Group Blog
 
All Blogs
 

LCD TV หรือ Plasma TV ต่างกันอย่างไร ตอนที่2

แล้วสรุปเลือกตัวไหนดีกว่ากันระหว่าง LCD TV VS Plasma TV ?

LCD หรือ LED TV และ Plasma TV มันไม่มีอย่างไหนดีกว่ากัน เพราะมันดีกันคนละแบบครับ !!!
โดยแต่ละตัวก็มีข้อดี+ข้อด้อยแตกต่างกันออกไป  ดังนี้เราจึงต้องศึกษาอ่านรีวิว+บทความ และไปทดลองรับชมภาพจริงๆทีเพื่อเลือกทีวีที่ "เหมาะสม" กับ "ห้องของเรา" และ "ไลฟ์สไตล์ของเรา" มากที่สุดครับ 


จะซื้อทีวี ต้องเข้าใจคำว่า "Matching"

การเลือกซื้อทีวีคือ "ศาสตร์" ที่เรียกว่าการ "Matching" ครับ หากคนเล่นเครื่องเสียงจะเข้าใจความหมายนี้ดี

เลือกโดยปัจจัยหลักเหล่านี้
1. ยี่ห้อ :: ความชื่นชอบ / ชื่อเสียง / แนวภาพ
2. ขนาดของจอ :: ใกล้ๆ = จอเล็ก / ไกลๆ = จอใหญ่ เป็นต้น
3. ประเภทของจอ :: LED TV / LCD TV / Plasma TV

ให้เหมาะสมกับ
1. ห้องที่เราจะเอาไปตั้ง :: ห้องนอน / คอนโด / ห้องนั่งเล่น / ห้องโฮมเธียเตอร์ / คุมแสงได้ดีหรือไม่ ?
2. ไลฟ์สไตล์ของเรา
3. งบประมาณ


Macthing = การเลือกทีวีให้เหมาะสมกับตัวคุณและห้องของคุณ

และไม่จำเป็นต้องเลือกทีวีตัวที่ดีที่สุดเสมอไป และอย่างที่บอกไลฟ์สไตล์ของคนเราไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการที่จะไป "ตัดสิน" ว่า LCD TV หรือ Plasma TV ตัวไหนดีกว่ากัน ? มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามนี้บนโลกใบนี้ !!! แต่กลับกันหากเรายึดหลัก "Matching" ทีวีให้เหมาะสมกับเรามากที่สุดทั้งเรื่องของ ห้องที่จะวาง / ไลฟ์สไตล์ / งบประมาณ ทีวีเครื่องนั้นก็จะสามารถสร้างความสุขให้กับคุณได้อย่างเต็มที่โดยคุณไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องอื่นๆอีกเลย  

ตัวอย่างการ Matching LCD TV หรือ Plasma TV ให้เหมาะสมกับผู้ใช้
1. LCD TV มันเหมาะสมกับห้องคุณมากกว่านะ เพราะว่า ตั้งไว้ในห้องรับแขก คุมแสงไม่ค่อยได้ ดูหนังไฮเดฟกับเล่นเกมส์บ่อย ต่อคอมบางครั้งบางคราว LCD TV น่าจะเหมาะกว่านะ

2. ห้องคุมแสงได้ดีระดับนึง ชอบภาพนวลสบายตา ดูหนังไฮเดฟและฟรีทีวีบ่อยมาก ขอไม่แพงนักแต่ได้จอใหญ่ๆสะใจ ==> ก็แนะนำ Plasma TV

3. เพิ่งเปิดโรงแรม ต้องการทีวีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ทนทาน+ทนไม้ทนมือแขกมือบอนที่ชอบเปิดทิ้งไว้นานๆ ไม่ร้อนง่าย เอาราคาถูกๆด้วย ==> ก็ LCD TV 32" ไปเลยครับเพ่

4. ชอบภาพแนวโรงหนัง ขอภาพเคลื่อนไหวลื่นๆเป็นธรรมชาติหน่อย แต่ห้องคุมแสงได้ระดับนึงแต่ไม่ถึงกับดีมาก มีม่านบังตาบ้าง ==> ก็แนะนำ Full HD Plasma TV รุ่นท็อปๆที่จอกันสะท้อนได้ดี

5. ชอบภาพสีสดใส แต่ขอจอบางๆหน่อยนะ เพราะอยู่คอนโดต้องแขวนผนัง แบบว่ามีพื้นที่จำกัด และรวมถึงชอบดีไซน์บางเฉียบล้ำๆด้วย ดู Blu-ray และ DVD บ่อยๆ ดูฟรีทีวีจากจานแดงบ้าง (ติดกันทั้งคอนโด) ระยะห่างประมาณ 2 เมตร ==> แนะนำจอ LCD TV ที่ใช้หลอดไฟ Backlight แบบ LED ขนาดจอ 40" ไปเลยครับท่าน

หมายเหตุ :: 5 ข้อข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างจากประสบการณ์ของผมและทีมงานเท่านั้น ส่วนการ "Matching" เลือกซื้อทีวีให้เหมาะสมกันตัวท่านนั้น นอกจากศึกษาในเว็บแล้ว สิ่งที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือควรจะต้องไปดูตัวจริง ภาพจริง ดีไซน์จริงๆ ที่ห้างร้านด้วยครับ  จะช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น

รวมถึงเรื่องไลฟ์สไตล์ด้วยครับ เป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยแรกๆในการตัดสินใจซื้อของหลายคนมากกว่าคุณภาพของภาพด้วยซ้ำ อาทิเช่น ดีไซน์ความบาง สีของตัวเครื่อง ความชื่นชอบจงรักภักดีต่อแบรนด์ ซึ่งจะยิ่งเป็นเหตุผลส่งเสริมให้คุณหาทีวีตัวที่ "เหมาะสม" กับคุณได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกระดับ



ผมยกอีกหนึ่งตัวอย่างคำถามโลกแตกเลยนะครับ

iPhone หรือ Blackberry อันไหนดีกว่ากัน ?
หากเป็นพวกหัวรั้น ก็จะตอบสิ่งที่ตัวเองใช้อยู่ เช่น iPhone 4 สิ จอใหญ่กว่า กล้องชัดกว่า มี Apps เยอะแยะเป็นหมื่นเป็นแสนให้โหลดให้เล่น หรือ BB สิ Chat กันทั้งกลุ่มได้นะ แล้วก็หากเหตุผลร้อยแปดมาเถียงกันจนหัวชนฝา


คำถามโลกแตก Blackberry VS iPhone

แต่หากมาถามผมว่าผมจะเลือกใช้อะไร ? ผมคงตอบได้เต็มปากว่า "Blackberry" มัน "เหมาะสม" กับผมมากกว่า iPhone ครับ เพราะ Lifestyle ของผมครับ ชอบมือถือที่มีปุ่มกดจริงๆ มันสัมผัสแล้วได้ความรู้สึกกดลงไป งานผมเน้นเช็ค E-Mail ซึ่งมาเยอะมากๆต่อ 1 วัน ระบบ Push mail มันรวดเร็วมาก ตอบสนองผมได้ทันใจ แล้วพิมพ์ E-Mail ตอบกลับได้ง่ายอีกต่างหาก รวมถึงเข้าเว็บไซต์นิดๆหน่อย เช็ค Facebook ขำขันได้ แถมแบตเตอรี่อยู่ทนพอสมควร ผมเป็นพวกขี้เกียจชาร์จมือถือบ่อยๆ

ดังนี้ Blackberry มันเลยตอบโจทย์ผมได้มากกว่า จึงเป็นมือถือที่ "เหมาะสม" กับผมมากกว่า แต่ผมไม่ได้บอกเลยว่ามันดีกว่า iPhone กลับกันผมคิดว่า iPhone โดยรวมแล้ว "ล้ำหน้ากว่า Blackberry" ไปหลายก้าวด้วยซ้ำ (รู้ๆกันอยู่) ลูกเล่นเยอะกว่า Blackberry ของผมมากมาย มี Apps แปลกๆให้โหลดกระจาย จอกว้างใหญ่ ดูไฮโซหรูหราอินเทรนด์สุดๆ แต่ผมพินิจพิเคระาห์แล้วว่า ด้วย Lifestyle ของผมเป็นแบบนี้ Blackberry มันจึงเหมาะกับผมมาก ทุกวันนี้ก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมได้มากมายและมีความสุขที่ได้มีมันอยู่ในกระเป๋ากางเกงจนมาถึงทุกวันนี้ ดังนี้อย่างที่บอก "จง Matching ให้เหมาะสม" แต่จงอย่าตัดสินว่า "ตัวนั้นดีกว่าตัวนี้" !!!! 



ขอขอบคุณทความดีๆจาก //www.lcdtvthailand.com




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2555 7:14:38 น.
Counter : 532 Pageviews.  

LCD TV หรือ Plasma TV ต่างกันอย่างไร ตอนที่1


คำถามโลกแตก LCD TV หรือ Plasma TV ต่างกันอย่างไร อะไรดีกว่ากัน ??

จัดได้ว่าเป็นคำถามยอดฮิตที่สุดในสามโลกสำหรับจะเลือกซื้อทีวีเครื่องใหม่ซักเครื่องครับสำหรับการเปรียบเทียบระหว่าง LCD TV และ Plasma TV ว่าทีวีชนิดไหนดีกว่ากัน ? ก่อนจะให้คำตอบนั้นก็คงต้องไปดูหลักการทำงานและข้อดีข้อเสียของทีวีทั้ง 2 ชนิดนี้ก่อนครับ 


LCD TV VS Plasma TV

LCD (Liquid Crystal Display) แสดงภาพโดยเริ่มจากแหล่งกำเนิดแสง "Backlight" (ในที่นี้คือหลอด CCFL และหลอด LED) ส่องแสงไปที่ผลึกแข็งกึ่งเหลว ลักษณะคล้ายๆปีโป้ และเจ้าผลึกแข็งกึ่งเหลว Liquid Crystal จะถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ในส่วนที่เป็น "ประตู" นั้น "บิดหมุน" เพื่อให้แสงจากหลอด Backlight ลอดผ่านไปยัง Color Filter แม่สีทั้ง 3 สี RGB ผสมกันออกมาแสงสีต่างๆ 


รูปหลอดไฟ CCFL Backlight ที่เป็นตัวกำเนิดแสงของ LCD TV 

LCD TV นั้น แต่ละพิกเซลไม่สามารถกำเนิดแสงได้เอง จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งกำเนิดแสงจากหลอด Backlight และมี "ประตู" Liquid Crystal ผลึกแข็งกึ่งเหลวเป็นตัวกำหนดว่าจะให้แสงลอดไปยังแม่สีใดบ้าง เพื่อแสดงสีสันต่างๆออกมาให้เราได้เห็นกันครับ เช่นหากฉากในทีวีตอนนั้นเป็นสนามบอลเขียวชอุ่ม เจ้าตัว Liquid Crystal ที่ทำหน้าที่เป็น "ประตู" หน้าด่าน ก็จะเปิดในส่วนที่ให้แสงลอดออกไปเจอ Color Filter สีเขียวเท่านั้น หรือหากฉากเป็นท้องผ้าสีนำเงิน เจ้าประตู Liquid Crystal ก็จะถูกเปิดในส่วนที่ให้แสงลอดออกไปเจอ Color Filter สีน้ำเงินเท่านั้นครับ


ดูจากรูปจะเข้าใจว่าประตู Liquid Crystal เปิด/ผิด/บิดตัว ให้แสงลอดออกมาผ่าน Color Filter 
ออกมาเป็นแสงสีต่างๆ ในตัวอย่างลอดออกมาเป็นสีแดงนะครับ

สรุปขั้นตอนการแสดงภาพของ LCD TV
1. หลอดไฟ Backlight ส่องสว่าง
2. ประตู Liquid Crystal เปิด/ปิด/บิดตัวให้แสงจากหลอดไฟ Backlight ลอดผ่าน
3. แสงลอดผ่าน Color Filter ที่เป็นแม่สี RGB แสดงออกมาเป็นสีต่างๆ

คำถามวัดความเข้าใจ ???
ถ้าทีวีจะแสดง "สีขาว" ประตู Liquid Cyrstal จะต้องเปิดให้แสงจากหลอด Backlight ลอดผ่าน Color Filter สีอะไรบ้าง ???
ตอบ ก็ต้องลอดผ่านทั้ง 3 สี เลย คือ แดง น้ำเงิน เขียว จะผสมรวมกันได้เป็น "สีขาว" ครับ ให้นึกถึงโลโก้ช่อง 7 สีเอาไว้



โลโก้ช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ บอกถึงการผสมสีหลักอย่าง RGB = Red, Green, Blue
ออกมาเป็นแม่สีรองอย่าง CMY = Cyan Magenta Yellow
หาก RGB ผสมรวมกันทั้ง 3 สี จะได้ "สีขาว" นะครับ 


LCD TV ทีวีจะมีหลายขนาดมากๆ ไล่ตั้งแต่ 15 นิ้ว ไปจนถึง 108 นิ้ว (ของSharp เค้านะครับ) โน้นเลยนะครับ

ข้อดีของ LCD TV
1. ให้แสงสี่ที่สว่างสดใสกว่า  
2. เหมาะสมกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์แลต่อกับเครื่องเล่นเกมส์มากกว่าด้วยความละเอียดจอภาพที่มากกว่า
3. เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่นหรือ ห้องรับแขกที่ไม่จำเป็นต้องคุมแสงได้ หรือท่านที่จะซื้อเพื่อใช้ไปติดตั้งในร้านค้าหรือร้านอาหาร  LCD TV ก็จะเหมาะสมกว่า
4. อาการ Burn-In หรือภาพไหม้ค้างติดหน่าจอจะไม่โอกาสไม่เกิดขึ้นเลย
5. แอลซีดีทีวียังกินไฟน้อยกว่า และหน้าจอร้อนน้อยกว่าด้วย
6. สามารถทำจอ LCD ขนาดเล็กๆอาทิเช่นจอมือถือ ไปจนถึงจอขนาดยักษ์ใหญ่ๆ 100 กว่านิ้วก็ยังได้

ข้อเสียของ LCD TV
1. ยังมี Backlight รั่วอยู่ให้เห็นในฉากมืด ถึงแม้ประตู Liquid Crystal จะปิดเพื่อแสดงสีดำ แต่ก็ยังมีแสงลอดออกมาได้อยู่ดี สีดำจึงไม่ค่อยดำสนิทเท่าที่ควร
2. ความเร็วในการแสดงภาพเคลื่อนไหวจะไม่ได้ลื่นไหลสุดๆ จะยังมีโกสท์ให้เห็นบ้าง
3. ด้วยระดับความสว่างและสีสันที่สดใสที่มากไป (ส่วนใหญ่โหมดภาพสำเร็จรูปตั้งมาแบนี้) อาจจะทำให้ปวดตาได้ง่ายกว่า 



PLASMA TV จอภาพแบบ Plasma TV เป็นจอทีวีที่สามารถกำเนิดแสงได้เอง กล่าวคือ เพียงแค่ปล่อยแรงดันไฟเข้าไปกระตุ้นเม็ดพิกเซลก็จะส่องสว่างได้เอง โดยเม็ดพิกเซลของ Plasma TV นั้นจะมี ก๊าซ Neon และ Xenon บรรจุอยู่ข้างในก็จะแตกตัวเป็น UV ซึ่งเมื่อเจ้า UV ไปกระทบกับสาร Phospor ซึ่งเป็นสารเรื่องแสงที่เคลือบไว้ ก็จะก่อนให้แสงสีต่างๆออกมา

สรุปง่ายๆหลักการทำงานของ Plasma TV คือหากต้องการให้เม็ดสีไหนส่องสว่าง ก็แค่ปล่อยแรงดันไฟฟ้าเข้าไปครับ เม็ดพิกเซลก็จะส่องสว่างขึ้นมาเองรวดเร็วทันใจมากมาย เพราะว่า "ก๊าซ" มันไวกว่าพวก "ของแข็งของเหลว" เหมือนที่เราเคยเรียนมาตอนเด็กๆนั่นแหละครับ


เมื่อก๊าซ Neon และ Xenon ถุกแรงดันไฟฟ้าระตุ้นก็จะแตกตัวเป็น UV โดยเมื่อ UV 
ไปกระทบ Phospor ทีเป็นสารเรืองแสง จึงทำให้เม็ดมิกเซลส่องสว่างออกมา

ข้อดีของ Plasma TV
1. สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวได้ดีกว่า ลื่นไหลกว่า เพราะเม็ดพิกเซลสามารถกำเนิดแสงเองได้ เหมาะกับพวกหนัง Action และกีฬามาก
2. สามารถแสดงสีดำให้ดำสนิทและลึกมีมิติกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่อง Backlight รั่ว
3. มีคอนทราสต์ที่สูงกว่าทำให้เห็นมิติของภาพได้ดีกว่า
4. มุมมองจอภาพที่กว้างกว่า LCD TV มองด้านข้างสีไม่ซีดจาง
5. ให้สีสันที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่ได้สดจนโอเวอรืเกินจริง
6. ระดับความสว่างของภาพและโทนสีเป็นมิตรต่อสายตามากกว่า ดูนานๆโอกาสปวดตาน้อยกว่า

ข้อเสียของ Plasma TV
1. อาการ Burn-In มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดภาพนิ่งเป็นเวลานานๆ เช่นโลโก้ช่อง 7 หรือโลโก้ True Vision เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์ 
2. ไม่เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่คุมแสงไม่ได้เช่นห้องที่มีความสว่างจากหลอดไฟสูงๆ หรือกลางแจ้ง
3. หน้ากระจก ทำให้เกิดการสะท้อนเป็นเงาได้
4. กินไฟมากกว่า และหน้าจอร้อนมากกว่า



ขอขอบคุณทความดีๆ Credit เว็บ www.lcdtvthailand.com




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2555 7:15:13 น.
Counter : 599 Pageviews.  

ระเบิดศึกสายเลือด !!! LED TV vs LCD TV แตกต่างกันอย่างไร? ตอนที่2

LED TV มีทั้งหมดกี่แบบ ???
อันนี้หลายๆท่านอาจะจะยังสงสัยว่า LED TV มันมีหลายแบบด้วยเหรอ คำตอบแบบฟันธงนะครับว่ามีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป เรามาดูกันเลยดีกว่า

1. EDGE LED : วางหลอด LED ไว้ตรงขอบของทีวี
EDGE ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “ขอบ” ครับ โดยหลอด LED จะถูกวางไว้ตามขอบบน ล่าง ซ้าย ขวา ของทีวีและคอยยิงแสงเข้ามาตรงกลางจอทีวี สำหรับข้อดีก็มีตรงที่ “ความบาง” ที่บางกว่า LCD TV ทั่วๆไปหลายเท่า เพราะหลอด LED อยู่แค่ด้านข้างครับ ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องการประหยัดไฟครับ อย่างไรก็ตามข้อเสียหลักๆเมื่อเทียบกับ LED แบบ Full LED ก็คือ ไม่สามารถทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆได้เนื่องจากหลอดไฟอยู่ที่ขอบนั่นเอง


Edge LED วางหลอดไฟไว้ตาอมขอบด้านบน ล่าง และด้านข้าง


หาก Edge LED แบบดีๆหน่อยเช่น LG LE5500, Samsung D8000, Sony NX720
ก็จะทำ Local Dimming ได้ครับ แต่ไม่ละเอียดเทพแบบ Full LED


สำหรับ EDGE LED TV ได้แก่ Samsung LED TV ทุกรุ่น Sony NX700 NX800 LG LE5500 LE7500 ครับ ซึ่งถ้าเป็นตัวที่ราคาแพงหน่อยก็จะทำ Lcoal Dimming ได้แบบรูปข้างบนด้วย

2. Full LED :
หลอด LED เป็นแผงอยู่ด้านหลัง
สำหรับแบบที่ 2 เราเรียกว่า Full LED (Direct LED) เพราะว่ามีหลอดไฟอย่าด้านหลังทั้งแผงคอยให้กำเนิดแสงนั่นเอง ข้อดีของ Full LED หรือบางค่ายก็เรียก Direct LED ก็คือ ความสามารถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิด หลอด LED เป็นกลุ่มๆ หรือเฉพาะจุดนั้นเองอย่างอิสระ เช่นฉากๆ นึงด้านซ้ายเป็นสีดำ ด้านขวาเป็นสีขาว หลอด LED Backlight บริเวณด้านซ้ายก็จะปิดเพื่อทำให้สีดำบริเวณด้านซ้ายดำสนิท และกลุ่ม LED Backlightด้านขวาจะเปิดเพื่อให้แสงสามารถลอดออกมาเป็นสีขาวครับ ในขณะที่ CCFL และ EDGE LED ไม่สามารถได้ ส่วนข้อเสียคือเรื่องความหนาของตัวเครื่องครับ เนื่องจากต้องใช้หลอดไฟ LED หลายตัวไว้ด้านหลังของตัวจอ ซึ่งทำให้ทีวีมีความหนาประมาณ LCD TV ทั่วๆ ไปอยู่ครับ


หลอดไฟ LED จะอยู่เต็มแผงหลังของจอ


เวลาทำ Local Dimming ก็จะทำเป็นโซนบล็อคสี่เหลี่ยมตารางหมากรุกแบบนี้


นึกภาพไม่ออกให้ดูรูปนี้ว่า Full LED มันทำ Local Dimming ได้ละเอียดกว่าอย่างไร


แกะจอให้ดูหลอดไฟ LED อัดเรียงกันทั่วพื้นที่แบบนี้ แถมยังทำ Local Dimming เปิด-ปิดไฟได้เป็นกลุ่มๆ
จึงกล้าเรียกว่า "Full LED" ได้เต็มปาก !
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ Sony HX925 รุ่นท็อปของ Sony ปี 2011 และ LG LM9600 ตัวท็อปของ LG ปี 2012 รุ่นนี้ใช้ Full LED Backlight ครับ รวมถึง Philips รุ่น PFL9706 รุ่นนี้ก็ใช้ Full LED Backlight เช่นกัน

2.1 Direct LED : คือ Full LED อีกประเภทหนึ่ง แต่จะเป็นเกรดที่ต่ำกว่าทั้งด้าน "ต้นทุน" และ "ประสิทธิภาพ" กล่าวคือจะใช้จำนวนหลอดไฟ LED น้อยกว่า คือประมาณ 50-60 หลอดเท่านั้น และที่สำคัญคือมันไม่สามารถทำ Local Dimming ได้ จุดประสงค์ของ Direct LED ก็เพื่อมาแทนพวก LCD TV ที่ใช้หลอด CCFL ซึ่งกินไฟกว่าครับ จะพบได้ใน LED TV รุ่นประหยัดของบางค่ายเช่น Philips รุ่น 5605 และ 6605 ในปี 2010-2011 ที่ผ่านมา และล่าสุดก็คือ Samsung LED TV Series EH5000 /6000 ในปี 2012 นี้ ดังนี้ข้อได้เปรียบของ Direct LED ที่เหนือกว่า Edge LED ก็คือเรื่องของความสว่างที่มีมากกว่า แต่ข้อเสียเปรียบก็คือความหนาเทอะทะของตัวเครื่องที่จะดูหนากว่า ไม่สามารถสู้หุ่นอันผอมเพรียวของ Edge LED ได้  


Direct LED มีหลอดไฟวางทั่วจอก็จริง แต่ก็มีจำนวนน้อยกว่า Full LED อยู่มาก
และไม่สามารถทำ Local Dimming ได้


3. RGB LED : หลอดไฟ LED สีแดง เขียว น้ำเงิน เป็นแผงอยู่ด้านหลัง
แบบสุดท้ายผมขอยกให้เป็นตัวท็อปของ LED TV ในปัจจุบันนะครับ ซึ่งก็คือ RGB LED TV นั่นเอง โดยหลักการให้กำเนิดแสงก็คล้ายๆ กับ Full LED เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้หลอด LED สีเดียวซึ่งปกติเป็นสีขาวในการกำเนิดแสง เจ้า RGB LED TV ใช้หลอด LED แม่สี 3 สี (แดง R, เขียว G, น้ำเงิน B) ในการให้กำเนิดแสงแทน ซึ่งหลอดไฟ 3 สีนี้แยกการทำงานกันอย่างอิสระ ส่งผลให้การสร้างสีดีขึ้น เพราะแสงต้นขั้วนั้นออกมาเป็นแม่สีตั้งแต่แรก ความถูกต้องและคมชัดของสีจึงมีมากขึ้น ตลอดจนความสามารถในการไล่เฉดสีจนมีมิติของภาพก็ดีขึ้น ตามหลักการแล้ว RGB LED ถือว่าเป็น LED TV ที่ดีที่สุดครับ มีต้นทุนที่สูงกว่า และความสามาถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดไฟเป็นกลุ่มๆอย่างอิสระเพื่อสีดำที่ดำสนิทและคอนทราสต์ที่มากขึ้นก็มีเช่นเดียวกับ Full LED แบบข้อที่ 2 ครับ ส่วนข้อเสียที่เห็นหลักๆก็คือระดับราคาที่ค่อนข้างสูงมากในตอนนี้



(คลิ๊กเพื่อดูรูปใหญ่)


ตัวอย่างทีวีที่ใช้ RGB ก็คือ Sony X450 ขนาด 46” 55” 70” และ Sharp XS1 ขนาด 65” ซึ่งค่าตัวของ Sharp RGB LED TV ก็ 699,990 บาท และ 70X450 ราคาอยู่ที่ 799,990 บาทซึ่งถอยรถ Vios และ Civic ได้อย่างละ 1 คันพอดีเลยหละครับ 

หมายเหตุ ข้อมูลปี 2009 นะครับ ในปัจจุบันไม่มี RGB LED TV จำหน่ายแล้ว

ความแตกต่างระหว่าง CCFL LCD TV และ LED ชนิดต่างๆ
ชื่อเรียกทีวี
LCD TV
LED TV
ชนิดของ Backlight
CCFL
EDGE LED Full LED RGB LED
รูปแบบการวางหลอดไฟ
Local Dimming *
ไม่ได้ ไม่ได้ ได้ ได้
Scanning ** ไม่ได้ (ได้บางรุ่น) *** ไม่ได้ (ได้บางรุ่น) ได้ ได้
ความสว่าง ปานกลาง ดี ดีมาก ดีมาก
สีสัน ปานกลาง ดี ดีมาก ดีที่สุด
ระดับสีดำ ปานกลาง-ไม่ดี ดี ดีมาก ดีมาก
อัตราการกินไฟ ปานกลาง ต่ำที่สุด ต่ำ ต่ำ
ความบาง ปานกลาง บางที่สุด ปานกลาง ปานกลาง
ระดับราคา ปานกลาง สูง สูงมาก สูงที่สุด
ตัวอย่างยี่ห้อและรุ่น LCD TV ทั่วไป Samsung ES8000 Philips PFL9706 Sony X450
LG LW6500 Sony HX925 Sharp XS1
Sony NX720 LG LM9600

* Local Dimming คือ การเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆ เช่นปิดไฟเฉพาะบริเวณที่เป็นฉากมืด เพื่อให้ Contrast ดีขึ้น และสีดำที่ดำสนิท
** Scanning คือการปิดและเปิดหลอดไฟอย่างรวดเร็วบริเวณพื้นที่ที่วัตถุในฉากเคลื่อนผ่าน เพื่อลดอาการ"ลาก"ซึ่งก่อให้เกิดอาการเบลอของภาพเคลื่อนไหว
*** ทีวีที่มีหลอด CCFL ที่สามารถทำ Scanning ได้อาทิเช่น LG LH50 และ Sony X450


แล้วเลือกซื้อตัวไหนดีกว่ากันหละครับ ช่วยแนะนำหน่อย ???
จริงๆทั้ง CCFL LCD TV, EDGE LED TV, Full LED TV, และ RGB LED TV ก็มีข้อดี ข้อด้อยแตกต่างกันออกไปครับ รวมถึงระดับราคาที่สูงขึ้นไปตามความล้ำของเทคโนโลยี ทั้งนี้เรื่อง “ความคุ้มค่า” ในการเลือกซื้อนั้น อันที่ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรามากกว่า ด้วยสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ หลายท่านคิดว่าซื้อ LCD TV ธรรมดาก็พอแล้ว ภาพก็ไม่ได้ด้อยกว่า LED TV ซักเท่าไหร่ เหลืองเงินไปซื้ออย่างอื่นได้อีก หรือบางท่านเห็นว่า LED TV ได้บางเฉียบและประหยัดไฟกว่าในระยะยาว น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า หรือบางท่านต้องการทีวีที่ให้คุณภาพระดับเทพที่สุด โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคาก็อาจจะอัพไปเล่น Full LED TV / RGB LED TV ตัวท็อปเลย ซื้อทีเดียว จ่ายทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินเสียทองหลายรอบครับ อย่างที่บอก “ความคุ้มค่า” มันขึ้นอยู่กับ “ความพอใจส่วนบุคคล” !!!!


ขอขอบคุณทความดีๆ Credit เว็บ www.lcdtvthailand.com




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2555 7:15:44 น.
Counter : 620 Pageviews.  

ระเบิดศึกสายเลือด !!! LED TV vs LCD TV แตกต่างกันอย่างไร? ตอนที่1

ระเบิดศึกสายเลือด !!! LED TV vs LCD TV แตกต่างกันอย่างไร? อะไรดีกว่ากัน?

คำถามที่ถามกันบ่อยๆในวงการทีวีและเครื่องเสียงในปัจจุบันนี้ซึ่งฮอตฮิตยิ่งกว่าข่าว “เคอิโงะตามหาพ่อ" ยิ่งกว่า "ลูกหลินฮุ่ยจะชื่อว่าอะไร" จนบางทีผมก็มึนเองว่า" ลูกของเจ้าช่วงช่วงและหลินฮุ่ยชื่อเคอิโงะ" 
ก็คือ “พี่ครับ LED TV กับ LCD TV ต่างกันอย่างไรครับ” จากผลสำรวจของเราเองมันคือหนึ่งในเป็นคำถามที่พนักงานขายทีวีตอนนี้แทบโดนกันหมดทุกคนครับ และแน่นอนมันก็ตามมาถึงทีมงาน LCDTVTHAILAND ซึ่งโดนคำถามนี้กันถ้วนหน้า เอาเป็นว่าผมขออธิบายรายละเอียดของ LED TV VS LCD TV ก่อนละกันครับ


LCD TV คืออะไร???
LCD TV ย่อมากจาก Liquid Crystal Display ซึ่งใช้หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟ เรียงในแนวนอนยาวลงมาเป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลวคอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงแบ็คไลท์ (สีขาว) ลอดผ่านทะลุ Color Filter แม่สี 3 สี ทั้งสีแดง น้ำเงิน เขียว เพื่อแสดงออกมาเป็นสีสันต่างๆ




LED TV คืออะไร ???
LED TV ย่อมาจาก Light Emitting Diode เป็นหลอดไฟขนาด “จิ๋วแต่แจ๋ว” ซึ่งใช้หลอด LED เป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสีนต่างๆ


สรุป
สรุปอย่างได้ใจความได้ว่า LED TV ก็คือ LCD TV ที่เปลี่ยนจากหลอด CCFL เป็นหลอด LED ในการกำเนิดแสงนั่นเอง โดยยังใช้ Liquid Crystral ผลึกแข็งกึ่งเหลวคอยบิดตัวเพื่อให้แสง Backlight ส่งอผ่านไปยัง Color Filter ทั้ง 3 สี ในการสร้างสีในแต่ละพิกเซล ดังนั้นตามหลักการแล้วมันก็คือ LED LCD TV นั่นเอง เพียงแต่สลับจากการใช้หลอด CCFL ให้เป็นหลอด LED เพื่อใช้กำเนิดแสง อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือ LED เป็นเทคโนโลยีที่มีให้เห็นกันบ่อยในจอโน็ตบุ๊คที่บางๆครับ

แล้ว LED TV กับ LCD TV อะไรดีกว่ากันหละ???
ขอตอบแบบฟันธงเลยนะครับ ในฐานะคลุกคลีกับจอภาพอยู่แทบทุกวันว่า LED TV ดีกว่า LCD TV ในหลายแง่ครับเรามาดูตารางเปรียบเทียบกันในเชิงคุณภาพผลลัพธ์เลยนะครับ โดยเป็นการตัดสินให้คะแนนโดยทีมงาน LCDTVTHAILAND

LCD TV VS LED TV

ชนิดของ Backlight

CCFL

LED

ชื่อของทีวีในตลาด

LCD TV

LED TV

คุณภาพของภาพโดยรวม

7

9

ความสว่าง

8

8

สีสัน

7

9

ระดับสีดำ

7

9

อัตราการกินไฟ

7

10

ความบาง

7

9

ระดับราคา

9

7

ความคุ้มค่า

เครื่องถูกกว่า ค่าไฟแพงกว่า

เครื่องแพงกว่า ค่าไฟถูกกว่า

ตัวอย่างยี่ห้อและรุ่น

LG: LK450 

LG: LW6500

Samsung: D550

Samsung: D8000

Sony: CX520

Sony: NX & HX Series


ด้วยความที่เป็นหลอดไฟ “จิ๋วแต่แจ๋ว” โดยความสามารถของเจ้า LED นั้นสามารถให้ “แสงสว่างได้ดีกว่าโดยที่ใช้ไฟน้อยกว่า” ทำให้ LED เป็นแหล่งกำเนิดไฟที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหลอด CCFL ทันทีครับ และที่สำคัญด้วยขนาดหลอดที่เล็กกว่า ทำให้ LED TV มีความบางกว่า LCD TV ทั่วๆไปที่ใช้หลอด CCFL Backlight แต่อย่างไรก็ตาม LED TV นั้นก็ยังมีระดับราคาที่สูงอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า “คุ้มค่าหรือเปล่า” กับการลงทุนในช่วงนี้  โดยผมบอกได้เพียงสั้นๆว่า ค่าตัวของ LED TV ค่อนข้างแพงกว่า LCD TV อยู่พอสมควร แต่ก็มี LED TV ก็มีอัตราการกินไฟน้อยกว่า LCD TV อยู่ประมาณ 40% -50% เลยทีเดียวเชียวครับ ดังนั้นเรื่องความคุ้มค่าก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้วหละว่าจะเลือกตัวไหนครับ



ขอขอบคุณทความดีๆ Credit เว็บ www.lcdtvthailand.com





 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2555 7:16:20 น.
Counter : 531 Pageviews.  

HDMI คือ......



HDMI คืออะไร? ทำไมต้อง HDMI?


สาย HDMI ใช้ ระบบการส่งสัญญาณแบบ Digital คือสัญญาณที่ส่งไปจะไม่มีการตกหล่นหรือDropแม้แต่น้อย สรุปคือส่งได้ก็ได้ ส่งไม่ได้ภาพและเสียงก็จะไม่ขึ้น

เพราะฉะนั้น สายHDMIถูกหรือแพงก็ไม่แตกต่างกัน สาย HDMI แพงๆไม่ได้ทำให้ภาพและเสียงดีขึ้นแม้แต่น้อย แต่ก็ควรเลือกสายที่ได้การรับรองมาตรฐานจากสถาบัน HDMI




เดี๋ยว นี้เวลาไปเดินตามห้าง แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อนๆสังเกตุไม๊ครับ ว่าเห็นแต่ ทีวีแอลซีดี กับ พลาสม่าทีวี วางขายกันเกลื่อนไปหมด อีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ คงหา ทีวีหนาๆ หนักๆ ได้ยากเต็มทน หรืออีกทีก็ต้องไปตามร้านขายของเก่าประมาณนั้นครับ ไม่ได้เวอร์นะครับ เพราะ ทีวีแอลซีดี ทั้งบาง ทั้งเบา ให้ภาพคมชัด น่าใช้กว่าแบบเก่าเยอะ จะว่าไป ทั้งทีวีแอลซีดี และ พลาสม่าทีวี มันมีดีกว่ารูปร่างภายนอกที่เห็นนะครับ สิ่งที่ว่านี้คือระบบการเชื่อมต่อภาพและเสียงแบบใหม่ ที่เรียกว่า HDMI นี้หละครับ



HDMI ย่อมาจาก (H)igh (D)efinition (M)ultimedia (I)nterface เป็นระบบการเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงระบบ ดิจิตอล แบบไม่มีการบีบอัดข้อมูล ไว้ในสายเส้นเดียว มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับระบบ โฮมเธียเตอร์ ที่ให้ความคมชัดของภาพและเสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา


ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิต สินค้าและอุปกรณ์ชั้นนำ เช่น Hitachi, Matsu+a Electric Industrial (Panasonic), Philips, Sony, Thomson (RCA), Toshiba, และ Silicon Image รวมถึงผู้ผลิตภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น Fox, Universal, Warner Bros, Disney รวมทั้ง DirecTV, EchoStar (Dish Network) หรือ CableLabs ต่างก็สนับสนุนมาตรฐาน ระบบ HDMI ทั้งสิ้น

ดังนั้น ทีวี เครื่องเล่นดีวีดี เครื่องเสียง จอมอนิเตอร์ สมัยใหม่จะมีช่องต่อสาย HDMI เป็นมาตรฐานอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าคุณกำลังซื้อ โฮมเธียเตอร์ หรือ เครื่องเล่นดีวีดี แล้วละก็ สังเกตุให้ดีนะครับว่ามี่ช่องต่อสาย HDMI หรือไม่ ถ้าไม่มีก็รอตกรุ่นได้เลยครับ แล้วจะว่า mr.guru ไม่เตือน

แล้ว HMDI มันดีกว่าสาย DVD Component, RCA, หรือ S-Video อย่างไร

คำตอบง่ายมากครับ ปกติเวลาเราเล่น แผ่นดีวีดี ซึ่งเก็บข้อมูลเป็นแบบ ดิจิตอล เครื่องเล่นดีวีดีจะต้องแปลงสัญญาณดิจิตอล ไปเป็นสัญญาณอนาล็อคก่อน แล้วส่งสัญญาณผ่านสาย DVD Component, RCA หรือ S-Video ไปยังทีวีแบบเก่าซึ่งเป็นแบบอนาล็อคนั้นเอง ทำให้เกิดความลดทอนในระหว่างการแปลงสัญญาณไปมา แต่ HDMI เป็นการนำสัญญาณแบบ ดิจิตอล ต่อตรงไปยัง ทีวีสมัยใหม่ซึ่งเป็นแบบดิจิตอลเช่นกัน ทำให้ไม่เกิดการลดทอนของสัญญาณใดๆเลย ภาพที่ได้ จึงเป็นภาพ ดิจิตอล ที่คมชัด ตัวอักษรคมกริบ เช่นเดียวกันกับจอคอมพิวเตอร์




มาดูทางด้านเสียงกันบ้าง ด้วยเหตุผลเดียวกันกับภาพ สาย HDMI นำสัญญาณเสียง ดิจิตอลเข้าสู่ เครื่องเล่นเสียงในระบบ Dolby TrueHD และ DTS-HS Master Audio โดยมีการลดทอนของสัญญาณต่ำกว่า สายสัญญาณ RCA หรือ digital SPDIF (coax and optical connectors) แบบเดิมๆ เนื่องจาก HDMI มีอัตราการส่งผ่านข้อมูลที่สูงกว่า (high bandwidth) สายสัญญาณแบบเก่ามากๆ


เหนือ สิ่งอื่นใด สัญญาณภาพและเสียงถูกรวมไว้อยู่ในสาย HDMI เพียงเส้นเดียว ใช้งานง่าย ต่างจากการต่อสาย RCA หรือ DVD COMPONENT, RF, S-Video ที่สัญญาณภาพและเสียงแยกออกจากกัน ไหนจะต้องระวังเรื่องการต่อสาย INPUT/OUTPUT ให้ถูกต้องอีก แน่นอนถ้าคุณไม่ใช่ คนที่พอมีความรู้เกี่ยวกับ การต่อเครื่องเสียงและทีวี คุณจะต้องเสียเงินจ้างคนมาต่อสายให้ หากมีสายมากมายกองอยู่หลังเครื่อง



ปัจจุบัน HDMI ได้ถูกพัฒนาขึ้นไปจาก เวอร์ชั่น 1.3 ไปเป็น เวอร์ชั่น 1.4 มีความเร็วในการนำสัญญาณที่ 340 MHz ให้ความละเอียดของภาพสูงแบบ 48-bit RGB หรือ YCbCr color depths สนับสนุนระบบเสียง Dolby TrueHD และ DTS-HS Master Audio


สิ่ง ที่ต้องคำนึงถึงเวลาเลือกซื้อสาย HDMI ก็คือ เพื่อนๆต้องดูให้แน่ใจนะครับว่า สายนั้นผลิตได้ตามมาตรฐาน ของสถาบัน HDMI หรือไม่ มีเยอะครับที่ผลิตขายแบบไม่มีมาตรฐาน หรือ โรงงานผู้ผลิตไม่ได้เป็นสมาชิกผู้ผลิตสายของสถาบัน HDMI

บทความจากเว็บ //www.vpro.co.th




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2555 7:16:44 น.
Counter : 1349 Pageviews.  

1  2  

pique2002th
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุณภาพ และการบริการที่เป็นที่หนึ่ง
New Comments
Friends' blogs
[Add pique2002th's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.