Group Blog
 
All Blogs
 
เพื่อนกิน

เรื่องสั้น

เพื่อนกิน

"เพทาย"

ไหน ๆ ก็ได้เคยอ้างถึงทิศเบื้องขวาไปแล้ว คราวนี้จึงอยากจะอ้างถึง ทิศเบื้องซ้ายต่อไปอีกสักครั้งหนึ่ง เพราะได้เคยเขียนถึงบุคคลที่ท่านจำแนกไว้ในกลุ่มนี้มาหลายครั้งหลายคนแล้ว ซึ่งท่านว่าไว้ดังนี้

มิตรสหายได้ชื่อว่าทิศเบื้องซ้าย เพราะมิตรสหายเป็นผู้ช่วย ทำกิจให้สำเร็จเมื่อมีกิจธุระเกิดขึ้น ดุจมือซ้ายที่ช่วยมือขวาทำงาน ฉะนั้นจึงสมควรเทียบด้วยทิศเบื้องซ้าย

ซึ่งน่าจะเป็นความจริง อย่างเที่ยงแท้แน่นอน เพราะมิตรที่ดีนั้นจะพึงบำรุงมิตรด้วยการแบ่งปันทรัพย์แก่มิตรสหายในการอันควร กล่าวปราศรัยด้วยวาจาอ่อนหวาน และด้วยถ้อยคำที่เป็นสาระประโยชน์ ช่วยเหลือกิจการงานของมิตรให้ล่วงไปด้วยดี โดยแนะนำให้สำเร็จประโยชน์ในทางที่ชอบ ทำตนเสมอกัน ไม่ถือตัว ไม่แสดงกิริยาเย่อหยิ่งจองหองแก่มิตร ซื่อสัตย์สุจริต กล่าวแต่ถ้อยคำที่เป็นจริง ไม่บิดเบือนถ้อยคำให้มิตรเกิดความระแวงสงสัย และไม่กล่าวคำเท็จ

ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งก็ควรจะต้อง ขวนขวายหาอุบายสกัดกั้นอันตราย อย่าให้เกิดแก่มิตร พึงรักษาทรัพย์สมบัติของมิตร ไม่ให้เป็นอันตรายทั้งปวง หากมีภัยเกิดขึ้นพึงช่วยแก้ไข เป็นที่พึ่งพิงได้เมื่อมิตรเกิดวิบัติ เสื่อมลาภยศ และทรัย์สมบัติ ย่อมอนุเคราะห์เกื้อกูลด้วยกำลังกาย กำลังความคิด โดยไม่ทอดทิ้ง ประการสุดท้ายพึงรักใคร่นับถือญาติ วงศ์วานของมิตร เสมอญาติของตน หากมีกิจธุระก็เข้าช่วยด้วยความเต็มใจ

ทั้งหมดนี้ก็คัดลอกเอามาจาก หนังสือคู่มือนวโกวาทซึ่งใช้อบรมพระภิกษุ ที่อุปสมบทใหม่ แต่ชาวบ้านก็สามารถนำมาใช้ได้ เป็นอย่างดีเช่นกัน

ถ้าหากผมไม่ได้มิตรที่มีอุปการะมา ตั้งแต่ครั้งระเห็ดออกจากโรงเรียนวัด เมื่ออายุได้เพียง ๑๕ ปี ก็คงจะไม่รอดเป็นตัวตนมาถึงบัดนี้ เพราะออกแรงแบกหามดายหญ้าขุดดินอยู่ใน แผนกที่ ๓ กรมพาหนะทหารบก ได้ไม่เท่าไร ก็มีผู้ขอตัวไปทำงานบนสำนักงาน เป็นผู้ช่วยนักการภารโรง ซึ่งเป็นงานเบากว่าลูกจ้างใช้แรงงานมาก

หน้าที่นี้ก็คือช่วยภารโรงปิดเปิดหน้าต่างประตู กวาดถูห้องและเช็ดโต๊ะเก้าอี้ในสำนักงาน ช่วยเสมียนเดินส่งหนังสือ และคอยรับใช้ผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่ เมื่อเวลารับประทานอาหารกลางวัน ที่โรงอาหาร


ผมเดินบริการอาหารให้ พันตรี ศิริ ศิริโยธิน พันตรี พล ศรินทุ พันตรี กาจ กุยยกานนท์ ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้ากรมทั้งสามท่าน รวมทั้ง พันตรี ประมาณ อดิเรกสาร อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย อยู่ร่วม ๒ ปี จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นเสมียน แต่งเครื่องแบบข้าราชการวิสามัญ ติดขีดขมวดสามเหลี่ยมโก้ขึ้น พ้นจากการนุ่งกางเกงขาสั้นก้นปะ ห่อข้าวไปกินในที่ทำงานมื้อกลางวัน จนเพื่อนผู้มีอุปการะช่วยต่อเติมนามสกุลให้เป็น นายห่อ มากินานนท์ ตามพฤติกรรมนั้นจนได้

หน้าที่การงานของผมเจริญขึ้นมาได้ก็ด้วยความเกื้อหนุนค้ำจุน ของมิตรผู้อาวุโสทั้งหลาย เพราะผมอายุน้อยที่สุดที่เขาคบหาสมาคมด้วย มีรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่คนหนึ่งคือ นายจืด ผมได้พบกับเขาเมื่อครั้งที่ย้ายไปทำงานใน ร้านสหกรณ์กรมพาหนะทหารบก ที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมสี่แยกสะพานแดง บางซื่อ ซึ่งต่อมาได้ใช้เป็นที่ทำการของ รถโดยสารทหารบก โดยจัดให้มีกระเป๋าหญิงเป็นผู้เก็บค่าโดยสารขึ้น เป็นครั้งแรกในเมือง ไทย แม้ว่าในตอนต้นจะต้องจัดสารวัตรทหารนั่งคุมไปกลับทุกคัน ทุกเที่ยว จนเป็นปกติ จึงได้เกิดมีกระปี๋ขึ้นบนรถโดยสารทุกสายมาจนถึงสมัยนี้

นายจืดนั้นมีอายุอ่อนกว่าผมเพียงปีเดียว จึงสนิทสนมกันมาก เราหัดดื่มเหล้ามาในเวลาใกล้เคียงกัน จึงอยู่ในกลุ่มคออ่อนด้วยกัน เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเข้าพิธีแต่งงานที่บ้าน แถว ๆ บางโพ เราไปช่วยเขาตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาส่งตัว แล้วก็ฟุบหลับอยู่ ข้างวงอาหารที่เลี้ยงกันกลางนอกชานนั้นเอง ตื่นเช้าขึ้นมาก็เหลือแต่เราสองคน จะทำอะไรก็ไม่ได้ อยากจะลุกขึ้นยืนยังไม่ได้ ต้องนั่งพิงตุ่มน้ำเย็น แข่งกันคายอาหารเก่าที่กินเมื่อวาน ลงร่องกระดานจนหมดแรง ต้องนอนต่อที่บ้านงานอีกวัน

สมัยนั้นพวกเราที่อยู่ร้านสหกรณ์ด้วยกัน ๕ - ๖ คนตั้งวงกินเหล้ากันทุกเย็น พอไม่มีเงินก็เซ็นเอาของในร้าน ไปขายเจ๊กในราคาต่ำกว่าที่ซื้อ เรียกว่าซื้อแพง ขายถูก เช่นน้ำมันใส่ผมมอร์เล่ย์ ขวดละ ๑๐ บาท ก็ขาย ๘ บาท ยาสีฟันวิเศษนิยมซองละ ๒ บาท ห่อละ ๑๐ ซอง ๒๐ บาท ก็ขายได้ ๑๙ บาท เป็นต้น

ส่วนมากเราจะซื้อ ของชิ้นเล็ก ๆ ที่หิ้วไปได้ง่าย ๆ ขายให้ร้านชำแถวบางกระบือ แล้วก็เข้าร้านเหล้าแถว นั้นแหละ

เว้นแต่บางวันจะมีเจ้ามือใหญ่ เป็นเพื่อนรุ่นพี่มียศเพียงสิบตรี แต่ที่บ้านเมืองนนทบุรี มีสวนทุเรียนหลายขนัด มีเงินทองมากมายไม่ต้องเป็นห่วง เงินเดือนออก มาเท่าไร ก็จับจ่ายเลี้ยงเพื่อนหมด


ตามปกติจะมีการควบคุมสมาชิกมิให้เซ็นบิลซื้อเชื่อ เกิน ๑ ใน ๓ ของเงินเดือน แต่เราเป็นเจ้าหน้าที่เองก็เซ็นกันเพลินไป พอเงินเดือนออกหักบิลแล้วเหลือเงินไม่พอใช้ตลอดเดือน ก็เซ็นของไปขายใหม่ เป็นงูกินหาง จนมีหนี้สินกันคนละไม่น้อย เว้นแต่ผมคนเดียวที่ระมัดระวังการเซ็นเชื่อ เพราะต้องเอาเงินเดือนไปให้แม่ทุกเดือน ต้องชี้แจงว่าซื้ออะไรไปทำไม ทุกรายการ

ขณะนั้นเป็นช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งได้เริ่มขึ้นเมื่อ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๓ เวลา ๐๔.๐๐ น.เกาหลีเหนือใช้กำลังประมาณ ๑๐ กองพล จู่โจมข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ บุกเข้ายึดกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้ได้ภายใน ๓ วัน สหรัฐอเมริกาได้ส่งกำลังเข้าไปช่วยป้องกัน ในนามขององค์การสหประชาชาติ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้ ต้องถอยร่นมาทางใต้จนถึงเมืองเตกูและปูซาน

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ มีมติให้ประเทศสมาชิกทั้งหมด ให้ความช่วยเหลือด้านการทหาร แก่กองบัญชาการร่วมของสหรัฐ ในนามของสหประชาชาติ ประเทศไทยจึงได้ตกลงใจที่จะส่งกำลัง ๑ กรมผสม ไปร่วมรบกับสหประชาชาติ และได้ส่ง กองพันที่ ๑ กรมผสมที่ ๒๑ นำกำลังส่วนใหญ่ไปเกาหลี โดยเรือสินค้าของ บริษัทเมอสค์ไลน์ คุ้มกันโดยเรือหลวงประแส และเรือหลวงบางประกง ร่วมด้วยเรือ หลวงสีชัง แห่งราชนาวีไทย ออกจากท่าเรือคลองเตยเมื่อ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๓ ถึงประเทศเกาหลี ๗ พฤศจิกายน ๒๔๙๓

กองพันทหารไทยผลัดที่ ๑ ได้สร้างวีรกรรมครั้งแรก ภายใต้การบังคับบัญชาของ กรมทหารม้าที่ ๘ กองพลทหารม้าที่ ๑ โดยการเข้าตีเมืองอุยจองบู ซึ่งอยู่เหนือกรุงโซล ๑๓ ไมล์ เมื่อ ๒๐ - ๒๕ พฤษภาคม ๒๔๙๔ ได้รับชัยชนะ และได้มีการจัดสร้างอนุสาวรีย์เป็นเกียรติประวัติแก่ชาติและทหารไทย ณ เส้นขนานที่ ๓๘ มีคำจารึกว่า

"การข้ามเส้นขนานที่ ๓๘ ครั้งที่ ๓ โดยทหารอเมริกัน ทหารไทย ทหารกรีก"

กองพันทหารไทยผลัดที่ ๒ ได้สร้างวีรกรรมไว้อีกเมื่อ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ ในการจัดตั้งหมวดคอยเหตุที่เขาทีโบน ได้ถูกข้าศึกเข้าตีด้วยกำลังที่มากกว่าหลายเท่า จนถึงขั้นรบตลุมบอน โดยไม่มีกองหนุนมาช่วยเหลือ ตั้งแต่เวลา ๒๒.๐๐ น. จนถึงเวลาใกล้สว่าง จึงต้องสลายตัวเพราะสูญเสียกำลังพล ไปถึงครึ่งหนึ่ง

กองพันทหารไทยผลัดที่ ๓ ได้สร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในการรบที่พอร์คชอป ซึ่งได้ถูกข้าศึกเข้าตี ตั้งแต่ ๑, ๔, และ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ โดยใช้ กำลังอันมหาศาลด้วยคลื่นมนุษย์ บุกฝ่าการต้านทานเข้ามาทุกทิศทุกทาง ทหารไทยที่อยู่บน พอร์คชอปได้ต่อสู้อย่างทรหด กล้าหาญ เพื่อต้านทานฝ่ายคอมมิวนิสต์ และรักษาที่มั่นไว้ได้จนถึงที่สุด ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๒ สหรัฐ ฯ ได้มาเยี่ยมและแสดงความยินดีแก่ กองพันทหารไทยในชัยชนะ ที่น่าภาคภูมิใจนี้ และได้กล่าวแก่ผู้บังคับกองพันทหารไทย ว่า

" ข้าพเจ้าไม่มีอะไรสงสัย ในจิตใจแห่งการต่อสู้ของทหารไทยอีกแล้ว "

กองพันทหารไทยผลัดที่ ๔ ไปผลัดเปลี่ยนกำลัง ตั้งแต่ ธันวาคม ๒๔๙๕ พอถึง กรกฎาคม ๒๔๙๖ ก็มีการเจรจาหยุดยิง และตกลงหยุดยิงสิ้นเสียงปืนทุกชนิด เมื่อเวลา ๒๒.๐๐ น.ของวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๔๙๖

นายจืดเพื่อนผม ได้สมัครไปราชการสงครามเกาหลี ในผลัดที่ ๕ เริ่มเดินทางประมาณ สิงหาคม ๒๔๙๖ จึงไม่มีโอกาสได้แสดงวีรกรรมเหมือนผลัดอื่น แต่ก็ยัง มีเรื่องให้เป็นที่ฮือฮากันจนได้ โดยเฉพาะกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยเหนือ ถึงกับมีผู้สื่อข่าวสงครามมาสัมภาษณ์ เอาไปลงหนังสือพิมพ์ทีเดียว

เรื่องนั้นก็คือ นายจืดไปไปราชการสงครามครั้งนี้ทั้งตระกูล คือตัวเขา ซึ่งเป็นพลทหาร และพี่ชายยศสิบเอก กับบิดาซึ่งมียศเป็นจ่าสิบเอก กองพันทหารไทยผลัดนี้จึงมีทหารนามสกุลเดียวกันถึง ๓ คน สามารถทำลายสถิติกำลังพลของทหารทุกชาติ ในสมรภูมิเกาหลีได้โดยสิ้นเชิง

ระหว่างไปราชการเขาก็เขียนจดหมายติดต่อกับผมโดยสม่ำเสมอ และเมื่อกลับมาทำงานตามปกติแล้ว เราก็ร่วมวงกินเหล้ากันเหมือนเดิม เขาน่าจะเป็นเพื่อนกินเหล้ากับผมไปได้อีกนาน

ถ้าไม่บังเอิญเกิดน้อยใจภรรยา เลยคว้ายาฆ่าแมลงมาดื่มแทนเหล้า ด้วยความเข้าใจผิดเพียงนิดเดียว

คือเข้าใจผิดว่าภรรยาคงจะพาเขาไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน.

##########




Create Date : 06 กันยายน 2552
Last Update : 6 กันยายน 2552 6:51:43 น. 4 comments
Counter : 112 Pageviews. Add to





นายจืด ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ
อืม ไม่น่าน้อยใจเลย

โดย: PANPISA วันที่: 18 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:42:24 น.




ขอบคุณแทนเพื่อนด้วยครับ
ป่านนี้เขาคงไปเกิดที่ไหนแล้วก็ไม่ทราบครับ
แต่ก็ไม่ลืมเขาเลย เพราะเขียนเรื่องของเขาไว้เป็นอนุสรณ์แล้วครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:6:16:17 น.




"สงครามมีแต่ความสูญเสีย"
..............................................
ขอไว้อาลัยกับนายจืดด้วยครับ ท่านไม่น่าน้อยใจเลยนะครับ

โดย: วิรุฬห์ IP: 110.168.123.152 วันที่: 29 สิงหาคม 2553 เวลา:20:38:27 น.




ผมเองก็สนใจที่จะไปร่วมสงครามเกาหลีกับเขาด้วยเหมือนกัน
เพราะกำลังจะถูกเกณฑ์เป็นพลทหาร
และเขาก็หยุดยิงกันเสีนก่อนที่ผมจะได้เป็นทหาร

สงครามเวียตนามก็เช่นเดียวกัน ตั้งใจจะสมัครไปรุ่นที่ ๕
แต่เขาก็เลิกกันเสียตั้งแต่รุ่นที่ ๓

เลยได้อยู่มาจนถึงบัดนี้ไงครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 30 สิงหาคม 2553 เวลา:5:34:46 น.





Create Date : 04 กันยายน 2554
Last Update : 4 กันยายน 2554 8:01:08 น. 10 comments
Counter : 485 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ



แล้วนายจืดเพื่อนท่าน หัวล้านหรือเปล่าคะ?


อืมมมมม


ถ้าเขาไม่หยุด สองสงครามนั่นก่อน ก็แปลว่า อาจไม่ได้อ่านข้อเขียนของท่าน เจียวต้ายซิิคะ


ว๊าวววววววว

เส้นยาแดงผ่าแปดเลยนะคะนี่


โดย: Katai_Akiko วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:10:25:52 น.  

 
สงครามจริง ๆ มันมีแต่ความตายครับ
ผมกำลังหนุ่มไม่มีพันธะอะไรก็อยากไปหาประสบการณ์ที่เกาหลีครับ

สมัยสงครามเวียตนามผมก็อยากไปเพราะเพื่อนทหารสื่อสารไปกันเยอะกลับมาก็ได้เงินเพิ่ม

แต่พอได้ทำงานทีวีแล้ว ญาติผู้ใหญ่ในกองทัพบก ชวนไปทำงานสงครามลับในประเทศอินโดจีน
ผมบอกมีงานพิเศษทำแล้ว (ไม่กระตือรือล้นแล้ว) ครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:15:05:47 น.  

 
เอ๊า !

งั้นก็แปลว่า ถ้าท่านเจียวต้ายไม่ได้ทำงานทีวีพอดีแล้ว ตอนนั้น ก็อาจจะไปตามคำชักชวนของญาติผู้ใหญ่ในกองทัพซิคะ


โดย: Katai_Akiko วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:16:01:36 น.  

 
ไม่แน่ครับ เพราะใจอยากได้เงินแสนครับ
แต่สงครามนี้ต้องลาออกจากราชการก่อน เพราะเป็นสงครามนอกแบบ
ก็อาจลังเลทีหลังครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:17:17:31 น.  

 
อ่านและคุยด้วย มาถึงตอนนี้แล้ว


ให้รู้สึกเหมือนกับว่า ท่านเจียวต้าย มี สองภาค ในตัวเองเลยนะคะ



โดย: Katai_Akiko วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:19:06:35 น.  

 
ถ้ามีเวลาขอคำอธิบายขยายความด้วยครับ
ว่าสองภาคคืออย่างไร
ผมกลัวว่าจะเป็นแบบ มิสเตอร์ไฮด์ และ ด็อคเตอร์ เจนกิ้นส์ ครับ


โดย: เจียวต้าย วันที่: 9 กันยายน 2554 เวลา:5:34:04 น.  

 
สวัสดีค่ะท่านเจียวต้าย

ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ ถ้าใช้ภาษาสั้นและกัมกวมเกินไป


มนุษย์ทุกคนก็คงจะมีสองภาคนี้อยู่ในตัวเป็นแน่ หาก จะแสดงให้เห็นได้ชัดหรือไม่เท่านั้นเอง

ผู้ที่เป็นทหารคือผู้ที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งหมายความว่า สั่งอะไรก็ต้องทำตาม ไม่มีคำว่า ผิดหรือถูก

เพียงเพื่อคำว่าปกป้องรักษาประเทศชาติ

แม้จะต้องหันปืนยิงใส่คนด้วยกันก็ตาม


อ่านจากอยากไปรบสงครามด้วย จากอารมณ์นี้ ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม รู้สึกกลัวค่ะ

กับอีกภาค

คืออ่านแล้วรู้สึกถึงความเป็นคนใจบุญ ชอบทำทั้งบุญ และทาน โดยไม่เลือกหน้า และทำมาตลอดโดยไม่ขาด นั่นน่ะ ยากมากนะคะ


ถ้าหากที่เขียนมานี้ ทำให้ท่านไม่สพอารมณ์ ก็ขอประทานโทษมา ณ . ที่นี้ด้วยค่ะ


โดย: Katai_Akiko วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:7:52:48 น.  

 
พอเข้าใจแล้วครับ คุณKatai_Akiko
ว่าภาคหนึ่งดูเป็นคนเข้มแข็ง เพราะเป็นทหาร

แต่อีกภาคหนึ่ง มีจิตใจอ่อนโยน มีเมตตา อันเป็นนิสัยติดตัวมาแต่กำเนิด

นั่นจึงเป็นเหตุให้แคล้วคลาดจากการ สงคราม การรบ และการประหัตประหารมาตลอดชีวิตไงครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:14:04:01 น.  

 


ใช่แล้วค่ะ นี่ไง ง่ายนิดเดียว เขียนแค่นี้ได้ความหมายรวมครบหมดที่อยากบอก หรือ สื่อ

ในขณะที่ตัวเองเขียนซะยาว เขียนภาษาไทยแปลเป็นไทยยังไม่สามารถอธิบายได้ถูกต้องเลย

แฮะๆ สอบภาษาไทยตกมานานแล้วค่ะ

สามวันก่อน คุณพี่ sirivinit ชมว่า หนูต่าย เขียนภาษาไทยเป็นภาษาขึ้นมาแยะเลย ยังหลงดีใจว่า อะฮ๊า ... เริ่มพอจะคุยกับชาวบ้านเขาได้แล้ว

แต่ตอนนี้ทราบแล้วค่ะว่า ถึงจะนั่ง ชิงกังเซ่น รถไฟเร็วที่สุด ก็ยังคงอีกนานกว่าจะตามคุยกันทัน ค่ะ


โดย: Katai_Akiko วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:14:34:15 น.  

 
ขอบคุณที่ยกย่องครับ
ดีใจที่เดาความคิดของคุณได้ถูกตองครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 12 กันยายน 2554 เวลา:5:48:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.