Group Blog
 
All Blogs
 
จากเพื่อนถึงเพื่อน

เรื่องสั้น

จากเพื่อนถึงเพื่อน


ค่ำวันหนึ่ง ผมเดินเข้าซอยจะกลับบ้าน หลังจากที่ได้ไปเสวนากับเพื่อนรักแถวตลิ่งชันตั้งแต่ก่อนเพล จนใกล้จะค่ำ และเมฆฝนมืดครึ้มแล้ว จึงนั่งรถเมล์กลับมา เมื่อลงที่ป้ายปากซอยฝนเริ่มลงเม็ดประปราย และมีลมกระโชกแรง ผมจึงสาวเท้าให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ไม่โดนฝนเม็ดใหญ่ ๆ ที่อีกสักครู่ก็คงจะตามติดมา ในขณะที่เดินผ่านถังขยะสาธารณะที่ล้มตะแคงอยู่ ก็เห็นเศษอาหารถุงพลาสติกและกระดาษเกลื่อนพื้น ผมเดินจ้ำผ่านไปด้วยกำลังรีบ เศษกระดาษสีขาว ๆ หลายแผ่น ก็ปลิวไล่หลังผมมา จนเลยไปข้างหน้า

เมื่อมาถึงประตูบ้านเศษกระดาษขาว ๆ นั้นเหลืออยู่สองแผ่น ผมเห็นว่ามันจะรกหน้าบ้าน จึงขยุ้มหยิบมันไว้ ก่อนที่จะไขกุญแจประตูรั้วบ้านเข้าไป แล้วก็ทิ้ง กระดาษลงตะกร้าใส่ขยะประจำบ้าน แต่มันกลับปลิวผ่านปากตะกร้าไปบนลานซีเมนต์หน้าบ้าน สีขาวของกระดาษตัดกับพื้นสีมืดในเวลานั้นอย่างชัดเจน ผมตามไปหยิบมันขึ้นมาอีก จึงเห็นว่ามันเป็นกระดาษขนาด เอ๔ มีตัวหนังสือเรียงเป็นระเบียบทั้งสองแผ่น จึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ตามประสาคนชอบอ่านหนังสือ ผมจึงเก็บกระดาษทั้งสองแผ่นนั้นติดมือเข้าไปในห้อง

เมื่อเปลี่ยนเสื้อกางเกงที่ชื้นออกแล้ว ก็ดื่มน้ำเย็นแช่น้ำแข็งเสียอึกใหญ่ให้สดชื่นขึ้น แล้วจึงหยิบกระดาษสองแผ่นนั้นออกมาพิจารณา ตัวอักษรที่เรียบร้อยสวยงามบ่งบอกว่าเป็นการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ มีข้อความเป็นแบบของจดหมายทั่วไป แต่ข้อความนั้นสะดุดใจผมให้อยากอ่าน ผมจึงอ่านข้อความในแผ่นแรกทั้งหมด แต่เมื่ออ่านจบแล้วต่ออีกแผ่นหนึ่ง จึงรู้ว่าแผ่นหลังนี้มีข้อความที่อยู่ก่อนแผ่นแรก ผมจึงเริ่มต้นอ่านตั้งแต่ต้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นข้อความที่ไม่มีหัวกระดาษ ดังนี้
....................................................................................

คุณเขียนจดหมายถึงผมหลายสิบฉบับ ผมไม่ได้ตอบเพราะผมเห็นว่าเป็นการระบายความในใจให้ผมฟัง เหมือนเรานั่งกินเหล้าคุยกัน เพียงแต่คุณกินของคุณที่สามเสน และผมกินของผมที่สามวาตะวันตก เท่านั้น

แต่คราวนี้คุณส่งหนังสือที่ผมรู้ว่าเป็นหนังสือดี ให้ผมเนื่องในวันเกิดปี ๒๕๔๔ จึง สะดุดใจผม ว่าคุณยังคิดถึงผมจริง และหวังดีต่อผมจริง ผมจึงต้องเขียนมาถึงคุณ ระบายความในใจของผมให้คุณอ่านบ้าง ทั้ง ๆ ที่เรากินเหล้าห่างกันประมาณ ๓๐ ก.ม.นี่แหละ

ผมสังเกตว่าจดหมายของคุณ มักจะระบายความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่เสมอ วิตกนักหรือความแก่น่ะ มันมาถึงเราแล้ว อย่าไปห้ามมันเสียให้ยากเลย มันต้องแก่ และจะแก่หง่อมกว่านี้ ถ้ายังไม่ตาย เลิกกินเหล้าฮวบ ๆ อย่างที่เคยทำ มารินเบียร์ผสมน้ำแข็งมาก ๆ มันก็เมาเหมือนกัน แต่ถ่วงเวลาไว้ได้นานกว่ากินเหล้ามากนัก ร่างกายก็จะทรุดโทรมช้าลง เราจะได้อยู่อย่างคนแก่ที่ไม่เจ็บป่วยไง

ผมเห็นกระดาษที่คุณเขียนถึงผม ซึ่งเป็น ส.ค.ส.ที่ส่งมาจากนักการเมืองนั้น ตั้งใจจะอวดว่าคุณยังสนใจการเมืองอยู่ นั่นแหละผิด เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่น หรืออ่านหนังสือธรรมมะบ้าง หนังสือโป๊บ้างยังจะดีกว่า การเมืองเป็นเรื่องของความอยาก แต่อยากใหญ่โต คืออยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างที่เราคิด ถ้ามีบริวารมากกว่า ๒๐๐ คน มีเงินมากกว่าหมื่นล้าน ก็ลองคิดไปเรื่อย ๆ คนอย่างเรา ๆ จะไปคิดให้มันเสียหัวทำไม เขาปกครองอย่างไรเราก็อยู่ได้ สมัยจอมพล ป.เขาว่าอะไรก็ตามผู้นำไป สมัยจอมพลสฤษดิ์ เขาห้ามอะไรเราก็ไม่ทำ สมัยประชาธิปไตยเบ่งบานเขาโยนระเบิดกันที่ไหน เราก็อย่าไปที่นั้น สมัยเงินบาทลอยตัวเราก็กินน้อยใช้น้อย สมัยเศรษฐกิจกำลังจะเฟื่อง เราก็กินเท่าเดิม เราก็อยู่ได้ อยู่อย่างมีความสุข

เรื่องหมดสมรรถภาพเลิกคิด อย่าเอามากังวล เรามีสมรรถภาพมาตั้ง ๓๐– ๔๐ ปี ยังไม่พออีกหรือ ไปทนทุกข์ร้อนอยู่กับมันทำไม เมื่อเราเอาไม่ได้ เราก็ให้มากขึ้น ให้โดยไม่หวังว่าจะเอา จิตของเราจะปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่ต้องผิดหวังไม่ต้องช้ำใจ เราเคยเสียเงินกับความอยากในกิเลสตัณหามามากแล้ว คราวนี้เราลองมาเสียเงิน โดยไม่ต้องการกิเลสตัณหาดูบ้างซิ มันจะมีความสุขไหม ให้คนที่เราจะให้โดยไม่หวังตอบแทน เขาจะรู้สึกชื่นชมด้วยใจจริง จะดีกว่าที่เขาแสร้งชื่นชม แล้วก็ทิ้งให้เรากลับมานั่งคร่ำครวญ ถึงความไม่เอาไหนของเราเอง อย่าหวังก็จะไม่ผิดหวัง จำไว้

ผมอ่านจดหมายของคุณจบ ก็เขียนจดหมายฉบับนี้ทันที ด้วยความรู้สึกหวังดีต่อคุณอย่างแท้จริง คุณอ่านหนังสือที่คุณส่งให้ผมแล้วหรือยัง ถ้ามีอีกก็อ่านเสีย อ่านแล้วก็อ่านอีกได้ อ่าน

แผ่นแรกหมดข้อความแค่นี้ ข้อความมันต่อกับแผ่นหลัง ดังนี้

พร้อมกับกินเบียร์เติมน้ำแข็งที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องไปกินต่อหน้าเครื่องคาราโอเกะ ก็มีความสุขได้ นี้คือความหวังดีจากเพื่อนของคุณ ขอมอบให้ตอบแทนน้ำใจของคุณ ที่หวังดีต่อผมเสมอมา.

จดหมายของผมที่เขียนถึงคุณฉบับสุดท้าย เมื่อ พ.ย.๔๓ มาถึงฉบับนี้จึงเป็นเวลาร่วม ๑๒ เดือน แต่ผมได้อ่านของคุณตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉบับหลัง ๆ นี้ อ่านแล้วน่าใจหาย สุขภาพของคุณทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ผมเสียใจด้วยที่คุณเมานั่งรถเมล์แล้วหลับ จนสูญเสียของที่มีค่าซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณไป อย่างน่าเสียดาย และในฉบับสุดท้ายได้เล่าถึงอาการที่เกิดขึ้น หลังจากกินเหล้า ซึ่งผมได้ผ่านพบมาแล้วตั้งแต่เมื่อยังหนุ่มอยู่ แต่บัดนี้อาการอย่างนั้นไม่มีแล้ว เพราะแม้ว่าบางครั้งจะเมามากเท่ากัน เพราะความต้านทานน้อยลง แต่ปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย ก็น้อยกว่าสมัยก่อนมาก เพราะผมกินแต่เบียร์บาง ๆ

ผมเคยเล่าว่าผมกับเพื่อนที่ซี้กัน ชนิดคอหอยกับลูกกระเดือก ผมกินเหล้าเขาก็กินด้วย ผมสูบบุหรี่เข้าก็สูบด้วย พอผมเลิกสูบบุหรี่เขาก็เลิกด้วย แต่พอผมเลิกกินเหล้ามากินเบียร์ เขาไม่ยักทำตาม เขาบอกว่ากินเบียร์มันเปลืองกว่ากินเหล้า หมายความว่ากว่าจะเมาเท่ากันกินเบียร์มันแพงกว่า ผมก็ว่าจะประหยัดเงินหรือประหยัดสังขาร เขาก็กินต่อมาจนไปนอนโรงพยาบาลก่อนเกษียณ เกือบเป็นอัมพฤกษ์นั่นแหละ เขาจึงได้เชื่อแล้วดื่มเบียร์เติมโซดามาตั้งแต่นั้น จนเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นโซดาเติมเบียร์แล้ว

การที่คุณบอกว่า “ ดื่มเบียร์ดีกว่านะครับ ถ้าดื่มเหล้าก็ต้องไม่ฮวบฮาบ และต้องระมัดระวังตัวให้ดี “ นั้น ผมมีความเห็นว่าไม่ถูกต้อง แม้จะดื่มเหล้าไม่ฮวบฮาบ แต่ถ้าถึงเมาแล้ว ความระมัดระวังตัวก็จะหายไป แล้วก็เละเหมือนเดิม ผิดพลาดเหมือนเดิม ไม่สบายเหมือนเดิม

ถ้าเรากินเบียร์มันจะเมาช้ากว่า และอิ่มเร็วกว่า พอจะมีสติว่าเลิกกินเถอะกลับบ้านได้ แล้วเราก็จะไม่ต้องเสียใจว่าวันนี้เมาน้อยไป คนที่ไม่กินเหล้าเขาจะสอนเราว่า กินเข้าไปทำไม เหล้าน่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระท่านว่าเหล้ามีโทษอยู่ ๖ ประการ ๑ เสียทรัพย์ ๒ ก่อทะเลาะวาท ๓ เกิดโรค ๔ ต้องติเตียน ๕ ไม่รู้จักอาย ๖ ทอนกำลังปัญญา

คุณกับผมก็คงจะกินเหล้ามาพอ ๆ กัน ลองพิจารณาดู

๑ กินน้ำหวานก็เสียทรัพย์ ๒ ไม่เคยก่อทะเลาะวิวาทเลย ๓ ไม่กินเหล้าก็เป็นเบาหวานความดันสูงหัวใจโตได้ ๔ คนที่ติเตียนก็คือคนที่ไม่กินเหล้า ๕ ไม่รู้จักอายนี่ต้องยอมรับว่าคนไม่กินเหล้าเขาไม่ทำอย่างเราแน่ ๖ กำลังปัญญาจะไม่เสื่อมถอยถ้าไม่กินหนักทุกวัน

ข้อสุดท้ายนี่ขออนุญาตยกตัวเองเป็นแบบฝึกหัดว่า เมื่อทำราชการสามสิบกว่าปี ก็สามารถทำได้ดีมีความก้าวหน้าตลอดมา หลังเกษียณอายุแล้วก็ยังเขียนหนังสือขายได้จนถึงบัดนี้ และข้อดีของการกินเหล้ามีเพียงข้อเดียว คือได้เพื่อนเพิ่มขึ้น ข้อนี้มีประโยชน์แก่ผมมาก เป็นเหตุผลที่ผมจะใช้อ้าง ในการที่จะไม่เลิกกิน เพราะผมมีสติพอที่จะพิจารณาเลือกคบแต่เพื่อนที่ดีเท่านั้น

ทั้งหมดนี้เป็นคำเตือนสติ ด้วยความหวังดีจากเพื่อนของคุณ ที่กินเหล้ามานับสิบปี และกินเบียร์ต่อมาอีกเป็นสิบปี ไม่ได้ขอร้องให้เชื่อ เพียงแต่เล่าให้ฟังเท่านั้น คุณลองคิดดูว่าจะเห็น
...........................................................................

หมดข้อความในแผ่นที่สองไปอย่างห้วน ๆ เช่นนี้ แต่เฉพาะข้อความที่อ่านมาแล้ว ก็ดูจะมีประโยชน์ดี ทั้งสำหรับคนที่กินเหล้า หรือไม่กินเหล้า หรือเลิกกินเหล้าแล้ว และถูกกับอัธยาศัยของผมด้วย จึงขอนำมาเผยแพร่ให้เพื่อน ๆ อ่านแล้วคิดดูบ้าง

ตามปกติคนไม่กินเหล้าแล้วมาเตือนคนกินเหล้าน่ะ ไม่มีใครเชื่อหรอกครับ แต่ถ้าคนกินเหล้าด้วยกันเตือนกันเอง ก็อาจจะถูกด่าว่า เอ็งก็ดีแต่บอกคนอื่นแหละวะ ผมจึงเสนอให้อ่านเท่านั้น

ไม่ได้คิดจะเตือนหรือสั่งสอนใคร และไม่แนะนำให้เชื่อด้วย

แต่ถ้าอ่านแล้วอยากจะด่า ก็ไปด่าเจ้าของจดหมายนั่นเลย ถึงจะถูกตัว ขอให้โชคดี ตับใครตับมันนะครับ.

########





Create Date : 26 มกราคม 2552
Last Update : 26 มกราคม 2552 8:40:54 น. 6 comments
Counter : 535 Pageviews.

 
ค่ะ เห็นด้วยค่ะ
/// ไม่ได้ขอร้องให้เชื่อ เพียงแต่เล่าให้ฟังเท่านั้น ///
สำหรับหลานคนนี้ ถ้าเป็นเพื่อนกัน
จะพูด จะบอก จะเตือน ถือเสมือนพี่น้องและญาติกัน
แต่ก็ไม่เคยบังคับ ต้องเชื่อและต้องทำตาม แต่จะตามใจให้คิด เลือกทำเอง
เหล้า หรือแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ มันมีประโยชน์อยู่บ้างนะคะ ดื่มแต่เล็กน้อย คุณหมอเคยแนะนำให้หัดดื่มบ้างค่ะ ช่วงนั้นความดันต่ำ แต่อย่างไรก็ไม่สามารถค่ะ ขมมากกกก
หลานคนนี้ ดื่มไม่ได้สูบไม่เป็น
เป็นความดันต่ำแต่ความดันทุรังสูงมากก
ขอบคุณค่ะ


โดย: PANPISA วันที่: 27 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:35:45 น.  

 
สำหรับสามสิบปีแนก ดื่มเหล้าอย่างหนัก จึงมีนามปากกาว่า "เล่าเซี่ยงชุน"ไงครับ

เมื่อหายจากโรคตับโต อีกสามสี่สิบปีหลัง ก็ดื่มเบียร์เติมโซดาครับ

เดี๋ยวนี้ดื่มเพื่อกันข้าวติดคอเท่านั้นครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 28 กรกฎาคม 2553 เวลา:8:35:22 น.  

 
อ่านจนจบเป็นการเตือนที่มีประโยชน์ทีเดียวครับ ติดตรงที่ว่าคนเตือนก็ดื่มเหมือนกัน ถ้าคนที่ไม่ดื่มมาเตือนเขาคงไม่มีประสบการณ์โดยตรง ...
และผมก็ได้รู้ที่มาของนามปากกา"เล่าเซี่งซุน"
คุณลุงครับ...น้ำเปล่าก็กันข้าวติดคอได้เหมือนกันนะครับ
เอิ้กๆ


โดย: วิรุฬห์ IP: 124.120.45.243 วันที่: 4 กันยายน 2553 เวลา:23:45:46 น.  

 
คุณเข้าใจผิดแล้วครับ
เรื่องข้าวติดคอของผมเกิดจากอาการของกระเพาะอักเสบ
และมีกรดไหลย้อน เมื่อกินข้าวแล้วติดคอจะติดแบบกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก
และหายใจลำบาก กินน้ำก็ไม่ลง ต้องใช้เป๊บซี่ให้แก๊สช่วยดันลงครับ
ผมก็เลยใช้เบียร์ เพราะมีแก๊สเหมือนกันครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:8:54:44 น.  

 
ผมเข้าใจผิดจริงๆ ขอโทษด้วยนะครับ ได้ความรู้อีกแล้ว


โดย: วิรุฬห์ IP: 124.120.179.135 วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:17:43:49 น.  

 
ไม่เป็นไร เราล้อกันเล่นน่ะครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:19:08:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.