เรื่อง ยิ่งกลัวก็ยิ่งเห็น

          เรื่องเล่านี้หลายปีมาแล้วก่อนที่โควิดจะระบาด ฉันกับเพื่อนร่วมงานไปญี่ปุ่นกัน และได้เข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง อย่างที่รู้ฉันเป็นคนกลัวผีมาก ไม่กล้านอนคนเดียว เลยชวนเพื่อนร่วมงานมานอนด้วย เตียงนอนใหญ่พอนอนสองคนได้

          ก่อนอื่นขอบอกว่ามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีในโรงแรมที่ญี่ปุ่นเยอะมาก แล้วเขาบอกว่าผีญี่ปุ่นชอบอำ ชอบคลาน แล้วฉันก็จิตนาการหน้าตาผีญี่ปุ่นทันที เอาละสิฉันต้องอาบน้ำในห้องน้ำคนเดียว จะทำไงดีความกลัวขึ้นสมองแล้ว ฉันค่อย ๆ เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปสำรวจบรรยากาศในห้องน้ำก่อน มันก็ดูน่ากลัวอยู่เหมือนกันนะ พอปิดประตูอ้าวไฟสว่างแค่นิดเดียว ดูอึมครึมชอบกล

          "พี่อาบน้ำนะ ประตูห้องน้ำไม่ได้ล็อคอย่าเข้ามาล่ะ"

          "ค่ะพี่ หนูก็จะจัดของ เด๋วจะไปออนเซ็นของโรงแรมซะหน่อย ชวนไปด้วยกันก็ไม่ไป จะอายอะไรก็ไม่รู้" เสียงน้องร่วมงานดังแว่ว ๆ เข้ามาในห้องน้ำ

          ฉันเปิดน้ำใส่อ่างกะจะนอนแช่สักพักให้หายเหนื่อย แต่ลงไปแช่น้ำได้แป๊บเดียวก็รู้สึกเหมือนมีคนมาจ้องมอง แล้วเรื่องเล่าผีญี่ปุ่นก็ผุดขึ้นมาในสมอง เคยมีคนเล่าว่ากำลังนอนแช่น้ำในอ่างเงยหน้าขึ้นไปมองเพดานห้องน้ำก็เจอผีญี่ปุ่นเกาะติดเพดานมองลงมา คนเล่าบอกว่าวิ่งออกจากห้องน้ำทั้งเปลือยกาย ผีก็โดดลงมาแล้วคลานตามจนต้องคว้าผ้าขนหนูบนเตืยงพันตัววิ่งออกมานอกห้อง

          ฉันคิดแล้วก็กลัวยิ่งขึ้นไม่กล้ามองขึ้นไปบนเพดาน ได้แต่เรียกน้องร่วมห้อง และพยายามชวนคุยเป็นเพื่อนตัวเอง ฉันรู้สึกเหมือนโดนสะกิดเอว ก็คิดว่าคิดเองไปมั้ง เอ๊ะสะกิดไหล่อีกแล้ว ฉันรีบลุกขึ้นยืนแล้วล้างตัวทันที พอออกมาก็เห็นว่าเพื่อนร่วมห้องถืออุปกรณ์กำลังจะออกไปออนเซ้น

          "เสร็จแล้วรีบมานะ จะได้ลงไปหาอะไรกินกัน"

          "ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงค่ะพี่ รับประกัน"

          ระหว่างรอฉันก็หยิบไอแพดมาเล่นทวิตเตอร์บ้าง เฟซบุกบ้าง ดูยูทูปบ้าง แล้วฉันก็ต้องขวัญผวาอีกเมื่อได้ยินเสียงตัดเล็บในห้องน้ำ จะว่าดังมาจากห้องข้างเคียงก็ไม่ใช่ เสียงมันชัดเจนมากสักพักเสียงตัดเล็บหายไป ตามมาด้วยเสียงไดร์เป่าผม ฉันหันไปมองไดร์เป่าผมที่โรงแรมจัดให้ อ้าวมันหายไปไหนไม่อยู่ตรงที่ของมัน ฉันมองไปที่ประตูห้องน้ำทันที แล้วก็ต้องนั่งตัวชา เมื่อเห็นผมยาวของผู้หญิงปลิวโผล่ตรงขอบประตูห้องน้ำ

          กำลังคิดว่าจะเอาไงดีก็มีเสียงเคาะประตูห้อง เพื่อนร่วมห้องกลับจากออนเซ้นแล้ว ฉันรีบเปิดประตูรับ แล้วรีบไปดูในห้องน้ำ ไม่มีอะไรในเลยทุกอย่างปกติ แต่มีไดร์เป่าผมวางอยู่หน้ากระจกแต่งตัวในห้องน้ำ ซึ่งก่อนอาบน้ำฉันยังเห็นมันวางอยู่ตรงชั้นข้างตู้เสื้อผ้าเลย

          เราแต่งตัวแล้วลงไปทานอาหารที่ทางโรงแรมจัดให้ อาหารอร่อยมากมีกรุ๊ปทัวร์ไทยมาลงด้วย อาหารจึงเอาใจคนไทย มีผัดผักน้ำมันหอยเหมือนที่ไทยด้วย มีแกงส้มผักกะหล่ำห่อกุ้ง และอีกหลาย ๆ อย่าง ทั้งยังมีนัตโตะหรือถั่วเน่าด้วยค่ะ ออกไปเดินเล่นย่อยอาหารบริเวณโรงแรมด้านนอกสักพักเราก็กลับเข้าห้องพักผ่อนกัน

          ฉันนอนไม่หลับทั้งที่เหนื่อยมาก แต่เพื่อนร่วมห้องพอหัวถึงหมอนก็กรนแล้ว แปลกฉันกลัวห้องน้ำมากมันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ฉันรู้สึกอีดอัด อากาศข้างนอกสิบหกองศาในห้องไม่เปิดแอร์ ฉันไปแง้มบานเลื่อนหน้าต่างออกนิดหน่อยประมาณหนึ่งคืบ เพื่อให้อากาศเย็นข้างนอกผ่านเข้ามาพอคลายความอึดอัด

          กำลังจะเคลิ้มหลับก็โดนแขนของเพื่อนร่วมห้องฟาดเข้ามาเต็มหน้า เธอนอนดิ้นมือไม้ฟาดเปะปะ นอนดิ้นจังแฮะ แต่แล้วฉันก็ได้ยินเสียง กิ๊ก ๆ เหมือนใครเอาเม็ดหินเม็ดเล็ก ๆ มาโยนใส่กระจกหน้าต่าง แต่มองแล้วก็ไม่มีอะไร เอ๊ะทำไมบานหน้าต่างเลื่อนกว้างจนไปซ้อนกับอีกบาน จะว่าลมกระแทกเลื่อนก็ไม่น่าใช่ จะว่าใครมาเปิดก็ไม่ใช่อีกเพราะสำรวจแล้วไม่มีที่ให้คนปีนได้

          ในความรู้สึกแวบหนึ่งเหมือนฉันเห็นอะไรโผล่พ้นขอบหน้าต่างมานิดหนึ่ง ความกลัวทำให้กล้า ฉันรีบลุกไปชะโงกดู สิ่งที่เห็นคือหญิงใส่ชุดกิโมโนกำลังปีนลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วแบบนี้ไม่เรียกว่าคนแล้วค่ะ ใครจะเกาะปูนเรียบที่ตั้งฉากปีนลงไปได้ ฉันรีบผลุบเข้ามาในห้องและปิดกระจกบานเลื่อนทันที ล็อกอีกต่างหาก เสียงปิดคงดังมากทำให้เพื่อนสะดุ้งตื่น

          "พี่หนูฝันไม่ดีเลย เหมือนไม่ได้ฝัน คล้ายผีอำค่ะ พยายามจะเรียกพี่แต่เรียกไม่ออก พยายามฟาดมือใส่พี่ให้ตื่นด้วย"

          แล้วฝันร้ายก็ถูกเล่าว่า เธอนอนหลับอยู่แล้วก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งก็แปลไม่ออก รู้สึกว่าเสียงเรียกมาจากเพดานด้านบนเหนือเตียงนอน เธอก็ลืมตาดูแล้วก็เห็นหญิงญี่ปุ่นใส่กิโมโนลอยตัวอยู่ติดเพดานฝ้าส่งยิ้มมาให้เธอ เธอร้องไม่ออกได้แต่มองภาพตรงหน้า แล้วหญิงญี่ปุ่นคนนั้นก็พลิกตัวเข้าหาฝ้าเพดานแล้วคลานไปตามฝ้าตรงไปที่หน้าต่างกระจกแล้วออกไป แล้วเธอก็เห็นฉันเดินไปที่กระจกพยายามจะร้องเรียกฉันแต่ร้องไม่ออก

          พอเพื่อนเล่าเสร็จฉันก็เริ่มเล่าบ้างตั้งแต่ตอนอาบน้ำจนถึงตอนนี้ คืนนั้นเราสองคนก็เลยไม่ได้นอนต่อ นั่งคุยกันจนเช้า ฉันเลยรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องกลัวผีขึ้นสมองเหมือนกัน ฉันกลับปลอบน้องว่า

          "อย่ากลัวไปเลย ยิ่งกลัวก็ยิ่งเห็น"

          "แต่พรุ่งนี้เราย้ายโรงแรมกัน"

💀💀💀

เขียนโดย PippaSmile พิปป้าสมายล์
เขียนเมื่อ 30 ธันวาคม 2565




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2565   
Last Update : 30 ธันวาคม 2565 16:23:50 น.   
Counter : 278 Pageviews.  


เรื่อง ไม่ได้ฝันมันเป็นเรื่องจริง

          นายมากำลังกลับบ้านเขาขับรถกลับจากไปช่วยงานบุญที่จังหวัดหนึ่ง อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ เขารีบนำรถเข้าจอดข้างทาง รู้สึกอากาแย่ลงไม่ดีขึ้น เขาแน่นหน้าอก แล้วก็ไม่รู้สึกตัว เขามารู้สึกตัวอีกทีก็ค่ำแล้วน่าจะประมาณทุ่มเศษ เขาค่อยๆ ขับรถไปต่อ พอเลยโค้งมาถึงปั้มน้ำมันข้างหน้าเขาก็แวะเข้าไปกะจะเติมน้ำมันและหาอะไรดื่มหน่อย

         ไม่มีเด็กคนไหนในปั้มใส่ใจเขาเลย มัวมุงดูอะไรกันอยู่ตรงป้ายทางเข้าสุขา นายมาเห็นว่าน้ำมันยังพอมีเหลือขับไปถึงบ้านเลยเปลี่ยนใจไม่เติมน้ำมัน ขณะขับรถออกมาหน้าปั้ม เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่เหมือนรอใคร ดูคุ้นหน้ามาก เธอโบกมือและชะโงกหน้ามาที่กระจกรถ เขาลดกระจกลง เธอก็พูดว่า

         "พี่จะเข้าตัวเมืองใช่ไหม น้องขออาศัยไปด้วย สามีที่กำลังจะมารับเกิดปัญหามารับน้องไม่ได้"

         "ได้แต่นั่งเบาะหลังนะ เบาะหน้ามีของเต็มหมด"

         บรรยากาศในรถดูวังเวงชอบกล สตรีที่ดูคุ้นหน้าไม่ชวนพูดคุยอะไร นายมาแอบมองกระจกหลัง ก็เห็นว่าเธอนั่งหน้าซึดดูทุกข์กังวลใจอะไรอยู่ นายมารู้สึกเหม็นเหมือนกลิ่นน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำฉุนแรงมาก สงสัยกลิ่นจะติดเสื้อผ้าเธอมา เขาขับไปได้สักพักก็มองกระจกหลังอีก คราวนี้เขาเห็นเธอนั่งน้ำลายฟูมปาก ตาเหลือกถลน เขารีบจอดรถแล้วหันไปดูเธอ แต่ปรากฏว่าเธอก็ปกติดี แต่มองเขาด้วยสายตาแข็งและดุ เขาเลยพูดออกไปว่า

         "อย่าเข้าใจผิดว่าพี่จอดเพื่อคิดร้าย จะถามว่าทุกข์ใจอะไรหรือเปล่า และจะให้ไปส่งตรงไหน"

         "ไปส่งน้องที่หน้าโรงพยาบาล สามีน้องรออยู่แล้วพี่"

         นายมาขับรถไปต่อ พอถึงหน้าโรงพยาบาลเขาก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงป้ายชื่อโรงพยาบาล อ้าวนั่นนายชัยเพื่อนของเขาเองนี่ถึงแม้จะไม่สนิทกันแต่นายมายังจำเพื่อนได้ ถึงว่าทำไมคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ เขาจอดรถตรงที่นายชัยยืน ภรรยานายชัยเรียกสามีให้ขึ้นรถมานั่งเบาะหลัง นายมาทักทายนายชัยและบอกว่าจะไปส่งที่บ้าน นายชัยพยักหน้ารับการทักทายด้วยสีหน้ามึนงงแล้วเข้ามานั่งในรถไม่พูดจา นายมารู้สึกแปลกใจมากทำไมนายชัยไม่ดีใจที่เจอเขา และทำไมพอนายชัยเข้ามาในรถถึงรู้สึกได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด

         ทุกคนเงียบกริบไม่มีใครชวนคุย เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศคลายเครียด นายมาจึงเปิดวิทยุหน้ารถฟังข่าว ผู้ประกาศข่าวรายงานว่าขณะนี้มีเหตุบังเอิญเกิดมีการตายของคนในหมู่บ้านเดียวกันถึงสามคน คนแรกเป็นหญิงน้อยใจสามีเลยไลฟ์สดบอกสามีว่าจะกินยาตายและก็กินจริง ๆ จนเสียชีวิตในห้องน้ำของปั้มน้ำมันออยล์ที่ตนเองทำงานอยู่ผู้ตายชื่อว่านางนิด นาโนน ส่วนรายที่สองก็คือสามีเร่งรีบไปห้ามเมียจนขับรถชนเสาไฟฟ้าอาการสาหัสกู้ภัยนำส่งโรงพยาลแต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตระหว่างทางตามภรรยาไปอีกคนผู้ตายคือนายชัย นาโนน

         นายมาฟังข่าวแล้วก็เหงื่อแตกพลักให้ตกใจและหวาดกลัว นายมาเพิ่มเสียงวิทยุอีกเพื่อเรียกสติกลับมา เขาไม่กล้ามองกระจกหลัง เสียงผู้ประกาศข่าวดังว่า รายที่สามนั่งเสียชีวิตอยู่ภายในรถส่วนตัวที่จอดอยูข้างทางก่อนถึงปั้มน้ำมันออยล์ ไม่มีร่องรอยถูกทำร้ายคาดว่าน่าจะเสียชีวิตจากโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ ทราบว่าผู้เสียชีวิตรายนี้คือ นายมานะ บังเอิญ

         นายมาหรือนายมานะ บังเอิญ จอดรถทันที เริ่มลำดับภาพได้นี่เขาก็ตายแล้วเหมือนกับสองคนนั่นหรือ เขาน้ำตาไหล ค่อยๆ มองกระจกหลัง นายชัยกับภรรยามองตอบเขาโดยไม่พูดจาอะไร สภาพของทั้งสองดูไม่ได้ นายชัยเลือดท่วมตัวไหล่ขวาหักลู่กระดูกโผล่ออกมาน่าสยดสยอง ส่วนนางนิดน้ำลายฟูมปากไหลย้อยเป็นทางลงมา ดวงตาเหลือกถลน และมีอาการกระตุกชักงอ แม้นายมาจะเป็นผีแต่ก็กลัวผีเบาะหลังอยู่ดี ความกลัวทำให้เขาหมดสติไป

          นายมารู้สึกตัวลืมตาตื่น เขาอยู่ที่ไหน มืด อัดอัด กลิ่นน้ำอบโบราณคลุ้งไปหมด นี่มือเขาถูกมัด ขาก็ถูกมัดด้วย เสียงพระสวดศพดังอย่างชัดเจนสองหู เขายังไม่ตายเขาต้องอยู่ในโลงศพอย่างแน่นอน คอแห้งจัง ไม่มีเสียงตะโกน เขาพยายามงอตัวแล้วทิ้ง เอาสองมือที่ถูกมัดกระทุ้งฝาโลง เอาสองขาที่ถูกมัดเตะข้างโลง

         "แม่จ๋า หนูได้ยินเสียงในโลงตีงตัง แม่ไปฟังซิ คุณปู่เคาะโลงแน่เลย" 

         ลูกสะใภ้นายมาได้ยินดังนั้น รีบเดินไปบอกลุงที่ดูแลศาลา เธอและลุงก็ได้ยินเช่นกัน ไปบอกแม่สามีคือภรรยานายมา ซึ่งภรรยานายมาเป็นคนไม่ให้ฉีดน้ำยาศพ ไม่ให้มัดตราสังข์ เพราะเธอไม่ยอมรับว่าสามีตาย ด้วยตัวสามีนิ่มและอุ่นอยู่ไม่แข็งเหมือนผู้ตายรายอื่น ๆ 

          "โอ้ย แสงจ้าตาจังเลย ใครเอาผมออกไปที"

          นายมาถูกนำตัวออกมาจากโลงศพ รถพยาบาลที่ถูกเรียกด่วนมารับตัวนายมาเข้าโรงพยาบาลทันที ตอนรถพยาบาลขับออกมาจากวัดก็ผ่านศาลาตั้งศพของนางนิดและนายชัย นายมาคิดว่านี่เขาไม่ได้ฝันไป มันเป็นเรื่องจริง

👻👻👻

เขียนโดย PippaSmile พิปป้าสมายล์
เขียนเมื่อ 1 ธันวาคม 2565





 

Create Date : 01 ธันวาคม 2565   
Last Update : 1 ธันวาคม 2565 3:49:36 น.   
Counter : 319 Pageviews.  


เรื่อง ผีบอกทาง

          นายป๋องกับแม่เดินทางไปงานศพญาติที่ต่างจังหวัด แม่จำทางไม่ได้เพราะไม่เคยไปมานานถึงสามสิบปีแล้ว ป๋องเลยต้องใช้กูเกิ้ลแมพนำทาง ป๋องกับแม่ออกเดินทางตั้งแต่บ่ายจนเย็นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงที่หมาย ไหนญาติบอกว่าอย่างช้าสามชั่วโมงก็ถึง นี่หกโมงเย็นจะค่ำแล้วล่อไปสี่ชั่วโมงกว่า

          "แม่ พอจะจำได้ไหมว่าถึงตลาดนี้แล้วอีกไกลไหมกว่าจะถึง เมื่อกี้แม่ถามทางเขาว่ายังไงบ้าง"

          "เขาบอกแม่ว่าไปอีกไม่ไกล แต่ควรแวะพักผ่อนนอนหลับที่โรงแรมท้ายตลาดก่อน เช้าค่อยออกเดินทางต่อ แม่ว่าไม่ไกลเราก็ไปต่อดีกว่า ไปนอนบ้านญาติจะได้คุยกันด้วย"

          "ครับแม่ ผมก็ว่ายังงั้น ประหยัดค่าโรงแรมด้วย"

          ป๋องขับมาถึงทางสามแยกจีพีเอสก็ไม่ขยับบอกว่าจะไปทางไหน สัญญาณมาขาดซะตรงแยกนี้ได้ เขาคิดในใจว่าไปทางไหนดี แล้วก็มีเสียงพูดดังชัดเจนที่หูข้างขวาของเขาว่า ไปทางซ้าย

          ป๋องจึงขับไปทางซ้ายทันที ขับไปได้นานพอสมควรยิ่งเปลี่ยวสองข้างทางไม่มีบ้านคนเลย แล้วแม่ก็โวยวายว่า

          "ป๋องมาผิดทางแล้ว แม่จำได้ว่าขวาตลอด ไม่มีเลี้ยวซ้ายนะ เมื่อกี้ทำไมไม่เลี้ยวขวาล่ะลูก"

          "อ้าว แม่บอกป๋องเองว่าให้เลี้ยวซ้าย ผมได้ยินชัดเจนเต็มหูขวาเลย"

          "ป๋องแม่ไม่ได้บอกนะ แล้วแม่นั่งอยู่ซ้ายมือป๋อง แม่จะไปบอกทางหูขวาลูกได้ยังไง พูดตลกแล้ว"

          "ไม่ตลกเแล้วแม่ ป๋องได้ยินชัดเจน แต่เอ๊ะป่องคิดในใจว่าไปทางไหนดี แล้วแม่จะรู้ได้ยังไงว่าป๋องถาม ถึงได้ตอบ ชักไม่ดีแล้วแม่ถ้าแม่ไม่ได้ตอบป๋อง คนที่ตอบคือใคร?"

          สองแม่ลูกมองหน้ากัน แล้วต่างพากันเงียบ ป๋องเลี้ยวรถกลับทางเก่าจะไปที่ทางแยกเดิมแล้วเลี้ยวไปทางขวา ขับย้อนมาได้นิดเดียวแม่ก็รู้สึกว่าป๋องขับรถแปลกไป คือขับเร็วมากและคอยจะเอนตัวมาทางแม่บ่อย ๆ รถเกือบจะลงข้างทางก็หลายครั้ง แม่รู้ทันทีว่าเจอดีแล้ว

          "ไม่ว่าอย่างไร ลูกต้องมีสติ เราอยูในรถปลอดภัย รถพระเจิมมาแล้ว และในรถก็มีพระ ไม่มีอะไรเข้ามาทำร้ายเราได้ นอกจากเราจะขับรถไม่ดีเอง"

          คำพูดของแม่ทำให้ป๋องได้สติ ตอนเลี้ยวกลับป๋องเห็นผู้หญิงข้างทางโบกมือให้จอด แต่เขาไม่กล้าจอดเพราะทางเปลี่ยวมาก ป๋องรู้ว่าแม่ไม่เห็นแต่เขาเห็นคนเดียว ป๋องเพิ่มความเร็วรถ แต่แล้วก็ต้องตกใจ เธอวิ่งตามมาตลอดทางยาวไกลและในที่สุดก็เกาะกระจกรถด้านเขา ป๋องรู้ทันทีว่าไม่ใช่คน เธอแลบลิ้นยาวเลียกระจก ดูน่าเกลียดน่ากลัว จนป๋องพยายามเอี้ยวตัวหลบไปทางที่แม่นั่ง ดีนะแม่เตือนสติเขาไว้

          ป๋องขับรถระมัดระวังมากยิ่งขึ้นเขาเป็นห่วงแม่มาก ใจก็นึกถึงคุณบิดามารดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง ผีร้ายย้ายไปนอนแหวกอกแหวกพุงหน้ารถ หน้าเละๆ ค่อย ๆ ยืดและแยกขาดออกจากตัว ส่วนที่เป็นหัวลอยมาเกาะที่ปัดน้ำฝน ป๋องมองหน้ารถไม่ถนัด หันไปมองแม่แวบหนึ่ง เห็นแม่นั่งพนมมือท่องอะไรอยู่ ป๋องห่วงแม่มาก เขาเริ่มเปลี่ยนความกลัวเป็นความโกรธ จึงพูดออกมาดัง ๆ ว่า

          "นี่เธอ หยุดโชว์นั่น โน่น นี่ ให้เราดูเถอะ มันไม่น่าดูเลย คนเป็นๆ สวยกว่าเธอฉันยังไม่ดู เน่าๆ แบบเธอก็ยิ่งดูไม่ลง เธอก็คงรู้นะแหวกให้ดูมาหลายรายคิดว่ายังไม่เคยมีใครชมเธอแน่นอน" ผีตัวนั้นก็ร้องกรี๊ดดดด

          "ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย ก็ไปทางขวาที่ตั้งใจ จะถึงจุดหมาย แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก อ้อทำบุญให้ข้าด้วย" ผีบอกอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วมันก็หายไป

          "ป๋องแม่สวดอุทิศกุศลให้สิ่งที่มารังควาญลูกเมื่อกี้ มันไปหรือยัง"

          "ไปแล้วครับแม่ ไปเพราะผมหรือเพราะแม่ก็ไม่รู้ เขายังบอกทางและขอให้เราทำบุญให้เขาด้วย"

          ในที่สุดป๋องและแม่ก็ไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย และเล่าเหตุการณ์ที่พบเจอให้ญาติฟัง ญาติเล่าว่าผีตัวนี้หลอกคนไปทั่ว จนไม่มีใครกล้าเดินทางเส้นนี้ตอนกลางคืน เดิมเธอเป็นหญิงที่ถูกผู้ชายทิ้งตลอดเพราะเธอไม่สวย ชายได้ชื่นชมสมใจก็ผละหนี เธอเลยฆ่าตัวตายด้วยการโดดให้รถบรรทุกชนจนคอขาดกระเด็น

          ป๋องไม่ได้เล่าสิ่งที่เขาพูดกับผีให้แม่กับญาติฟัง แม่ก็ยังคงปลื้มว่า ผีไปเพราะบทสวดของแม่ แต่ป๋องมั่นใจว่าผีไปเพราะบทสวดของเขา


💀💀💀

เขียนโดย PippaSmile พิปป้าสมายล์
เขียนวันที่ 1 ตุลาคม 2565




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2565   
Last Update : 1 ตุลาคม 2565 19:43:57 น.   
Counter : 179 Pageviews.  


เรื่อง หญิงสวมเขา



          สุดา เรียนอยู๋ชั้นปีสี่ คณะนิเทศศาสตร์ วันนี้เธอมาเล่นละครซึ่งเป็นงานกิจกรรมวันแม่ เธอไม่อยากมาตึกนี้เลยเพราะมันมีหลายชั้น ต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้นห้า จะขึ้นบันไดก็คงไม่ไหว เธอเป็นโรคกลัวที่แคบ และกลัวลิฟท์ค้าง กลัวติดอยู่ในลิฟท์คนเดียว ต้องหาเพื่อนขึ้นลิฟท์ซะแล้วเรา เธอคิดอยู่ในใจว่าจะรอขึ้นพร้อมคนอื่น

          สุดาเดินเข้าประตูอาคาร ไปตรงโถงกลางทางขึ้นลิฟท์ เธอเดินพร้อมกับมองไปข้างหน้าตรงประตูลิฟท์ ซึ่งมีระยะห่างจากจุดที่เธอกำลังเดินไปพอสมควร เธอเห็นคนวิ่งเข้าไปในลิฟต์และประตูลิฟต์กำลังจะปิด เธอติดเรามีเพื่อนขึ้นลิฟท์แล้ว สุดาเลยตะโกนออกไปอย่างดังว่า

          "พี่คะรอด้วยค่ะ"

          ไม่แค่ตะโกนเท่านั้น แต่สุดายังรีบวิ่งเอาม้วนบทละครในมือไปขัดประตูลิฟต์ไว้ด้วยดูไม่มีทีท่าจะหยุดปิด สุดาคิดว่าคนข้างในคงกดไม่ทันหรือไม่ได้ยินเสียงที่เธอบอกให้รอ ในที่สุดประตูลิฟท์ก็เปิดออก สุดาประหลาดใจมากที่ไม่มีใครอยู่ในลิฟท์ เธอก้าวเท้าถอยหลังไม่เดินเข้าไป ใจก็คิดว่าเราเห็นชัดเจนว่ามีคนวิ่งเข้าไป ทำไมไม่มีใครอยู่ในนั้น สุดาดูนาฬิกาหกโมงแล้วได้เวลาละครเปิดพอดีกว่าจะเลิกก็คงสามทุ่ม

          "ไม่เข้าไปละคะ ลิฟท์ว่างอยู่"

           เสียงผู้หญิงพูดเนิบๆ อยู่ข้างหลัง ชนิดพูดรดต้นคอ ทำเอาสุดาขนลุกอย่างประหลาด เธอคนนั้นเดินเข้าไปในลิฟท์ก่อนหันหน้าเข้ากำแพงลิฟท์หันหลังให้สุดา สุดารีบก้าวเข้าไปในลิฟท์ กดประตูปิดและกดชั้นห้า สุดาถามผู้หญิงคนนั้นว่าจะไปชั้นไหน เธอตอบโดยยังยืนอยู่ในท่าเดิมว่า

          "ชั้นห้าที่คุณกดนั่นแหละ"

​​​​​​​          สุดาแปลกใจเธอรู้ได้ยังไงว่าสุดากดชั้นห้าในเมื่อเธอยืนหันหลังให้สุดาตลอด สงสัยจะมีตาหลัง ลิฟท์ขึ้นไปอย่างช้าๆ สุดามองเลขไปถึงชั้นสามแล้วลิฟท์ก็หยุดนิ่ง ไฟในลิฟท์เริ่มกระพริบถี่ ๆ สุดาตัวสั่นเธอกลัวที่แคบอยู่แล้ว และนี่ยังมีทีท่าว่าไฟในลิฟท์จะดับอีก

​​​​​​​          ในที่สุดไฟก็ดับจริง ๆ ผู้หญิงคนนั้นเงียบ แต่สุดาเงียบไม่ไหวเธอตะโกนไปตรงประตูลิฟท์ว่าช่วยด้วย ๆ แล้วเธอก็กดไฟจากมือถือแวบหนึ่ง แสงไฟทำให้เธอเห็นเงาของผู้ร่วมทางที่ทอดยาว ในเงาตรงหัวของเธอมีเขาสองข้าง มันชัดเจนมาก จนสุดาต้องถามไปว่า

​​​​​​​          "เธอมาซ้อมละครเป็นตัวปีศาจหรือถึงสวมเขาด้วย"

​​​​​​​          หญิงคนนั้นหัวเราะเย็น ๆ ไม่ตอบ ดูเสียงหัวเราะของเธอดังก้องมาก สุดากดปุ่มฉุกเฉินที่ใช้เรียกให้คนมาช่วย แล้วนั่งรอเงียบๆ สักพักก็เริ่มรู้สึกได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาโดนจมูก กลิ่นมันเหม็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

​​​​​​​          "นี่คุณ ได้กลิ่นอะไรไหม มันแรงขึ้นเรื่อย ๆ นะ" สุดาเหม็นจนแทบทนไม่ได้ แต่ทำไมอีกคนไม่พูดอะไรเลย แล้วสุดาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นตอบ

​​​​​​​          "เพื่อความสมจริงปีศาจต้องมีกลิ่นเหม็นฉันเลยเอาหนูตายใส่ขวดมาด้วย สงสัยฝาขวดจะเปิด"

​​​​​​​          "เธอรีบปิดฝาขวดเลย ฉันหายใจไม่ออกแล้ว มาเปิดไฟให้"

​​​​​​​          พูดจบสุดา ก็เปิดไฟให้แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อหญิงคนนั้นหันหน้ามา ใบหน้าของเธอปูดโปนน่าเกลียด จมูกเหมือนแหว่ง แต่แสงไฟสว่างไม่มากเลยดูไม่ค่อยชัด

​​​​​​​          "ฉันให้ฝ่ายเทคนิคแต่หน้าให้ไม่ต้องกลัว ทนกลิ่นหน่อยนะ กำลังมีคนมาช่วยแล้ว ฉันชอบเธอนะเราเล่นบทเดียวกัน เธอเล่นให้ดีกว่าฉันด้วยล่ะ" เธอพูดเหมือนรู้ว่าสุดากำลังกลัวเธอ พูดจบผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะฮึ ๆ

​​​​​​​          ใช่สุดารู้สึกกลัว ขนลุกชันไปหมด ผมบนหัวยังรู้สึกตั้งขึ้น สุดาพยายามเชื่อในคำตอบของหญิงคนนั้น แต่ใจก็ค้านอย่างประหลาด เธอดูเหมือนผีมากกว่า ความกลัวเริ่มจับขั้วหัวใจ แล้วก็มีเสียงคนวิ่งมาที่ประตูลิฟท์ และประตูถูกเปิดออกกว้างพอดีตัวของสุดาตะแคงออกมาได้ ชายสองคนเข้ามาหิัวปีกสุดาออกไป พวกเขามองสุดาแบบห่วงใย

​​​​​​​          "ข้างในยังมีอยู่อีกคน เข้าไปช่วยเธอด้วยค่ะ"

​​​​​​​          สุดาบอกเจ้าหน้าที่ทั้งสอง ทันใดไฟก็สว่างขึ้นประตูลิฟท์เปิดออกกว้าง แต่ไม่มีใครอยู่ข้างใน สุดารู้ทันทีเลยว่าคนที่เธอเห็นวิ่งเข้าลิฟท์กับผู้หญิงที่อยู่ในลิฟท์กับเธอต้องไม่ใช่คนอย่างแน่นอน เจ้าหน้าที่พาสุดาไปส่งที่ห้องประชุมซึ่งเป็นที่แสดงละคร

​​​​​​​          สุดารีบตรงไปหลังเวที กำลังใกล้จะถึงบทปีศาจของเธอแล้ว สุดารับเขามาสวมหัว เธอแสดงเต็มที่ลืมเรื่องราวในลิฟต์ไปชั่วขณะ แต่แล้วสายตาเจ้ากรรมก็มองไปยังหลังห้องประชุม เธอเห็นเงาดำสวมเขากำลังลอยพริ้วข้ามหัวผู้ชมคนอื่นลอยไปนั่งตรงกลางห้องประชุม เงาดำนั้นนั่งซ้อนตัวคนที่อยู่เก้าอี้นั้นอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

​​​​​​​          สุดาเงียบไม่ไหวแล้ว เธอรีบไปพบอาจารย์ผู้ฝึกหลังเวที แล้วเล่าให้ฟังทั้งหมด อาจารย์ถึงกลับน้ำตาไหลพราก และบอกว่าเธอคือนักศึกษาที่เคยแสดงบทนี้ เธอติดในลิฟท์ค้างเพราะสมัยนั้นไม่มีออดฉุกเฉินและหลังจากวันแสดงละครมหาวิทยาลัยก็ปิดหยุดยาวช่วงปีใหม่ ไม่มีใครใช้ลิฟท์ เธอขาดน้ำและอาหาร ขาดอากาศหายใจด้วย และตายในที่สุด

​​​​​​​          สุดารู้สึกสงสารเธอมาก ขากลับต้องลงลิฟท์สุดากลับมากับอาจารย์และเพื่อน ๆ ขณะยืนอยู่ในลิฟท์ เธอก็รู้สึกเย็นที่ต้นคอ และได้ยินเสียกระซิบเบาๆ ว่า

​​​​​​​          "ลาก่อน หญิงสวมเขา"

​​​​​​​          สุดาสะดุ้ง และเธอก็รู้ว่ายังสวมเขาอยู่ลืมเอาออก เธอยิ้มรีบเอาเขาออกจากศีรษะและพูดในใจว่า

​​​​​​​          "ขอบคุณที่เตือน ฉันจะทำบุญให้เธอนะหญิงสวมเขา"

​​​​​​​          💀💀💀

​​​​​​​          ผู้เขียน .......... PippaSmile พิปป้าสมายล์
​​​​​​​          เขียนเมื่อ ...... 20 สิงหาคม 2565




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2565   
Last Update : 20 สิงหาคม 2565 17:31:06 น.   
Counter : 133 Pageviews.  


เรื่อง ผีหัวขาด ตอน 4 มากินเหล้ากัน


        ความกลัวเริ่มถาโถมเข้ามาจับขั้วหัวใจอีกครั้ง ตรูเพิ่งจะหายกลัวจากความฝัน นี่แกออกจากฝันตามมาเล่นตรูอีกหรือไง ยิ่งคิดยิ่งกลัว บ่าวหลับตาไม่กล้าลืมตาอีก ภาพในหัวสมองตอนนี้คือ ร่างนายมาร์คที่ไร้หัว กำลังเดินไปเดินมาเหมือนทหารเดินแถวอยู่ข้างเตียง และกำลังเดินชนเตะที่ขอบเตียงที่บ่าวนอนอยู่ ทำไงดี บ่าวพยายามสวดมนต์นึกถึงบทสวดไล่ผี แต่ให้ตายเถอะนึกไม่ออก แค่ท่องนะโมตัสสะ เขายังจำไม่ได้เลย

          บ่าวนอนตัวสั่นอยู่บนเตียงด้วยความกลัว เสียงนายมาร์คยังเดินอย่างสม่ำเสมอ บึก บึก บึก ไม่มีทีท่าว่าจะไปสักที มันเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ ในที่สุดบ่าวเริ่มเปลี่ยนจากความกลัวกลายเป็นความโมโห เสียแรงรู้จักกันรักกันดีในสมัยมีชีวิตอยู่ เหล้าก็เคยกินด้วยกัน ทำไมมาหลอกกันได้ ในที่สุดความกลัวก็มาถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่เรียกว่า ความกล้า

          เอาว่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว นายมาร์คก็ไม่ยอมไปสักที ผีก็ผีเหอะ ไม่มีหัวแบบนี้ไม่เห็นเรา พ่อจะเตะให้คว่ำเป็นลูกขนุนเลย ว่าแล้วบ่าวก็ตัดใจลืมตาขึ้นทันที พอสายตาปรับสภาพในความมืดได้ สิ่งที่มองเห็นลาง ๆ ทางหางตาด้านซ้ายมือ คือเงาตะคุ่ม ๆ แม้จะใจกล้าแล้วแต่บ่าวก็ไม่วายสะดุ้งโหยงจนได้

          เงาตะคุ่ม ๆ ยังคงเคลื่อนที่ไปมาอยู่ข้างเตียง ขนที่ลุกอยู่แล้ว คราวนี้มันแทบจะหลุดออกมาจากรูขุมขน บ่าวรวบรวมความกล้า หันไปมองให้เต็มตาพร้อมยันตัวขึ้น กะว่าจะกระทืบร่างไม่มีหัวของตามาร์คให้จมตีน

          เสียงพัดลมยังส่ายไปมาอยู่ แรงลมที่พัดแรงมากเพราะเขาปรับไว้ที่เบอร์สูงสุด พัดมาปะทะหลังของเขาเย็นยะเยือก สิ่งที่บ่าวมองเห็นรางเลือนตรงหน้าไม่ใช่ร่างหัวขาดของนายมาร์ค แต่มันคล้ายหัวนายมาร์คที่กำลังลอยขึ้นลงและเคลื่อนไปซ้ายที ขวาที่ กระทบกับผนังห้องเสียงดัง บึก บึก บึก บึก

          วินาทีนั้น บ่าวหัวใจแทบหยุดเต้น หัวนายมาร์คมันลอยซ้ายขวา ซ้ายขวา แล้วแต่แรงลมจากพัดลมจะพาไป มันกระเด้งไปชนผนัง ซ้ายที ขวาที บ่าวเริ่มรวบรวมสติ พยายามเพ่งมองฝ่าความมืดเพื่อดูให้ชัด แล้วไฟในห้องก็เปิดสว่างพรึบทันที บ่าวสะดุ้งโหยง ร่างนายมาร์คเปิดไฟหรือเปล่า เขาหันไปมองตรงสวิตช์ข้างประตูห้องนอนทันที



          บ่าวเห็นแฟนสาวของเขาเองยืนยิ้มอยู่หน้าประตูห้องนอน เธอมีกุญแจเข้าห้องเขา เขาหันไปมองทางข้างเตียงทันที ก็เห็นลูกโป่ง กระทบพื้นเสียงดัง บึก บึก บึก ใครวะเอาลูกโป่งมาไว้ในห้องตรู ที่เขาคิดว่าเป็นหัวนายมาร์คมันคือลูกโป่งนี่เอง กำลังลอยไปลอยมา ตามแรงลมจากพัดลมที่ส่ายอยู่ แรงลมพัดลูกโป่งไปทางซ้ายกระแทกผนังห้องดังบึก แล้วก็กระเด้งมาทางขวาโดนผนังอีกด้านดังบึก แรงพัดลมพัดย้อนกลับไปมา ซ้ายบึก ขวาบึก ซ้ายบึก ขวาบึก อยู่อย่างนี้นี่เอง

          "พี่บ่าว หนูมาเอาลูกโป่ง ยังไม่รีบอีก เลยนัดแล้วนะ" พอพูดจบหล่อนก็ตรงเข้าไปหยิบลูกโป่ง แล้วออกไปยืนตรงประตูห้องพร้อมกับพูดขึ้นอีกว่า

          "เมื่อคืนตอนพี่บ่าวกลับหอ หนูออกจากเซเว่นตรงปากซอยพอดีเห็นพี่เดินอยู่ เรารึอุตส่าห์เดินตาม พี่บ่าวหยุดเดินหนูก็ก้มผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ พี่ก็แกล้งมองเลยหนูไปข้างหลัง ผูกเชือกรองเท้ายังไม่ทันเสร็จก็รีบเดินตามพี่อีก เห็นพี่หยุดอีกก็ก้มผูกใหม่ ยังไม่ทันเสร็จพี่ก็เดินอีก หนอยแน่พอถึงสะพานแกล้งหนู วิ่งหนีหนูเลยนะ หนูโมโหเลยกลับหอ" ขณะพูดเธอก็ทำหน้าโมโหไปด้วย

          แต่บ่าวกับชอบใจสิ่งที่เธอพูด เพราะที่คิดว่าผีเดินตามน่าจะเป็นเธอเดินตามนี่เอง และที่มองไม่เห็นใครเพราะเธอก้มผูกเชือกรองเท้านี่เอง ใจเริ่มมาอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว สรุปที่เดินตามเขามาตลอดไม่ใช่ผีนายมาร์ค

          "พี่บ่าว ตอนหนูยืนโกรธพี่ที่สะพาน หนูเห็นอะไรลอยในคลอง ตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง คล้ายหัวคน ตกใจกลัวก็กลัว แต่ก็กล้าพอที่จะเอาไฟฉายมือถือส่องไปดูค่ะ มันเป็นลูกมะพร้าวที่ปอกเปลือกยังไม่หมดนะเอง เล่นเอาหนูนึกว่าศพลอยน้ำมาหรือไม่ก็หัวมิสเตอร์มาร์คค่ะ" พูดเสร็จเธอทำท่าสยอง บ่าวเพิ่งถึงบางอ้อก็ตอนนี้ ไอ้ที่ปุด ปุด ปุด เด้งขึ้นมาจากคลองเป็นลูกมะพร้าวนี่เอง เกือบเสียฟอร์มแล้วไหมเรา

          "กลัวอะไรกับผี ผีไม่มีจริง พี่อยู่ห้องนี้ นายมาร์คอยู่ห้องนั้น ตั้งแต่เขาตายยังไม่เคยมีอะไรผิดปกติเลย คนตายไปแล้วเหลือแต่วิญญาณทำอะไรเราไม่ได้หรอก และพี่ก็ไม่เคยเห็นผีมาก่อน" บ่าวทำพูดเก่งไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลย

          บ่าวกล่าวออกมาดัง ๆ เขาไม่กลัวผีแล้ว และบ่าวคิดว่าเขาคิดกลัวไปเองและบางส่วนก็เพียงแค่ฝันเท่านั้น เขาลุกจากเตียงเดินออกมาจากห้องนอน แล้วรีบมองไปที่โต๊ะรับแขกทันที แล้วเขาก็ต้องตาค้างด้วยความตกตะลึง

          ที่โต๊ะรับแขกมีแก้วเหล้าสองใบหงายอยู่ มีเหล้าติดอยู่ก้นแก้วทั้งสองใบ ขวดที่เคยมีเหล้าอยู่เต็มตอนนี้ไม่มีเหล้าอยู่เลยกลายเป็นขวดเปล่า และที่พื้นโต๊ะรับแขกที่เป็นกระจก ก็มีรอยเปียกยาว เหมือนลิ้นนายมาร์คที่แลบออกมาปาดเหล้าที่หก แฟนของเขามองตาม และเธอก็พูดว่า

          "พี่บ่าว เมื่อคืนมีใครมากินเหล้าด้วยเหรอ ตอนที่หนูเข้ามาเอาลูกโป่งเก็บ ยังเห็นมีเหล้าเต็มขวด แก้วก็คว่ำอยู่เรียบร้อย หรือพี่มีแฟนใหม่?"

          บ่าวกำลังตกใจ และกำลังคิดถึงเรื่องราวในความฝัน เลยไม่ได้ตอบปฏิเสธ เธอโมโหก็เดินปึงปังออกจากห้องของเขาไปทันที นาทีนั้น บ่าวแทบจะวิ่งออกจากห้อง แล้วตามเธอกลับมา แต่เขาก้าวขาไม่ออก และจะตะโกนเรียกเธอเสียงก็ไม่ออก พลันเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหูว่า

          "เอ็งไม่กลัวข้า งั้นมากินเหล้ากัน?"  

          จบบริบูรณ์

          🔸🔸🔸

          เขียนโดย  #PippaSmile #พิปป้าสมายล์
          โพสต์ครั้งแรก เมื่อ 16 พฤษภาคม 2562

*ขอขอบคุณเจ้าของภาพประกอบเรื่อง




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2565   
Last Update : 21 สิงหาคม 2565 0:20:32 น.   
Counter : 142 Pageviews.  


1  2  

สมาชิกหมายเลข 7170671
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




รักการเขียน และ รักการอ่าน
อยากแบ่งปันความสุขทางผลงานเขียน
New Comments
[Add สมาชิกหมายเลข 7170671's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com