปนอนบนเตียง

ขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ นางลิวเอ๋งเห็นเสื้อชั้นในเป็นของผู้ชาย แต่ดูไม่ถนัดจึงจุดไฟมาส่อง พิเคราะห์ดูรูปร่างลักษณะผิวพรรณ ก็เป็นคนมีตระกูลมิใช่ไพร่ เอามือคลำดูที่อกไม่เห็นมีนมก็ตกใจ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า

“………ผู้ชายแกล้งแต่งตัวปลอมเป็นผู้หญิงมาลวงขายอยู่กับเรา จะบอกแก่บู๊ไต้หยงพี่เรา ให้เอาตัวไปทำโทษ เฆี่ยนตีเสียให้แทบตาย…….”

นางกุ้ยหวยตกใจตื่น รีบลงจากเตียงคุกเข่าคำนับแล้วว่า ขอจงได้เมตตาช่วยตนด้วย ตนชื่อลิวซูเป็นฮู่ม้า พวกขุนนางกังฉินคิดจะฆ่า จึงต้องหนีภัยพเนจรมาถึงนี่ แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งปวงให้นางลิวเอ๋งฟังทุกประการ นางลิวเอ๋งก็ทดลองให้ต่อคำโคลงบทหนึ่ง ลิวซูก็ต่อได้ดี นาง ลิวเอ๋งจึงยอมเชื่อว่าเป็นฮู่ม้าจริง แต่ต้องระวังตัวให้ดีอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ ตนจะช่วยคิดอ่านแก้ไขเอง ลิวซูก็มีความยินดีจัดแจงจุดโคมไฟให้สว่างแล้วก็เข้านอน นางลิวเอ๋งก็เอาผ้ารัดเอวไว้ให้มั่นคง แต่ก็นอนไม่ใคร่หลับ ด้วยระวังตัวกลัวลิวซูจะมาพูดจาเย้ายวนกวนใจ

ครั้นเวลารุ่งเช้า นางลิวเอ๋งก็เรียกบู๊อั้นคนใช้ของบู๊ไต้หยง ออกไปที่สวนดอกไม้แล้วสั่งว่า

“…ท่านได้เมตตาสงเคราะห์เรา เข้าไปในเมืองเซียงอาน สืบดูให้รู้แน่ว่าลิวซูที่เป็นฮู่ม้า พวกขุนนางกังฉินคิดทำอันตราย แล้วหนีไปนั้นจะจริงเหมือนคำเล่าลือหรือไม่ แต่ความเรื่องนี้ถ้ากลับมาถึงแล้ว ท่านอย่าได้พูดจาให้ผู้ใดรู้ ถ้าบู๊ไต้หยงถามก็จงบอกว่าเราใช้ให้ไปบ้านลุง……”

แล้วนางก็ให้เงินไปซื้อเสบียงกินตามทางห้าสิบตำลึง บู๊อั้นก็คำนับลาไป ส่วนนางลิวเอ๋ง ก็กลับเข้าบ้าน ให้คนใช้ตักน้ำมาให้นางกุ้ยหวยล้างหน้าแล้วบอกว่า

“……นางกุ้ยหวยที่มาอยู่ใหม่นั้น เขาเป็นบุตรขุนนางตงฉิน เพิ่งมาตกยากอยู่กับเรา ซึ่งจะหมิ่นประมาทเขานั้นมิได้ ต่อไปภายหน้าเผื่อมีบุญวาสนาขึ้น เราจะได้พึ่งเขาบ้าง ตั้งแต่วันนี้เจ้าจงจัดหาข้าวปลาอาหารและน้ำชา ส่งขึ้นมาบนเหลาจงทุกเวลา อย่าให้ขาดได้…….”

สาวใช้ก็คำนับรับคำ แล้วลงจากเหลาไปจัดการตามคำสั่ง พอลิวซูล้างหน้าแล้ว นางลิวเอ๋งจึงบอกว่า เราอยู่กินด้วยกันบนเหลานี้ แต่อย่ามานอนร่วมเตียงกับตน ถ้าบู๊ไต้หยงและนางพัวสีขึ้นมาแล้ว จงทำกิริยาพูดจาให้เหมือนผู้หญิงไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้ผู้ใดรู้ ลิวซูก็รับว่าจะปฏิบัติตามที่สั่งทุกประการ อย่ามีความวิตกเลย.

###########

ฟ้าหม่น วารสารของทหารม้า
มกราคม ๒๕๕๐












 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2551 8:57:46 น.
Counter : 1359 Pageviews.  

ตอนที่ ๒โชคดีแล้วกลับร้าย

ทหารกล้าแผ่นดินฮั่น

ตอนที่ ๒ โชคดีแล้วกลับร้าย

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่ายลิวซูบุตรของลิวบ๋าย อยู่กับมารดาที่บ้านเดิม วันหนึ่งเมื่อคักหลินเพื่อนร่วมสาบานเดินทางไปเยี่ยมบิดาที่เมืองหลวงได้ไม่นานนัก ลิวซูก็คิดถึงบิดาอยากจะไปเยี่ยมเยียนบ้าง จึงจัดสิ่งของพอสมควร แล้วลามารดาไปกับคนใช้คนหนึ่ง แต่เมื่อไปถึงเมืองเซียงอาน และแวะไปถึงบ้านบิดาแล้วก็ตกใจ เพราะบ้านนั้นเงียบสงัดไม่มีผู้ใดอยู่ ให้คนใช้ไปถามคนเฝ้าประตู ก็ได้ความว่า ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ลิวบ๋ายเป็นแม่ทัพ คุมทหารยกไปปราบโจรที่เขาตังหงซัว เมื่อหลายวันมาแล้ว ลิวซูจึงเลยไปหาคักฮุนเหลงบิดาของคักหลินที่บ้าน

เมื่อไปถึงก็พบกับคักหลินซึ่งพักอยู่ด้วย จึงพาลิวซูเข้าไปคำนับบิดา คักฮุนเหลงก็บอกว่า

“……..บิดาท่านเป็นแม่ทัพคุมทหารไปปราบโจรที่เขาตังหงซัว กลัวท่านจะเข้ามาเมืองหลวง เกลือกจะมีภัยอันตรายขึ้น……”

ลิวซูถามว่าขุนนางฝ่ายทหารในเมืองหลวงก็มีมาก เหตุใดจึงใช้ให้ขุนนางฝ่ายพลเรือนเป็นแม่ทัพไป คักฮุนเหลงก็เล่าว่า

“…….คุดตงเสงเขาคิดอาฆาตบิดาท่าน จึงกราบทูลยุยงว่าบิดาท่านมีสติปัญญา ชำนาญในการทหารควรเป็นแม่ทัพนายกองได้ พระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นด้วย จึงรับสั่งให้บิดาท่านเป็นแม่ทัพไปได้หลายวันแล้ว……….”

ลิวซูก็ว่า

“………บิดาไปราชการทัพครั้งนี้ ไม่ทราบว่าจะเป็นประการใด ครั้นจะกลับไปบ้านเมืองเสีย ก็เปรียบเหมือนคนปราศจากกตัญญู ข้าพเจ้าจะขออยู่ที่เมืองหลวงฟังข่าวคราวบิดาก่อน……..”

คักฮุนเหลงก็ตักเตือนว่า.ถ้าจะอยู่จงระมัดระวังตัว อย่าไปเที่ยวนอกบ้านให้พวกขุนนางกังฉินเห็น ลิวซูก็รับคำ แล้วก็พักอาศัยอยู่กับคักหลิน

ฝ่ายพระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ ทรงดำริว่าพระองค์ก็แก่ชราลงทุกวัน ตกเอี๋ยงกงจู๊บุตรหญิงก็เจริญวัยขึ้น ควรจะปลูกฝังเสียให้สิ้นกังวล จึงปรึกษากับฮองเฮาว่า

“………บุตรหญิงของเราก็เติบใหญ่ควรจะหาสามีให้ แต่เราไม่เห็นผู้ใดที่จะมีสติปัญญาสมควรเป็นสามีภรรยากันได้ เราคิดจะปลูกไฉเหลาเป็นร้านสูง ตกแต่งเครื่องประดับให้งดงาม แล้วประกาศป่าวร้องแต่บรรดาบุตรเจ้านายและขุนนาง ให้มาพร้อมกันที่ไฉเหลา ให้นางตก เอี๋ยงกงจู๊ขึ้นอยู่บนร้านสูง ทิ้งสิวกิ๋วเสี่ยงทายเลือกคู่ ตามแต่จะเป็นบุญของผู้ใด…….”

ฮองเฮาได้ฟังก็เห็นด้วย ฮ่องเต้ก็นำความไปปรึกษาขุนนางทั้งปวง ขุนนางที่ปรึกษาก็ว่าที่ทรงดำรินี้ชอบแล้ว ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดการปลูกเหลาสูง ให้ทันกำหนดวันขึ้นเก้าค่ำเวลาเที่ยง แล้วให้พนักงานฝ่ายอาลักษณ์ทำหมายประกาศ แจกไปให้รู้ทั่วกัน

คักหลินได้รู้ความในหมายประกาศแล้วก็มีความยินดี ครั้นถึงวันกำหนดก็ชวน ลิวซูไปด้วย ลิวซูก็ว่ามีความขัดข้องด้วยบิดาสั่งไว้ให้กลับไปบ้าน อย่าออกเที่ยวให้พวกขุนนางกังฉินเห็น ประการหนึ่งตนมีความวิตกด้วยบิดาไปทัพครั้งนี้ จะแพ้หรือชนะก็ยังมิทราบ คงจะไปด้วยไม่ได้

คักหลินก็ว่า

“……….เราช่วยกันระวังตัวให้มาก อย่ามีความประมาท ถึงพวกขุนนางกังฉินเห็นก็จะทำอะไรได้ ด้วยเวลานั้นเป็นวันเอิกเกริกผู้คนสับสนมาก พอจะหลบหลีกได้……”

ลิวซูก็เห็นด้วย ทั้งสองคนจึงแต่งตัวให้สุภาพเรียบร้อย พากันไปที่เหลาเห็นมีผู้คนมากมาย ลิวซูก็เตือนคักหลินให้อยู่แต่ไกล อย่าเข้าไปใกล้เลย คักหลินก็ไม่ฟัง เดินนำหน้าลิวซูเข้าไปจนใกล้เหลาสูง เมื่อตกเอี๋ยงกงจู๊มาถึงที่ประชุม นางก็ลงจากรถขึ้นไปบนเหลา จุดธูปเทียนคำนับเทพยดาฟ้าดินและอธิษฐานว่า

“……..ข้าพเจ้าแซ่เหลา ชื่อตกเอี๋ยงกงจู๊ ถือรับสั่งพระราชบิดามาที่ไฉเหลานี้ ปรารถนาจะทิ้งสิวกิ๋วเสี่ยงทายหาฮู่ม้า ข้าพเจ้ามิได้ตรงใจให้แก่ใคร สุดแล้วแต่ท่านผู้ใดเคยอุปถัมภ์บำรุงกันมาแต่ชาติปางก่อน ก็ขอให้เทพยดาฟ้าดินชักนำสิวกิ๋วไปให้แก่ผู้นั้น………”

ครั้นเสี่ยงสัตย์อธิษฐานแล้ว นางตกเอี๋ยงกงจู๊ก็โยนสิวกิ๋วไปตกในมือลิวซู ผู้คนทั้งหลายเห็นดังนั้นก็พากันกลับไปสิ้น ทหารก็พาลิวซูไปเฝ้าฮ่องเต้ ลิวซูกราบถวายบังคมแล้ว ฮ่องเต้จึงตรัสถามชื่อแซ่และกำเนิด ลิวซูก็ทูลความเดิมของตนจนถึงบัดนี้ ฮ่องเต้ก็ทรงยินดีตรัสว่า

“……..บิดาเจ้าเป็นแม่ทัพไปปราบโจรที่เขาตังหงซัวยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าจะเป็นประการใด เจ้าจงไปพักอยู่ที่บ้านก่อน ถ้าเราทำวังสำหรับฮู่ม้าแล้วเมื่อใด จึงจะรับมาแต่งงานให้อยู่กินด้วยกัน……….”

ลิวซูก็ถวายบังคมลากลับมาบ้าน คักฮุนเหล็งกับคักหลินก็มีความยินดี พูดจาไต่ถามกันตามธรรมเนียม แล้วลิวซูก็เขียนหนังสือมอบให้คนใช้ ไปแจ้งความแก่มารดาที่บ้านเดิม

ฝ่ายคุดตงเสงขุนนางกังฉิน แจ้งว่าลิวซูจะได้เป็นบุตรเขยของฮ่องเต้ ก็คิดอิจฉาจึงปรึกษากับเพื่อนขุนนางกังฉินว่า นางตกเอี๋ยงกงจู๊รู้อยู่ว่าพวกตนมีความบาดหมางกับลิวบ๋าย มาบัดนี้ลิวซูผู้บุตรจะได้เป็นเขยของฮ่องเต้ นานไปพวกตนก็จะไม่มีความสุข จึงต้องหาทางกำจัดเสีย ฮั่น
ทงก็บอกอุบายให้คุดตงเสงก็เห็นชอบด้วย

ครั้นถึงเดือนสิบขึ้นหนึ่งค่ำ ฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ เจ้าพนักงานก็ทูลว่าวังที่โปรดให้สร้างขึ้น สำหรับนางตกเอี๋ยงกงจู๊นั้น เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็ให้ฝ่ายโหรหาฤกษ์จะแต่งให้ฮู่ม้ากับนางตกเอี๋ยงกงจู๊ อยู่กินเป็นสามีภรรยากัน โหรก็ทูลว่าวันนี้ฤกษ์ดีให้ลิวซูฮู่ม้าไปอยู่วังใหม่ก่อน ถึงวันขึ้นสิบค่ำจึงค่อยส่งตัวนางตกเอี๋ยงกงจู๊ ให้ไปอยู่ด้วยกัน

คุดตงเสงจึงทูลขึ้นว่า ลิวซูมาอยู่แต่ผู้เดียวไม่มีใครช่วยระวังรักษา ตนจะให้คนใช้ไปอยู่ด้วยสักสี่สิบคน สำหรับใช้สอย ฮ่องเต้ก็ทรงขอบใจ และตั้งให้ลิวซูเป็นที่ตังเพงเฮา แล้วให้คำนับคุดตงเสงรับคนใช้ไปอยู่วังใหม่ในวันนั้น ลิวซูคำนับลามาที่อยู่แล้วก็คิดว่า ธรรมดาฮู่ม้าถ้าได้มาอยู่บ้านใหม่แล้ว ขุนนางและราษฎรก็จะเอาข้าวของมาให้มาก จึงทำกระดานป้ายเขียนหนังสือห้ามมิให้เอาข้าวของมาให้ แขวนไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยและราษฎรเห็นดังนั้น ก็ไม่มีใครอาจเอาสิ่งของมาให้ แต่คักฮุนเหลงกับคักหลินได้จัดสิ่งของพอสมควร เอามาให้ลิวซูโดยนับถือเป็นพี่น้อง ลิวซูขัดไม่ได้ก็จำต้องรับไว้ และคักหลินก็อยู่เป็นเพื่อนลิวซูที่วังใหม่นี้

แต่อยู่ได้สี่ห้าวันคักฮุนเหลงก็ป่วยลง คักหลินจึงต้องกลับไปหาหมอมารักษาพยาบาลบิดาที่บ้าน ฮั่นทงรู้ความแล้วก็ปลอมหนังสือรับสั่ง ถือไปให้ลิวซูที่วังใหม่ พร้อมกับ เตียวเตียน และลีหง ลิวซูก็ตั้งเครื่องบูชาไว้คำนับรับหนังสือรับสั่ง ฮั่นทงก็อ่านหนังสือรับสั่งให้ฟัง มีความว่า

เราครองแผ่นดินฮั่นมาได้ห้าปี ที่เขาตังหงซัวเกิดโจรผู้ร้ายขึ้น จึงได้ให้ลิวบ๋ายบิดาเจ้าไปปราบปราม บัดนี้ลิวบ๋ายคบคิดกับพวกโจรเขาตังหงซัว จะเป็นขบถขึ้นมีความผิด โทษถึงตายสิ้นทั้งโคตร แต่ลิวซูอยู่ในเมืองหลวง ให้เอาตัวไปฆ่าเสียก่อน

อ่านสิ้นข้อความแล้วฮั่นทงจึงให้เตียวเตียนกับลีหง เปลื้องเสื้อหมวกเครื่องยศสำหรับที่ฮู่ม้าออก แล้วให้เอาตัวไปประหารเสีย เตียวเตียนกับลีหงพาตัวลิวซูไปถึงลานประหารแล้วก็ปรึกษากันว่า พวกกังฉินคิดทำร้ายฮู่ม้าซึ่งไม่มีความผิด เราจะฆ่าเสียตามเขาใช้นั้น บาปกรรมมากนัก ลีหงก็เห็นว่าควรจะปล่อยตัวไปเสีย จึงบอกกับลิวซูว่า

“…….การทั้งนี้เพราะคุดตงเสงเป็นขุนนางกังฉิน มีความอิจฉาคิดอุบายจะฆ่าท่านเสียเอง พระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ไม่ทรงทราบ ข้าพเจ้าทั้งสองมีความสงสารท่านว่าเป็นคนซื่อตรง ไม่ควรจะมาตายเสียด้วยพวกกังฉิน คิดจะปล่อยให้หนีไปเสียให้พ้นอันตราย…….”

ลิวซูก็บอกตามซื่อว่า

“…………บิดาเป็นขบถต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าผู้บุตรต้องตายไปตามโทษ ซึ่งจะปล่อยให้ข้าพเจ้าหนีไปเสียนั้น ท่านทั้งสองจะมิมีโทษมากหรือ……”

ทั้งสองก็ว่า

“………..ถึงข้าพเจ้าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่ขอให้ท่านรีบหนีไปเสียโดยเร็วเถิด คุดตงเสงให้เงินข้าพเจ้ามาสามร้อยตำลึง ข้าพเจ้าจะให้ท่านไปซื้อกินตามทางห้าสิบตำลึง….”

ลิวซูก็ถามชื่อแซ่และที่อยู่ของเตียวเตียนกับลีหง แล้วก็คำนับรับเงินและรีบหนีไปจากเมืองหลวง ทั้งสองคนเห็นลิวซูหนีไปไกลแล้ว ก็กลับมาแจ้งแก่คุดตงเสงว่า พวกตนได้ฆ่า ลิวซูฮู่ม้าตาย เอาศพฝังเรียบร้อยแล้ว คุดตงเสงก็ดีใจปูนบำเหน็จให้อีกเป็นอันมาก แล้วฮั่นทงก็เอาเสื้อหมวกสำหรับที่ฮู่ม้า ซึ่งเปลื้องออกจากลิวซูนั้น สวมใส่ให้ คุดหอง ผู้บุตรของคุดตงเสง ปลอมเป็นฮู่ม้าอยู่ในบ้านแทน แล้วเขียนหนังสือปิดไว้ที่ประตู ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปในบ้าน ด้วยฮู่ม้าป่วยรักษาตัวอยู่ และฮั่นทงก็ระวังรักษาฮู่ม้าปลอมนั้นไว้ มิให้ผู้ใดล่วงรู้

ส่วนลิวซูรีบหนีไปถึงเขาบันฮงซัว แขวงเมืองฮูก๊วง พบชายผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง ชายผู้นั้นถามลิวซูว่าชื่อแซ่ใด เป็นชาวเมืองไหน มีธุระสิ่งใดจึงได้มาทางนี้ ลิวซูแกล้งบอกชื่อปลอมว่าแซ่อึงชื่อกุ้ย จะไปเยี่ยมพี่น้องที่เมืองเซียงเอียงฮู และย้อนถามว่าชายผู้นั้นชื่อแซ่ใด ชายผู้นั้นบอกว่าแซ่เอียบชื่อสิหยง ตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลนี้ และว่า

“……….ซึ่งท่านจะไปเมืองเซียงเอียงฮูนั้น ทางยังไกลนักโรงเตี๊ยมตามระยะทางก็ไม่มีที่อาศัย เชิญท่านไปพักอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าก่อน ด้วยเวลาจวนค่ำแล้ว ทางซึ่งจะไปนั้นสัตว์ป่า ดุร้ายนัก……..”

ลิวซูหรืออึงกุ้ยได้ฟังก็มีความยินดี ด้วยตัวคนเดียวเปลี่ยวใจ และเหน็ดเหนื่อย โหยหิวเป็นอันมาก จึงว่าท่านเมตตาจะให้พักอาศัยอยู่นั้นบุญคุณหนักหนา ต่อไปภายหน้าถ้ายังมีชีวิตอยู่ คงจะทดแทนสนองคุณให้เต็มกำลัง

เอียบสิหยงพาอึงกุ้ยหรือลิวซูไปถึงบ้าน จัดที่ให้นั่งตามสมควร แต่ลิวซูเห็นบ้านนั้นตั้งอยู่เรือนเดียว และบุตรภรรยาเอียบสิหยงก็ไม่มี นึกกลัวจึงจะลาไปอยู่ที่อื่น แต่เอียบสิหยงก็ห้ามไว้และว่า จงอยู่ให้สบายเถิด ซึ่งตนมาตั้งบ้านอยู่ที่นี่ เพราะเจ้าเมืองฮูก๊วงให้มาตรวจตราระวังรักษาเส้นทาง ลิวซูก็สิ้นความวิตก เอียบสิหยงจึงหาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงกัน แล้วพอถึงเวลาค่ำก็ให้ลิวซูนอนในห้องของตน ส่วนตนเองจะออกไปเที่ยวตรวจตราดูแลตามทางแถวนี้ แล้วก็แต่งตัวลงจากเรือนไป บอกว่าสักครู่หนึ่งจะกลับมา

ครั้นเวลาดึกประมาณสามยาม ขณะที่ลิวซูนอนอยู่ในห้อง เอียบสิหยงก็เข้ามาปลุกให้ตื่นขึ้น แล้วก็พูดข่มขู่ไม่ให้ไปเมืองเซียงเอียงฮู ลิวซูก็ตกใจคิดว่าเอียบสิหยงคงจะเป็นผู้ร้ายแน่ จึงพูดว่า

“……..บิดามารดาข้าพเจ้าแก่ชราแล้ว หาผู้ใดปฏิบัติรักษาไม่ พี่น้องก็ไม่มี ขอท่านจงเมตตาอย่าได้ทำอันตรายข้าพเจ้าให้ถึงแก่ชีวิตเลย ปล่อยให้ข้าพเจ้ากลับไปปฏิบัติบิดามารดาเถิด เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามีเงินมาสามสิบตำลึง ท่านจงเอาไว้ใช้สอยก่อน……..”

เอียบสิหยงก็ว่า

“…….ท่านมีกตัญญูต่อบิดามารดา เราก็ไม่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ท่านต้องทำตามคำเราสักอย่างหนึ่ง จะได้หรือไม่…….”

ลิวซูก็ไม่รู้ว่าเอียบสิหยงจะให้ตนทำอะไร และจะทำได้หรือไม่ คงจะต้องรอให้ถึงตอนหน้าเสียก่อน จึงจะทราบ.

###########

ฟ้าหม่น วารสารของทหารม้า
พฤศจิกายน ๒๕๔๙




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2551 5:35:09 น.
Counter : 376 Pageviews.  

ตอนที่ ๑ พี่น้องร่วมสาบาน

ทหารกล้าแผ่นดินฮั่น

“ เล่าเซี่ยงชุน “

นิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่องนี้ เรียบเรียงจากเรื่อง ไต้ฮั่น ซึ่งได้แปลเป็นภาษาไทยเมื่อ ประมาณ พ.ศ.๒๔๐๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ และพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ ในสมัย รัชกาลที่ ๕

เนื้อเรื่องอยู่ในยุคสมัยของราชวงศ์ฮั่นตอนต้น ซึ่งมี พระเจ้าฮั่นโกโจ เป็นปฐมกษัตริย์ เมื่อ พ.ศ.๓๓๗ และมีฮ่องเต้สืบราชสมบัติต่อมาอีกสามองค์ เป็นเวลาประมาณห้าสิบห้าปี จึงถึง พระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นหลานของพระเจ้าฮั่นโกโจ ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ.๓๙๒ เป็นเวลาก่อนที่จะถึงยุคสามก๊ก ซึ่งเป็นราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย ประมาณ สามร้อยปีเศษ

ตอนที่ ๑ พี่น้องร่วมสาบาน

ในสมัยนั้นยังมีชายหนุ่มสี่คน อยู่ที่เมืองลกเอียงกุ้ย ซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองฮ่อหนำ ต่างก็ถูกอัธยาสัยแก่กันและกัน จึงชวนสาบานเป็นพี่น้องตามลำดับ คนที่หนึ่งอายุสิบเก้าปี ชื่อ แบ๊จุ้น คนที่สองอายุสิบแปดปี ชื่อ ลิวซู คนที่สามชื่อ คักหลิน และคนที่สี่ชื่อ เปากัง บิดาของลิวซูชื่อ ลิวบ๋าย บิดาของคักหลินชื่อ คักฮุนเหลง ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน และเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกันทั้งคู่ ส่วนแบ๊จุ้นนั้นบิดามารดาได้ตายไปหลายปีแล้ว ยังมีแต่น้องสาวคนหนึ่ง ก็ยากจนอนาถาอาศัยอยู่กับญาติ เปากังเป็นบุตรชาวบ้านธรรมดา มีแต่มารดาซึ่งชราแล้วต้องดูแลรักษากันเพียงสองคน

อยู่มาไม่นานคักหลินคิดจะไปหาบิดาที่เมืองหลวง จึงลา นางเง่าสี มารดาแล้วไปคำนับลาเพื่อนทั้งสามคน เปากังก็หยิบเอาเงินส่งให้คักหลินสองร้อยตำลึง บอกว่าจงเอาไปซื้อเสบียงกินตามทาง คักหลินบอกว่าเงินของตนพอใช้สอยแล้ว จงเก็บเอาไว้ให้แบ๊จุ้นเถิด เพราะเป็นคนขัดสนมาก จะได้ซื้อหาอาหารเลี้ยงชีวิต เปากังก็ว่าเงินสองร้อยตำลึงนี้ ตนตั้งใจให้ถ้าไม่รับก็เหมือนตัดไมตรีกัน ถึงหากแบ๊จุ้นจะขัดสนประการใด ก็จะจัดแจงให้ต่อภายหลัง คักหลินจึงยอมรับเงินไว้ เปากังยังสั่งอีกว่า

“…….ถ้าท่านไปถึงเมืองเซียงอานซึ่งเป็นเมืองหลวงแล้ว จงอุตส่าห์ฝึกหัดเพลงอาวุธให้ชำนิชำนาญ จะได้ช่วยปราบปรามโจรผู้ร้ายในแผ่นดิน ให้มีความชอบชื่อเสียงจะได้ ปรากฎกับเขาบ้าง ข้าพเจ้าทั้งสามจะได้ยึดเอาท่านเป็นที่พึ่ง……..”

คักหลินก็รับคำแล้วคำนับลาเพื่อนทั้งสาม ออกเดินทางตรงไปเมืองเซียงอาน ส่วนแบ๊จุ้นก็ไปอาศัยอยู่ที่บ้านเปากัง

อยู่มาวันหนึ่งแบ๊จุ้นเดินไปเที่ยวถึงตำบลลกเอี๋ยง เห็นผู้หญิงแก่คนหนึ่งนั่งร้องไห้ร่ำไรอยู่ เมื่อเห็นแบ๊จุ้นก็ร้องเรียกให้ช่วย แบ๊จุ้นจึงเดินเข้าไปใกล้ถามว่าร้องไห้ด้วยเหตุใด นางก็บอกว่านางชื่อเฮงสี สามีของนางชื่อเปกเสงได้ถึงแก่กรรมเสียนานแล้ว วันนี้นางพาบุตรหญิงชื่อนางเองหงอ มาดูการเล่นอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน พอดี เตงกวางบุตรเตงป้ามากับเพื่อนประมาณสิบคน ได้ฉุดเอาบุตรสาวไป ด้วยแต่เดิมเคยให้เถ้าแก่มาว่ากล่าว ขอซื้อบุตรสาวไปเป็นภรรยาน้อยหลายครั้ง แต่ตนไม่ยอมให้จึงอาฆาตอยู่ และเตงกวางผู้นี้ถือว่ามีอำนาจมาก ผู้ใดจะไปฟ้องร้องว่ากล่าวที่ไหนก็ไม่ได้ ขอให้แบ๊จุ้นได้เมตตาช่วยทุกข์ให้ด้วย

แบ๊จุ้นก็รีบตามกลุ่มอันธพาลไปจนทัน และเรียกเตงกวางให้หยุดก่อน เตงกวางก็หันมาถามว่า ถือดีอย่างไรจึงมาเรียกตนให้หยุด แบ๊จุ้นก็ว่าบิดาของท่านและตัวท่านก็มีอำนาจวาสนามาก ชอบแต่จะช่วยอุปถัมภ์ทำนุบำรุงให้ไพร่บ้านพลเมืองมีความสุขจึงจะควร นี่กลับไปข่มเหงฉุดบุตรสาวของเขามาดังนี้ ผิดธรรมเนียมนัก ถ้าความทราบไปถึงขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง แล้วบิดาท่านมิพลอยผิดไปด้วยหรือ ท่านจงตรึกตรองดูให้มากก่อน

เตงกวางก็ชี้หน้าแบ๊จุ้นว่าเจ้าเป็นอะไร จึงบังอาจมาว่ากล่าวดังนี้ แบ๊จุ้นว่าไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกับนางเองหงอดอก แต่เห็นท่านเป็นบุตรขุนนางแล้วไม่เห็นแก่กฎหมาย ทำใจใหญ่เกินไปนัก เตงกวางก็ว่าเจ้าไม่รู้อะไร มารดานางเองหงอเป็นหนี้อยู่ เราทวงหลายครั้งแล้วไม่ได้ จึงเอานางเองหงอมาเป็นตัวประกัน แบ๊จุ้นก็ชี้หน้าว่าโกหกตัวฉุดบุตรสาวเขามาแล้ว กลับว่าเขาเป็นหนี้อีก เตงกวางก็โกรธโดดเข้าชกแบ๊จุ้น แต่แบ๊จุ้นหลบทันและชกตอบไปถูกหน้าอกเตงกวาง ถึงกับล้มลงและเอาเท้าถีบอีกทีหนึ่ง เตงกวางเจ็บปวดเหลือทนจึงขาดใจตายอยู่ที่นั้น

ขณะนั้นนางเฮงสีที่ตามไปด้วยก็ตกใจกลัวยิ่งนัก แบ๊จุ้นก็บอกให้นางพาบุตรีกลับไปบ้านโดยเร็ว ตนจะอยู่รับโทษแทนเอง นางก็พานางเองหงอกลับบ้าน และเก็บทรัพย์สิ่งของที่ดีมีราคาพอสมควร พากันหนีออกจากบ้านไป

พวกของเตงกวางที่มาด้วยกันนั้น เห็นเตงกวางตายก็กรูกันเข้ามาจะจับกุม แบ๊จุ้นก็สู้พลางถอยพลาง หนีไปได้ประมาณทางหลายสิบลี้ พวกนั้นสู้ไม่ได้ก็พากันกลับมาหามศพเตงกวางไปบ้าน และบอกเตงป้าผู้บิดาให้ทราบ เตงป้าก็สั่งให้คนใช้ประมาณสามสิบคน เที่ยวตามหาและจับตัวผู้ที่ฆ่าบุตรชายของตน มาให้จงได้

แบ๊จุ้นก็หนีมาหาเปากังที่บ้าน เล่าความให้ทราบทุกประการ และว่าตนจะต้องหนีไปอยู่ที่อื่นก่อน ขอความเมตตาให้เงินไปซื้อกินตามทางบ้าง เปากังก็ว่าตนเองอยากจะไปกับแบ๊จุ้นด้วย แต่มารดาแก่ชรามากไม่มีผู้อยู่ปฏิบัติรักษา แล้วก็หยิบเงินให้แบ๊จุ้นร้อยตำลึง แบ๊จุ้นก็ลาไปหาลิวซูเล่าความให้ฟังโดยละเอียด ลิวซูก็ให้เงินอีกแล้วสั่งว่า เมื่อไปอยู่ที่แห่งใดจงมีหนังสือมาบอกให้รู้บ้าง หากมีสุขทุกข์ประการใด จะได้ไปเยี่ยมเยือนปรึกษาหารือกัน แบ๊จุ้นก็ลากลับไปบ้านจัดแจงข้าวของพอสมควร พานางแบ๊ลวนเองผู้เป็นน้องสาว ไปหาเอียเองผู้เป็นน้าชายเล่าเรื่องเดือดร้อนให้ฟัง เอียเองก็รับน้องสาวไว้เลี้ยงดู แต่ยังกลัวความผิดจึงขับไล่แบ๊จุ้นไปให้พ้น แบ๊จุ้นจึงคำนับลา เดินทางต่อไป

เมื่อเดินทางไปถึงเขาตงหงซัวใกล้เมืองฮู่ก๊วง ก็ได้ยินเสียงม้าล่อแล้วมีสมุนโจรออกมาเรียกค่าผ่านทาง แบ๊จุ้นก็ไม่กลัวสั่งให้พวกเหล่านั้นไปบอกนายโจร ให้มาลองฝีมือกันก่อน ถ้าตนแพ้ก็จะยอมสามิภักดิ์อยู่ด้วย ถ้าตนชนะจะไล่นายโจรให้ไปเสียจากเขานี้ ไม่ให้กระทำโจรกรรมอีกต่อไป ถ้าไม่เชื่อจะเอาไฟเผาเสียให้สิ้นทั้งภูเขา

นายโจรชื่อเจียะยุโฮ ได้ฟังลิ่วล้อรายงานก็โกรธ รีบแต่งตัวใส่เกราะถือง้าวลงมาจากเขา ตรงเข้าไปเอาง้าวฟันแบ๊จุ้นกลางศรีษะ แบ๊จุ้นเอากระบองเหล็กคู่รับไว้ได้ แล้วก็รบกันได้ประมาณสิบเพลง แบ๊จุ้นได้ทีตีถูกนายโจรล้มลง แต่ก็ไม่ตีซ้ำกลับฉุดมือให้ลุกขึ้น เจียะยุโฮเห็น แบ๊จุ้นมีฝีมือเข้มแข็งก็เชิญขึ้นไปบนเขา ให้คนใช้จัดน้ำชามาเลี้ยงกัน เมื่อถามชื่อแซ่กันแล้ว แบ๊จุ้นก็เล่าเรื่องที่ตนหนีมาให้นายโจรทราบ เจียะยุโฮก็ว่า

“…….ท่านกับข้าพเจ้าจงสาบานเป็นพี่น้อง ช่วยกันทำนุบำรุงเขาตังหงซัวให้บริบูรณ์มั่งคั่งขึ้น จะได้ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เขานี้…….”

แบ๊จุ้นก็ท้วงว่า

“……..ซึ่งจะสาบานเป็นพี่น้องกันนั้นก็ชอบอยู่ แต่จะประพฤติตัวเป็นโจรอยู่ดังนี้ ข้าพเจ้าไม่ยอม ถ้าคิดกลับใจเสียใหม่ อุตส่าห์ตั้งทำมาหากินโดยสุจริต หรือเข้าไปทำราชการอยู่ในเมืองหลวง ให้มีชื่อเสียงปรากฎเป็นที่สรรเสริญแก่คนทั้งปวง จึงจะควร…….”

เจียะยุโฮได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงว่าท่านจะประพฤติตัว ประพฤติใจอย่างไรก็จะปฏิบัติตาม แบ๊จุ้นก็พาเจียะยุโฮออกไปที่กลางแจ้ง กระทำสัตย์อธิษฐานสาบาน เป็นพี่เพราะแก่กว่าหนึ่งปี ให้เจียะยุโฮเป็นน้อง แล้วเจียะยุโฮก็กำชับสั่งบรรดาลิ่วล้อซึ่งเป็นบริวารว่า ตั้งแต่นี้ไปอย่าได้กระทำโจรกรรมเหมือนก่อน ให้ตั้งทำมาหากินโดยสุจริต แต่นั้นมาที่เขาตังหงซัวก็ไม่มีโจรผู้ร้าย ราษฎรลูกค้าวาณิชก็ได้ไปมาค้าขายเป็นสุขสบาย

ชื่อเสียงของแบ๊จุ้นก็ปรากฎทราบไปถึง เฮ่งอุ๋ย ผู้รักษาเมืองเกงจิว คิดว่าถ้าทิ้งไว้นานจะเกิดเป็นศัตรูแผ่นดินขึ้น จึงเกณฑ์ทหารห้าพันจัดเป็นขบวนทัพ ยกตรงไปใกล้จะถึงเขา ตังหงซัว ก็หยุดทหารให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ และแต่งหนังสือให้คนใช้ถือไปให้แบ๊จุ้น มีความว่า

เราผู้ชื่อเฮ่งอุ๋ยเป็นที่ตินหนำเจียงกุน แจ้งความว่าแบ๊จุ้นตั้งซ่องสุมผู้คนมาฝึกหัดเป็นทหารอยู่ที่เขาตังหงซัวมาก จะคิดเป็นขบถหรือ บัดนี้เรายกกองทัพมาจะเอาตัวท่านไป ท่านจะอ่อนน้อมต่อเราโดยดี หรือจะสู้รบกันเวลาไร ก็จงมีหนังสือบอกกำหนดนัดมาให้เรารู้

แบ๊จุ้นอ่านทราบความแล้วก็สลักหลังหนังสือนั้น ให้คนใช้ถือกลับไปว่า เราจะออกไปรบกับท่านให้ถึงแพ้ชนะในวันนี้

แล้วเฮ่งอุ๋ยและแบ๊จุ้นกับเจียะยุโฮ ก็แต่งตัวใส่เกราะ ขึ้นม้าถืออาวุธออกมาพบกันที่เชิงเขา เฮ่งอุ๋ยก็ร้องบอกว่า

“……..ท่านซ่องสุมผู้คนไว้ปรารถนาจะเป็นขบถต่อแผ่นดิน เราจึงมาช่วยเตือนสติให้ ถ้าท่านยังรักชีวิตอยู่ ก็จงมายอมสามิภักดิ์แก่เราเสียโดยดี จึงจะรอดจากความตาย…….”

แบ๊จุ้นก็ตอบว่า

“…….เราไม่มีความผิดสิ่งใด ตั้งทำมาหากินโดยสุจริต มิได้คิดประทุษร้ายต่อแผ่นดิน ถ้าพระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้มีหนังสือรับสั่งมาถึงเราเมื่อไร เราจึงจะเข้าไปทำราชการสนองพระคุณโดยความซื่อสัตย์กตัญญู ซึ่งจะอ่อนน้อมยอมเข้าอยู่แก่ท่านนั้น อย่าพึงหมายเลย เชิญท่านกลับไปบ้านเมืองโดยดี แล้วทำหนังสือบอกตามคำเรากล่าว เข้าไปกราบทูลพระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ด้วย…..”

เฮ่งอุ๋ยก็โกรธว่าแบ๊จุ้นพูดจาเย่อหยิ่ง จึงขับม้าเข้าไปรบกับแบ๊จุ้น ไม่ทันถึงเพลงแบ๊จุ้นก็เอากระบองเหล็กตีเฮ่งอุ๋ย เจ็บปวดมากจนอาเจียนเป็นโลหิต ซบอยู่กับอานม้า แต่แบ๊จุ้นก็ไม่ได้ตีซ้ำ คงปล่อยให้เฮ่งอุ๋ยเลิกทหารกลับไปเมืองเกงจิว แล้วก็ทำหนังสือใบบอกให้ทหารถือไปกราบทูลฮ่องเต้ที่เมืองหลวง

เมื่อพระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ แบ๊เซียงหยูขุนนางตงฉินก็เอาหนังสือบอกของเฮ่งอุ๋ย เจ้าเมืองเกงจิวเข้าไปถวาย ฮ่องเต้รับมาทรงอ่าน มีความว่าที่ตำบลเขาตังหงซัวแขวงเมืองเกงจิว มีนายโจรตั้งเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนไว้เป็นอันมาก เจ้าเมืองได้ยกทหารไปครั้งหนึ่งก็สู้ฝีมือและกำลังไม่ได้ ถ้าจะละไว้ก็คงจะเป็นเสี้ยนศัตรูแผ่นดินเป็นแน่

ฮ่องเต้ทราบความแล้วก็ตรัสปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า จะให้ผู้ใดเป็นแม่ทัพยกไปปราบปรามดี คุดตงเสงขุนนางกังฉินก็ทูลให้ลิวบ๋ายเป็นแม่ทัพ ยกไปปราบโจรครั้งนี้ ฮ่องเต้ก็ทรงท้วงว่า

“……..ท่านพูดผิดไปดอกกระมัง ลิวบ๋ายเขาเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ที่ไหนจะรู้จักการทัพศึก…….”

คุดตงเสงก็กราบทูลว่า

“…….เมื่อครั้งแผ่นดินไซ่ฮั่น ฮั่นสินมีกำลังเรี่ยวแรงน้อย รูปร่างก็แบบบาง ฝีมือเพลงอาวุธก็ไม่สู้แข็งแรง ยังเอาชนะฌ้อปาอ๋องได้สืบแผ่นดินฮั่นมาจนทุกวันนี้ ก็เพราะฮั่นสินมีสติปัญญาวางทหารถูกต้องตามแบบอย่าง ซึ่งจะถือเอาแต่กำลังและฝีมือฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้……”

ฮ่องเต้ก็เห็นด้วย จึงตรัสถามลิวบ๋ายว่า เราจะให้ท่านเป็นแม่ทัพยกไปปราบโจรที่เขาตังหงซัว จะได้หรือไม่ ลิวบ๋ายกราบทูลว่า

“…….ธรรมดาเกิดมาเป็นขุนนางได้รับเบี้ยหวัดเงินเดือนแล้ว ก็ต้องเอากายฝ่าคมอาวุธ สนองพระคุณตามกำลังและสติปัญญา กว่าจะหาชีวิตไม่…….”

พระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็มีพระทัยยินดี ตรัสอวยพรให้มีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู แล้วจึงมีรับสั่งตั้งลิวบ๋ายให้เป็นแม่ทัพ คุมทหารหมื่นหนึ่งยกไปปราบโจรที่เขาตังหงซัว

ลิวบ๋ายจึงสั่งคักฮุนเหลงผู้เพื่อนว่า ถ้าลิวซูผู้บุตรมาหาตนที่เมืองหลวงแล้ว ขอให้บอกให้กลับไปเสียโดยเร็ว ถ้าขืนอยู่จะเกิดความอันตราย จากพวกกังฉินเป็นแน่ คักฮุนเหลงก็รับคำ ลิวบ๋ายก็คำนับลาขุนนางทั้งหลาย ยกกองทัพไปทางเขาตังหงซัวตามรับสั่งโดยเร็ว.


###########

ฟ้าหม่น วารสารของทหารม้า
กันยายน ๒๕๔๙




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 4 กรกฎาคม 2551 19:48:45 น.
Counter : 543 Pageviews.  

ภาพปก

ปกหน้า นักรบสองแผ่นดิน


Thanks: gclub




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 มกราคม 2554 19:56:01 น.
Counter : 553 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.