Group Blog
 
All Blogs
 
ผลไมที่หล่นไกลต้น


สามก๊กภาคปลาย

๗..ผลไม้ที่หล่นไกลต้น

“เล่าเซี่ยงชุน”

เมื่อสมัยที่เล่าปี่ต้องซัดเซพเนจร ไปอาศัยเล่าเปียว ญาติห่าง ๆ อยู่ที่เมืองซินเอี๋ยเมื่อประมาณ พ.ศ.๗๕๐ นั้น นางกำฮูหยินภรรยาคนแรก ได้คลอดบุตรเป็นชายเมื่อเวลาข้างขึ้นเดือนสาม ตอนอยู่ในครรภ์มารดาฝันว่าได้กลืนดาวจระเข้ลงไปในท้อง บิดาจึงตั้งชื่อว่าอาเต๊า ซึ่งแปลว่าดาวจระเข้

เมื่ออาเต๊ายังเยาว์ เล่าปี่พาครอบครัว คือนางกำฮูหยิน นางบีฮูหยิน ภรรยารอง และอาเต๊า พร้อมทั้งราษฎรประมาณสามสี่หมื่นคน อพยพหนีโจโฉ ออกจากเมืองซินเอี๋ย ผ่านเมืองอ้วนเสีย ไปเมืองซงหยง โจโฉยกทัพตามมาทันที่เขาเกงสันเขตแดนเมืองตงหยง ก็ให้ทหารเข้าโจมตีตลุย จนครอบครัวและราษฎรแตกกระจัดพลัดพรายกันไปหมด นางกำฮูหยินฝากอาเต๊าลูกชายไว้กับนางบีฮูหยิน แต่นางบีฮูหยินก็ไปไม่ตลอดถูกทวนแทงที่ขา กอดอาเต๊าอยู่ที่ข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่งในเมืองตงหยง จูล่งตามไปพบเข้าจะช่วยพากลับก็ไม่ยอม กลัวจะหนีไม่พ้นข้าศึก นางจุงโดดบ่อน้ำตาย ทิ้งอาเต๊าไว้ให้ให้จูล่งห่อเอาใส่ในอกเสื้อเกราะ ควบม้าตีฝ่าทหารของโจโฉ โดยฆ่ารองแม่ทัพไปสองนาย และทหารเอกอีกห้าสิบคน ทหารเลวมากมายก่ายกอง จนรอดผ่านสะพานเตียงปันเกี้ยวที่มีเตียวหุยรักษาอยู่ และเลยจากนั้นมาอีกสามร้อยเส้นจึงพบเล่าปี่ อาเต๊าจึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเต็มที

ต่อมาเมื่อนางกำฮูหยินตายลง ซุนกวนก็ลวงเล่าปี่ให้ไปแต่งงานกับนางซุนฮูหยิน ซึ่งเป็นน้องสาวเพื่อจะหลอกฆ่า แต่นางซุนฮูหยินกลับพาเล่าปี่หนีรอดมาจากเมืองกังตั๋งได้ นางอยู่กับเล่าปี่มานานไม่มีบุตร ภายหลังซุนกวนหลอกว่ามารดาป่วยหนัก จึงกลับไปเมืองกังตั๋ง ต่อมาเล่าปี่จึงได้นางงอซีมาเป็นภรรยาคนสุดท้าย มีบุตรชื่อเล่าเอ๋ง กับ เล่าลี

เมื่อเล่าปี่ได้ครอบครองเมืองเกงจิ๋วของเล่าเปียว และเมืองเสฉวนของเล่าเจี้ยงญาติของตนเรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ในแคว้นตะวันตก ไม่ยอมขึ้นกับโจโฉ และต้องสู้รบกับก๊กอื่นอยู่ตลอดเวลา จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ถูกถอดออกจากบัลลังก์ พระเจ้าโจผีเป็นฮ่องเต้แทน ชาวเมืองและขุนนางทั้งหลายจึงยกให้เล่าปี่เป็นฮ่องเต้บ้าง ถวายพระนามว่า พระเจ้าเจี๋ยงบู๋ นางงอซีจึงได้เป็นฮองเฮาอัครมเหสี และแต่งตั้งให้บุตรเป็นเจ้าต่างกรมคือ เล่าเสี้ยนหรืออาเต๊า เป็นไทจู เล่าเอ๋งเป็นเล่าอ๋อง เล่าลีเป็นเสียงอ๋อง ครองราชย์สมบัติอยู่ท่ามกลางศึกสงคราม จนกวนอู เตียวหุย น้องร่วมสาบานเสียชีวิตหมด และเมื่อยกกองทัพไปแก้แค้นซุนกวนที่ฆ่ากวนอู ก็ไม่สำเร็จ ต้องสิ้นพระชนม์ลงที่เมืองเป๊กเต้ เมื่อแรมเก้าค่ำเดือนหก พ.ศ.๗๖๖ อายุได้หกสิบสามปี

เล่าปี่ได้เขียนหนังสือไว้ว่า

“......ด้วยบิดาไปทำการครั้งนี้ หวังจะกำจัดศัตรูราชสมบัติ จะบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นสุข ก็ไม่ทันจะสำเร็จ กรรมมาถึงบิดาจะลาไปก่อนแล้ว เจ้าพี่น้องทั้งสามค่อยเลี้ยงรักษากัน ตามประเพณีผู้ใหญ่ผู้น้อย และอาเต๊าผู้พี่นั้นให้รักษาราชสมบัติต่อไป ถ้าขัดสนสิ่งใดจงไต่ถามขงเบ้ง ให้รัก ขงเบ้งเหมือนบิดา......”

ทั้งนี้เมื่อก่อนจะสิ้นใจ เล่าปี่ก็ได้มอบหมายให้ขงเบ้งดูแลบ้านเมืองว่า

“...........ปัญญาความคิดของท่านนี้ไม่มีใครเสมอแล้ว ดีกว่าโจผสักร้อยส่วน ท่านดูเอาแต่การซึ่งจะบำรุงแผ่นดิน ให้เป็นสุขพอประมาณเถิด ถ้าเห็นลูกเราไม่อยู่ในสัตย์ธรรม ทำผิดประเพณีไม่ฟังท่าน ก็ให้ท่านรักษาเมืองเสฉวนบำรุงแผ่นดินเองเถิด.........”

ซึ่งทำให้ขงเบ้งตกใจจนตัวสั่น กราบลงกับแผ่นดินจนหน้าแตกโลหิตไหล และยืนยันอย่างหนักแน่นว่า

“..................ข้าพเจ้าคิดจะบำรุงบุตรพระองค์ไปกว่าจะตาย อย่าได้คิดว่าข้าพเจ้าจะเบียดเบียนบุตรพระองค์เลย...............”

แม้จูล่งทหารเสือชั้นยอดที่เหลืออยู่ ก็ได้ให้คำมั่นว่า

“.......พระองค์อย่าได้ปรารมภ์เลยถ้ามีการสงคราม ข้าพเจ้าจะขอตายก่อนพระราชบุตร...”

เมื่ออาเต๊าขึ้นครองราชย์สมบัติทรงพระนามว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ก็ตั้งขงเบ้งเป็นมหาอุปราช และแต่งการศพพระเจ้าเล่าปี่ตามประเพณี เชิญศพไปฝังไว้ ณ ตำบลหุ้ยเหลงเมืองเสฉวน กับจารึกชื่อไว้หน้ากุฏิที่ฝังศพนั้นว่า พระเจ้าเลียดฮ่องเต้ ตั้งให้นางงอซีแม่เลี้ยงมารดาของเล่าเอ๋งเล่าลี เป็นพระราชมารดาผู้ใหญ่ ส่วนนางกำฮูหยินซึ่งตายไปก่อนหน้านี้ จารึกว่าพระมารดาพระเจ้าเล่าเสี้ยน มเหสีของพระเจ้าเล่าปี่ นางบีฮูหยินผู้ช่วยชีวิตเมื่อยังเป็นทารก ก็ให้จารึกว่ามเหสีของพระเจ้าเล่าปี่ ขงเบ้งก็จัดการแต่งตั้งนางเตียวซีบุตรสาวของเตียวหุยอายุสิบเจ็ดปี ให้เป็นมเหสีพระเจ้าเล่าเสี้ยนด้วย

จากนั้นขงเบ้งในฐานะมหาอุปราชของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ซึ่งถือว่าสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็ยกกองทัพไปทำสงครามเพื่อปราบปราม วุยก๊ก ที่เป็นเชื้อสายของโจโฉ ซึ่งถือว่าเป็นขบถ เพราะพระเจ้าโจผีได้ถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ ออกจากราชสมบัติ แต่แม้ว่าขงเบ้งจะมีความรู้ความสามารถ และมีสติปัญญาล้ำเลิศเพียงใด ก็ไม่เคยเอาชนะกองทัพฝ่ายแซ่โจ ให้เด็ดขาดลงไปได้ เพราะเจอเอามหาอุปราชของฝ่ายตรงข้ามที่มีฝีมือทัดเทียมกันคือ สุมาอี้

ขงเบ้งยกทัพไปรบกับสุมาอี้ถึงหกครั้ง ก็ไม่สามารถจะเอาชนะสุมาอี้ได้ จนต้องแพ้กรรมของตนเองป่วยตายในสนามรบครั้งสุดท้าย

เมื่อศพของชงเบ้งมาถึงเมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ทรงเครื่องขาว ให้ขุนนางทั้งปวงนุ่งขาวห่มขาว แล้วเสด็จขึ้นรถออกไปรับศพ ระยะทางประมาณสองร้อยเส้น แล้วเชิญศพเข้ามาให้จูกัดจี๋ยมบุตรชาย นำไปฝังไว้ ณ เขาเต็งกุนสาน หน้าด่านเส้นทางเข้าสู่เมืองเสฉวน

เมื่อจัดการศพขงเบ้งเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็แต่งตั้งขุนนางตามที่ขงเบ้งสั่งไว้ โดยให้ เจียวอ้วน เป็นมหาอุปราช บิฮุย เป็นผู้ช่วย งออี้ เป็นนายทหารใหญ่ว่าราชการเมืองฮันต๋ง เกียงอุย เป็นขุนนาง สำหรับบังคับบัญชานายทหารทำการสงคราม ของเมืองฮันต๋ง ฝ่าย เอียวหงี ซึ่งทำการแทนขงเบ้ง ได้ควบคุมกองทัพในการถอยออกจากสมรภูมิ และปราบปราม อุยเอี๋ยน ซึ่งฝ่าฝืนคำสั่งขงเบ้งและจะคิดขบถ จนฆ่าได้สำเร็จ แล้วนำศพขงเบ้งกลับมาถึงเมืองเสฉวนโดยเรียบร้อย ก็น้อยใจว่าไม่ได้เป็นมหาอุปราช บ่นกับบิฮุยว่า เมื่อขงเบ้งตายนั้นได้มอบตราตำแหน่งไว้แก่เรา แม้เราคิดจะเอาใจออกห่าง ไปเข้าด้วยโจยอยก็จะมีความสุข จะได้ไม่ต้องอยู่ใต้บังคับของเจียวอ้วน บิฮุยก็นำความไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามที่ได้ฟังมา พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เรียกตัวมาสอบถาม เอียวหงีก็ไม่ปฏิเสธ จึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตเสีย ตัวเจียวอ้วนเองต้องเป็นคนกราบทูลขออภัยโทษประหาร แต่ให้ถอดออกเป็นไพร่ไปอยู่เมืองแก่กุ๋น ซึ่งขึ้นกับเมืองฮันต๋ง เอียวหงีแค้นใจจึงเชือดคอตายเสีย

จากนั้น สงครามระหว่างวุยก๊กกับจ๊กก๊ก ก็สงบมาได้ถึงสิบห้าปี จนฝ่ายวุยก๊กเปลี่ยนจาก พระเจ้าโจยอย เป็น พระเจ้าโจฮอง เกียงอุยก็พยายามดำเนินการตามรอยขงเบ้ง ด้วยการยกไปตีวุยก๊กอีก โดยมีง่อก๊กหรือเมืองกังตั๋งเป็นพันธมิตร แต่ก็ไม่สำเร็จตามเคย จนวุยก็กเปลี่ยนแผ่นดินไปเป็น พระเจ้าโจมอ เกียงอุยก็ยกทัพไปตีวุยก๊กอีก แต่ก็เสียทีต้องยกทัพกลับ ต่อมาได้ข่าวว่า สุมาเจียวบุตรของสุมาอี้ ซึ่งเป็นมหาอุปราชแทนบิดา รบกับจูกัดอี๋ยน ญาติของขงเบ้งซึ่งเป็นเจ้าเมืองห้อยหลำ ก็ยกทัพไปช่วยรบกับสุมาเจียวอีก คราวนี้เจอเอา เตงงาย ทหารเอกของวุยก๊ก คอยหลอกล่อจนเสบียงขัดสน จึงต้องยกทัพกลับจนได้ แต่อีกไม่นานนัก พอฝ่ายง่อก๊กแห่งเมืองกังตั๋ง เปลี่ยนราชสมบัติใหม่จาก พระเจ้าซุนเหลียง เป็น พระเจ้าซุนฮิว และส่งหนังสือมากระชับสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าเล่าเสี้ยน

เกียงอุยก็อาสาไปตีเมืองลกเอี๋ยงของวุยก๊กอีกหน ก็ฟาดกับเตงงายคู่แค้นเก่า พอกำลังมันจะได้เป้นต่อแก่ข้าศึก ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเหมือนขงเบ้ง ถูกรับสั่งของพระเจ้าเล่าเสี้ยนเรียกตัวกลับเสียอีก เพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยน ไม่สนใจว่าราชการงานเมือง เชื่อฟังแต่ ฮุยโฮ ขันทีคนสนิทอยู่เพียงผู้เดียว ฮุยโอนั้นเป็นคนโลภ ใครติดสินบนด้วยแก้วแหวนเงินทอง ก็จะได้เลื่อนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ราชการแผ่นดินเมืองเสฉวนก็รวนเรไปหมด เตงงายรู้เรื่องดีจึงติดสินบนฮุยโอ ให้ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ว่าเกียงอุยคิดเอาใจออกห่าง ไปเข้ากับสุมาเจียว พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็รีบเชื่อทันที เมื่อกลับมาเฝ้าถึงเมืองเสฉวนแล้ว เกียงกุยก็ถามว่าเรียกตัวมาทำไม พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ตอบไม่ได้เหมือนอย่างที่ขงเบ้งเคยโดนมาแล้ว เกียงอุยจึงว่า

“.........ตัวข้าพเจ้าตั้งใจทำการ สนองพระคุณให้สิ้นศัตรูจงได้ ควรหรือพระองค์มาเชื่อฟัง อ้ายคนเล็กน้อยปากตลาด คิดสงสัยข้าพเจ้าเปล่า ๆ .............”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็อายพระทัย โมเมว่าถ้าท่านเห็นได้ที จะยกจากเมืองฮันต๋งไปตีวุยก๊กก็เชิญเถิด เกียงอุยก็ถอนใจใหญ่ แล้วกลับไปบำรุงทหารอยู่ที่เมืองฮันต๋งตามเดิม

ครั้งสุดท้ายฝ่ายวุยก๊ก เปลี่ยนแผ่นดินจากพระเจ้าโจมอ เป็นพระเจ้าโจฮวน เกียงอุยก็ยกไปรบกับเตงงายที่เขากิสาน สมรภูมินรกที่ขงเบ้งเคยผจญมาแล้วถึงหกปี เกียงอุยล้อมค่ายเตงงายไว้ได้เตรียมการเข้าตีหักขั้นเด็ดขาด ส่วนพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่อยู่ทางเมืองเสฉวนนั้น ไม่สนใจว่าใครจะรบกับใคร คงเสพสุราเคล้านารี หลงนางนักสนมกรมในทุกวันมิได้ขาด จนบรรดาขุนนางเก่าที่มีสติปัญญา ก็เสียใจถวายบังคมลาออกไปเลี้ยงหลานเสียมาก คงมีแต่คนรุ่นใหม่ที่เป็นพวกของฮุยโฮนั้นทั้งสิ้น

ขุนนางคนหนึ่งชื่อ เงียมอู อยากจะมีความดีความชอบ จึงขอให้ฮุยโฮทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ให้เรียกตัวเกียงอุยกลับ แล้วให้ตนเป็นแม่ทัพไปแทน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เชื่อ ส่งหนังสือรับสั่งไปถึงสามครั้ง เกียงอุยขัดไม่ได้ก็เลิกล้อมเขากิสาน ยกทัพกลับเมืองฮันต๋ง แล้วเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่เมืองเสฉวน แต่ก็ไม่ได้เฝ้า เป็นเพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่ออกว่าราชการถึงสามเดือน จึงสอบถามขุนนางคนหนึ่งจนได้เรื่องว่าฮุยโฮยุยง

วันหนึ่งจึงพาทหารสิบคน เข้าไปในสวนของพระราชวัง ซึ่งขณะนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนกำลังเสพสุราอยู่กับฮุยโฮ เกียงอุยก็กล่าวโทษฮุยโฮ ว่าถ้าขืนเชื่อถ้อยคำของขันทีสอพลอผู้นี้อีกต่อไป บ้านเมืองจะยุ่งเหยิง เหมือนเมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ เชื่อขันที เตียวเหยียง อย่างแน่นอน พระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่เห็นด้วย เกียงอุยก็น้อยใจกราบลงจนหน้ากระแทกแผ่นดิน แล้วทูลว่า

“...........ซึ่งพระองค์ไม่ฟังข้าพเจ้าก็แล้วไปเถิด แต่เห็นว่าอันตรายจะพลันถึงพระองค์เป็นมั่นคง...”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เถียงแทนขันทีคนสนิทว่า

“..................ประเพณีคนทั้งปวงนี้ ถ้ารักกันแล้วก็สรรเสริญว่าดี ถ้าชังแล้วก็ว่าชั่ว ซึ่งท่านมาคิดอิจฉาอ้ายฮุยโฮนี้ จะปรารถนาสิ่งใด.......”

แล้วก็ให้ฮุยโฮคำนับนอบน้อมต่อเกียงอุย ฮุยโฮก็ร้องไห้ขอฝากชีวิตไว้ เกียงอุยก็เลยใจอ่อนหายโกรธ คำนับลาพระเจ้าเล่าเสี้ยน ขอออกไปตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลหลงเส เพื่อฝึกสอนทหารให้ชำนาญการรบ และทำไร่ไถนาหาเสบียงเก็บสะสมไว้ โดยยกทหารในบังคับบัญชาแปดหมื่นคนไปด้วย

คราวนี้สุมาเจียว ซึ่งยังคงเป็นมหาอุปราชของพระเจ้าโจฮวน จึงให้เตงงายกับ จงโฮย คุมกองทัพไปตีเมืองเสฉวนบ้าง และจัดทัพสกัดไม่ให้เกียงอุยเข้าไปช่วยเสฉวนได้ด้วย ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนรู้ข่าวข้าศึกยกมาแทนที่จะจัดการตามที่เกียงอุยได้แนะนำไว้ก่อนไป กลับให้ฮุยโฮไปหาคนทรงเจ้าเข้าผี มาถามเรื่องศึกสงคราม ยายท้าวหมอผีก็ว่า ซึ่งข้าศึกมานี้หาจริงไม่ อันบ้านเมืองเรานี้จะอยู่เย็นเป็นสุขหาเป็นอันตรายไม่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็สบายพระทัย เสพสุรากับฮุยโฮต่อไปไม่มีกังวล แม้เกียงอุยจะมีหนังสือเตือนมาอีก ก็ไม่เอาใจใส่

ในที่สุดเตงงายก็ยกทัพฝ่าความยากลำบากของภูมิประเทศ ข้ามเขามอเทียนเนีย เข้ามาจนถึงเมืองปวยเสีย ห่างจากเมืองเสฉวนอีกพันหกร้อยเส้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ให้ จูกัดเจี๋ยม บุตรของขงเบ้งซึ่งเป็นมหาอุปราชอยู่ในขณะนั้นออกรบ จนเสียชีวิตกลางสมรภูมิ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ปรึกษากับขุนนางที่ยังเหลืออยู่ ขุนนางฝ่ายหนึ่งทูลว่า

“........บัดนี้ทแกล้วทหารของเราก็ระส่ำระสายอิดโรยนักแล้ว ซึ่งจะต่อสู้ด้วยทหารเตงงายนั้นเห็นมิได้ ขอให้พระองค์หนีไปทางทิศใต้เถิด มีหัวเมืองอยู่หกหัวเมือง เราจะไปอาศัยยับยั้งอยู่ ซ่องสุมทหารพร้อมกันแล้ว จึงจะไปคำนับเมืองกังตั๋ง ขอกำลังมาช่วย จะได้คิดทำการต่อไป..........”

ขุนนางผู้ใหญ่ที่ชื่อ เจียวจิ๋ว ขัดว่า

“...............เมื่อต่อด้วยข้าศึกมิได้ เข้าไปนบนอบเมืองกังตั๋งนั้น ใช่ว่าเมืองกังตั๋งจะตั้งมั่น เป็นเอกโทอยู่ก็หาไม่ ก็จะเสียแก่วุยก๊กเป็นมั่นคง นานไปก็ต้องกลับไปคำนับเขา ก็จะมิเป็นการอัปยศเป็นซ้ำสองไปหรือ..............ถ้าเข้าคำนับแก่พระเจ้าวุยก๊กเสียครั้งนี้ เห็นจะได้อายแต่ครั้งเดียว.......”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นชอบด้วย จึงให้จัดแจงสิ่งของเครื่องบรรณาการ เตรียมออกไปคำนับยอมอ่อนน้อมแก่เตงงาย

ส่วนบุตรของ พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีอยู่หกคน ต่างก็ไม่มีความคิดเห็นประการใด เว้นแต่ เล่าขำ บุตรคนที่ห้า ด่าคนที่แนะให้ยอมแพ้ว่า

“.......การศึกมีมามิได้คิดอ่ฟานรักษาเจ้า ธรรมเนียมมีหรือกษัตริย์จะไปคำนับแก่ผู้อื่น ถึงมาตรว่าจะตายก็ควรจะสู้เสียชีวิต จะนบนอบแก่ข้าศึกหาควรไม่........”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ว่า

“........เป็นไฉนตัวเจ้าก็เป็นเด็ก ถิอทิษฐิมานะว่าฝีมือกล้าแข็งรู้กว่าผู้ใหญ่ จะให้อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อนนั้นมิชอบ..........”

เล่าขำก็เถียงว่า ทหารในเมืองเสฉวน ยังมีอีกหลายหมื่นพอจะจัดกองทัพออกไปสู้รบได้ และเกียงอุยก็รักษาด่านอยู่ภายนอก ถ้าให้ยกเข้ามาสมทบตลบหลัง ก็จะเอาชนะข้าศึกได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ตวาดเอาว่า เป็นเด็กไม่รู้ลักษณะดีร้าย จะมาขัดขืนผู้ใหญ่นั้นเราไม่เชื่อฟัง เล่าขำน้อยใจก็เอาหน้ากระทบลงกับศิลาแล้วรำพันว่า

“.............พระอัยกาทรงอุตส่าห์กระทำความเพียรมา ก็ได้ความลำบากพระองค์เป็นสาหัส จึงได้มาตั้งภูมิฐานอยู่ ณ เมืองเสฉวน จนได้สมบัติสืบวงศ์มา....ยังมิทันไรจะเอาสมบัติไปยกให้ผู้อื่นนี้มิควรนัก มาตรว่าการจวนตัวเข้าก็ดี พระองค์กับข้าพเจ้าผู้บุตรทั้งเจ็ดคน และเสนาบดีทั้งปวง ควรจะช่วยกันไปต่อต้านข้าศึก ให้ตายเสียในกลางสงคราม ประเสริฐกว่าอัปยศแก่คน ถึงว่าตายไปพบพระอัยกาในเมืองผี ก็หามีความติโทษมิได้.........”

พระเจ้าเล่าเสี้ยนทนฟังไม่ไหว โกรธจัดก็ไล่ออกไปเสีย แล้วสั่งให้ขุนนางสามนายคุมเครื่องบรรณาการ พร้อมด้วยตราหยกสำหรับว่าราชการเมือง ออกไปคำนับอ่อนน้อมต่อเตงงาย ณ เมืองปวยเสีย กับส่งมอบบัญชีพลเมือง และทรัพย์สินของเสฉวน ซึ่งมีครัวสิบแปดหมื่นครัว หญิงชายใหญ่น้อยเก้าสิบสี่ หมื่นทหารกินเบี้ยหวัดสิบหมื่นกับเศษอีกสองพัน มีข้าวในฉางสี่สิบหมื่นเศษ ทองสองพันชั่ง เงินสองพันชั่ง แพรดีสีต่าง ๆ อย่างละสิบหมื่นพับ ให้ไปพร้อมกันอีกด้วย

เล่าขำก็ถอดกระบี่เดินไปหา นางซุยฮูหยิน ภรรยา และบอกว่า

“..........บัดนี้ทหารเมืองวุยก๊ก ยกเข้ามาย่ำยีขอบขันฑเสมา พระบิดาเราก็มิได้คิดอ่านจะต่อสู้ ให้ออกไปนบนอบแก่ข้าศึกแล้ว ตัวเราเกิกมาในวงศ์ของพระเจ้าเล่าปี่ มิเคยได้อ่อนน้อมแก่ผู้ใด ครั้งนี้จะพลอยคำนับข้าศึกนั้น ก็เสียดายชาติตระกูลของเรา ผิดก็จะเชือดคอตายเสียดีกว่า อย่าให้เสียศักดิ์.....”

นางซุนฮูหยินจึงว่า

“.....ตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาของพระองค์ ก็จะไปให้อัปยศแก่ศัตรู หาประโยชน์มิได้ ข้าพเจ้าจะขอตายไปกับพระองค์ ดูจะประเสริฐกว่า...........”

ว่าแล้วก็เอาศีรษะฟัดลงกับศิลา ถึงแก่ความตายในทันใด เล่าขำก็ฆ่าบุตรทั้งสามคนเสีย แล้วเอาศีรษะบุตรภรรยา ไปบูชาไว้หน้ากุฏิฝังศพพระเจ้าเล่าปี่ แล้วร้องไห้ว่า

“.........ตัวข้าพเจ้าเป็นหลานของพระองค์ ตั้งใจจะรักษาแผ่นดิน มิให้เสียเกียรติยศของพระองค์ไป ทบัดนี้ข้าพเจ้าจะรักษาจารีตประเพณีของพระองค์ไว้มิได้ ข้าพเจ้ามีแต่ชีวิต จะขอบูชาสนองคุณพระองค์.........”

แล้วก็เอากระบี่เชือดคอตายตามครอบครัวไป

ฝ่ายเกียงอุยอยู่ไกลแก้ไขปัญหาไม่ทัน ก็ยังคงจงนักภักดีต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยน ก็เข้าไปอ่อนน้อมต่อจงโฮย ซึ่งอยู่ในแนวรบคนละด้านกับเตงงาย แล้วก็ยุแหย่จงโฮยให้แตกกับเตงงาย เพื่อหาโอกาสแก้แค้นโดยให้ทั้งสองคนฆ่าฟันกันเอง จะได้เข้ายึดเมืองเสฉวน คืนเจ้านายของตน แต่ไม่สำเร็จแม้เตงงายกับจงโฮยจะตายสมความตั้งใจ แต่ตนเองก็เข้าที่อับจน ต้องเชือดคอตายเหมือนกัน เมืองเสฉวนจึงตกเป็นของวุยก๊กโดยสิ้นเชิง

ส่วนพระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้น ได้ถูกส่งตัวไปให้สุมาเจียว ที่เมืองเตียงฮัน แล้วก็พากะนกลับไปวุยก๊ก สุมาเจียวจะให้ประหารชีวิตพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสีย แต่ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันขอโทษไว้ สุมาเจียวจึงตั้งให้เป็น อ่านลกก๋ง จัดหญิงคนใช้ให้ร้อยหนึ่ง กับแพรอย่างดีหมื่นพับ และเงินทองอีกเป็นอันมาก แล้วตั้งทหารที่ติดตามมาเป็นขุนนางประจำตัวพอสมควร พร้อมทั้งจัดบ้านเรือนให้อยู่ตามประเพณี

พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มีความสุขสบายดีท เวลามีงานเลี้ยงซึ่งสุมาเจียวเชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนมากินโต๊ะด้วย ก็ทอดพระเนตรดูการละเล่นยิ้มพรายรื่นเริง ไม่มีทุกข์ร้อนอะไร สุมาเจียวจึงถามว่า ทุกวันนี้ท่านระลึกถึงเมืองเสฉวนอยู่หรือไม่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ตอบว่า

“......ข้าพเจ้าได้มาพึ่งวาสนาของท่าน ก็เป็นสุขอยู่ หาได้ระลึกถึงบ้านไม่.....”

ลิ่วล้อที่ตามพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาด้วย ก็ต่อว่าที่ตอบเช่นนั้น ควรจะทำโศกเศร้าบ้าง วันหลังพอเข้าไปกินเลี้ยงอีก ถูกสุมาเจียวถามอย่างเดิม พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็แกล้งเอามือปิดหน้าร้องไห้ แต่พอสุมาเจียวดึงมือออก ก็ไม่เห็นมีน้ำตา คงเป็นปกติอยู่ ทุกคนที่มาร่วมกินเลี้ยงก็พากันหัวเราะชอบใจ ตั้งแต่นั้น สุมาเจียวก็ไม่เอาใจใส่อีกต่อไป เพราะเห็นว่าเป็นคนโฉดเขลาหาปัญญามิได้ ไม่มีพิษมีภัยอะไรอีกแล้ว

ดังนั้น ภาษิตที่ว่า “ ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น “ นั้น ก็คงจะไม่ถูกต้องเป็นความจริงในทุกกรณี เพราะผลไม้บางชนิด ลูกที่หล่นลงโคนต้น อาจจะกลิ้งออกไปไกล และอาจจะไกลมากถ้าปลูกไว้บนที่เนิน ดังเช่นเล่าปี่ เชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ผู้ยากจนต้องทอเสื่อขาย แต่มีความมานะบากบั่นสร้างตัว จนได้เป็นฮ่องเต้จ๊กก๊กอยู่ในแผ่นดินจีนได้สำเร็จ แต่บุตรผู้สืบสกุล กลับไม่สามารถรักษาสมบัตินั้นไว้ได้ คงมีชีวิตอยู่อย่างคนสิ้นคิด พอใจในความสุขสำราญส่วนตัว ที่ได้รับเพียงวัน ๆ ไปอีกยี่สิบปี จึงแก่ตายไปเมื่อ พ.ศ.๘๓๐ อายุประมาณแปดสิบปี

เป็นอันสิ้นสุดเชื้อสายของราชวงศ์ฮั่น แต่เพียงนี้.


###########


Create Date : 15 มีนาคม 2560
Last Update : 15 มีนาคม 2560 6:04:40 น. 0 comments
Counter : 463 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.