ระเบิดศึกสายเลือด !!! LED TV vs LCD TV แตกต่างกันอย่างไร? ตอนที่2
LED TV มีทั้งหมดกี่แบบ ??? อันนี้หลายๆท่านอาจะจะยังสงสัยว่า LED TV มันมีหลายแบบด้วยเหรอ คำตอบแบบฟันธงนะครับว่ามีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป เรามาดูกันเลยดีกว่า
1. EDGE LED : วางหลอด LED ไว้ตรงขอบของทีวี EDGE ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ขอบ ครับ โดยหลอด LED จะถูกวางไว้ตามขอบบน ล่าง ซ้าย ขวา ของทีวีและคอยยิงแสงเข้ามาตรงกลางจอทีวี สำหรับข้อดีก็มีตรงที่ ความบาง ที่บางกว่า LCD TV ทั่วๆไปหลายเท่า เพราะหลอด LED อยู่แค่ด้านข้างครับ ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องการประหยัดไฟครับ อย่างไรก็ตามข้อเสียหลักๆเมื่อเทียบกับ LED แบบ Full LED ก็คือ ไม่สามารถทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆได้เนื่องจากหลอดไฟอยู่ที่ขอบนั่นเอง
Edge LED วางหลอดไฟไว้ตาอมขอบด้านบน ล่าง และด้านข้าง
หาก Edge LED แบบดีๆหน่อยเช่น LG LE5500, Samsung D8000, Sony NX720 ก็จะทำ Local Dimming ได้ครับ แต่ไม่ละเอียดเทพแบบ Full LED สำหรับ EDGE LED TV ได้แก่ Samsung LED TV ทุกรุ่น Sony NX700 NX800 LG LE5500 LE7500 ครับ ซึ่งถ้าเป็นตัวที่ราคาแพงหน่อยก็จะทำ Lcoal Dimming ได้แบบรูปข้างบนด้วย
2. Full LED : หลอด LED เป็นแผงอยู่ด้านหลัง สำหรับแบบที่ 2 เราเรียกว่า Full LED (Direct LED) เพราะว่ามีหลอดไฟอย่าด้านหลังทั้งแผงคอยให้กำเนิดแสงนั่นเอง ข้อดีของ Full LED หรือบางค่ายก็เรียก Direct LED ก็คือ ความสามารถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิด หลอด LED เป็นกลุ่มๆ หรือเฉพาะจุดนั้นเองอย่างอิสระ เช่นฉากๆ นึงด้านซ้ายเป็นสีดำ ด้านขวาเป็นสีขาว หลอด LED Backlight บริเวณด้านซ้ายก็จะปิดเพื่อทำให้สีดำบริเวณด้านซ้ายดำสนิท และกลุ่ม LED Backlightด้านขวาจะเปิดเพื่อให้แสงสามารถลอดออกมาเป็นสีขาวครับ ในขณะที่ CCFL และ EDGE LED ไม่สามารถได้ ส่วนข้อเสียคือเรื่องความหนาของตัวเครื่องครับ เนื่องจากต้องใช้หลอดไฟ LED หลายตัวไว้ด้านหลังของตัวจอ ซึ่งทำให้ทีวีมีความหนาประมาณ LCD TV ทั่วๆ ไปอยู่ครับ
หลอดไฟ LED จะอยู่เต็มแผงหลังของจอ เวลาทำ Local Dimming ก็จะทำเป็นโซนบล็อคสี่เหลี่ยมตารางหมากรุกแบบนี้ นึกภาพไม่ออกให้ดูรูปนี้ว่า Full LED มันทำ Local Dimming ได้ละเอียดกว่าอย่างไร แกะจอให้ดูหลอดไฟ LED อัดเรียงกันทั่วพื้นที่แบบนี้ แถมยังทำ Local Dimming เปิด-ปิดไฟได้เป็นกลุ่มๆ จึงกล้าเรียกว่า "Full LED" ได้เต็มปาก ! ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ Sony HX925 รุ่นท็อปของ Sony ปี 2011 และ LG LM9600 ตัวท็อปของ LG ปี 2012 รุ่นนี้ใช้ Full LED Backlight ครับ รวมถึง Philips รุ่น PFL9706 รุ่นนี้ก็ใช้ Full LED Backlight เช่นกัน
2.1 Direct LED : คือ Full LED อีกประเภทหนึ่ง แต่จะเป็นเกรดที่ต่ำกว่าทั้งด้าน "ต้นทุน" และ "ประสิทธิภาพ" กล่าวคือจะใช้จำนวนหลอดไฟ LED น้อยกว่า คือประมาณ 50-60 หลอดเท่านั้น และที่สำคัญคือมันไม่สามารถทำ Local Dimming ได้ จุดประสงค์ของ Direct LED ก็เพื่อมาแทนพวก LCD TV ที่ใช้หลอด CCFL ซึ่งกินไฟกว่าครับ จะพบได้ใน LED TV รุ่นประหยัดของบางค่ายเช่น Philips รุ่น 5605 และ 6605 ในปี 2010-2011 ที่ผ่านมา และล่าสุดก็คือ Samsung LED TV Series EH5000 /6000 ในปี 2012 นี้ ดังนี้ข้อได้เปรียบของ Direct LED ที่เหนือกว่า Edge LED ก็คือเรื่องของความสว่างที่มีมากกว่า แต่ข้อเสียเปรียบก็คือความหนาเทอะทะของตัวเครื่องที่จะดูหนากว่า ไม่สามารถสู้หุ่นอันผอมเพรียวของ Edge LED ได้
Direct LED มีหลอดไฟวางทั่วจอก็จริง แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่า Full LED อยู่มาก และไม่สามารถทำ Local Dimming ได้ 3. RGB LED : หลอดไฟ LED สีแดง เขียว น้ำเงิน เป็นแผงอยู่ด้านหลัง แบบสุดท้ายผมขอยกให้เป็นตัวท็อปของ LED TV ในปัจจุบันนะครับ ซึ่งก็คือ RGB LED TV นั่นเอง โดยหลักการให้กำเนิดแสงก็คล้ายๆ กับ Full LED เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้หลอด LED สีเดียวซึ่งปกติเป็นสีขาวในการกำเนิดแสง เจ้า RGB LED TV ใช้หลอด LED แม่สี 3 สี (แดง R, เขียว G, น้ำเงิน B) ในการให้กำเนิดแสงแทน ซึ่งหลอดไฟ 3 สีนี้แยกการทำงานกันอย่างอิสระ ส่งผลให้การสร้างสีดีขึ้น เพราะแสงต้นขั้วนั้นออกมาเป็นแม่สีตั้งแต่แรก ความถูกต้องและคมชัดของสีจึงมีมากขึ้น ตลอดจนความสามารถในการไล่เฉดสีจนมีมิติของภาพก็ดีขึ้น ตามหลักการแล้ว RGB LED ถือว่าเป็น LED TV ที่ดีที่สุดครับ มีต้นทุนที่สูงกว่า และความสามาถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดไฟเป็นกลุ่มๆอย่างอิสระเพื่อสีดำที่ดำสนิทและคอนทราสต์ที่มากขึ้นก็มีเช่นเดียวกับ Full LED แบบข้อที่ 2 ครับ ส่วนข้อเสียที่เห็นหลักๆก็คือระดับราคาที่ค่อนข้างสูงมากในตอนนี้
(คลิ๊กเพื่อดูรูปใหญ่)
ตัวอย่างทีวีที่ใช้ RGB ก็คือ Sony X450 ขนาด 46 55 70 และ Sharp XS1 ขนาด 65 ซึ่งค่าตัวของ Sharp RGB LED TV ก็ 699,990 บาท และ 70X450 ราคาอยู่ที่ 799,990 บาทซึ่งถอยรถ Vios และ Civic ได้อย่างละ 1 คันพอดีเลยหละครับ
หมายเหตุ ข้อมูลปี 2009 นะครับ ในปัจจุบันไม่มี RGB LED TV จำหน่ายแล้ว
ความแตกต่างระหว่าง CCFL LCD TV และ LED ชนิดต่างๆ | ชื่อเรียกทีวี | LCD TV | LED TV | ชนิดของ Backlight | CCFL | EDGE LED | Full LED | RGB LED | รูปแบบการวางหลอดไฟ | | | | | Local Dimming * | ไม่ได้ | ไม่ได้ | ได้ | ได้ | Scanning ** | ไม่ได้ (ได้บางรุ่น) *** | ไม่ได้ (ได้บางรุ่น) | ได้ | ได้ | ความสว่าง | ปานกลาง | ดี | ดีมาก | ดีมาก | สีสัน | ปานกลาง | ดี | ดีมาก | ดีที่สุด | ระดับสีดำ | ปานกลาง-ไม่ดี | ดี | ดีมาก | ดีมาก | อัตราการกินไฟ | ปานกลาง | ต่ำที่สุด | ต่ำ | ต่ำ | ความบาง | ปานกลาง | บางที่สุด | ปานกลาง | ปานกลาง | ระดับราคา | ปานกลาง | สูง | สูงมาก | สูงที่สุด | ตัวอย่างยี่ห้อและรุ่น | LCD TV ทั่วไป | Samsung ES8000 | Philips PFL9706 | Sony X450 | | LG LW6500 | Sony HX925 | Sharp XS1 | | Sony NX720 | LG LM9600 | | * Local Dimming คือ การเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆ เช่นปิดไฟเฉพาะบริเวณที่เป็นฉากมืด เพื่อให้ Contrast ดีขึ้น และสีดำที่ดำสนิท | ** Scanning คือการปิดและเปิดหลอดไฟอย่างรวดเร็วบริเวณพื้นที่ที่วัตถุในฉากเคลื่อนผ่าน เพื่อลดอาการ"ลาก"ซึ่งก่อให้เกิดอาการเบลอของภาพเคลื่อนไหว | *** ทีวีที่มีหลอด CCFL ที่สามารถทำ Scanning ได้อาทิเช่น LG LH50 และ Sony X450 | | | แล้วเลือกซื้อตัวไหนดีกว่ากันหละครับ ช่วยแนะนำหน่อย ??? จริงๆทั้ง CCFL LCD TV, EDGE LED TV, Full LED TV, และ RGB LED TV ก็มีข้อดี ข้อด้อยแตกต่างกันออกไปครับ รวมถึงระดับราคาที่สูงขึ้นไปตามความล้ำของเทคโนโลยี ทั้งนี้เรื่อง ความคุ้มค่า ในการเลือกซื้อนั้น อันที่ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรามากกว่า ด้วยสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ หลายท่านคิดว่าซื้อ LCD TV ธรรมดาก็พอแล้ว ภาพก็ไม่ได้ด้อยกว่า LED TV ซักเท่าไหร่ เหลืองเงินไปซื้ออย่างอื่นได้อีก หรือบางท่านเห็นว่า LED TV ได้บางเฉียบและประหยัดไฟกว่าในระยะยาว น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า หรือบางท่านต้องการทีวีที่ให้คุณภาพระดับเทพที่สุด โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคาก็อาจจะอัพไปเล่น Full LED TV / RGB LED TV ตัวท็อปเลย ซื้อทีเดียว จ่ายทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินเสียทองหลายรอบครับ อย่างที่บอก ความคุ้มค่า มันขึ้นอยู่กับ ความพอใจส่วนบุคคล !!!!
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2555 | | |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2555 7:15:44 น. |
Counter : 620 Pageviews. |
| |
|
|
|