Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๘ เกิดศึกใหญ่

ทหารกล้าแผ่นดินฮั่น

ตอนที่ ๘ เกิดศึกใหญ่

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่ายยวดซิมอ๋อง เมื่อแยกจากลิวซู เตียวเตียนและลีหงนั้น ก็เดินทางไปหาน้องสาวที่บ้านแบ๊ยี่ ครั้นไปถึงกลับเห็นประตูปิดอยู่ไม่ได้ยินเสียงผู้คน ร้องเรียกหลายครั้งก็ไม่มีผู้มาเปิดประตูรับ ชาวบ้านผู้หนึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงเตี๊ยมนั้น ก็บอกกับยวดซิมอ๋องว่า เมื่อสองสามเดือนก่อนนั้นมีหญิงสาวมาอยู่กับแบ๊ยี่ ต่อมาก๊วงหง ซึ่งเป็นคนมีฝีมือ แต่เป็นคนพาลอยู่ในตำบลนี้ ได้มาข่มเหงแบ๊ยี่ และฉุดคร่าเอาหญิงนั้นไป แบ๊ยี่กับภรรยาสู้ไม่ได้ ร้องเรียกให้ชาวบ้านช่วย ก็ไม่มีผู้ใดออกมาช่วย จึงพากันไปตามหายวดซิมอ๋อง พี่ชายของนางนั้น

ยวดซิมอ๋องก็โกรธถามว่า ก๊วงหงฉุดคร่าน้องสาวเราไปได้กี่วันแล้ว ชายชาวบ้านผู้นั้นรู้ว่าเป็นยวดซิมอ๋องก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วบอกว่าเขาเอาตัวไปหลายวันแล้ว จะเป็นประการใดไม่ทราบเลย ยวดซิมอ๋องก็ถามถึงเจ้าเมือง ชายผู้นั้นก็บอกว่าเจ้าเมืองและกรมการเมืองก็เป็นพวกก๊วงหงทั้งสิ้น เว้นแต่แปะป้าขุนนางนายทหารพึ่งมาอยู่ใหม่ ยังไม่รู้จักก๊วงหง

ยวดซิมอ๋องจึงตรงไปหาแปะป้าที่บ้าน บอกว่าตนชื่อแบ๊จุ้นเป็นที่ยวดซิมอ๋อง แปะป้าก็คำนับเชิญเข้าไปในบ้านให้นั่งที่อันสมควร แล้วถามว่ามีธุระสิ่งใด ยวดซิมอ๋องก็บอกว่ามีธุระสำคัญ ให้เชิญเจ้าเมืองมาปรึกษากันที่นี่จึงจะได้ แปะป้าจึงให้คนใช้ไปเชิญเตียงเชงเจ้าเมืองมาที่บ้าน และให้เข้าไปหายวดซิมอ๋องข้างใน

เตียงเชงก็เข้าไปคำนับ ยวดซิมอ๋องจึงว่า

“…ท่านเป็นผู้ระงับกิจสุขทุกข์ของราษฎร บัดนี้มีโจรผู้ร้ายเกิดชุกชุมขึ้น เหตุใดจึงไม่ปราบปรามเสียให้ราบคาบ ทิ้งละไว้ให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนนั้น มีความผิดมาก..”

เจ้าเมืองก็ว่าไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้าย ไม่มีผู้ใดมาว่ากล่าวฟ้องร้องเลย ยวดซิมอ๋องก็ว่า

“…….ก๊วงหงพวกพ้องของท่าน ประพฤติตัวเป็นพาล เที่ยวข่มเหงราษฎรชาวบ้านอยู่เนือง ๆ แต่น้องสาวของเราเอามาฝากแบ๊ยี่ไว้ ก็บังอาจฉุดคร่าเอาไปเสียได้ ยังจะแก้ตัวว่าไม่รู้……..”

เตงเชียงได้ฟังก็เป็นอันจนใจ มิได้พูดโต้ตอบแต่ประการใด ยวดซิมอ๋องจึงสั่งให้ทหารของแปะป้า เอาตัวเตงเชียงไปขังคุกไว้ แปะป้าก็คุกเข่าลงคำนับและขอโทษเตงเชียงไว้ แต่ยวดซิมอ๋องว่า เตงเชียงไม่เอาใจใส่ในราชการบ้านเมือง ต้องถอดออกเสียจึงจะสมควร แล้วก็สั่งให้แปะป้าเกณฑ์ทหารห้าร้อย ไปล้อมบ้านก๊วงหงไว้

ก๊วงหงรู้ข่าวก็ตกใจกลัว เก็บรวบรวมทรัพย์สิ่งของอพยพ พาครอบครัวบุตรภรรยาและนางแบ๊ลวนเอง หนีไปหาหลวงจีนกิวเลงผู้เป็นอาจารย์ ที่วัดบ่วนสิวยี่ซึ่งตั้งอยู่ที่เขาปวยง่อเหนีย เมื่อยวดซิมอ๋องยกทหารมาถึงบ้านก๊วงหงเวลาค่ำ จึงไม่เห็นมีใครออกมาต่อสู้ มีแต่ผู้หญิงแก่คนหนึ่ง นางก็เล่าเรื่องที่นางแบ๊ลวนเองเอาปิ่นแทงตาก๊วงหง จนก๊วงหงหลบหนีไปอยู่ที่ เขาปวยง่อเหนีย ให้ทราบทุกประการ

ยวดซิมอ๋องถามหนทางที่จะไป นางก็บอกว่าทางไกลประมาณร้อยลี้ แปะป้าก็ว่าจะเอาทหารไปเพียงแค่นี้ไม่ได้ ด้วยมีข่าวเล่าลือว่า ที่เขานั้นมีหลวงจีนผู้วิเศษองค์หนึ่ง ฝีมือเข้มแข็งใจกล้าหาญดุร้ายนัก ต้องกลับไปเกณฑ์ทหารเพิ่มอีก ยวดซิมอ๋องจึงสั่งให้แปะป้าเกณฑ์ทหารอีกสองพันห้าร้อยคน แล้วยวดซิมอ๋องกับแปะป้าก็นำทหารสามพัน เดินทางไปเขาปวยง่อ เหนียโดยไม่ชักช้า

เมื่อมาถึงเขาปวยง่อเหนียแล้ว ก็ให้ทหารตั้งค่ายล้อมไว้ พวกศิษย์ในวัดบ่วนสิวยี่ก็เอาความไปแจ้งแก่หลวงจีนกิวเลง หลวงจีนจึงให้ก๊วงหงคุมพวกลูกวัดยกออกมาตั้งขบวนอยู่หน้าค่าย ยวดซิมอ๋องแต่งตัวขึ้นม้าถือง้าวออกจากค่ายไปดู เห็นคนที่เป็นหัวหน้านั้น เสียจักษุไปข้างหนึ่ง และไม่ได้ถือเพศเป็นหลวงจีน ก็รู้ว่าเป็นก๊วงหงจึงว่า เราชื่อแบ๊จุ้นจะมาตัดศรีษะท่านเซ่นอาวุธของเรา ถ้ายังรักชีวิตอยู่ก็จงรีบส่งนางแบ๊ลวนเองผู้น้องเรามาโดยดี จึงจะรอดจากความตาย ก๊งหวงก็หัวเราะบอกว่า ท่านมาช้าไปนางแบ๊ลวนเองเสียใจกัดลิ้นตายเสียได้สองสามวันแล้ว

ยวดซิมอ๋องได้ฟังก็โกรธขับม้าตรงเข้าไป เอาง้าวฟันถูกก๊วงหงตัวขาดตาย หลวง จีนกิวเลงเห็นดังนั้น ก็ขับม้าตรงเข้ามาจะรบกับยวดซิมอ๋อง แต่แปะป้าขออาสาเข้ารบแทน และขับม้าตรงเข้ารบกับหลวงจีนได้ห้าเพลง ก็ถูกหลวงจีนเอากิวกุนคือกระบองเหล็กวิเศษ ตีตกจากม้าตาย แล้วไล่ฆ่าฟันทหารเลวเจ็บป่วยล้มตายลงเป็นอันมาก ยวดซิมอ๋องเห็นดังนั้นกลัวจะเสียที จึงพาทหารที่เหลือตาย หนีไปทางเมืองกุยเต๊ก

พอถึงเมืองก็หยุดพักทหารอยู่นอกกำแพงเมือง โซบู๊เจ้าเมืองกุยเต๊กก็ออกมาคำนับเชิญเข้าไปในเมือง จัดที่ให้พักอยู่เป็นอันดี แล้วถามเรื่องราวที่ผ่านมา ยวดซิมอ๋องก็เล่าความตั้งแต่ก๊วงหงลักพานางเบ๊ลวนเองน้องสาวของตน ไปอยู่เขาปวยง่อเหนีย ตนจึงยกทหารตามไปสู้รบกับก๊วงหงและหลวงจีนกิวเลง จนเสียทีแตกมาให้ฟังทุกประการ และขอให้ยกทหารไปช่วยรบกับหลวงจีนกิวเลงที่เขาปวยง่อเหนียอีกครั้ง จะได้หรือไม่

โซบู๊ก็ว่าอย่าพูดดังนั้นเลย แม้ตัวไม่มามีแต่จดหมายให้ทราบ ก็จะจัดแจงยกไปให้ทันท่วงที ยวดซิมอ๋องก็ดีใจ แล้วโซบู๊ก็จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงยวดซิมอ๋อง และทหารทั้งปวงบริบูรณ์แล้ว รุ่งเช้าโซบู๊ก็เขียนหนังสือบอกข้อราชการ ให้ม้าใช้ถือไปถวายพระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ที่เมืองเซียงอาน แล้วโซบู๊กับยวดซิมอ๋องก็ยกทหารสามพันออกจากเมืองกุยเต๊ก กลับไปเขาปวยง่อเหนียอีกเพื่อแก้มืออีกครั้ง

หลวงจีนกิวเลงได้แจ้งความจากศิษย์วัด ก็แต่งตัวขึ้นม้าถืออาวุธวิเศษ พาศิษย์ลงจากเขาลงมาถึงสนามรบ เห็นยวดซิมอ๋องยืนม้าอยู่หน้าทหารจึงร้องว่า

“…..ท่านหนีเราไปครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้จะเอาศรีษะกลับมาให้เราอีกหรือ……”

ยวดซิมอ๋องได้ฟังก็โกรธ ไม่พูดโต้ตอบแต่ประการใด ขับม้าตรงเข้ารบกับหลวงจีน กิวเลงได้สามสิบเพลง ก็อ่อนกำลังลงกลัวจะเสียที จึงรบพลางถอยพลาง โซบู๊ก็เข้าช่วยรุมรบ พวกศิษย์ของหลวงจีนก็กรูกันเข้ามาสู้รบต้านทานเป็นสามารถ ยวดซิมอ๋องกับโซบู๊เห็นเหลือกำลังที่จะต่อสู้ ต้องพาทหารถอยหนีออกจากสนามรบ หลวงจีนกับพวกศิษย์ก็ไล่ฆ่าฟันทหารเลวล้มตายลงเป็นอันมาก ทั้งสองพาทหารถอยจนพ้นเขาปวยง่อเหนียแล้ว ก็หยุดพักตรวจดูทหารที่เหลือตาย ยังเหลืออยู่เพียงหกร้อยคนเท่านั้น

โซบู๊จึงชวนยวดซิมอ๋องกลับไปเมืองกุยเต๊กก่อน แล้วจึงค่อยรวบรวมทหารยกมาแก้แค้นต่อภายหลัง แต่ยวดซิมอ๋องบอกว่า

“……ท่านจงพาทหารกลับไปเถิด ข้าพเจ้าออกต่อสู้ก็ปราชัยพ่ายแพ้ถึงสองครั้ง มีความอัปยศแก่ทแกล้วทหารมากนัก จะไปเที่ยวหาเพื่อนฝูงที่มีฝีมือ กลับมาจับพวกหลวงจีนฆ่าเสียให้จงได้……”

โซบู๊ก็คำนับลา พาทหารกลับไปเมืองกุยเต๊ก ส่วนยวดซิมอ๋องก็ออกเดินทางตรงไปเขาตังหงซัวถิ่นเดิมของตน ซึ่งเจียะยุโฮน้องร่วมสาบานเป็นใหญ่อยู่ และเพื่อตามหาฬ่อเซง นายโจรที่เขาเสียวนัวซัวซึ่งเป็นพวกเดียวกัน ให้มาช่วยสู้รบกับหลวงจีนกิวเลงต่อไป

ฝ่ายนางแบ๊ลวนเองนั้น เมื่อก๊วงหงพาตัวหนียวดซิมอ๋องพี่ชาย จากเมืองเตงฮงกุ้ยมาอยู่ที่วัดบ่วนสิวยี่เขาปวยง่อเหนียแล้วกรรมก็ยังไม่สิ้น หลวงจีนกิวเลงผู้เป็นอาจารย์ใหญ่เกิดชอบใจ อยากได้นางเป็นภรรยา ก็พูดจาแทะโลม นางแบ๊ลวนเองก็โกรธด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง ๆ แล้วว่าให้พาไปส่งยวดซิมอ๋องผู้พี่โดยเร็ว หลวงจีนกิวเลงก็โกรธให้ศิษย์จับตัวไปมัดไว้ กับโต๊ะศิลาแล้วเฆี่ยนตีเป็นอันมาก นางแบ๊ลวนเองได้รับความเจ็บอายก็เสียใจ กัดลิ้นของตนเองจนสลบอยู่กับที่ หลวงจีนกิวเลงสำคัญว่าตายแล้ว จึงให้ศิษย์หามเอาศพไปทิ้งไว้ริมเขา

ที่ตำบลนั้นมีนายพรานตั้งบ้านเรือนอยู่คนหนึ่ง ชื่อแบ๊หยง อายุได้สี่สิบสองปี วันหนึ่งไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่า มาถึงชายเขาปวยง่อเหนีย เห็นหญิงผู้หนึ่งรูปร่างงดงาม นอนนิ่งอยู่กับพื้นแผ่นดิน มีเลือดไหลออกจากปาก ก็เดินเข้าไปพิเคราะห์ดู และคลำดูที่มือและเท้าเห็นยังอุ่นอยู่ ก็รู้ว่ายังไม่ตาย แต่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร จึงอุ้มเอานางนั้นใส่บ่าแบก เดินลัดป่าไปถึงกลางทางพบหญิงคนหนึ่ง นุ่งห่มแต่งตัวถือเพศเป็นหลวงชีเดินสวนมา นางถามว่าหญิงที่แบกมานั้นเป็นพี่น้องกันหรือ เหตุใดจึงตาย แบ๊หยงก็ว่า

“…….ไม่รู้จักกันกับข้าพเจ้าดอก แต่เห็นนอนตายอยู่ริมเขาผู้เดียว เข้าคลำตัวดูเห็นยังอุ่นอยู่ก็อุตส่าห์แบกมา ปรารถนาจะแก้ไขเผื่อจะฟื้นขึ้นได้บ้าง……”

หลวงชีถามว่ามียาแก้ได้หรือ แบ๊หยงก็ว่าไม่มีแต่ถ้าหลวงชีมี ก็จงช่วยโปรดรักษาเอาบุญเถิด หลวงชีก็เอายาที่ติดตัวมา ฝนกับน้ำกรอกเข้าปากไปได้ครู่หนึ่ง นางก็ฟื้นได้สติขึ้นแต่ยังพูดไม่ออก เพราะเจ็บลิ้น แบ๊หยงจึงอุ้มนางและพาหลวงชีไปที่บ้าน ช่วยรักษาพยาบาลอยู่เป็นหลายวัน นางแบ๊ลวนเองจึงหายเป็นปกติ หลวงชีจึงถามแบ๊หยงว่าจะเลี้ยงนางไว้เป็นภรรยาหรือ แบ๊หยงก็ว่า

“……..ใจข้าพเจ้ามิได้คิดดังนั้นดอก ทุกวันนี้อายุมากแล้ว อยู่กับภรรยาก็ช้านานไม่มีบุตรด้วยกันเลย ข้าพเจ้าปรารถนาจะเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม…….”

หลวงชีได้ฟังก็ยินดี ให้นางแบ๊ลวนเองคำนับแบ๊หยงเป็นบิดาเลี้ยง แล้วว่า

“……ท่านตั้งบ้านเรือนอยู่ผู้เดียวเปลี่ยวนัก เกลือกจะมีโจรผู้ร้ายมาทำอันตราย ก็จะได้ความลำบากต่อไป เราคิดจะฝึกหัดเพลงอาวุธ ให้นางแบ๊ลวนเองชำนิชำนาญไว้ จะได้ป้องกันรักษาตัวและบ้านเรือน ท่าน จะเห็นอย่างไร………”

แบ๊หยงก็มีความยินดี ให้นางแบ๊ลวนเองคำนับหลวงชี ตามธรรมเนียมศิษย์กับอาจารย์ แต่นั้นมาหลวงชีก็สั่งสอนเพลงอาวุธและขบวนรบอยู่ทุกเวลา นางแบ๊ลวนเองก็ค่อยคลายความทุกข์ จึงเล่าเรื่องที่เป็นมาแต่หนหลังนั้น ให้แบ๊หยงกับหลวงชีฟังถ้วนถี่ทุกประการ ตั้งแต่จากกับยวดซิมอ๋องพี่ชาย จนถึงกัดลิ้นจะฆ่าตัวตาย แบ๊หยงก็อุตส่าห์ล่าสัตว์ยิงเนื้อนกมาขายเลี้ยงกันอยู่ต่อมา มิได้ขาด

ครั้นหลวงชีได้สั่งสอนนางแบ๊ลวนเอง ให้รู้ตำรับพิชัยสงคราม และเพลงอาวุธคล่องแคล่วชำนิชำนาญแล้ว วันหนึ่งนางจึงบอกกับนางแบ๊ลวนเองว่า ถึงกำหนดที่ตนจะต้องไปแล้ว เจ้าจงอยู่ให้เป็นสุขเถิด นางแบ๊ลวนเองก็คุกเข่าลงคำนับอ้อนวอน ขอให้เมตตาช่วยอยู่สั่งสอนไปก่อน ด้วยศิลปศาสตร์ทั้งหลายนั้น ตนยังรู้น้อยนัก หลวงชีจึงเอาธูปส่งให้ดอกหนึ่งแล้วสั่งว่า ถ้าได้ความทุกข์ร้อนประการใด จงเอาธูปนี้จุดรำลึกถึงตน ก็คงจะมาช่วยได้ทันท่วงที

นางแบ๊ลวนเองจึงถามว่า ท่านอาจารย์จะไปอยู่ตำบลบ้านเมืองไหน หลวงชีก็ว่าอยู่ในวัดที่เกาะโภโถ เกาะนั้นอยู่ในทะเลแต่ไม่ห่างฝั่งนัก บนเกาะมีวัดอยู่ประมาณร้อยวัด แต่ไม่มีบ้านราษฎรอาศัย หลวงจีนและหลวงชีในวัดปั้นรูปกวนอิมเหนียไว้เป็นที่ไหว้ที่บูชาทุกวัน แล้วหลวงชีก็ลาจากไป นางแบ๊ลวนเอง ก็คำนับร้องไห้อาลัยอาจารย์เป็นอันมาก

และนางแบ๊ลวนเองก็อาศัยอยู่กับบิดามารดาเลี้ยง ต่อมาอีกเป็นเวลานาน กับซ้อมหัดเพลงอาวุธอยู่ทุกเวลามิได้ขาด

############


ฟ้าหม่น วารสารทหารม้า
พฤศจิกายน ๒๕๕๐




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 18:50:55 น.
Counter : 334 Pageviews.  

ตอนที่ ๗ พลัดพรากจากกัน

ทหารกล้าแผ่นดินฮั่น

ตอนที่ ๗ พลัดพรากจากกัน

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่ายยวดซิมอ๋องกับเตียวเตียนและลีหง เมื่อมาถึงสนาม เห็นนักโทษที่ถูกมัดอยู่กับหลักประหาร เป็นลิวซูแน่แล้ว จึงเข้าไปไต่ถามว่าเหตุใดจึงมาต้องโทษอยู่ดังนี้ ลิวซูก็เล่าความตามเรื่องให้ฟังโดยตลอด ลีหงก็จัดการแก้มัดลิวซูออก พวกทหารที่คุมตัวก็เข้าไปแย่งชิงไว้ เตียวเตียนจึงว่า อย่าวิตกเลยเราไม่แย่งชิงเอาไปข้างไหนดอก จงพากันไปบอกเจ้าเมืองให้มารับยวดซิมอ๋องโดยเร็วเถิด

ทหารเหล่านั้นก็ไปแจ้งแก่แปะเตง เจ้าเมืองก็รีบมาถึงสนามแล้วถามว่า

“……..ท่านทั้งสามถือดีอย่างไร จึงได้มายื้อแย่งคนโทษของเรา ท่านอวดอ้างว่าเป็นยวดซิมอ๋องนั้น มีอะไรเป็นสำคัญมาบ้าง…….”

ยวดซิมอ๋องก็เอาดวงตราประจำตำแหน่งออกมาให้ดู แปะเตงรู้แน่แล้วก็คุกเข่าลงคำนับ ยวดซิมอ๋องจึงพูดว่าตัวเป็นแต่ผู้รักษาเมืองเท่านั้น เหตุใดจึงมาฆ่าฮู่ม้าดังนี้ แปะเตงก็ว่าท่านยังไม่รู้เรื่องความ เชิญไปบ้านก่อนเถิดตนจะเล่าให้ฟัง พูดแล้วก็นำยวดซิวอ๋องกับลิวซูและสองนายทหารไปบ้านของตน ลิวซูจึงบอกกับนางกิมเหนียวให้กลับไปที่อยู่ก่อน เมื่อเข้าเมืองไปจัดการเรื่องของตนเรียบร้อยแล้ว จึงจะให้คนใช้มารับ นางกิมเหนียวก็มีความยินดีคำนับลากลับไป

ครั้นแปะแตงพาขุนนางทั้งหมดมาถึงบ้าน จัดที่ให้นั่งตามสมควร และหาเสื้อกางเกงมาให้ลิวซูนุ่งห่มใหม่ แล้วก็เล่าความตั้งแต่บู๊ไต้หยงจับตัวลิวซูมาส่ง ลิวซูให้การรับว่าเป็นผู้ร้าย จึงมีหนังสือบอกไปถึงเมืองเชียงอาน จนมีท้องตราตอบมาให้ประหาร

ยวดซิมอ๋องก็โกรธว่าลิวซูปลอมเป็นผู้หญิง มาเที่ยวหลอกลวงเขาดังนี้มีความผิด ลิวซูก็เล่าความตั้งแต่หนีมาพบเอียบสิหยง แล้วจะถูกฆ่า จึงยอมปลอมตัวเป็นผู้หญิงให้เอียบสิหยงพาไปขาย จนบู๊ไต้หยงมาไถ่ตัวไป แล้วว่าตนยังแค้นบู๊ไต้หยงมากนัก นี่หากว่ายวดซิมอ๋องมาทัน ถ้าช้าไปอีกครึ่งวัน ตนก็คงถึงแก่ความตายเป็นแน่

ยวดซิมอ๋องได้ฟังก็โกรธแปะเตงว่า

“………ท่านเป็นผู้รักษาเมืองใหญ่ จะชำระตัดสินข้อความสิ่งใด ทำไมจึงไม่สืบสวนให้ได้ความจริงก่อน มาทำโทษแก่ฮู่ม้าโดยอำนาจของตัวดังนี้ มีความผิดหรือไม่…….”

แปะเตงก็แก้ว่า ตนสืบสวนไต่ถามได้ความจริงทุกข้อแล้ว จึงได้มีหนังสือบอกไป ณ เมืองเซียงอาน พูดแล้วก็หยิบเอาคำให้การของลิวซู กับร่างหนังสือออกมาให้ยวดซิมอ๋องดู ยวดซิมอ๋องก็ว่า

“………ข้อที่ให้การว่าเป็นฮู่ม้านั้น ทำไมจึงไม่บอกไปเล่า หนังสือประกาศก็มีมาทุกหัวเมือง ให้สืบหาลิวซูฮู่ม้า นี่พบตัวฮู่ม้าแล้วปิดความเสีย กลับทำโทษให้ได้ความเจ็บอาย ดังนี้มีโทษผิดมาก……..”

ยวดซิมอ๋องจึงสั่งให้ถอดแปะเตงออกจากที่ผู้รักษาเมือง แล้วให้เอาตัวไปจำขังคุกไว้ และตั้งให้จิวหุยขุนนางนายทหารเป็นผู้รักษาเมืองแทน และสั่งให้จิวหุยไปเอาตัวบู๊ไต้หยงมาให้ได้ จิวหุยก็นำทหารไปเอาตัวบู๊ไต้หยงกับนางพัวสีภรรยา มาหายวดซิมอ๋อง ทั้งสองกระทำคำนับ ยวดซิมอ๋องตามธรรมเนียมแล้วถามว่า ตนทั้งสองไม่มีความผิดสิ่งใด ทำไมท่านจึงให้จับตัวมาดังนี้ ลิวซูจึงถามบู๊ไต้หยงว่า ท่านรู้จักเราหรือไม่ บู๊ไต้หยงว่าไม่รู้จัก ลิวซูก็โกรธให้คนใช้เอาตัวไปเฆี่ยนเสียสี่สิบที

ยวดซิมอ๋องจึงห้ามไว้ว่า

“………ซึ่งท่านจะทำโทษตามอำนาจอาญาของตัวนั้น ไม่ถูกด้วยอย่างธรรมเนียม การที่ท่านแต่งตัวปลอมเป็นผู้หญิงไปอยู่กับน้องสาวเขา บู๊ไต้หยงก็เข้าใจว่าเป็นคนร้ายนั้น ความข้อนี้จะผิดชอบประการใด ก็สุดแล้วแต่ผู้ชำระสืบสวนให้ได้ความจริงจึงจะควร บัดนี้ท่านก็เป็นน้องเขยเขา ให้บู๊ไต้หยงส่งน้องสาวมาให้ ความก็เป็นอันเลิกแล้วต่อกันได้…….”

บู๊ไต้หยงได้ฟังก็คุกเข่าลงคำนับยวดซิมอ๋อง แล้วว่า

“……..เมื่อขณะจับตัวลิวซูส่งมานั้น นางลิวเอ๋งกลัวข้าพเจ้าจะทำโทษ จึงหนีไปเสียแล้ว หาทราบว่าจะไปอยู่ที่ใดไม่…….”

ลิวซูได้ฟังก็ยิ่งโกรธมากขึ้น จะตีเสียให้ได้ นางพัวสีเห็นดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า

“……..ข้าพเจ้าเห็นนางลิวเอ๋งมีความเศร้าโศก ทุกข์ตรอมมาก จะผูกคอตายเสีย ข้าพเจ้าจึงได้จัดเงินให้สามร้อยตำลึง กับคนใช้สองคนสามีภรรยา ให้แต่งตัวปลอมเป็นผู้ชาย ไปหาลิวบ๋ายบิดาท่าน ณ เมืองเซียงอาน ให้รีบมารับท่านออกจากโทษโดยเร็ว นางลิวเอ๋งก็ไปได้หลายเดือนแล้ว ยังไม่ได้ข่าวคราวแต่ประการใดเลย แต่ความข้อนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกให้บู๊ไต้หยงรู้…….”

ลิวซูได้ฟังจึงค่อยคลายคามโกรธ จึงว่าถ้าดังนั้นก็จะยกโทษให้ ถ้ากลับไปถึงเมืองหลวงแล้วพบนางลิวเอ๋งแล้ว จะแจ้งมาให้ทราบ บู๊ไต้หยงกับภรรยาก็มีความยินดี คำนับลากลับไปบ้าน จิวหุยจึงสั่งคนใช้จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงยวดซิมอ๋องกับพวก ให้เป็นที่สำราญ

เช้าวันรุ่งขึ้นยวดซิมอ๋อง จึงสั่งให้จิวหุยให้ไปรับนางกิมเหนียวมาทำนุบำรุงเลี้ยงไว้ให้ดี กับให้ไปจับตัวเอียบซิหยง ที่บังคับให้ลิวซูแต่งตัวปลอมเป็นผู้หญิง และเอาไปขายนั้น มาชำระโทษเสียให้เข็ดหลาบ แล้วทั้งสี่คนก็ลาจิวหุยออกจากเมืองเซียงเอียงฮูไป

พอเดินทางมาได้วันหนึ่ง ผ่านริมคลองที่เรือของนางอาจับเจ๋จอดอยู่ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเรียกให้หยุดก่อน ลิวซูเหลียวไปดูก็เห็นนางกิมเหนียววิ่งตามมา จึงหยุดม้าคอยอยู่ เมื่อนางกิมเหนียววิ่งมาทัน ลิวซูก็บอกว่า

“……..เราได้สั่งจิวหุยผู้รักษาเมืองเซียงเอียงฮูแล้วว่า ให้มารับท่านไปเลี้ยงดูทำนุบำรุงไว้ก่อน ซึ่งจะไปกับเราครั้งนี้ไม่ได้ ด้วยหนทางไกลลำบากนัก ถ้าเราไปถึงเมืองเซียงอานแล้ว จึงจะบอกบิดามารดาให้มารับท่าน…….”

นางกิมเหนียวได้ฟังก็เสียใจร้องไห้แล้วพูดว่า

“…….ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นหญิงมีกรรมมาก เปรียบเหมือนดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ร่วงหล่นลงมาเน่าเปื่อยอยู่กับพื้นดิน เป็นที่เกลียดชังแก่คนทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ขออยู่ดูหน้าบิดามารดาญาติพี่น้องต่อไป ซึ่งท่านได้พ้นทุกข์มีความสุขเจริญขึ้น จะมาอุปถัมภ์บำรุงข้าพเจ้านั้นคุณหาที่สุดมิได้ แต่ท่านจงกลับไปปฏิบัติบิดามารดาให้มีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด……..”

พูดแล้วก็ร้องไห้วิ่งโดดลงไปในคลอง ลิวซูเห็นดังนั้นก็ตกใจลงจากหลังม้า โดดน้ำตามลงไปอุ้มนางกิมเหนียวขึ้นมาบนฝั่ง แต่ไม่ทันนางขาดใจตายสียแล้ว ลิวซูจึงสั่งให้นางอาจับเจ๋ให้ไปบอกจิวหุย ให้มาทำการฝังศพไว้ตามธรรมเนียม แล้วพวกตนก็เดินทางต่อไปยังเมืองเตงเฮงกุ้ย

ส่วนนางแบ๊ลวนเองน้องของยวดซิมอ๋อง ซึ่งพักอาศัยอยู่กับแบ๊ยี่ที่เมืองเตงเฮงกุ้ยนั้น วันหนึ่งก็มีอันธพาลคนหนึ่งชื่อก๊วงหง ประพฤติชั่วเที่ยวข่มเหงราษฎรชาวบ้านอยู่เนือง ๆ มิได้เกรงกลัวผู้ใด เดินเที่ยวมาถึงโรงเตี๊ยมของแบ๊ยี่ เห็นประตูปิดจึงเดินเข้าไปข้างใน แบ๊ยี่ตกใจเชิญให้นั่งในที่อันสมควร แล้วถามว่าท่านมีธุระสิ่งใดจึงได้มาถึงนี่ ก๊วงหงก็ว่าเห็นท่านปิดประตูคิดว่าป่วยไข้ประการใด จึงได้แวะมาเยี่ยมเยือน แบ๊ยี่บอกว่าค้าขายไม่มีกำไร จึงคิดว่าจะไปทำมาหากินอย่างอื่น จึงได้เลิกร้านเสีย

ก๊วงหงก็ลุกขึ้นเดินเลยเข้าไปในห้องนางแบ๊ลวนเอง เห็นหญิงสาวนอนอยู่พิเคราะห์ดูเห็นรูปร่างงดงามก็ชอบใจ จึงให้คนใช้เข้าฉุดคร่าจะเอาตัวไปเป็นภรรยา แบ๊ยี่ก็เข้ามาขัดขวางไว้ แล้วพูดว่า

“………หญิงคนนี้เป็นน้องของแบ๊จุ้น ผู้เป็นที่ยวดซิมอ๋อง เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนใช้มาแต่ครั้งบิดา จึงได้พามาฝากไว้ บัดนี้ยวดซิมอ๋องไปเที่ยวตามหาลิวซูฮู่ม้า ถ้าพบแล้วก็จะกลับมารับไปเมืองเซียงอาน ซึ่งท่านจะมาข่มเหงฉุดคร่าเอาดังนี้ ผิดด้วยอย่างธรรมเนียมนัก…….”

ก๊วงหงก็ว่ายวดซิมอ๋องเป็นผู้มีวาสนาบรรดาศักดิ์ เหตุใดจึงเอาน้องสาวมาเที่ยวฝากไว้กับชาวบ้านดังนี้เล่า พูดแล้วก็ตรงเข้าทุบตีแบ๊ยี่หลายที แบ๊ยี่สู้ไม่ได้ก็ร้องเรียกให้ชาวบ้านช่วย ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาช่วย ก๊วงหงกับคนใช้ก็ฉุดลากเอานางแบ๊ลวนเองไปได้

แบ๊ยี่คิดโทมนัสน้อยใจมาก จะเอามีดเชือดคอตายเสีย ภรรยาก็ห้ามว่า

“………ท่านจะมาฆ่าตัวเองเสียนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าเห็นว่าเวลาค่ำวันนี้ เก็บข้าวของไปฝากเพื่อนบ้านไว้ แล้วเราพากันไปตามยวดซิมอ๋องให้พบ ถ้ายวดซิมอ๋องรู้ความก็คงจะรีบติดตามเอาน้องสาวไปจงได้……..”

แบ๊ยี่ก็เห็นด้วย จึงช่วยกันเก็บรวบรวมสิ่งของไปฝากเพื่อนบ้าน เสร็จแล้วแบ๊ยี่กับภรรยาก็พากันเดินทางไปเมืองฮู่ก๊วง

ฝ่ายก๊วงหงพานางแบ๊ลวนเองไปถึงบ้าน ก็พูดจาแทะโลมด้วยถ้อยคำเป็นอันดี แต่นางแบ๊ลวนเองก็มิได้ยินยอมพร้อมใจให้ ด้วยมีความโกรธแค้นด่าว่าทุกเวลามิได้ขาด ครั้นก๊วงหงใช้กำลังปลุกปล้ำนางก็เอาปิ่นทองที่ปักผม แทงถูกหางตาขวาก๊วงหงโลหิตไหลโซมไปทั้งตัว ได้รับความเจ็บปวดมาก ก็โกรธจึงให้คนใช้เอาตัวนางไปขังไว้ แต่กำชับให้ทำนุบำรุงรักษาให้จงดี อย่าให้ได้ความลำบาก

พอดีกับยวดซิมอ๋องกับลิวซูและเตียวเตียนลีหง จ้างเรือข้ามมาถึงเมืองเตงเฮงกุ้ย ก็เข้าจอดพักหาอาหารกิน เสร็จแล้วยวดซิมอ๋องจึงว่าตนจะรีบไปรับนางแบ๊ลวนเองผู้น้อง ให้ทั้งสามคนจอดเรือคอยอยู่ที่นี่ก่อน แล้วยวดซิมอ๋องก็ขึ้นฝั่งรีบไปแต่ผู้เดียว

แต่ทั้งสามคอยอยู่ที่เรือหลายวัน ไม่เห็นยวดซิมอ๋องกลับมาก็ไม่สบายใจ จึงปรึกษากันว่าจะมานั่งนิ่งคอยอยู่ดังนี้ไม่ถูก ควรจะต้องไปฟังข่าวดูให้รู้แน่ ว่าดีร้ายประการใด ทั้งสามเห็นพร้อมกัน จึงคิดเงินค่าจ้างให้เจ้าของเรือ แล้วก็พากันขึ้นบกเดินไปจนค่ำ จะหาโรงเตี๊ยมและบ้านราษฎรเป็นที่พักอาศัยก็ไม่มี จึงเดินต่อไปอีกไม่นาน แลเห็นเรือนมุงด้วยหญ้าตามไฟตะเกียงสว่างอยู่ในป่า ก็เดินตรงเข้าไปจะขออาศัย กลับไปพบเสือสองตัวเดินผ่านมา ต่างก็ตกใจกลัวพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด

ลิวซูพลัดไปแต่ผู้เดียว จนพบกับลิ่วล้อพวกโจรสองสามคน เดินมาจึงบอกว่าตนเป็นคนอนาถา พลัดเพื่อนฝูงไม่มีเงินทองติดตัวมา ขอท่านทั้งหลายจงเมตตาด้วย ลิ่วล้อก็บอกว่า

“……ท่านอย่าวิตกเลย นายข้าพเจ้าเป็นคนใจสัตย์ซื่อ คิดจะทำราชการให้ชื่อเสียงปรากฎ บัดนี้จัดเรือไปเที่ยวตามฮู่ม้า ปรารถนาจะหาความชอบ ครั้นไปถึงกลางทะเลสาป เรือถูกพายุเสากระโดงหักใบขาดไปไม่ได้ แวะเข้ามาจอดอยู่ที่ตำบลเอียงจือกัง…….”

ลิวซูได้ฟังก็ยินดี บอกว่าตนเองคือฮู่ม้าที่กำลังตามหาตัวกันอยู่ จงพาไปหานายของท่านเถิด ลิ่วล้อก็พาลิวซูไปหานายโจร เมื่อพบกันแล้วลิวซูก็เล่าเรื่องของตนให้ทราบ นายโจรก็บอกว่าตนชื่อเตียวเหา แล้วเชิญลิวซูลงไปในเรือ สั่งให้ลูกเรือจัดโต๊ะสุราอาหารมารับรองอย่างดี และเล่าเรื่องที่ตนได้ช่วยเหลือนางลิวเอ๋งจากหลวงจีนเต้าเฉง และพาไปอุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงไว้ที่เขาอึงเถ้าซัวให้ฟัง

ลิวซูก็มีความยินดียิ่งนัก พูดว่า

“………..บุญคุณท่านครั้งนี้หาที่สุดมิได้ ถ้าข้าพเจ้ากลับไปถึงเมืองเซียงอานแล้ว จะกราบทูลพระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ ยกความชอบของท่านขอให้เป็นที่มียศถาศักดิ์จงได้……”

ครั้นกินโต๊ะแล้ว เตียวเหาก็สั่งให้ลูกเรือจัดแจง จะเดินทางกลับไปเขาอึงเถ้าซัว แต่ลิวซูขอร้องให้อยู่ก่อน เพราะยวดซิมอ๋องได้เข้าเมือง ไปตามหานางแบ๊ลวนเองผู้น้องสาว ยังไม่กลับมา เตียวเหาก็ว่า

“…….นางลิวเอ๋งผู้ภรรยาร้องไห้เศร้าโศก คิดถึงท่านอยู่ทุกเวลามิได้ขาด ชอบแต่จะไปเยี่ยมเยือนพบปะกันสักครั้งหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยจัดไพร่พลยกไปตามยวดซิมอ๋องต่อภายหลัง จึงจะควร……..”

ลิวซูฮู่ม้าแย้งว่า

“……..ธรรมดาสามีก็เป็นที่เสน่หารักใคร่กันมาก แต่สู้พี่น้องไม่ได้ ประการหนึ่งนางลิวเอ๋งนั้นท่านก็ทำนุบำรุงไว้ ได้มีความสุขสบายแล้ว ข้าพเจ้าก็สิ้นวิตก ต้องรีบไปตามหา ยวดซิมอ๋องให้รู้เหตุดีและร้ายก่อน จึงจะชอบ…….”

เตียวเหาได้ฟังก็เห็นด้วย จึงสั่งให้ลูกน้องถอนสมอกางใบ แล้วนำเรือแล่นตรงไปเมืองเตงเฮงกุ้ย แทนที่จะไปเขาอึงเถ้าซัว

ส่วนเตียวเตียนกับลีหงนั้น ตั้งแต่หนีเสือพลัดพรากกับลิวซูไป ก็มีความวิตกเที่ยวตามหาก็ไม่พบ เตียวเตียนว่า

“………ยวดซิมอ๋องฝากลิวซูไว้กับเรา บัดนี้ลิวซูหายไปไม่รู้ว่าจะเป็นประการใด ถ้ายวดซิมอ๋องรู้ก็คงจะโกรธทำโทษเรามาก จะคิดการอย่างไรดี……”

ลีหงก็ว่า

“……..ลิวซูเป็นผู้มีวาสนา ถึงจะตกยากลำบากสักเท่าใดก็คงไม่เป็นอันตราย แต่เราต้องสืบเสาะติดตามไปให้พบลิวซูจงได้ ถึงตัวจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต……”

เตียวเตียนก็เห็นด้วย แต่เมื่อทั้งสองเดินทางไปได้วันเดียว ลีหงก็ป่วยลงต้องเข้า ไปพักในโรงเตี๊ยม เตียวเตียนก็หาหมอมารักษาพยาบาลกันอยู่ที่นั้น ไม่อาจติดตามหาพรรคพวก ที่พลัดพรากแยกย้ายกันไปคนละทางได้.

###########

ฟ้าหม่น วารสารทหารม้า
กันยายน ๒๕๕๐




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 18:47:58 น.
Counter : 350 Pageviews.  

ตอนที่ ๖ ตามหาญาติ

ทหารกล้าแผ่นดินฮั่น

ตอนที่ ๖ ตามหาญาติ

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ย้อนกลับไปกล่าวถึงยวดซิมอ๋องหรือแบ๊จุ้น กับเตียวเตียน และลีหง ซึ่งฮ่องเต้มีรับสั่งให้ไปตามหาลิวซูนั้น เมื่อเดินทางไปถึงเขาเฮาเภาซัวแขวงเมืองลงเอี๋ยง ก็มีลิ่วล้อโจรพวกหนึ่งมาสกัดห้ามไว้ จะเอาเงินค่าผ่านทาง ยวดซิมอ๋องก็ถามว่านายเจ้าชื่อแซ่ไร ลิ่วล้อก็บอกว่าชื่อ เปากัง ยวดซิมอ๋องก็ดีใจคุกเข่าลงคำนับเทพยดาฟ้าดิน เตียวเตียนและลีหงก็ถามว่าท่านเห็นพวกโจรมาแล้วยินดีด้วยเหตุใด ยวดซิมอ๋องก็บอกว่า เปากังที่เป็นนายโจรที่เขานี้เป็นน้องที่สี่ของเรา เผอิญให้มาพบกันจึงดีใจ แล้วก็สั่งพวกลิ่วล้อว่าจงไปบอกแก่นายเจ้าเถิดว่า เราชื่อแบ๊จุ้นจะมาหาด้วยเป็นการร้อน

เมื่อลิ่วล้อกลับไปแจ้งความ เปากังก็ยินดียิ่งนักรีบลงมารับขึ้นไปบนเขา ให้นั่งในที่สมควรและให้ยกน้ำชามาเลี้ยง แล้วเปากังจึงถามยวดซิมอ๋องว่าสองนี้คือผู้ใด ยวดซิมอ๋องก็บอกชื่อแซ่ให้ และว่าสองคนนี้มีคุณแก่ลิวซูมาก และถามเปากังว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่

เปากังก็เล่าว่า

“…….ตั้งแต่ท่านจากไปแล้ว บิดามารดาข้าพเจ้าถึงแก่กรรมทั้งสองคน ข้าพเจ้าจึงได้เที่ยวเตร่มาพบนายโจรที่เขานี้ นายโจรนั้นเที่ยวข่มเหงราษฎรชาวบ้านให้ได้ความเดือดร้อน ข้าพเจ้าห้ามปรามก็ไม่ฟัง กลับว่ากล่าวด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง ๆ ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูไม่เห็นมีคุณแก่แผ่นดิน จึงได้ฆ่าเสีย พวกลิ่วล้อเห็นว่ามีฝีมือก็ยอมสามิภักดิ์ ยกข้าพเจ้าขึ้นเป็นตัวนายอยู่ที่เขานี้………”

พูดแล้วเปากังก็ให้คนใช้ยกโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงกันเป็นที่สบาย เปากังจึงถามยวดซิมอ๋องบ้างว่าจะไปข้างไหนมีธุระสิ่งใดจึงมาทางนี้ ยวดซิมอ๋องก็เล่าความตั้งแต่ตนไปอยู่ที่เขาตังหงซัว จนได้ไปทำราชการที่เมืองเชียงอาน และฮ่องเต้รับสั่งให้มาตามหาลิวซูนั้น ทุกประการ

เปากังก็มีความยินดีและจะตามไปเป็นเพื่อนด้วย ยวดซิมอ๋องก็ว่าจะไปแต่สามคนก่อน เมื่อมีธุระสิ่งใดเป็นข้อสำคัญ จึงจะมาบอกให้ไปช่วยกัน ครั้นกินเลี้ยงเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ลาเปากังเดินทางต่อไป

เมื่อเดินทางไปได้สองวัน ใกล้จะถึงบ้านเอียเองผู้เป็นน้า ยวดซิมอ๋องก็อยากจะไปเยี่ยมนางแบ๊ลวนเองน้องสาว ที่ฝากให้น้าเลี้ยงดูไว้ แต่เกรงว่าจะเป็นการแชเชือนเสียราชการตามที่มีรับสั่ง เตียวเตียนก็ว่าถึงจะเป็นรับสั่งก็จริงแต่ไม่ได้กำหนดวัน น้องท่านเป็นสาวเรามาใกล้แล้ว ต้องแวะไปเยี่ยมให้รู้เหตุร้ายดีจึงจะควร ยวดซิมอ๋องจึงพาเพื่อนทั้งสองไปที่บ้านเอียเอง คนใช้บอกว่าเอียเองป่วยอยู่ จึงพาขึ้นไปบนเรือน เห็นมีชาวบ้านอยู่บนหอนั่งเป็นอันมาก ยวดซิมอ๋องก็เข้าไปหาเอียเองข้างในห้อง เอียเองก็ถามข่าวคราวที่จากไปเกือบสองปี ยวดซิมอ๋องก็เล่าเรื่องของตนให้ฟังโดยละเอียด เอียเองก็ดีใจบอกว่า เราไม่ได้เจ็บไข้สิ่งใดดอก แต่วิตกทุกข์ตรอมด้วยน้องสาวเจ้าจึงไม่สบาย

ยวดซิมอ๋องได้ฟังก็ตกใจว่าน้องสาวของตนทำความชั่วสิ่งใดหรือ เอียเองก็เล่าว่า

“…….เมื่อเดือนสามขึ้นเก้าค่ำ ไปคำนับที่ฝังศพบิดามารดา พอฬ่อเซงนายโจรที่เขาเสียวเนียวซัวมาเที่ยวเล่น แลเห็นเข้าก็ชอบใจมาขอเป็นภรรยา เราไม่ยอมให้ ฬ่อเซงโกรธกำหนดอีกสามวันจะคุมพวกบริวาร มาตีปล้นบ้านเรา การดังนี้จึงได้วานพวกพ้องมาช่วยระวังรักษา…….”

ยวดซิมอ๋องก็ว่าการเพียงนี้จะวิตกทุกข์ร้อนไปทำไม ไว้ธุระตนจะจัดการเอง เอียเองก็มีความยินดีพากันออกมานั่งที่หน้าหอ ยวดซิมอ๋องจึงให้คนใช้ไปเรียกนางแบ๊ลวนเอง ผู้น้องออกมาพบ นางก็ออกมาคำนับพี่ชาย ยวดซิมอ๋องก็ให้คำนับเตียวเตียนและลีหงให้รู้จักไว้ นางก็ถามว่าพี่ท่านไปอยู่ที่ไหนเป็นช้านาน ไม่ได้ข่าวคราวเลย ยวดซิมอ๋องก็เล่าความตามเรื่องที่ผ่านมาให้ฟัง นางก็ยินดีที่พี่ชายมียศใหญ่อยู่ในเมืองหลวง คืนนั้นยวดซิมอ๋องกับเพื่อนก็พักอยู่ที่บ้านของเอียเอง

รุ่งเช้ายวดซิมอ๋องจึงเขียนหนังสือ ให้ลีหงถือไปหาฬ่อเซงที่เขาเสียวเนียวซัว ต้องเดินทางไปประมาณสิบลี้ เมื่อถึงก็บอกลิ่วล้อว่า จงไปบอกฬ่อเซงให้มาคำนับรับหนังสือยวดซิมอ๋องโดยเร็ว ฬ่อเซงก็ลงจากเขามาพบลีหง ถามว่าท่านชื่อแซ่ใดมีกิจธุระอันใด ลีหงก็บอกว่าตนเป็นทหารของยวดซิมอ๋อง ถือหนังสือมาให้ ฬ่อเซงถามว่ายวดซิมอ๋องคือผู้ใด ลีหงก็บอกว่า ชื่อแบ๊จุ้นเดิมเป็นนายโจรอยู่เขาตังหงซัว

ฬ่อเซงรับหนังสือมาเปิดผนึกออกอ่าน มีใจความว่า เราชื่อแบ๊จุ้นแจ้งความมายังท่านฬ่อเซง ซึ่งเป็นนายใหญ่อยู่ที่เขาเสียวเนียวซัว ด้วยบัดนี้ท่านตั้งตัวเป็นใหญ่แล้ว ไม่ควรกระทำข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน ถ้าหาผลประโยชน์โดยการเป็นธรรม ชื่อเสียงจะหอมปรากฎ เป็นที่สรรเสริญแก่คนทั้งหลาย เหมือนตัวข้าพเจ้าเดิมตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เขาตังหงซัว แต่อุตส่าห์ประพฤติความดี พระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ทรงทราบ จึงได้เกลี้ยกล่อมเอาข้าพเจ้าไปตั้งเป็นที่ยวดซิมอ๋อง บัดนี้มีรับสั่งให้เที่ยวสืบเสาะติดตามลิวซูฮู่ม้า ครั้นมาถึงบ้านเอียเองผู้น้าบอกข้าพเจ้าว่า ท่านมาขอนางแบ๊ลวนเองน้องข้าพเจ้าจะเอาไปเป็นภรรยา เอียเองไม่ยอมให้ ท่านโกรธกำหนดวันจะยกพวกมาตีปล้นบ้านเรือนนั้น ผิดธรรมเนียมนัก ทำให้ราษฎรตกใจวุ่นวายมาก ข้าพเจ้าจึงมีหนังสือให้ลีหงผู้เป็นไต้เจียงกุนถือมาให้ทราบ ถ้าท่านยังรักชื่อเสียงและจะนับถือว่าข้าพเจ้าเป็นพวกพ้องแล้ว จงอดใจรักความสัตย์สุจริตไว้ให้มั่นคง ถ้าข้าพเจ้ากลับไปถึงเมืองเซียงอานเมื่อไร จะยกความดีของท่านขึ้นกราบทูลพระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ก็คงจะโปรดตั้งแต่งให้ท่านเป็นที่มียศใหญ่ขึ้น ชื่อเสียงก็จะปรากฎอยู่ในแผ่นดิน ถ้าท่านไม่เชื่อขืนจะถืออำนาจว่ามีพวกมาก ข้าพเจ้าก็จะต้องขออยู่ให้ถึงวันกำหนด จะได้ลองฝีมือกับท่านให้ถึงแพ้ชนะ

ฬ่อเซงอ่านหนังสือสิ้นข้อความแล้ว จึงพูดกับลีหงว่า

“…….ท่านได้เมตตาข้าพเจ้า ช่วยอ้อนวอนขอโทษยวดซิมอ๋องให้ดีด้วย แต่เดิมข้าพเจ้าไม่ทราบเลยว่า นางแบ๊ลวนเองเป็นน้องยวดซิมอ๋อง จึงได้บังอาจจะไปแย่งชิงเอา ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำล่วงเกินผิดไปแต่เดิมนั้น ขอจงอดโทษเอาไว้ใช้สอยต่อไปภายหน้าเถิด……”

ลีหงก็รับคำกลับมาบอกยวดซิมอ๋อง ตามคำของฬ่อเซงทุกประการ ยวดซิมอ๋องก็ยินดีสรรเสริญว่าฬ่อเซงนี้มีสติปัญญา ควรจะเอาไว้เป็นพวกพ้องได้ พวกชาวบ้านที่นั่งอยู่นั้นก็พากันสรรเสริญยวดซิมอ๋องว่า

“…ท่านประพฤติการดีมีชื่อเสียงปรากฎจริง นี่หากว่าท่านมาทัน ถ้าหาไม่พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย ที่ไหนจะสู้รบต้านทานพวกโจรได้ คงเป็นอันตรายยับเยินไปด้วยกันทั้งตำบล…”

ยวดซิมอ๋องก็ว่า

“……การเป็นทั้งนี้ก็เพราะเราถือความสัตย์สุจริต มิได้คิดเบียดเบียนท่านผู้ใดให้ได้ความเดือดร้อน เทพยดาฟ้าและดินจึงบันดาลให้คนทั้งปวงนิยมนับถือ……”

พวกพ้องชาวบ้านทั้งหลายได้ฟัง ก็มีความยินดีต่างคนคำนับลากลับไปบ้าน ยวดซิมอ๋องพักอยู่ที่บ้านเอียเองได้สามวันก็จะลาไป เอียเองก็ว่า

“……..ทุกวันนี้ตัวเราก็แก่ชราลงมากแล้ว คนที่ประพฤติตัวเป็นพาลก็ชุกชุมนัก ที่จะบำรุงเลี้ยงรักษานางแบ๊ลวนเองน้องสาวเจ้าต่อไปนั้น เห็นเหลือกำลัง บัดนี้เจ้ามีความสุขเจริญขึ้นแล้ว จงพาไปเสียด้วยเถิด…….”

ยวดซิมอ๋องก็ว่า

“……….ข้าพเจ้ามาด้วยราชการ จะต้องเที่ยวสืบเสาะหาลิวซูฮู่ม้าต่อไปอีก ใช่ว่าจะกลับไปบ้านเดิม หรือไปเมืองหลวงเมื่อไร แต่น้าไม่รับไว้แล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องพาไปด้วย…….”

พูดแล้วก็เรียกนางแบ๊ลวนเองออกมาสั่งว่า

“………เจ้าจงแต่งตัวปลอมเป็นผู้ชายไปกับพี่เถิด ด้วยเอียเองผู้น้าเขาไม่ยอมให้เจ้าอยู่แล้ว……..”

นางแบ๊ลวนเองก็เอาเสื้อกางเกงแต่งตัวเป็นผู้ชาย เก็บรวบรวมเงินทองสิ่งของที่ดีมีราคาพอสมควร แล้วคำนับลาเอียเองไปกับยวดซิมอ๋อง

ครั้นเดินทางไปได้ครึ่งวัน นางแบ๊ลวนเองก็อ่อนกำลังลง ยวดซิมอ๋องก็เอาม้าของตนให้น้องสาวขี่ แต่นางก็ขี่ไม่สันทัดไปได้ประมาณลี้หนึ่ง ก็พลัดตกลงมา เตียวเตียนกับลีหงก็ผลัดกันประคองให้เดินต่อไป จนเย็นจึงถึงเมืองเตงฮงกุ้ย ก็แวะเข้าไปที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

ยวดซิมอ๋องเห็นหน้าเจ้าของโรงเตี๊ยมเหมือนคนรู้จัก จึงถามว่าท่านชื่อแบ๊ยี่ใช่หรือไม่ ชายผู้นั้นก็รับว่า ตนนี้แหละชื่อแบ๊ยี่ เป็นคนใช้ของบิดาท่าน เมื่อบิดาท่านป่วยหนักลงนั้น ได้ปล่อยให้ไปเที่ยวทำมาหากิน ได้เงินมาทำทุนเล็กน้อย ครั้นบิดาท่านตายแล้วก็มาตั้งโรงเตี๊ยมขายของอยู่ที่นี่ เมื่อท่านมาถึงจะทักทายหรือก็ยังคิดสงสัย จำไม่ได้ถนัด

ยวดซิมอ๋องก็ว่าตนคิดแคลงอยู่เหมือนกัน ไม่เป็นไรดอก จงบอกภรรยาท่านออกมาหาสักหน่อย แบ๊ยี่ก็พาภรรยาออกมาคำนับยวดซิมอ๋อง แล้วยวดซิมอ๋องก็เล่าความตามที่มี รับสั่งให้มาตามหาลิวซูฮู่ม้า จนมาพบนางแบ๊ลวนเองผู้น้อง ให้ฟังทุกประการ แล้วขอฝากน้องสาวไว้ด้วย ตนเองจะไปติดตามหาฮู่ม้าต่อไป แบ๊ยี่กับภรรยาก็รับว่าจะดูแลทำนุบำรุงน้องสาวของ ยวดซิมอ๋อง ตามกำลังสติปัญญา ยวดซิมอ๋องก็ให้เงินไว้สองร้อยตำลึง และให้ปิดร้านเลิกขายของเสีย สองสามีภรรยาก็รับคำแล้วจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงกันเป็นที่สำราญ

ยวดซิมอ๋องพักอยู่ที่บ้านแบ๊ยี่สองสามวันพอหายเหนื่อย ก็เดินทางต่อไปกับ เตียวเตียนและลีหง เดินทางไปสามวันก็ถึงเมืองเซียงเอียงฮู จึงแวะพักที่โรงเตี๊ยมในเมือง เห็นผู้คนเดินพลุกพล่านนัก ก็ถามเจ้าของโรงเตี๊ยมว่าวันนี้มีงานอะไรที่ไหนหรือ ผู้คนจึงเดินไปมามากมายผิดประหลาด

เจ้าของโรงเตี๊ยมก็บอกว่า วันนี้เขาจะเอาตัวผู้ร้ายไปประหารชีวิตที่ท้องสนาม ผู้ร้ายคนนี้เป็นชาวเมืองเซียงอาน แต่งตัวปลอมเป็นผู้หญิงมาเที่ยวหลอกลวงขายตัว เอาเงินเขาหลายแห่ง แล้วไปอยู่กับลูกสาวเขาด้วย บู๊ไต้หยงจับตัวเอามาส่งแปะเตงเจ้าเมือง ชำระไต่ถามก็อ้างว่าเป็นฮู่ม้า เจ้าเมืองไม่เชื่อจึงขังคุกไว้ แล้วทำหนังสือบอกไปยังเมืองเชียงอาน บัดนี้มีหนังสือตอบมาว่าให้ประหารเสีย จึงจะประหารในวันนี้ ยวดซิมอ๋องก็ตกใจชวนเตียวเตียนกับลีหง รีบออกจากโรงเตี๊ยมไปยังท้องสนามโดยเร็ว

ขณะนั้นนางกิมเหนียวญาติของลิวซู ซึ่งมาขายตัวอยู่ที่เรือเท้งของนางอาจับเจ๋ และเคยหาทางจะช่วยลิวซูให้หนีไปนั้น เมื่อได้ทราบข่าวว่าเจ้าเมืองเซียงเอียงฮู สั่งให้เอาตัวลิวซูไปประหารเสียในวันนั้น ก็เสียใจเป็นยิ่งนัก แต่ไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงจัดแจงข้าวของเครื่องเซ่น จะมาเซ่นศพลิวซู ครั้นมาถึงริมสนามเห็นลิวซูต้องมัดอยู่กับหลักประหาร ก็เวทนาเป็นกำลัง ไม่อาจกลั้นความเศร้าโศกไว้ได้ จึงร้องไห้คร่ำครวญกลิ้งเกลือกอยู่ในที่นั้น

ฝ่ายลิวซูก็นั่งรอชตากรรมของตนอยู่ ด้วยไม่มีความหวังว่าผู้ใดจะมาช่วยชีวิตไว้ได้ เพราะไม่รู้ว่ายวดซิมอ๋องหรือแบ๊จุ้นผู้พี่ร่วมสาบาน ได้มาถึงเมืองเซียงเอียงฮูแล้ว.

###########

ฟ้าหม่น วารสารของทหารม้า
กรกฎาคม ๒๕๕๐




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 18:45:37 น.
Counter : 812 Pageviews.  

ตอนที่ ๕ กรรมยังไม่สิ้น

ทหารกล้าแผ่นดินฮั่น

ตอนที่ ๕ กรรมยังไม่สิ้น

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อนางลิวเอ๋งได้ทราบความจากบู๊อั้น ว่าลิวซูที่ปลอมตัวเป็นหญิงอยู่ร่วมห้องกับตนมาถึงสองเดือนนั้น เป็นบุตรเขยของฮ่องเต้จริง นางก็ดีใจอยากจะฝากชีวิตไว้กับชายหนุ่มผู้นี้ ครั้นลิวซูถามว่าจะให้ตนแทนคุณด้วยประการใด นางก็ข่มความอายบอกไปว่า

“…….บิดามารดาข้าพเจ้าก็ถึงแก่กรรมเสียสิ้นแล้ว ยังอยู่แต่พี่ชายอีกคนหนึ่งจะเอาเป็นที่พึ่งมิได้ ข้าพเจ้าจะขอฝากตัวแก่ท่าน แต่ไม่ทราบว่าท่านจะเมตตาหรือไม่……..”

ลิวซูก็สนองตอบว่า ตนเองก็คิดตรึกตรองมานานแล้ว แต่เกรงใจนางไม่อาจจะพูดออกมาได้ นางลิวเอ๋งก็ว่า

“…….กลัวแต่ท่านจะไม่เมตตาจริง พูดแต่ได้สมปรารถนาแล้ว ถ้ากลับไปอยู่กับนางตกเอี๋ยงกงจู๊ ก็จะลืมข้าพเจ้าเสีย…….”

ลิวซูก็ว่าถ้านางไม่เชื่อก็จงทำสัตย์สาบานเสียด้วยกัน นางลิวเอ๋งก็ยินดีจุดธูปเทียนพากันออกไปกลางแจ้ง ลิวซูก็สาบานว่า ถ้าตนได้ดีแล้วละทิ้งนางลิวเอ๋งเสีย ไม่เลี้ยงเป็นภรรยา ขอให้ตนถึงแก่ความตายด้วยสัตว์ร้ายต่าง ๆ นางลิวเอ๋งก็สาบานว่า ถ้านางไม่ซื่อตรงต่อลิวซู ก็ขอให้เป็นอันตรายแก่ชีวิต เมื่อกำลังมีครรภ์ แล้วทั้งคู่ก็จูงมือกันมานั่งกินโต๊ะ เสพสุราพูดจากันเล่นเป็นที่เจริญใจ แล้วก็พากันขึ้นไปนอนบนเตียงร่วมกันอย่างมีความสุข

ครั้นถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ลิวซูจึงบอกให้นางลิวเอ๋งคิดแก้ไข ให้ตนได้กลับไปเมืองหลวงเสียโดยเร็วเถิด จะได้มีความสุขด้วยกัน นางก็ว่าเพิ่งอยู่ด้วยกันวันเดียว จะทิ้งไปเสียนั้นไม่ยอม จงอยู่ให้ครบเดือนก่อนจึงจะปล่อยให้ไป ลิวซูก็จนใจมิอาจพูดประการใด

พออยู่กันมาได้สิบห้าวัน นางลิวเอ๋งก็บอกว่า

“……..พรุ่งนี้นางพัวสีพี่สะใภ้ข้าพเจ้าจะทำการแซยิด เวลาค่ำวันนี้ข้าพเจ้าต้องไปช่วยทำกับข้าวของกินอยู่เรือนโน้น ซึ่งท่านจะอยู่บนเหลานี้แต่ผู้เดียวนั้นเห็นไม่ได้ กลัวบู๊ไต้หยง พี่ชายข้าพเจ้าจะขึ้นมารบกวน ท่านจงไปทำขนมกับข้าพเจ้าแต่อย่านั่งให้ห่างกัน…….”

ลิวซูก็เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงแต่งตัวไว้ให้พร้อม แต่บู๊ไต้งหยงซึ่งคิดโกรธน้องสาวมานานแล้วว่า ไม่รู้จักน้ำใจของตนเลย ให้หญิงสาวใช้ไปไว้ก็กักขังเสีย ไม่ปล่อยให้ลงมาเที่ยวเล่นบ้าง เวลาค่ำจึงมาแอบซุ่มอยู่ใต้บันได ครู่หนึ่งก็เห็นนางกุ้ยหวยหรือลิวซูลงมาจากเหลา บู๊ไต้หยงก็จับชายเสื้อไว้แล้วว่า วันนี้เจ้าหนีเราไม่พ้นเป็นแน่แล้ว นางกุ้ยหวยปลอมก็ตกใจจนของหลุดตกจากมือ แต่แข็งใจพูดว่า อย่าทำวุ่นวายไปน้องสาวท่านตามมาข้างหลัง

บู๊ไต้หยงก็ไม่ฟังฉุดลากมาที่ใต้บันได ปล้ำถอดเสื้อกางเกงออกเห็นเป็นผู้ชายก็โกรธ ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าผู้ร้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน คนใช้ได้ยินก็กรูกันมาช่วยจับตัวลิวซู มัดไว้กับเสาบ้านแล้วทุบตีเป็นอันมาก ลิวซูก็ร้องว่าตนมิใช่ผู้ร้ายมาลักทรัพย์สินเงินทองอะไร แต่เป็นฮู่ม้ามาจากเมืองหลวง บู๊ไต้หยงก็ว่า

“…….ถ้าเป็นฮู่ม้าแล้วเหตุไฉนจึงมาแต่งตัวปลอม เที่ยวหลอกลวงขายเอาเงินเขาดังนี้เล่า ถึงเงินเราจะสูญเสียไปมากน้อยเท่าใดก็ไม่ว่า นี่แกล้งนิ่งอยู่กับน้องสาวเราช้านาน หากว่าจับเจ้าไม่ได้แล้ว น้องเราจะมิเสียชื่อเสียงไปด้วยหรือ…….”

ขณะนั้นนางพัวสีนั่งอยู่ในเรือน ได้ยินเสียงอื้ออึงก็เดินออกมาดู ลิวซูจึงบอกนางพัวสีว่า

“…….ข้าพเจ้าเป็นบุตรลิวบ๋าย ซึ่งเป็นที่จอเซงเซียขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการอยู่ที่เมืองเซียงอาน ข้าพเจ้าหาได้เป็นโจรผู้ร้ายไม่ ขอท่านจงยกโทษให้ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด…….”

บู๊ไต้หยงจึงพูดกับนางพัวสีว่า

“……จะเชื่อฟังอะไรแก่คนพาล เที่ยวหลอกลวงขายตัว เอาเงินเขามาหลายแห่งแล้ว ชอบแต่ตีเสียให้แทบตาย…..”

นางพัวสีก็ว่าจะทำตามอำเภอใจไม่ถูก ถึงผิดชอบประการใด ต้องส่งไปให้เจ้าเมืองชำระโทษจึงจะควร บู๊ไต้หยงจึงเขียนหนังสือแจ้งความต่อเจ้าเมืองเซียงเอียงอู ว่าลิวซูเป็นชายแต่งกายปลอมเป็นหญิง หลอกลวงเอาเงินเขาหลายแห่ง จึงส่งตัวมาให้ชำระ สุดแต่จะทำโทษ แล้วให้คนใช้คุมตัวลิวซูไปส่งให้เจ้าเมือง แปะเตงเจ้าเมืองสอบถามลิวซูก็ยืนยันว่าตนเป็นฮู่ม้า มิใช่ผู้ร้ายและไม่ยอมคำนับเจ้าเมือง จึงถูกสั่งให้ตีสี่สิบที ลิวซูกลัวเจ็บจึงต้องยอมรับว่าเป็นผู้ร้าย เจ้าเมืองจึงให้เอาตัวไปขังคุกไว้

คนใช้ ก็กลับมาเล่าความให้บู๊ไต้หยงกับภรรยาฟัง นางพัวสีก็ไปหานางลิวเอ๋งบนเหลาเล่าเรื่องให้ทราบ แล้วถามว่า คนร้ายนั้นเป็นผู้ชาย เหตุใดจึงไม่บอกกล่าวให้รู้ ปิดความไว้เป็นหลายเดือน นางลิวเอ๋งก็เล่าให้ฟังว่า

“……..ข้าพเจ้าเห็นว่ารูปร่างลักษณะ กิริยาอัชฌาสัยก็เรียบร้อย มีสติปัญญาเรียนรู้หนังสือลึกซึ้งมาก ข้าพเจ้าจึงให้บู๊อั้นไปเมืองเซียงอาน สืบข่าวดูก็รู้แน่ว่าเป็นฮู่ม้าจริง สมกับคำลิวซูเล่าให้ฟังทุกข้อ ครั้นจะบอกให้บู๊ไต้หยงพี่ชายข้าพเจ้ารู้ ก็เห็นว่าเป็นคนใจเร็วโทโสมาก กลัวจะเกิดความใหญ่……..”

แล้วนางลิวเอ๋งก็ร้องไห้สอึกสอื้นเป็นอันมาก นางพัวสีได้ฟังและดูกิริยาก็รู้ชัดว่า นางลิวเอ๋งกับลิวซูได้เสียเป็นสามีภรรยากันแล้ว ก็พาไปหาบู๊ไต้หยง นางลิวเอ๋งก็คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า

“….ลิวซูนี้เป็นบุตรลิวบ๋ายขุนนางผู้ใหญ่เป็นฮู่ม้าจริง ขอพี่ท่านได้เมตตาช่วยสงเคราะห์ให้ลิวซูพ้นโทษด้วยเถิด ต่อไปภายหน้าถ้าเขามีวาสนามากขึ้น พวกเราจะได้พลอยมีความสุขสบายด้วย…….”

บู๊ไต้หยงยิ่งโกรธมากขึ้นพูดว่า

“……คนเช่นนี้เสียชาติเกิดมาร่วมบิดามารดาเดียวกัน ทำให้ได้ความอัปยศนัก ไม่ควรเลี้ยงไว้ ครั้นจะเฆี่ยนตีเสียให้ตายก็กลัวความติเตียนนินทา เจ้าอย่าอยู่เป็นมนุษย์กับเขาเลย จงไปฆ่าตัวตายเสียเองเถิด เราไม่ขอเห็นหน้าต่อไปแล้ว…….”

นางลิวเอ๋งได้ฟังก็คิดแค้นใจนัก มิได้พูดประการใด คำนับลากลับมาที่อยู่ เอาเชือกผูกคอปรารถนาจะให้ตาย นางพัวสีก็รีบตามมาแก้เอาไว้ได้ แล้วบอกว่า

“…….เจ้าอย่าฆ่าตัวให้ตายเสียเลย จงแต่งตัวปลอมเป็นผู้ชาย ให้บู๊อั้นกับภรรยาพาไปเมืองเซียงอาน บอกกับลิวบ๋ายบิดาลิวซู ให้รีบมาช่วยลิวซูให้พ้นโทษโดยเร็ว จึงจะชอบ…….”

แล้วนางพัวสีก็เอาเสื้อกางเกงเครื่องแต่งตัวผู้ชายมาสวมใส่ให้ และเรียกบู๊อั้นกับภรรยามาสั่ง ให้พานางลิวเอ๋งไปเมืองเซียงอาน และหยิบเงินมอบให้นางลิวเอ๋งสามร้อยตำลึง แล้วเปิดประตูหลังบ้านให้ทั้งสามหนีออกทางสวนดอกไม้ เดินทางไปโดยเร็ว

บู๊อั้นกับภรรยาพานางลิวเอ๋งเดินทางไปหลายวัน พอถึงวัดแปะซงยี่ก็มีฝนตกหนัก จึงแวะเข้าไปอาศัยหลบฝนอยู่ที่ประตูวัด หลวงจีนเต้าเฉงซึ่งเป็นเจ้าอาวาสเห็น ก็มาเชิญเข้าไปพักในวัด จัดให้นั่งในที่สมควรแล้วก็ยกน้ำชามาเลี้ยง นางลิวเอ๋งกับสองสามีภรรยากินน้ำชาแล้ว ก็นับเงินให้หลวงจีนสิบตำลึงเป็นค่าใบชาแล้วก็จะลาไป เผอิญฝนตกพรำยังไม่ขาดเม็ด และเป็นเวลาพลบค่ำ ก็เลยพักอยู่จนดึกประมาณสองยามเศษ ทั้งสามคนก็หลับไป หลวงจีนเต้าเฉงมาจุดไฟส่องดู เห็นห่อผ้าใหญ่สำคัญว่ามีเงินทองมาก ก็เข้ามาหยิบเอาห่อผ้า

พอดีบู๊อั้นตื่นขึ้นมาก็แย่งชิงเอาห่อผ้าคืน หลวงจีนกับบู๊อั้นก็ต่อสู้ชกต่อยกัน บู๊อั้นเสียทีถูกหลวงจีนตีถูกที่สำคัญขาดใจตาย แล้วไปค้นดูตัวนางลิวเอ๋งและภรรยาบู๊อั้น เห็นเป็นผู้หญิงก็ดีใจ พูดว่าเราจะเลี้ยงเจ้าไว้เป็นภรรยา เจ้าจะว่าประการใด ภรรยาบู๊อั้นจึงบอกว่านางลิวเอ๋งนั้นเป็นภรรยาน้อยของลิวซูฮู่ม้า ซึ่งท่านจะเลี้ยงดูอยู่กินด้วยกันเห็นจะไม่ได้ หลวงจีนเต้าเฉงก็ว่าถ้าไม่ยอมโดยดีก็จะฆ่าเสียเดี๋ยวนี้ ภรรยาบู๊อั้นคิดจะหาอุบายผลัดให้ช้าวันไปก่อนจึงว่า ถ้าท่านไม่เมตตาก็ต้องยอม แต่เดี๋ยวนี้ยังขัดอยู่ด้วยร่างกายยังไม่บริบูรณ์ หลวงจีนจึงพานางทั้งสองไปขังไว้ในห้องลั่นกุญแจประตูไว้

นางลิวเอ๋งก็ว่ากับภรรยาบู๊อั้นว่า

“……จะยอมรับเป็นเมียเขาทำไม เมื่อเขาจะฆ่าฟันประการใด เราก็ไม่เสียดายชีวิต…..”

ภรรยาบู๊อั้นก็บอกว่า

“…….เราพูดจาบิดพริ้วไปสักสี่ห้าวัน ถ้ามีคนมาทำบุญไหว้พระ เราจะได้ร้องเรียกให้เขาช่วย เผื่อจะเอาตัวรอดได้บ้าง ข้าพเจ้าเห็นการดังนี้จึงได้รับต่อหลวงจีน…….”

นางลิวเอ๋งก็เห็นด้วย ทั้งสองจึงถูกขังอยู่ในวัดแปะซงยี่ จนถึงวันหนึ่งมีนายโจรชื่อเตียวเหาพาลิ่วล้อเข้ามาในวัด หลวงจีนเต้าเฉงก็ตกใจวิ่งออกไปรับที่ประตู ถามว่าท่านพากันมาด้วยธุระสิ่งใด เตียวเหาก็บอกว่าตนยิงกวางถูก แต่กวางพาลูกเกาทัณฑ์วิ่งเข้ามาในวัดนี้ ท่านจงเอากวางมาส่งเถิด หลวงจีนก็บอกว่าตนถือเพศเป็นหลวงจีน เนื้อสดคาวสิ่งใดหาเป็นธุระไม่ ตามแต่ท่านจะค้นหาเอาเถิด

เตียวเหาก็ใช้ให้พวกลิ่วล้อไปเที่ยวค้นดูให้ทั่ววัด พอเดินมาเห็นลูกเกาทัณฑ์ตกอยู่หน้าประตูห้องแห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเรียกให้ช่วยอยู่ในห้องซึ่งใส่กุญแจ ก็รีบมาแจ้งแก่เตียวเหาให้ทราบว่าไม่พบกวาง ได้ยินแต่เสียงผู้หญิงร้องอยู่ในห้อง ไม่ทราบว่าเหตุผลประการใด เตียวเหาก็เดินไปดูและให้ลิ่วล้อหักกุญแจประตูเปิดออก พานางลิวเอ๋งกับภรรยาบู๊อั้นออกมาได้ ทั้งสองหญิงก็ตกใจกลัวนายโจร พวกลิ่วล้อก็ว่านายของตนเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต อยู่ที่เขาอึงเถ้าซัวห่างไปประมาณสี่สิบลี้ อย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย

นางทั้งสองก็มีความยินดีมาก คุกเข่าลงคำนับเตียวเหา และเล่าความตั้งแต่ต้นจนหลวงจีนฆ่าบู๊อั้น และจับพวกตนไปขังไว้ให้ฟังทุกประการ เตียวเหาก็โกรธด่าว่าหลวงจีนด้วยคำหยาบช้าต่าง ๆ แล้วให้ลิ่วล้อไปค้นดูในห้องหลวงจีนเต้าเฉง ได้เสื้อกางเกงและเงินทองสิ่งของมาครบ ตามคำนางทั้งสองกล่าว เตียวเหาจึงให้จับหลวงจีนเต้าเฉงไปฆ่าเสีย แล้วพานางลิวเอ๋งกับภรรยาบู๊อั้นไปถึงเขาอึงเถ้าซัว จัดที่ให้พักอยู่ตามสมควร และหาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูเป็นอันดี กับบอกว่า นางทั้งสองจงพักอยู่ที่นี่ก่อน ตนจะไปเที่ยวสืบเสาะติดตามหาลิวซูฮู่ม้า แล้วจึงค่อยพากันไป แต่อยู่มาได้ไม่กี่วันเตียวเหาก็ป่วยลง จึงยังไม่ได้ออกไปตามหาลิวซู

ต่อมาพวกลิ่วล้อได้มาแจ้งว่า ยวดซิมอ๋องหรือแบ๊จุ้น กับลิวซูฮู่ม้าพากันมาพักอยู่ที่เมืองเตงฮงกุ้ยแล้ว เตียวเหาก็มีความยินดีจึงสั่งให้ลิ่วล้อจัดเรือสิบลำ แล้วไปบอกกับภรรยาบู๊อั้นกับนางลิวเอ๋งว่า ให้อยู่ช่วยกันระวังรักษาบ้านเรือนให้ดี ตนกับลิ่วล้อจะไปรับยวดซิมอ๋องกับลิวซูที่เมืองเตงฮงกุ้ย นางทั้งสองก็มีความยินดีจัดแจงสิ่งของให้เป็นเสบียงตามทาง แล้วเตียวเหาก็พา ลิ่วล้อลงเรือใช้ใบไปในทะเลสาป พอถึงกลางทะเลก็เกิดลมพายุพัดกล้า เสากระโดงเรือหักใบขาดไปไม่ได้ จนกระทั่งลมพายุสงบแล้ว จึงให้ลิ่วล้อช่วยกันตีกระเชียงเข้าฝั่ง ไปพักอยู่ที่ตำบลเจียจือกัง
จึงยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้พบกับลิวซู.


############

ฟ้าหม่น วารสารของทหารม้า
พฤษภาคม ๒๕๕๐




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2551 5:46:47 น.
Counter : 362 Pageviews.  

ตอนที่ ๔ โจรกลับเป็นขุนนาง

ทหารกล้าแผ่นดินฮั่น

ตอนที่ ๔ โจรกลับเป็นขุนนาง

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่ายลิวบ๋ายครั้นเป็นแม่ทัพนำทหารหมื่นหนึ่ง เดินทางไปถึงเขาตังหงซัว ก็ให้ทหารตั้งค่ายลงไว้ แล้วไปเที่ยวตรวจดูภูมิประเทศ เห็นเป็นเขาสูงใหญ่ ทางที่จะขึ้นเป็นช่องแคบคับขันนัก จึงคิดจะเกลี้ยกล่อมพวกโจร ให้ยอมสามิภักดิ์โดยดี ถ้าขัดแข็งประการใด จึงค่อยยกทหารเข้าตีเอาให้ได้ชัยชนะ คิดแล้วจึงให้ทหารสงบอยู่ มิได้ยกไปรบกับพวกโจร

เมื่อแบ๊จุ้นนายโจรได้ทราบจากลิ่วล้อว่า มีกองทหารหลวงยกมาตั้งค่ายอยู่เชิงเขา ก็แต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถืออาวุธ นำพลลงจากเขาจะดูลาดเลาข้าศึก แต่เห็นธงยี่ห้อลิวบ๋ายเป็นแม่ทัพมาก็หยุดคิดว่า ลิวซูบุตรลิวบ๋ายกับตนได้สาบานเป็นพี่น้องรักใคร่กันสนิท ถ้ายกออกไปรบกับลิวบ๋ายจะมิเป็นคนอกตัญญูต่อมิตรหรือ น่าจะคิดผ่อนผันฟังเหตุการณ์ให้แน่ก่อนจึงควร คิดแล้วแบ๊จุ้นก็กลับขึ้นไปบนเขา สั่งเจียะยุโฮให้เกณฑ์พวกลิ่วล้อช่วยกันรักษาหน้าที่ และทางช่องแคบไว้ให้มั่นคง อย่าเพิ่งออกรบ

เจียะยุโฮจึงถามว่า เหตุใดออกไปถึงกองทัพข้าศึกแล้วไม่รบ รีบกลับมาโดยเร็วนั้นกลัวเขาหรือ แบ๊จุ้นก็บอกว่า

“……..เราไม่กลัวเกรงอะไรดอก แต่ครั้งนี้ลิวบ๋ายเป็นแม่ทัพมา ลิวบ๋ายเป็นบิดาของลิวซู เรากับลิวซูได้สาบานเป็นพี่น้องรักใคร่กันมาก ถ้าเรารบกับลิวบ๋ายก็เหมือนกับรบกับบิดาของเรา………….”

เจียะยุโฮว่าถ้าดังนั้นท่านจะคิดผ่อนผันอย่างไร แบ๊จุ้นก็ว่าท่านจงรักษาที่ทางไว้ให้มั่นคง ถึงพวกทหารกองทัพลิวบ๋ายจะมาท้าทายชวนรบ อย่าได้ออกไปต่อสู้อดใจสงบไว้ เราจะแต่งตัวปลอมเป็นพ่อค้าไปในเมืองเซียงอาน สืบข่าวดูให้รู้เหตุก่อน จึงค่อยกลับมาคิดอ่านต่อภายหลัง ด้วยในเมืองเซียงอานเพื่อนรักของเรามีอยู่คนหนึ่ง ชื่อคักหลินเป็นที่ไว้วางใจได้ ว่าแล้วก็แต่งตัวปลอมเป็นพ่อค้า จัดสิ่งของพอสมควรลงจากเขาทางลัด เดินตัดตรงไปเมืองเซียงอานทันที

ฝ่ายลิวบ๋ายพักทหารพอหายเหนื่อยแล้ว ก็ให้ทหารออกไปท้าพวกโจรชวนรบ เจียะยุโฮออกมาตรวจดูลิ่วล้อที่เชิงเขา จึงร้องบอกลงมาว่า เดี๋ยวนี้นายเราป่วยอยู่ยังออกรบไม่ได้ ต่อเมื่อใดค่อยคลายหายเป็นปกติแล้ว จึงจะไปรบกับท่าน พวกทหารก็กลับมาแจ้งแก่ลิวบ๋ายให้ทราบ ลิวบ๋ายคิดว่าถ้าจะเข้าตีหักหาญเอาให้ได้ ก็จะได้ความลำบากแก่ไพร่พลมาก ควรงดไว้ พูดจาโดยไมตรีจะดีกว่า จึงสั่งให้ทหารอยู่แต่ในค่าย ฝึกซ้อมหัดเพลงอาวุธไว้ให้ชำนิชำนาญ

ฝ่ายแบ๊จุ้นเดินทางไปเมืองเซียงอาน ระหว่างทางได้เห็นหนังสือประกาศไว้หลายฉบับว่า แบ๊จุ้นตีคนตาย ถ้าผู้ใดจับได้จะให้บำเหน็จรางวัลจงมาก เมื่อมาถึงเมืองหลวงจึงรีบตรงไปบ้านคักฮุนเหลง ถามผู้รักษาประตูว่าคักหลินอยู่หรือไม่ นายประตูบอกว่านอนอ่านหนังสืออยู่ในห้อง แบ๊จุ้นก็บอกว่าตนเป็นเพื่อนรักกับคักหลิน ขอให้ออกมาพบสักหน่อย ด้วยเดินทางมาไกลและมีธุระสำคัญ

เมื่อคักหลินได้ทราบจากนายประตู ก็รีบออกมารับแบ๊จุ้นเข้าไปในบ้าน จัดที่ให้นั่งตามสมควร แล้วถามว่าตั้งแต่ท่านตีคนตายแล้วไปอยู่แห่งใด ไม่ได้ข่าวคราวเลย แบ๊จุ้นก็เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนไปอยู่ที่เขาตังหงซัว ให้ฟังโดยละเอียด คักหลินก็ตกใจว่าฮ่องเต้มีรับสั่งให้ลิวบ๋ายเป็นแม่ทัพไปปราบโจรที่เขาตังหงซัว แต่ไม่แจ้งว่าผู้ใดเป็นตัวนาย บัดนี้มีธุระสิ่งใดจึงได้มาถึงที่นี่

แบ๊จุ้นก็บอกว่า

“………ข้าพเจ้าเห็นลิวบ๋ายเป็นแม่ทัพไป ก็มีความสงสัยด้วยไม่รู้ว่าลิวบ๋ายอาสาไปเอง หรือมีผู้กราบทูลยุยงให้ไป ข้าพเจ้าจึงมิได้ออกมาต่อสู้ รีบมาไต่ถามท่านดูให้ทราบก่อน…..”

คักหลินก็เล่าว่า

“……..ลิวบ๋ายเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ซึ่งได้เป็นแม่ทัพไปครั้งนี้ เพราะคุดตงเสง ขุนนางกังฉินคิดอิจฉา ปรารถนาจะให้ลิวบ๋ายเป็นอันตรายเสีย จึงได้กราบทูลยุยง พระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ทรงเชื่อถือ รับสั่งให้ลิวบ๋ายเป็นแม่ทัพไป ภายหลังลิวซูมาอยู่กับข้าพเจ้าจนได้เป็นฮู่ม้า แล้วเขียนหนังสือปิดประตูบ้านเสีย มิให้ผู้ใดไปมาหาสู่ แต่เราเป็นเพื่อนรักกันมาช้านาน ยังห้ามเสียมิให้เข้าไปในบ้าน ข้าพเจ้ามีความเสียใจนัก……..”

แบ๊จุ้นได้ฟังก็โกรธแล้วว่า ไม่เห็นเลยว่าลิวซูจะเป็นคนตื่นยศ และใจหยาบช้าต่อมิตร ค่ำวันนี้ตนจะลอบไปดูท่วงทีกิริยาลิวซู จะเป็นประการใด คักหลินก็ให้คนใช้ยกโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงกัน จนถึงเวลาค่ำแบ๊จุ้นก็ออกจากบ้านคักหลิน ไปบ้านใหม่ของบุตรเขยฮ่องเต้ ระหว่างทางก็เดินตรึกตรองว่า ลิวซูกับเพื่อนได้สาบานเป็นพี่น้องรักใคร่สนิท รู้จักน้ำใจกันมาช้านานแล้ว เมื่อได้ดีมีสุขขึ้นจะทิ้งวาจาที่ได้สาบานต่อกันมาแต่เดิม เห็นผิดสังเกตนัก ซึ่งจะเชื่อคำคักหลินฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ต้องสืบสวนดูให้รู้แน่ก่อนจึงจะควร

เมื่อเดินไปถึงบ้านลิวซู เห็นผู้เฝ้าประตูนั่งตามไฟสว่างอยู่หลายคน ก็เดินเลี่ยงมาข้างบ้านไม่เห็นมีผู้คนระวังรักษา จึงหาไม้มาพาดปีนขึ้นไปบนหลังคา มองลงไปดูที่กลางตึกเห็นชายผู้หนึ่งแต่งตัวเป็นฮู่ม้าพูดอยู่กับอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้จัก แบ๊จุ้นพิจารณาแล้วฮู่ม้านั้นไม่ใช่ลิวซู ทั้งสองคนสนทนากันด้วยเรื่องขนบธรรมเนียม ที่จะเข้าพิธีแต่งงานกับนางตกเอี๋ยงกงจู๊ แบ๊จุ้นก็รีบกลับมาหาคักหลิน เล่าความที่ได้เห็นและได้ยินนั้นให้ฟัง คักหลินจึงพาแบ๊จุ้นไปหาคักฮุนเหลงผู้บิดา เล่าความให้ฟังทุกประการ

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า คักฮุนเหลงก็พาแบ๊จุ้นเข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ แบ๊จุ้นก็กราบทูลความตามที่ลอบไปเห็นฮู่ม้า ซึ่งไม่ใช่ลิวซูให้ทรงทราบ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ขันทีคุมทหารไปจับตัวฮู่ม้าปลอมมาได้ ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้คักฮุนเหลงเป็นตุลาการชำระความ คุดหองผู้ปลอมเป็นฮู่ม้าก็รับเป็นสัตย์ทุกข้อ คักฮุนเหลงก็นำเอาคำให้การขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ ฮ่องเต้ก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก รับสั่งให้เอาคุดหองไปขังคุก แล้วให้ไปจับตัวคุดตงเสงมาชำระให้ได้

เมื่อคุดตงเสงได้ทราบว่าฮ่องเต้ได้เอาตัวบุตรชายไปขังคุกไว้ จึงปรึกษากับขันทีพวกกังฉินสองคนชื่อ มีหงวน กับ กีก้ำ ว่าตนเองคงจะไม่พ้นอันตรายแน่ ขันทีทั้งสองก็รับว่าจะช่วยพาหนีไปให้พ้นภัย คุดตงเสงก็ยินดีรีบเก็บรวบรวมเงินทองแลสิ่งของอันมีค่า พอเป็นเสบียงเลี้ยงชีวิต พาบุตรภรรยาและคนใช้ที่สนิท กับสองขันที ออกจากบ้านไปในเวลาค่ำถึงประตูเมืองซึ่งปิดแล้ว ขันทีก็บอกกับนายประตูว่ามีรับสั่งของฮ่องเต้ ให้คุดตงเสงเดินทางไปช่วยลิวบ๋ายปราบโจร นายประตูก็สำคัญว่าเป็นการรีบร้อน จึงเปิดประตูให้ออกไปได้ และพากันไปอาศัยอยู่ที่เขาตังเพาซัว แขวงเมืองกุยเต็กกุ้ย ตั้งเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนมาฝึกหัดเพลงอาวุธ เที่ยวเป็นโจรตีปล้นราษฎรชาวบ้าน เลี้ยงชีวิตอยู่ในที่นั้น

ส่วนคักฮุนเหลงเอาตัวคุดหองไปจำขังไว้แล้ว ก็เกณฑ์ทหารรักษาพระองค์ยกไปบ้านคุดตงเสง แต่ไม่พบผู้ใดจึงพาทหารกลับมากราบทูลฮ่องเต้ ว่าคุดตงเสงได้พาครอบครัวบุตรภรรยาอพยพไปเสียสิ้นแล้ว ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้พนักงานทำหมายประกาศ แจกไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ว่า ถ้าผู้ใดสืบจับตัวคุดตงเสงได้จะให้บำเหน็จรางวัลเป็นอันมาก

ฝ่ายเตียนเตียวกับลีหงที่ได้ปล่อยให้ลิวซูฮู่ม้าหนีไปนั้น ก็เอาความไปแจ้งแก่ คักฮุนเหลง ตามที่คุดตงเสงกับฮั่นทง คิดร้ายต่อลิวซูทุกประการ คุดตงเสงก็นำความขึ้นกราบทูล ฮ่องเต้ทรงทราบแล้วก็ดีพระทัย รับสั่งให้ตั้งเป็นนายทหารทั้งสองคน

แล้วแบ๊จุ้นก็คุกเข่าลงถวายบังคมกราบทูล เล่าความตั้งแต่ได้สาบานเป็นพี่น้องกับคักหลิน ลิวซู และเปากัง แล้วเกิดคดีตีเตงกวางบุตรเตงเป้าตาย จนมาอยู่เขาตังหงซัวให้ทรงทราบทุกประการ ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็ตรัสว่า แบ๊จุ้นนี้มีสติปัญญาใจซื่อตรง สมควรเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ จึงตั้งให้แบ๊จุ้นเป็นที่ยวดซิมอ๋อง แล้วรับสั่งให้ยวดซิมอ๋องกับเตียวเตียนและลีหง ไปเที่ยวสืบเสาะตามหาตัวลิวซูฮู่ม้ามาให้ได้ ทั้งหมดก็ถวายบังคมลากลับมาบ้าน

ยวดซิมอ๋องหรือแบ๊จุ้นจึงบอกกับคักหลินว่า

“……..คุดตงเสงหนีไปครั้งนี้ คงจะคิดทำร้ายแก่ลิวบ๋ายเป็นแน่ ท่านจงอุตส่าห์ฝึกหัดเพลงอาวุธไว้ให้คล่องแคล่ว จะได้ช่วยปราบปรามพวกขุนนางกังฉินเสียให้สิ้น บ้านเมืองจะมีความสุข ข้าพเจ้าคงจะไปตามหาลิวซูมาให้ได้…….”

คักหลินว่าลิวซูหนีไปเวลากลางคืน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ตนวิตกกลัวว่าจะหาไม่พบ แบ๊จุ้นก็ว่าข้อนั้นเป็นธุระของตนเอง อย่าทุกข์ร้อนไปเลย วันรุ่งขึ้นแบ๊จุ้นกับเตียวเตียนและลีหงก็จัดเงินทองสิ่งของพอสมควร เดินทางออกจากเมืองหลวงไป

ฝ่ายลิวบ๋ายตั้งค่ายฝึกซ้อมทหารอยู่ที่เขาตังหงซัวช้านาน ไม่เห็นพวกโจรออกมารบ จึงเตรียมทหารจะบุกเข้าไปตีพวกโจรบนเขา ก็พอดีมีหนังสือรับสั่งจากฮ่องเต้ มีความว่า

โจรเขาตังหงซัวนั้น แบ๊จุ้นตัวนายมายอมสามิภักดิ์ และได้แต่งตั้งให้มียศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นแล้ว ประการหนึ่งลิวซูบุตรของท่านก็ได้เป็นฮู่ม้า แต่ยังไม่ได้แต่งงานให้อยู่กินเป็นสามีภรรยากับนางตกเอี๋ยงกงจู๊บุตรหญิงของเรา บัดนี้คุดตงเสงกับพวกขุนนางกังฉิน คิดทำร้าย ลิวซูจนหนีไปเสียแล้ว ให้ลิวบ๋ายเลิกทัพรีบกลับมา จะได้คิดอ่านช่วยกันปราบปรามขุนนางกังฉินเสียให้สิ้นเสี้ยนศัตรูแผ่นดิน

ลิวบ๋ายอ่านสิ้นข้อความแล้ว ก็เลิกทัพกลับเมืองเซียงอานตามรับสั่ง เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้วก็เข้าเฝ้า พระเจ้าฮั่นบู๊ฮ่องเต้ก็มีพระทัยยินดี ตรัสเล่าความทั้งหมดให้ทราบตั้งแต่ต้นจนปลาย แล้วทรงแต่งตั้งให้ลิวบ๋ายเป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการแผ่นดิน ลิวบ๋ายคุกเข่าลงถวายบังคมรับตราตั้ง แล้วฮ่องเต้ก็เสด็จขึ้น ลิวบ๋ายก็กลับไปที่อยู่

ฝ่ายบู๊อั้นซึ่งนางลิวเอ๋งให้มาสืบข่าวลิวซูฮู่ม้า ครั้นมาถึงเมืองหลวงก็เข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมือง แล้วก็ไปสืบข่าวจนได้ความถี่ถ้วนแล้ว ก็ออกจากโรงเตี๊ยมเดินทางกลับเมือง เซียงเอียงฮู ถึงบ้านแล้วก็เล่าความให้นางลิวเอ๋งฟังโดยละเอียด นางก็มีความยินดียิ่งนัก บอกกับ บู๊อั้นว่านานไปภายหน้าคงจะทดแทนคุณให้เป็นอันมาก

แล้วก็สั่งให้คนใช้จัดโต๊ะสุราอาหารมาตั้ง แล้วเชิญลิวซูมากินโต๊ะด้วยกันสองคน นางก็ว่าตนพลอยยินดีด้วยเป็นอันมาก ลิวซูถามว่าดีใจด้วยตนเป็นผู้ชายแล้วแต่งตัวปลอมเป็นผู้หญิงมาอยู่ด้วยกันดังนั้นหรือ นางก็ว่า

“…ข้าพเจ้ายินดีด้วยเดี๋ยวนี้บิดาท่านได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว แบ๊จุ้นก็เป็นที่ยวดซิมอ๋อง รับสั่งให้สืบเสาะตามหาท่าน แต่ไม่ทราบว่าจะไปทางเมืองไหน…”

ลิวซูก็ถอนใจใหญ่พูดว่า

“……ท่านอย่าเยาะเย้ยเลย ขอแต่ปัญญาท่านช่วยคิดอ่านปล่อยให้ข้าพเจ้าไปถึงเมืองหลวง แล้วจะจัดทองคำมาสมนาคุณท่านสักพันตำลึง……..”

นางลิวเอ๋งก็ว่าตนไม่ได้เป็นคนโลภ อยากได้ทองคำของลิวซูดอก ลิวซูก็ถามว่าเมื่อไม่ชอบใจทองคำแล้ว นางจะต้องการสิ่งใดเล่า นางลิวเอ๋งก็บอกว่า

“……..ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงสาว มาอยู่ด้วยกันถึงสองเดือนแล้ว ถ้าผู้ใดรู้เขาก็คงมีความสงสัย ข้าพเจ้าจะมิเป็นคนมัวหมองไปหรือ ข้าพเจ้ามีความอยู่ข้อหนึ่ง แต่จะพูดแก่ท่านก็ไม่อาจออกปากได้……”

ลิวซูก็รับรองว่าอย่าได้เกรงใจเลย จะใช้สอยอย่างไร ตนก็จะปฏิบัติตามทุกประการ แล้วก็รอฟังว่านางลิวเอ๋งจะต้องการสิ่งใด ซึ่งคงจะได้ทราบในตอนหน้า.

###########

ฟ้าหม่น วารสารของทหารม้า
มีนาคม ๒๕๕๐




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2551 19:28:27 น.
Counter : 491 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.