Each time history repeats itself, the price goes up. ~Author Unknown
Group Blog
 
All Blogs
 
สงครามกลางเมืองอเมริกา ตอนที่สี่

พิรัส จันทรเวคิน

ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิมอยู่เสมอ ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีตของตน


จุดเปลี่ยนของสงครามมาถึงในสมรภูมิรบที่กินเวลาสามวันในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของรัฐเพนซิลวาเนียที่มีชื่อว่าเก็ตตี้เบิรกก์ ด้วยความเป็นนักยุทธศาสตร์ชั้นเลิศ นายพลลีตระหนักดีว่าหนทางเดียวที่จะมีชัยเหนือฝ่ายรัฐบาลกลางได้ก็คือ การเปิดเกมส์รุกขึ้นไปทางเหนือและทำการบดขยี้ทหารฝ่ายแยงกี้ให้ย่อยยับในพื้นที่ของตนเอง จนทำให้เกิดกระแสต่อต้านสงครามในวอชิงตัน ซึ่งจะบีบให้รัฐบาลลินคอนน์ต้องขอเจรจาสงบศึก

ด้วยเหตุนี้ในเดือนพฤษภาคม 1863 ลีจึงสั่งให้เคลื่อนกำลังพลจำนวนเจ็ดหมื่นกว่านายจากกองทัพแห่งเวอร์จิเนียเหนือรุกเข้าไปในเขตพื้นที่รัฐเพนซิลวาเนีย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมืองแฮริสเบิรกก์ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางรถไฟและคลังสัมภาระของฝ่ายเหนือ และเมื่อถึงปลายปลายเดือนมิถุนายน กองทหารของลีก็ได้รุกไล่กองกำลังรัฐบาลกลางที่กำลังถอยร่นมายังเมืองเกษตรกรรมเล็กๆแห่งหนึ่งที่มิได้มีความสลักสำคัญอะไรที่มีชื่อเรียกว่า "เก็ตตี้สเบิรกก์" ทว่าสิ่งหนึ่งที่ลีไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็คือ ฝ่ายรัฐบาลกลางมีกำลังทหารจำนวนอีกกว่าเก้าหมื่นนายจากกองทัพแห่งโปรโตแมคภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลจอร์จ กอร์ดอน มีดด์ อยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง กองทหารม้าของนายพลเจปป์ สจ๊วตต์ ที่ลีส่งออกไปสอดแนมล่วงหน้าพลาดที่จะระบุตำแหน่งของฝ่ายตรงข้าม ด้วยเหตุนี้นายพลลีจึงจำต้องบัญชาการรบในสภาพที่เปรียบเสมือนกับคนตาบอด เป็นเหตุให้เขาประเมินกำลังของอีกฝ่ายต่ำเกินไป นับเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญและนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนของสงคราม



1 กรกฏาคม 1863 เมื่อการรบเริ่มขึ้นฝ่ายเหนือมีกำลังทหารสามพันนายประจำอยู่ที่เก็ตตี้เบิรกก์ภายใต้การบังคับบัญชาของพลจัตวาจอห์น บัลฟอร์ต เมื่อกองกำลังที่เหนือกว่าของลีเข้าโจมตีในวันแรกของการรบ บัลฟอร์ตตระหนักดีว่าไม่มีปัญญาจะรับมือได้แน่ เขาจึงสั่งให้ถอนกำลังไปตั้งรับในที่สูงตามแนวสันเนินที่มีชื่อเรียกว่า Cemetery Hill ทางด้านทิศใต้ของเมือง ทหารฝ่ายเหนือจึงถอยร่นไปยังแนวตั้งรับดังกล่าวและจัดเตรียมพื้นที่สำหรับรอรับการโจมตีจากฝ่ายใต้ แนวตั้งรับของฝ่ายเหนือค่อยๆแผ่ขยายออกไปตามแนวสันเนินและวางตัวเป็นรูปตะขอเบ็ดตกปลา

ในวันที่สองของการรบ กองกำลังของฝ่ายใต้พยายามเข้าตีโอบปีกตามแนวตั้งรับของฝ่ายเหนืออยู่หลายครั้งด้วยกัน แต่ก็ถูกยันกลับไปได้ทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะทหารฝ่ายเหนืออยู่ในชัยภูมิที่มีเปรียบกว่า เนื่องจากเป็นพื้นที่สูงและมีที่กำบังอย่างดีในขณะที่ฝ่ายใต้จำเป็นต้องเข้าตีขึ้นเนินซึ่งผิดหลักของยุทธวิธีการรบ เมื่อเวลาผ่านไปกองกำลังฝ่ายเหนือจากบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงได้ทยอยเข้ามาเสริมกำลัง ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้นายพลเจมส์ ลองสตรีท หนึ่งในผู้บัญชาการระดับสูงของลีตระหนักถึงหายนะที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า และแนะนำให้ลีล้มเลิกแผนปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยให้เปลี่ยนเป้าหมายเป็นการเข้าตีกรุงวอชิงตันที่อยู่ห่างไปทางใต้ 85 ไมล์แทน ทั้งนี้เพื่อเป็นการล่อให้กองทหารของฝ่ายเหนือถอนตัวออกมาจากแนวตั้งรับอันแข็งแกร่งดังกล่าวเพื่อมาป้องกันเมืองหลวงของฝ่ายตน แต่ด้วยความมีทิฐิ ลีจึงได้ตอบกลับไปว่า “จะให้ไปได้ยังไง ก็ในเมื่อข้าศึกอยู่ตรงหน้านี่แล้วนี่ท่านนายพล”



เข้าวันที่สามของการรบ สถานการณ์ของกองทัพฝ่ายใต้เริ่มวิกฤตหนักขึ้น ความพยายามเข้าตีโอบปีกทั้งสองข้างของการรบเมื่อวันก่อนประสพกับความล้มเหลว กองทหารม้าของเจปป์ สจ๊วตต์ ที่ลีส่งออกไปโจมตีตลบหลังแนวข้าศึกก็ถูกสกัดโดยกองทหารม้าฝ่ายยูเนี่ยนที่นำโดยนายพลหนุ่มดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง "จอร์จ อาร์มสตรอง คัสเตอร์" แต่ลีก็ยังคงยืนกรานที่จะเข้าตีโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเจมส์ ลองสตรีท เนื่องจากการเข้าตีทางด้านปีกทั้งสองข้างไม่ประสพผลสำเร็จ ลีจึงมีความเชื่อมั่นว่านายพลมีดด์จะต้องสั่งให้เสริมกำลังในบริเวณดังกล่าว ดังนั้นจุดที่อ่อนที่สุดของแนวรบฝ่ายยูเนี่ยนจึงน่าที่จะอยู่ที่ตรงกลาง ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้ทำการเข้าตีตรงจุดนั้นโดยทันที โดยใช้กำลังจากกองทัพน้อยของลองสตรีท สนธิกำลังจากสามกองพลรวมเป็นจำนวนกำลังพลทั้งสิ้น 13,000 นาย และผู้ที่ถูกคัดเลือกโดยลีให้นำการเข้าตีในครั้งนี้ก็คือนายพลจอร์จ พิคเก็ตต์ ผู้ซึ่งยังไม่เคยมีประสพการณ์จริงในการบัญชาการรบระดับกองพลมาก่อน แต่เหตุผลที่ถูกเลือกก็เพราะว่ากองพลของพิคเก็ตต์ยังไม่เคยผ่านการปะทะ จึงยังสดใหม่เมื่อเทียบกับหน่วยอื่นๆของลี จุดที่จะเข้าตีนั้นเป็นแนวตั้งรับของฝ่ายเหนือตามแนวสันเนินที่มีชื่อเรียกว่า Cemetery Ridge แนวดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของนายพลวินฟิลด์ สก๊อตต์ แฮนค๊อก ผู้ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นสโตนวอลล์ แจ๊คสันของฝ่ายเหนือ และเมื่อเลยแนวนี้ออกไปไม่ไกลก็คือกองบัญชาการภาคสนามของนายพลมีดด์ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพแห่งโปรโตแมคนั่นเอง

สำหรับกับเจมส์ ลองสตรีทแล้ว การที่ต้องเคลื่อนพลด้วยเท้าไปในพื้นที่เปิดโล่งเป็นระยะทางหนึ่งไมล์ครึ่ง เพื่อเข้าตีแนวรับข้าศึกซึ่งอยู่ในพื้นที่สูงและมีที่กำบังอย่างดีเปรียบเสมือนกับการฆ่าตัวตายชัดๆ ก่อนการเข้าตีลองสตรีทได้พยายามทัดทานลีเป็นครั้งสุดท้าย แต่ลียังคงยืนยันคำเดิมเพราะมีความมั่นใจว่า การระดมยิงปืนใหญ่ทุกกระบอกลงไปในพื้นที่เล็กๆดังกล่าวจะสามารถทำให้แนวตั้งรับของข้าศึกเกิดการระส่ำระส่าย และเปิดโอกาสให้กำลังทหารของฝ่ายตนสามารถเคลื่อนเข้าประชิดได้โดยได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ดังนั้นสำหรับลีแล้วมีความเป็นไปได้สูงที่การเข้าตีในครั้งนี้จะประสพผลสำเร็จและผ่ากลางแนวรับของฝ่ายยูเนี่ยนออกเป็นสองส่วน ซึ่งจะทำให้ฝ่ายใต้สามารถกำชัยชนะได้ในที่สุด ท้ายที่สุดลีได้กล่าวกับลองสตรีทว่า “เชื่อผมเถอะท่านนายพล ยังไงเราก็ชนะแน่” ด้วยเหตุนี้ลองสตรีทจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยก็ตาม และสำหรับกับกองทหารของฝ่ายใต้แล้ว นายพลลีเปรียบเสมือนกับเทพเจ้าแห่งสงครามผู้มีสายตาอันกว้างไกลและไม่เคยปราชัยให้กับใครในสนามรบ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะตั้งคำถามกับเขาเหมือนเช่นมือขวาของเขาเองอย่างนายพลลองสตรีท



และเมื่อถึงเวลาบ่ายโมง ปืนใหญ่ของฝ่ายสมาพัน์ธ์รัฐฯจำนวนกว่า 150 กระบอกก็ได้เริ่มเปิดฉากยิงถล่มแนวตั้งรับของฝ่ายยูเนี่ยนที่ Cemetery Ridge อย่างขนานหนัก ซึ่งเมื่อมองจากสายตาของทหารราบฝ่ายใต้หนึ่งหมื่นสามพันนายที่หลังแนวเข้าตีแล้ว นับเป็นฉากอันยิ่งใหญ่อลังการ์และสร้างขวัญกำลังใจให้อย่างมาก ทว่าน่าเสียดายที่ทั้งหมดนั้นกลับเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ปืนใหญ่ของฝ่ายใต้มีข้อผิดพลาดในการกำหนดระยะยิง กระสุนส่วนมากได้พุ่งข้ามหัวกองทหารฝ่ายยูเนี่ยนและไปตกลงที่หลังแนว นอกจากนี้ฝุ่นควันของการระเบิดยังบดบังสายตาของผู้ชี้เป้า ทำให้ไม่มีการแก้ไขในเรื่องของพิกัดการยิง ปืนใหญ่ของฝ่ายเหนือเริ่มทำการยิงตอบโต้ แต่ก็เป็นการระดมยิงในลักษณะที่สงวนกระสุนเอาไว้สำหรับการเข้าชาร์จของฝ่ายใต้ที่จะตามมา แต่กลับทำให้นายทหารปืนใหญ่ของลีเข้าใจผิดว่าสามารถทำลายปืนใหญ่ของฝ่ายข้าศึกได้ ทั้งที่ความจริงแล้วกองปืนใหญ่ของฝ่ายเหนือแทบจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย ซึ่งเมื่อรวมข้อผิดพลาดทั้งสามประการนี้เข้าด้วยกัน นั่นก็หมายถึงหายนะที่กำลังรอนายพลจอร์จ พิคเก็ตต์และทหารหนึ่งหมื่นสามพันนายภายใต้การนำของเขา

ปืนใหญ่ของฝ่ายใต้ระดมยิงถล่มแนวตั้งรับของฝ่ายเหนือเป็นเวลาร่วมๆสองชั่วโมง เมื่อสิ้นเสียงปืน จอร์จ พิคเก็ตต์เดินไปที่เบื้องหน้าลองสตรีทเพื่อขอคำอนุมัติให้ทำการเข้าตี ทหารเก่าอย่างลองสตรีทรู้ดีอยู่เต็มอกว่าหายนะกำลังรออยู่เบื้องหน้า แต่ก็จำเป็นต้องทำเพราะเป็นคำสั่งจากนายพลลี เขาไม่กล้าที่จะสบตากับพิคเก็ตต์ จึงได้แต่เพียงพยักหน้าแล้วโบกมือให้เป็นเชิงยินยอมด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึก หลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชา พิคเก็ตต์ควบม้ามาที่หน้าแถวของกองทหารฝ่ายใต้ที่ส่วนใหญ่อยู่ในชุดลูกชาวนา ชูดาบขึ้นเหนือศรีษะแล้วตะโกนออกคำสั่งเสียงดัง “ทุกคนเข้าประจำที่ และขอให้จงอย่าได้ลืมวันนี้ว่าพวกเราทุกคนมาจากเวอร์จิเนีย” เสียงตะโกนตอบว่า “เวอร์จิเนีย” จากกองทหารนับหมื่นดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วทั้งสนามรบ ท่ามกลางเสียงปลุกใจของกลองศึก ทหารฝ่ายใต้เริ่มเคลื่อนทัพโดยเดินเรียงเป็นแถวหน้ากระดานเข้าหาแนวตั้งรับของข้าศึกที่อยู่ห่างออกไปเบื้องหน้า ผ่านแถวของกองทหารปืนใหญ่ฝ่ายตนที่ทุกคนต่างก็ถอดหมวกออกมาโบกไปมาเพื่อให้กำลังใจกับเพื่อนร่วมรบ โชคชะตาของการศึกครั้งนี้และอนาคตของฝ่ายสมาพันธ์รัฐฯกำลังจะถูกตัดสินในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว



กองทหารปืนใหญ่ฝ่ายเหนือเฝ้ารอจนทหารฝ่ายใต้เคลื่อนเข้ามาในระยะยิงแล้วจึงได้เปิดฉากยิงถล่ม ปืนใหญ่นับร้อยกระบอกระดมยิงห่ากระสุนเข้าใส่แถวทหารของฝ่ายใต้ กระสุนปืนใหญ่ที่ระเบิดหนี่งนัดต่อจำนวนชีวิตของทหารสิบนาย แต่ทหารฝ่ายใต้ก็ยังคงรักษาวินัยเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ทหารที่อยู่แถวหลังแทรกเข้ามาแทนที่ผู้ที่อยู่แถวหน้าที่ถูกยิงล้มลง บรรดาเหล่านายทหารต่างก็ชักดาบออกกวัดแกว่งและตะโกนให้กำลังใจกับลูกน้องของตน แนวรบของทั้งสองฝ่ายเคลื่อนเข้าประชิดกันทุกขณะ จากระยะทางเริ่มแรกหนึ่งไมล์ครึ่งเหลือเพียงแค่ระยะทางไม่กี่ร้อยฟุต และเมื่อเข้าระยะยิงของปืนเล็กยาว ทหารราบฝ่ายเหนือที่นับพันที่หมอบซุ่มอยู่หลังซากแนวกำแพงหินจึงเปิดฉากยิงเข้าใส่ด้วยอาวุธปืนไรเฟิลประจำกาย กระสุนจากปากกระบอกปืนไรเฟิลนับพันที่ยิงออกโดยพร้อมเพรียงกันพุ่งเข้าฉีกร่างของทหารฝ่ายใต้ล้มลงราวกับว่าเป็นใบไม้ร่วง ทหารฝ่ายใต้เริ่มทำการยิงตอบโต้และเคลื่อนที่เข้าชาร์จด้วยดาบปลายปืนโดยทันที แต่ด้วยจำนวนที่เหลือน้อยกว่าและชัยภูมิที่เสียเปรียบ จึงถูกบดขยี้อย่างง่ายดายจนในที่สุดก็ต้องถอยร่นแตกกลับมา จากจำนวนทหารหนึ่งหมื่นสามพันนายเมื่อตอนก่อนเข้าตี เหลือรอดกลับมาได้เพียงแค่ไม่ถึงเจ็ดพันนาย นายพลลีถึงกับต้องตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างกับหายนะที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ปากก็ได้แต่พึมพัมว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดผมเอง” ลีเกรงว่าฝ่ายเหนือจะฉวยโอกาสนี้รุกกลับ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นนายพลพิคเก็ตต์กระเซอะกระเซิงกลับมาจากสนามรบ จึงออกคำสั่งให้พิคเก็ตต์เรียกระดมพลเพื่อจัดเตรียมแนวตั้งรับ ด้วยความเจ็บแค้นพิคเก็ตต์จึงตอบกลับไปว่า “นายพลลี ผมไม่มีกองพลเหลืออยู่อีกแล้ว” หลายสิบปีหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นพิคเก็ตต์ไม่เคยให้อภัยลีเลย ปากก็ยังคงยืนยันคำเดิม “ลีได้สังหารหมู่ทหารของผม”

ทหารฝ่ายเหนือเองก็บอบช้ำจากการรบทั้งสามวันเกินกว่าที่จะทำการรุกกลับ นายพลลีคาดการณ์ถูกที่ว่าบริเวณแนวตั้งรับที่ตรงกลางเป็นจุดที่อ่อนที่สุดของข้าศึก แต่เขาประเมินศักยภาพทหารของทหารฝ่ายตนเองสูงจนเกินไป และเพิกเฉยต่อคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ของลูกน้องที่กรำศึกอย่างโชกโชนมาด้วยกันอย่างเจมส์ ลองสตรีท การเข้าชาร์จในครั้งนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Pickett’s Charge แม้ว่าตัวพิคเก็ตต์เองจะไม่ค่อยเต็มใจให้เอาชื่อของเขาไปใช้นักก็ตาม เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันชาติ ทั้งสองฝ่ายต่างพักรบพื่อเยียวยาบาดแผล และในเช้าวันถัดมาลีก็สั่งเคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำโปรโตแมคกลับไปยังรัฐเวอร์จิเนีย เป็นอันสิ้นสุดการรบที่เก็ตตี้เบิรกก์ สมรภูมิรบที่นองเลือดที่สุดบนผืนแผ่นดินอเมริกา โดยมียอดจำนวนผู้ที่เสียชีวิตทั้งสิ้น 53,000 นาย และเมื่อกลับถึงริชมอนด์แล้ว ด้วยความสำนึกผิดลีจึงได้ยื่นใบลาออกต่อเจฟเฟอร์สัน เดวิส แต่ใบลาออกของเขาถูกระงับ ลียังคงเป็นผู้นำทางทหารของฝ่ายใต้อยู่ต่อไปและสงครามก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกประมาณสองปี แต่ทว่าฝ่ายใต้ได้สูญเสียโอกาสในการรุกไปแล้ว สิ่งที่กำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้ามีแต่ความมืดมนของความพ่ายแพ้และการสูญเสีย



<ยังมีต่อ>

สงวนลิขสิทธิ์ บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ห้ามนำบทความหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของบทความไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของบทความ มิฉนั้นจะถูกดำเนินการทางกฎหมาย


Create Date : 29 ตุลาคม 2552
Last Update : 2 มีนาคม 2553 14:24:45 น. 2 comments
Counter : 3969 Pageviews.

 
Trailer ของมินิซีรียส์เรื่อง Gettysburg ที่ออกฉายทางช่อง TNT ในปี 1993 โดยมีดาราชื่อดังอย่างมาร์ติน ชีนน์มารับบทนายพลโรเบิรตต์ อี ลี



โดย: piras วันที่: 29 ตุลาคม 2552 เวลา:11:58:12 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีดี อ้อมเพิ่งจะหัดทำbloggangเลยยังทำไรไม่ค่อยเป็น แต่งบล็อกก็ยังไม่เป็น ดีแล้วที่อย่างน้อยยังมีblogกะเค้า ก็คงต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปเองอ่ะ ขอบคุณมากๆ นะ


โดย: อ้อมแอ้ม (krumuti ) วันที่: 28 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:52:51 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

piras
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความสวยงาม ไม่แพ้ภาษาของชนชาติใดในโลก

free counters
Friends' blogs
[Add piras's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.