It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 

เรื่องสั้นแนวยูริ : กาลนาน บทที่ ๑

บทที่ ๑

แสงไฟฉายหลายดวงที่ส่องไฟมายังป้ายประกาศสอบเข้าโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดของรัฐบาลที่อยู่ในระดับมัธยมศึกษาแห่งเดียว มัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ที่ติดอยู่ข้างสนามบาสพร้อมกับเสียงอื้ออึงของเหล่าบรรดา เด็กและผู้ปกครองที่ลูกหลานสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งนี้

บางคนกระโดดดีใจเสียยิ่งกว่าถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนี่ง บางคนนั่งปลงกับผลสอบที่แม้จะมุดลงไปดูใต้บอร์ดประกาศ หรือหลังบอร์ดก็ยังไม่มีแม้ชื่อของตัวเอง หรือลูกหลาน

การสอบเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนชื่อดังของจังหวัดในแต่ละปี มักทำให้บรรดา เด็กและผู้ปกครองมากมาย มีความรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจไปพร้อมๆ กัน บางคนที่อยู่ในเขตการศึกษา หรือเขตของโรงเรียนก็ยังมีความหวังกับการจับฉลากที่จะเกิดขึ้นในอีก ๒ วัน ข้างหน้า

แต่สำหรับบางคนก็หวังว่า โรงเรียนแห่งนี้จะยอมรับผู้มีอุปการะคุณเพิ่มอีกสักรายเพื่อที่จะให้ลูกหลานของตนได้เข้าศึกษาในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง อย่างน้อยก็ไม่อายใคร

เด็กหญิงตัวผอมสูง ยืนมองป้ายแล้วน้ำตาคลอ เดินกลับมาหาแม่ที่อยู่หน้าโรงเรียนแล้วบอกว่า

“แม่ค่ะ หนูสอบไม่ผ่าน” พูดแล้วทำหน้าเศร้า

“ไม่เป็นไรลูก เรายังมีจับฉลากอีกหน ใจเย็นๆ นะค่ะ โอ๋ ไม่เอานะ อย่าร้องไห้” ผู้เป็นแม่ปลอบพร้อมกับกอดลูกอย่างรักใคร่

อีกด้านของฝั่งสนาม

“แม่ค่ะ หนูสอบติด ติด ๑ ใน ๑๐ ด้วย แม่จ๋าดีใจ ดีใจ” เด็กน้อยตัวเล็กวิ่งพร้อมกระโดดไปรอบๆ ผู้เป็นแม่อย่างสนุกสนาน

“ดีใจด้วยลูกแม่รู้ว่าหนูทำได้ แล้วเดี๋ยวแม่พาไปเที่ยวนะค่ะ จะได้หายเครียด” ผู้เป็นแม่ แสดงอาการตื่นเต้นไม่แพ้กัน

เด็กสองคนยืนมองหน้ากัน เด็กหญิงผอมสูง มองตามเด็กหญิงตัวเล็กแล้วน้ำตาไหลพราก เด็กหญิงตัวเล็กเดินมาหาแล้วพูดกับเด็กหญิงผอมสูงว่า

“ไม่เป็นไรนะตัวเอง เค้าเชื่อว่าตัวเองทำได้ เดี๋ยวไปจับฉลากตัวเองก็ได้ห้องเดียวกับเค้าเองแหละเชื่อสิ” เด็กหญิงตัวเล็กยื่นมือไปจับมือเด็กหญิงผอมสูงบีบ อย่างให้กำลังใจ

“เราจะพยายามจับฉลากให้ได้นะ เราต้องเรียนด้วยกันนะ” แล้วเด็กทั้งสองคนก็กอดกันร้องไห้ ท่ามกลางฝูงชนที่พากันมาดูผลสอบ

...........................................

สองวันหลังจากนั้นเด็กหญิงผอมสูงคนเดิม มาจับฉลากเพื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนเดิม ด้วยใจเต้นตึกตั๊ก และหวาดกลัวว่าจะไม่สามารถจับฉลากได้

บนเวที มีอาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรประกาศวิธีการรับสมัครของโรงเรียนด้วยวิธีจับฉลาก

“อะครับผู้ปกครองทุกท่าน เนื่องจากว่า จำนวนที่ว่างของเด็กในเขตของเรา นั้น มีเหลือมากกว่าจำนวนเด็กที่จะมาจับฉลาก ฉะนั้นทางโรงเรียนของเราจึงรับเด็กที่เหลือในเขตทั้งหมดที่ลงทะเบียนไว้ เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนของเราครับ”

“โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากจำนวนที่ว่างที่สามารถรับนักเรียนเข้าเรียนได้ในเขตของโรงเรียนเรา มีมากกว่านักเรียนในเขตที่ต้องการเข้าศึกษา ทางโรงเรียนของเราจึงรับเด็กที่เหลือในเขตทั้งหมดที่ลงทะเบียนไว้ เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนของเราครับ” สิ้นเสียงของพิธีกร ก็ตามด้วยเสีย

“เฮ” ลั่นบริเวณหอประชุมไปหมด ด้วยความดีใจ

“แม่บอกแล้วใช่ไหมลูก ว่าอย่าเสียใจ” มารดาของเด็กหญิงผอมสูงคนเดิมพูดขึ้น

“ค่ะแม่ หนูได้เรียนแล้วขอบคุณค่ะ แม่” เด็กหญิงผอมสูง กอดแม่ด้วยความดีใจและรักใคร่

“ผู้ปกครองทุกท่านโปรดฟังทางนี้นะครับ ผู้ปกครองท่านใดที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน เพื่อรับทราบ ขอความกรุณา นำบุตรหลานของท่านมาลงทะเบียนเพื่อรับทราบทางด้านหน้าของเวทีนี้ด้วยนะครับ” เสียงอาจารย์พิธกรก็ยังดำเนินการต่อไป

“โอ๊ย อย่าชนสิ ต่อแถวไม่ได้เหรอ อะไรกัน นี่ไม่เห็นเหรอว่าเรากับแม่ต่อแถวอยู่ก่อน” เสียงเด็กหญิงตัวจ้อย บอกอย่างเหลืออด

“ขอโทษ นะเรารีบ ขอโทษจริงๆ นะ” เด็กหญิงตัวผอมสูง เอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้แซงคิวอย่างน่าเกลียด แล้วก็เดินกลับไปต่อคิว ทางด้านหลัง

“ไม่ต้องรีบหรอกลูก เดี๋ยวก็เสร็จไม่นานหรอก คนแค่ไม่ถึง ๓๐๐ คน ไม่นานมาก อย่าไปรีบนักเลยนะ เค้าจะว่าเอา อีกอย่างนะ เราแซงเค้า เค้าก็ไม่พอใจเป็นธรรมดา” มารดาเด็กหญิงผอมสูงเอ่ยขึ้น

“ค่ะแม่” พูดพร้อมกับทำสีหน้าเศร้า แต่แววตานั้น เหมือนจะอาฆาตแค้นเด็กหญิงเล็กจิ๋วอยู่นั่นเอง

....................................

วันเปิดเรียนวันแรก จริงๆ ก็ไม่ถึงกับเป็นการเรียนอย่างแท้จริง ทางโรงเรียนบอกว่าจะต้องมีการปรับพื้นฐานของเด็กแต่ละคนให้เข้ากันได้เสียก่อน ถึงจะหาว่าเด็กคนไหนต้องอยู่ห้องอะไร เด็กหญิงผอมสูง เด็กหญิงตัวเล็ก และเด็กหญิงเล็กจิ๋ว ได้เข้ามาเรียนในห้องเดียวกัน เพื่อปรับพื้นฐานของเด็กให้เข้ากัน

“หวัดดี ตัวเอง” เด็กหญิงตัวเล็กทักเด็กหญิงผอมสูงขึ้นเมื่อเห็นเด็กหญิงผอมสูงเดินเข้ามาในห้องเรียน

“หวัดดี มาแต่เช้าเลยนะตอง ตัวเองไปเที่ยวมาสนุกไหม” เด็กหญิงผอมสูงทักกลับ

“ก็สนุกดี แต่น่าเสียดายที่ตัวเองไม่ได้ไปด้วย ไม่งั้นสนุกกว่านี้นะ นี่แนะ เรามีของฝากมาด้วย เป็นชุดสวยเชียว หวังว่าตัวเองคงชอบ” พร้อมกับหยิบชุดกระโปรงสีฟ้าลายหวานส่งให้

“โห่ นี่ตัวเอง ถ้าเค้าชอบกระโปรง นี่นะ ฟ้าคงผ่าพอดีหรอกนะ... แต่ก็นะ ก็ได้ เดี๋ยวเที่ยงนี่เราเลี้ยงไอติมแท่งนึงแล้วกัน แลกกับกระโปรงสวย” แล้วก็ส่งยิ้มหวานให้กับเด็กหญิงตัวเล็กอย่างจริงใจ

“เอ๊ย นี่โต๊ะตัวนั้นเราจองแล้วนะ” เสียงดังจากด้านหลัง เอ่ยขึ้นเมื่อเด็กหญิงตัวสูงกำลังจะนั่งลงตรงโต๊ะนักเรียนกลางห้อง

“อ้าวไม่รู้นี่ไม่มีใครติดป้ายไว้ อ่อ เธอนี่เอง นึกว่าใคร ยัยปากร้ายเอ๊ย นี่เธอจะตามรังควานฉันไปถึงไหนกันนี่” เด็กหญิงผอมสูงลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วหันหน้าไปหาเสียง

“อะ ก็ในโต๊ะนั่นงัยเปิดดูสิ มีกระเป๋าของฉันอยู่ในนั้น เธอไม่เห็นหรืองัย” พร้อมชี้ไปที่ลิ้นชักโต๊ะ ที่มีสายกระเป๋าสีน้ำตาลโผล่ออกมา

“อืม... เอาเป็นว่าเราขอโทษแล้วกัน ไม่รู้เป็นไรสิเจอยัยนี่ที่ไร มีแต่อารมณ์เสียทุกทีสิน่า”

“น่าใจเย็นนะตรีตัวนะใจร้อน เราย้ายที่นั่นกันก็ได้นะตรีไปนั่งด้านข้างก็ได้ โอเคไหม ตัวจะได้นั่งข้างหน้าต่างได้ด้วย มาไปกับเค้า เราไปนั่งด้วยกัน” เด็กหญิงตัวเล็ก บอก

เด็กหญิงตัวโตได้แต่เดินตามเด็กหญิงตัวเล็กไปอย่างว่าง่าย แต่ไม่วายหันไปอาฆาตแค้นกับเด็กหญิงตัวจ้อยอีกรอบ

“เชอะ” เสียงจากปากของเด็กหญิงตัวจ้อยดังขึ้น

ไม่ทันขาดคำของเด็กหญิงตัวจ้อย เด็กหญิงตัวผอมสูงก็ปรี่เข้ามาเพื่อหาเรื่องกับเด็กหญิงตัวจ้อยด้วยการคว้าคอเสื้อหมายจะทำร้าย

“หยุดนะตรี เค้าบอกให้หยุด ตัวนะผิดไปนั่งที่คนอื่นแล้วยังจะมาทำตัวแบบนี้อีกรึ!!!!” เสียงเด็กหญิงตัวน้อยปราม พร้อมกับมาลากแขนเด็กหญิงตัวโตให้ออกห่างจากเด็กหญิงตัวจ้อย

“เธอก็อีกคนนะปาย อย่าไปหาเรื่องตรีนักเลยนะเราขอร้อง” และหันกลับไปบอกเด็กหญิงตัวจ้อยเป็นการห้ามทับอีกระรอก ก่อนที่จะมีเรื่องไปมากกว่านี้

และเมื่อถึงเวลาใกล้เรียนเด็กๆ คนอื่นๆ ก็ทยอยกันมาเข้าห้องจนเต็ม ไม่มีใครสนใจอะไรอีกนอกจากแนะนำตัวเองว่าเป็นใครมาจากโรงเรียนไหน จนได้เวลาเข้าเรียน

.................

เด็กหญิงตัวผอมสูงเดินออกมาจากห้องหลังจากที่เธอและเพื่อนๆ ในห้องเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ตรีรอเราด้วย” เด็กหญิงตัวเล็กร้องตะโกนดังลั่น

“ทำไมต้องตามเรามาด้วยอั้ม”

“ก็เราอยากรู้นี่ว่าตรีจะไปไหน รอเรานิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้โด่เอ๊ย”

“อยากรู้ไปทำไมกัน เราก็จะกลับบ้านนะสิวันนี้อารมณ์เสียมาทั้งวันแล้ว” ตรีทิพย์เริ่มเบื่อเพราะตั้งแต่เช้าที่ทะเละกับยายจิ๋วคนนั้น เธอก็เซ็งจนไม่อยากจะทำอะไร

“อ๋อเหรอ งั้นเรากลับบ้านด้วยสิ วันนี้แม่ไม่ได้มารับเรา”

“เฮ้ย ไปทำไมกันอั้ม”

“น่านะ ก็แค่อยากไปเฉยๆ” อมรายังคงตามตื้อตรีทิพย์ไม่เลิกรา

ตรีทิพย์หรือตรี เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว เธอเรียนไม่ค่อยจะเก่งสักเท่าใดนัก เมื่อเทียบกับอมราเพื่อนซี้ที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน ทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จนใครๆ ก็ไม่คิดว่าเด็กสองคนนี้จะมาเป็นเพื่อนรักกันได้ บ้านของทั้งคู่อยู่ติดกัน ไปโรงเรียนก็ไปด้วยกัน

ตรีทิพย์เรียนได้ที่โหล่ ส่วนอมราเรียนได้ที่หนึ่งของห้อง

“อั้มสอบได้ที่เท่าไหร่” แม่ของตรีทิพย์ถามตรีทิพย์

“ที่หนึ่งแม่”

“แล้วเราล่ะได้ที่เท่าไหร่”

“ที่โหล่แม่”

“โหลูกฉันเรียนเก่งเหมือนกันนะนี่ได้ที่หนึ่งจากด้านหลังซะด้วยสิใครจะทำได้แบบลูกแม่ไม่มีอีกแล้ว ได้ที่โหล่หลายเทอมซ้อน” แม่ของตรีทิพย์จะพูดประโยคนี้ซ้ำๆ กันทุกครั้งที่ตรีทิพย์บอกผลการสอบของเธอ

ตรีทิพย์ตัวสูงโย่ง ส่วนอมราเพื่อนซี้นั้นตัวเล็กที่สุดในห้องยืนอยู่หน้าแถวตั้งแต่เด็กจนโต อมราสายตาสั้นมากๆ ทำให้เธอต้องสวมแว่นตาหนาเต๊อะ และต้องนั่งเรียนหน้าชั้นเพราะมองกระดานไม่เห็น แต่ตรีทิพย์เป็นเด็กหลังห้องไม่ชอบไม่สนใจเรื่องเรียนมากนัก

“ไงแม่ผู้หญิงแถวหน้า” ตรีทิพย์แซวอมราเพราะตั้งแต่เล็กจนโตอมราไม่เคยไปยืนที่ไหน หรือนั่งเรียนเกินแถวแรกของห้อง

“ทำไงได้ก็เรามันคนเก่งไง อยู่เป็นผู้หญิงแถวหน้าก็ยังดีกว่าแม่เด็กหลังห้องแบบตรีก็แล้วกัน”

“ก็ยังดีกว่าแม่เด็กแคระก็แล้วก้นโด่”

“ถึงแคระแต่ก็เรียนเก่งอะโด่”

“เก่งแต่แคระเอาไปทำอะไรได้โด่”

“ก็ยังดีกว่าคนทำการบ้านไม่ได้แล้ววิ่งมาขอลอกการบ้านเราแหละอะโด่”

“เช๊อะ” เด็กหญิงตัวผอมสูงสะบัดหน้าใส่เด็กหญิงตัวเล็กทั้นทีที่ได้ยินประโยคนั้น เพื่อนๆ ที่ไม่รู้ก็คิดว่าทั้งสองคนตั้งป้อมต่อสู้กันอีกครั้งแล้วสำหรับวันนี้

สองเพื่อนซี้แซวกันไปมา เมื่อดูจากภายนอกใครๆ ก็มักจะเห็นว่าเด็กสองคนนี้ทะเลาะกันเสมอๆ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นเพราะทั้งคู่มีความรักและผูกพันกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดังนั้นการพูดจาอะไรกันจึงไม่จำเป็นต้องถนอมน้ำใจกันมากนัก ด้วยความที่ซี้จนซี้ย่ำปึ๊ก ทำให้เด็กทั้งสองรักกันมากกว่าที่ใครๆ จะคิด

เมื่อก่อนนั้นสมัยยังเรียนชั้นประถมทุกวันเด็กสองคนจะขี่รถจักรยานสองคันคู่กันไปโรงเรียน อมราที่ตัวเล็กกว่าก็จะเหนื่อยเร็วกว่า ทำให้ระยะหลังๆ ตรีทิพย์ก็เลยต้องให้อมราซ้อนท้ายรถจักรยานคันโปรดของเธอไปโรงเรียนแทนเพื่อแลกกับการได้ลอกการบ้านของอมราทุกวัน ทุกวิชา

สองคนเพื่อนรักกลับมาถึงบ้านต่างก็แยกย้ายกันไปบ้านของตัวเอง ตรีทิพย์เข้าบ้านได้ก็อาบน้ำแต่งตัว เพราะการที่เธอนั้นต้องปั่นจักรยานกลับมาจากโรงเรียนทำให้เสื้อผ้าเนื้อตัวชุมโชกไปด้วยเหงื่อ ส่วนอมราเมื่อถึงบ้านก็เปิดกระเป๋าหยิบสมุดการบ้านในวิชาต่างๆ ขึ้นมาทำ กว่าจะเสร็จก็หกโมงเย็น

“อั้มกินข้าวได้แล้วลูก” เสียงแม่ของอมราเรียกมาจากหลังบ้าน

“ค่ะแม่” อมราเดินไปนั่งรอกินข้าวที่โต๊ะจนแม่จัดการกับอาหารมื้อเย็นเสร็จก็เดินมาสมทบกับอมราที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

บ้านของอมรามีเธอและแม่อยู่ด้วยกันสองคน พ่อของอมรานั้นเสียชีวิตเมื่อตอนออกลาดตระเวนและเหยียบถูกกับระเบิดตายในหน้าที่ไปเมื่อหลายปีก่อน ทำให้อมรกำพร้าพ่อมาตั้งแต่ยังเยาว์

“แล้วจะไปบ้านตรีอีกหรือเปล่าวันนี้”

“ไปสิคะแม่ไม่ไปตรีจะได้มาเข็กกะบาลอั้มเอาสิ”

“เราสองคนนี่นะ ทำเป็นเล่นๆ กันอยู่เรื่อยเชียว แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ตรีเค้าจะอ่านหนังสือเองทำอะไรเองบ้างล่ะลูก”

“ก็แม่ขาถ้าไม่มีอั้มตรีก็คงจะอยู่ไม่ได้แน่ๆ เลย ไหนจะเรื่องเรียนไหนจะเรื่องการบ้าน น่านะแม่ขาอีกเดี๋ยวอั้มก็กลับแล้วแค่เอาการบ้านไปให้ตรีเดี๋ยวเดียวเอง”

“อะงั้นรีบไปรีบกลับนะลูก”

“จ้าแม่” อมรารีบไปหยิบสมุดการบ้านทั้งหมดของเธอเอาไปให้ตรีทิพย์ที่นั่งรอลอกอย่างใจจดใจจ่อ อยู่ที่บ้านของตัวเอง

.................

“อะนี่การบ้านวันนี้ ลอกซะ” อมรายื่นสมุดการบ้านของเธอให้กับตรีทิพย์

“มาเร็วดีนี่ทำไมวันนี้ทำเร็วได้ล่ะอั้ม”

“มันมีนิดเดียวทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ รีบๆ ทำซะเราจะได้รีบกลับบ้าน”

ตรีทิพย์เปิดสมุดการบ้านของอมรากางออกและเริ่มลงมือลอก ต่าสักพักตรีทิพย์ก็บ่นอุบ

“เฮ้ยอั้ม ทำไมเขียนหวัดแบบนี้เล่าใครจะลอกรู้เรื่องลายมือแบบนี้ เดี๋ยวลอกไปผิดๆ ถูกๆ ก็ต้องเอากลับมาแก้ใหม่หรอกบอกี่หนแล้วว่าให้หัดเขียนให้สวยกว่านี้หน่อย ทำไม่เป็นหรือไง”

“นี่ยายตรีฉันอุตส่าห์รีบทำเอามาให้เธอลอกยังจะผิดอีกเหรอ คอยดูนะวันหลังจะให้ทำเองซะให้เข็ด ไม่ต้องล่งไม่ต้องลอกมันแล้ว เอามานี่เลย” อมราน้อยใจตรีทิพย์ที่ต่อว่าเรื่องลายมือของเธอ ก็ดึงสมุดการบ้านของตัวเองกลับ

“เฮ้ยพูดแค่นี้ทำเป็นน้อยใจไปได้ คนอาร้ายเรียนก็เก่งแต่ขี้ใจน้อยชามัด”

“เรื่องของฉัน” อมราปั้นปึ่งอยู่สักพัก ก็ยื่นการบ้านของเธอให้กับตรีเพชร

“อะเอาไปนี่เมื่อกี้แม่ถามว่าถ้าตรีไม่มีเราตรีจะทำการบ้านเองได้หรือเปล่า”

“เอ๊าพูดเหมือนว่าอั้มจะไปไหนอย่างนั้นแหละ”

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราก็อยากจะบอกให้ตรีทำการบ้านเองบ้าง เพราะถ้าเกิดว่าครูเค้าจะสอบขึ้นมาตรีจะลำบากนะ”

“ลำบากตรงไหนเล่า ตกก็ซ่อมแค่นั้นเอง”

“แต่ตรี เราจะบอกในฐานะเพื่อนนะ ตรีต้องตั้งใจเรียนกว่านี้หน่อย”

“พูดเป็นยายแก่ๆ ไปได้”

“เราพูดจริงๆ นะ ถ้าไม่มีเราตรีเองนั่นแหละจะลำบาก”

“เอาน่าไว้ถึงวันนั้นเราจะตั้งใจเรียนเองนั้นแหละอย่าบ่นนักเลย ว่าแต่ว่าเลขข้อนี้ นี่มันเลขห้าหรือเลขแปดล่ะอั้ม” ตรีทิพย์ตัดบทเพราะเธอไม่อยากฟังอมราบ่นเรื่องการตั้งใจเรียนของเธออีก แค่แม่ของเธอบ่นคนเดียวก็น่าเบื่อพอแล้ว อีกอย่างคนอย่างตรีทิพย์ จะให้เรียนเก่งหรือไม่เก่ง ทางบ้านของเธอก็ไม่เคยจะต่อว่าหรือบังคับเคี่ยวเข็นอะไร เรื่องที่เธอจะเรียนเก่งหรือไม่นั้นมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ

..............

ตรีทิพย์นอนกระสับกระส่าย เธอกำลังฝันร้ายถึงเรื่องเดิมๆ ที่เธอฝันมาตลอดระยะเวลาหลายปี ในฝันเธอวิ่งวนไปมาอยู่หน้าบ้านทรงไทยหลังหนึ่ง หาทางเข้าไปยังบ้านหลังนั้นไม่ได้สักครั้ง มีตัวอะไรก็ไม่รู้หน้าตาแปลกๆ วิ่งตามเธอมาจากทุกทิศทาง

ตรีทิพย์พยายามดิ้นรนเพื่อที่จะเปิดประตู้รั้วบ้าน และก็เหมือนเช่นเคยคือเปิดไม่ได้ และเมื่อถึงเวลาจวนตัวเธอก็ตกใจตื่นทุกครั้งไป

ตั้งแต่อมราจากไปด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลันในครั้งนั้น ตรีทิพย์ก็เหมือนกับอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด เธอต้องทำการบ้านเอง ต้องเรียนเอง ไปไหนมาไหนคนเดียวโดยที่ไม่มีอมราคอยตามเธอเป็นเงาตามตัว เมื่อไม่มีอมราแล้วแม่ของอมราก็ขายบ้านให้กับพ่อของเธอ จากนั้นก็สละทางโลกเพื่อเข้าสู่ทางธรรม

ตรีทิพย์เองก็เข้าใจแม่ของอมราที่ต้องมาเสียทั้งสามีและลูกที่เธอรักในเวลาไม่ห่างกันมากนัก ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนว่าอมราเป็นโรคหัวใจ อมราเคยมีอาการหอบเหนื่อยและบ่นเจ็บหน้าอก ตรีทิพย์เองก็ไม่เคยจะใส่ใจเพราะเธอเห็นเป็นเรื่องปกติที่อมราจะเหนื่อยง่าย

เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบอมราจึงเป็นภาระของตรีทิพย์ที่จะคอยดูแลมาตั้งแต่ตรีทิพย์ยังจำความได้ เพื่อแลกกับการลอกการบ้านของเธอเอง

ตรีทิพย์ไปเยี่ยมแม่ชีแม่ของอมราบ้างในบางครั้งที่เธอว่าง และก็ได้รับความสุขสงบกลับมาทุกครั้งเช่นกัน ตรีทิพย์ออกจากสำนักแม่ชีมายืนอยู่ที่ใต้ร่มของต้นไทร ที่ปล่อยรากอากาศให้รกรุงรังไปหมด ต้นไทรต้นใหญ่ต้นนี้เธอกับอมราเคยมาวิ่งเล่นกันเมื่อสมัยที่เธอทั้งสองคนยังเป็นเด็กเล็กๆ

“แน่จริงก็วิ่งให้ทันสิ” เด็กหญิงตัวผอมสูงวิ่งนำหน้าเด็กหญิงตัวเล็กและส่งเสียงดังไปทั่วลานต้นไทร

“ไม่ไหวแล้วเราเหนื่อยตรี” เด็กหญิงตัวเล็กหยุดวิ่งและกุมหน้าอกของตัวเองหอบหายใจแรงๆ

เด็กหญิงตัวผอมสูงรีบหันหลังกลับมาดูแลเด็กหญิงตัวเล็กทันที่ที่รู้ว่าเด็กหญิงตัวเล็กนั้นไม่สบายอีกแล้ว

“นี่แนะจับได้แล้ว” เด็กหญิงตัวเล็ก หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแถมยังยิ้มหน้าระรื่นราวกับว่าเธอนั้นเป็นผู้ชนะก็ไม่ปาน

“โห ขี้โกงนี่นาอั้ม เล่นแบบนี้ตกอกตกใจหมดนึกว่าเป็นหอบอีกแล้ว โธ่เอ๊ย ไม่เล่นแล้วเล่นกับคนขี้โกงแบบนี้เลิกดีกว่าเลิกๆ” เด็กหญิงตัวผอมสูงโวยวายขึ้นมาทันทีที่รู้ความจริงว่าเด็กหญิงตัวเล็กนั้นหลอกเธอ

“เค้าไม่ได้เรียกว่าขี้โกงสักหน่อยเค้าเรียกว่าคนมีปัญญาต่างหาก” เด็กหญิงตัวเล็กกอดอกท่าทางภูมิใจที่หลอกคนตัวโตกว่าได้อีกครั้ง

“ปัญญาแบบนี้เค้าเรียกว่าศรีธนนชัยย่ะยายอั้ม” เด็กหญิงตัวผอมสูงโวยวายอีกรอบ

“ใครบอกว่าศรีธนนชัย เค้าเรียกอิคคิวซังต่างหาก”

“เอาเถอะจะไงก็ชั่งเราเลิกเล่นแล้วปะกลับบ้านเธอเดี๋ยวแม่รอนาน” เด็กหญิงตัวผอมสูงยื่นมือของเธอมาฉุดรั้งให้เด็กหญิงตัวเล็กลุกจากพื้น

แต่ยังไม่ทันที่เด็กหญิงตัวเล็กจะลุกขึ้นมาได้ก็ต้องทรุดลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้ง ท่าทางกุมหน้าอกและปากซีดๆ นั้นทำเอาเด็กหญิงตัวโตใจหาย

“อย่างมาล้อเล่นอีกนะอั้มไม่สนุกนะ”

“ไม่ได้ล้อเล่นเราเจ็บจริงๆ” เด็กหญิงตัวเล็กบอกกับเด็กหญิงผอมสูง

“จริงเหรอ” เด็กหญิงผอมสูงลงไปนั่งจับแขนจับขาของเด็กหญิงตัวเล็กบีบนวด

“พาเรากลับบ้านเถอะตรีเราไหวแล้ว”

“งั้นขี่หลังเรากลับบ้านนะ” เด็กหญิงตัวผอมสูงแบกร่างของเด็กหญิงตัวเล็กไว้ที่ด้านหลังของตัวเอง ปากก็พร่ำพูดไปตลอดทาง

“ทำใจดีๆ ไว้นะอั้ม เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว” ตรีทิพย์วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เสียงลมหายใจของอมราค่อยๆ ผ่อนเบาลงทุกที ทุกย่างก้าวของตรีทิพย์จากวัดกลับบ้าน แม้มันจะไม่ไกลนักแต่ดูเหมือนว่าวันนี้มันจะไกลแสนไกล

ตรีทิพย์ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยวิ่งหน้าตั้งพร้อมกับนำร่างของอมรากลับไปถึงบ้าน เมื่อไปถึงแม่ของอมราก็รีบนำอมราที่สลบไสลไม่ได้สติขึ้นรถไปโรงพยาบาลทันที

ตรีทิพย์ไม่รู้เลยว่านั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้วิ่งเล่นกับเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ ที่ชื่ออมรา

.............

ในงานศพของอมราตรีทิพย์นั่งซึมอยู่ที่เก้าอี้ของแขกที่มาร่วมงาน เธอเห็นเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องนั่งฟังสวดไปก็หัวร่อต่อกระซิกกันไปโดยไม่ใส่ใจที่จะฟังพระสวดด้วยซ้ำไป แต่ตัวของตรีทิพย์เองนั้นเธอกลับนั่งร้องไห้ เมื่อเสียงพระสวดจบ ตรีทิพย์ที่ทนไม่ได้ก็ลุกขึ้นโววายลั่นศาลาไปหมด

“ถ้าไม่อยากมางานศพของอั้มพวกเธอก็ไม่ต้องมา ถ้ามาแล้วมานั่งยิ้มนั่งหัวเราะกันแบบนี้ก็ไม่ต้องมา พวกเธอไม่รู้หรอกว่าคนที่เค้าสูญเสียคนที่เค้ารักไปนั้นมันเสียใจแค่ไหน ถ้าพวกเธออยากจะไปพูดเล่นหัวเราะหรือจะไปทำอะไรก็โน่น” ตรีทิพย์ชี้ออกไปนอกศาลา

“เชิญออกไปทางโน้น ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกแบบเธอ” เมื่อไม่มีใครขยับ ตรีทิพย์ก็ยังตะโกนออกมาอีกว่า

“ออกไป บอกให้ออกไปไม่ได้ยินหรือไง” ตรีทิพย์ตะโกนทั้งน้ำตา

การกระทำดังกล่าวของตรีทิพย์ทำให้แม่ของอมราและแม่ของตรีทิพย์ต้องรีบออกมาขอโทษขอโพยคนอื่นๆ ที่นั่งฟังพระสวดอยู่ในศาลานั้นยกใหญ่

“ขอโทษด้วยนะคะยายตรีลูกของฉันคงเสียใจมากไปที่เพื่อนของเค้าต้องมาตายไป ขอโทษด้วยจริงๆ คะ”

“แม่ไปขอโทษพวกมันทำไม มันไม่ได้ตั้งใจมางานศพของอั้มหรอกแม่ มันมาเอาหน้ากันแค่นั้นเอง” ตรีทิพย์โววาย

“ยายตรีหยุดเดี๋ยวนี้นะ” แม่ของตรีทิพย์ตะหวาดลูกสาวของตัวเองลั่นศาลาเช่นกัน

“ตรีออกไปสงบสติข้างนอกก่อนเธอลูก” แม่ของอมราเดินมาตบไหล่ของตรีทิพย์และแนะนะให้ตรีทิพย์เดินออกจากศาลาไป

เมื่อตรีทิพย์ออกมายืนที่นอกศาลาแล้ว เธอก็แหงนมองพระจันทร์ข้างแรมในคืนนั้น ปากก็พูดบ่นเรื่อยเปื่ย

“อั้มเธออยู่ไหนรู้ไหมว่าเราเหงาแค่ไหนที่ไม่มีเธอ”

พระจันทร์ค่อยๆ เคลื่อนไปที่ละเล็กละน้อย จิตใจของเด็กหญิงตัวผอมสูงยังหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

..............

จิตราตัดสินใจขายบ้านของเธอให้กับศรุตพ่อของตรีทิพย์ เธอตัดสินใจที่จะออกบวชเพื่อสงบจิตใจของตัวเอง ตั้งแต่เสียสามีไปเธอมีเพียงอมราลูกรักของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ และเมื่อเธอต้องสูญเสียลูกสาวไปอีกคน ชีวิตของเธอนั้นก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร

การเดินทางเข้าสู่ทางธรรมขอเธอ ทำให้ศรุตตัดสินใจที่จะรับซื้อบ้านของจิตราเอาไว้ หากสักวันที่จิตราอยากเดินออกจากทางธรรมและอยากจะได้บ้านกลับคืนเขาก็จะขายคืนให้ในราคาเดิม

ศรุตไม่ได้เปลี่ยนแปลงบ้านนั้น เพราะความคิดเดิมที่ว่าจะขายคืนเมื่อจิตรามาขอซื้อ ดังนั้นข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างยังอยู่ครบ ยกเว้นก็แต่เสื้อผ้าของจิตราที่เธอนั้นเอาไปบริจาคให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมเมื่อครั้งก่อน

“พ่อคะตรีขอย้ายไปอยู่บ้านของอั้มได้หรือเปล่า” ตรีทิพย์เดินเข้ามาปรึกษาพ่อของเธอ

“ได้สิแต่เราจะกลัวผีหรือเปล่าให้พี่อ้อยไปอยู่เป็นเพื่อนเอาไหม”

“อย่าดีกว่าพ่อพี่อ้อยกลัวผียิ่งกว่าอะไรซะอีกขืนเอาไปอยู่ด้วยมีหวังพี่อ้อยทำตรีปวดประสาทแน่ๆ เลย”

“ก็ได้ ถ้าลูกคิดว่าอยู่ได้ ไงซะก็ทำความสะอาดบ้านบ้างนะลูก ถ้าวันไหนคุณจิตราเธอจะกลับมาอยู่ที่บ้านจะได้ไม่โทรมากเกินไป”

“ค่ะพ่อ” ตรีทิพย์รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ เธออยากไปอยู่ใกล้ชิดกับอมราเพื่อนที่แสนดีของเธอ

ตรีทิพย์นั่งลงบนเตียงเล็กๆ ที่เคยเป็นที่นอนของอมรามองรูปถ่ายของอมรากับพ่อและแม่ และที่วางอยู่คู่กันก็คือรูปถ่ายของตรีทิพย์และอมราเมื่อครั้งเข้าโรงเรียนใหม่ๆ

“ตรีมาถ่ายรูปคู่กันหน่อยสิ” อมราเรียกตรีทิพย์ที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อต้องมาถ่ายรูปคู่กับอมรา

เมื่อตั้งท่าได้ เพื่อนก็กดชัตเตอร์ให้ อมรามีรอยยิ้มและยืนเกาะแขนของตรีทิพย์แน่นราวกับกลัวว่าตรีทิพย์จะหนีหายไปไหน ส่วนตรีทิพย์นั้นทำหน้าเซ็งๆ แถมยังไม่มองกล้องผินหน้าไปทางอื่นอีกต่างหาก

ตรีทพย์หยิบรูปนั้นขึ้นมาดูจ้องมองไปที่รูปของอมราและยิ้มกับรูปนั้น

“สู่สุคติเถอะเพื่อนรัก เรามาอยู่เป็นเพื่อนเธอ ถ้าอั้มยังอยู่ขอให้รู้ด้วยว่าเรารักอั้มนะเพื่อน”

ตรีทิพย์ข่มตาหลับลงอย่างยากเย็น กลิ่นของอมรายังอบอวลไปทั้งห้อง เมื่อไม่มีอมราตรีทิพย์จะอยู่ได้อย่างไร ตลอดชีวิตของตรีทิพย์ตั้งแต่เด็กจนโตมาป่านนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่มีอมราเป็นเงาตามตัว เมื่อไม่มีอมราดูเหมือนว่าชีวิตของตรีทิพย์จะขาดหายอะไรไปสักอย่าง

เหมือนปาท่องโก๋ข้างเดียว ไร้คู่คิดคู่ใจ และเพื่อนเล่น ในฝันของตรีทิพย์ตั้งแต่วันนั้นมาก็วนเวียแต่เรื่องบ้านทรงไทยหลังเก่าที่ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ และคืนนี้ก็เช่นกัน ตรีทิพย์ในวัยสาวเริ่มทำงานก็ยังคงฝันซ้ำซากกับเรื่องบ้านทรงไทยหลังเดิมเหมือนเช่นเคย

... จบบทที่ ๑ ...




 

Create Date : 01 กันยายน 2551    
Last Update : 1 กันยายน 2551 13:16:46 น.
Counter : 332 Pageviews.  

1  2  3  

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.