It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้่นแนวนูริ : ดำเนินทราย บทที่ ๑๐

บทที่ ๑๐ เงามืด

ใบเงินยืนเหม่ออยู่ที่ลานหน้าโรงเรียนเธอครุ่นคิดถึงเรื่องที่ตัวเองได้พบกับพระนางตามะแนเจ้าเหนือหัวแห่งเมืองตามะแนปุระ เธอไม่รู้ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร เพราะนั่นคือจุดพลิกผันของชีวิตใบเงินที่ต้องเปลี่ยนไปแบบไม่มีวันย้อนกลับคืนมาได้

เธอพึ่งจะพบกับน้องคนสุดท้องที่ตัวเองคิดว่าได้จากโลกนี้ไปแล้ว เธอรักและอยากจะอยู่ใกล้น้อง แต่เมื่อรู้ความจริงสิ่งที่ใบเงินล่วงรู้เธอเองก็ไม่สามารถบอกกับใครได้อีกว่ากิ่งเพชรไม่ใช่น้องแท้ๆ ของเธอเอง แต่กลับเป็นลูกของพรานมากกับพระพี่เลี้ยงแสงดาว

สิ่งที่เธอต้องตรึกตรองเป็นอย่างดีก็คือเธอไม่ใช่พระนางตามะแนผู้เก่งกล้า เธอเป็นเพียงเศษเนื้อที่พระองค์ทรงแบ่งให้ออกมาจากตัวตน เธอเป็นเพียงธุลีขององค์ตามะแนเท่านั้นเธอไม่มีคาถาหรืออาคมอะไรที่จะทำให้เมืองลับแลอย่างเมืองตามะแนปุระอยู่ต่อไปในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ได้

แล้วเธอจะมีใครให้พึ่งพา แล้วเธอจะมีคนรู้ใจหรือใครจะช่วยเธอ คนในเมืองอาจจะเกรงกลัวเธอเหมือนที่เกรงกลัวพระนางตามะแน แต่จะเชื่อได้อย่างไรเล่าว่าคนเหล่านั้นจะเกรงกลัวต่อไปในภายภาคหน้า เพราะเลือดเนื้อของเธออีกครึ่งหนึ่งก็คือมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

จากข่าวในวิทยุประกาศว่าวันนี้เวลาประมาณก่อนเที่ยงจะเกิดสุริยุปราคา ใบเงินให้เด็กๆ หากระจกใสมาลนไฟและรอเวลาการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงและสอนเด็กๆ ไปด้วย เด็กๆ ทุกคนตื่นเต้นที่จะได้เห็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เห็นบ่อยครั้งนัก ยิ่งสุริยุปราคาเต็มดวงด้วยแล้ว จะเกิดแต่ละครั้งก็คงจะชั่วชีวิตของคนๆ หนึ่งเลยทีเดียว

ผู้ใหญ่อาเค่อจัดพิธีบวงสรวงพระราหูด้วยของดำเก้าอย่างเพื่อเป็นสิริมงคลกับหมู่บ้าน ดังนั้นตั้งแต่เช้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างวุ่นวายกันไปหมด เพราะต้องเตรียมอุปกรณ์ เด็กเตรียมกระจกดำรมควัน ผู้ใหญ่เตรียมของเซ่นไหว้

ส่วนครูอย่างใบเงินเตรียมตัวสอนหนังสือเด็กๆ และสอนให้รู้ว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านั้นมันเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกปี แล้วแต่ว่าจะเกิดขึ้นช่วงเวลาไหน นานเท่าไหร่ เห็นได้เต็มดวงหรือบางส่วนก็เท่านั้นเอง

เธอเองก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ในใจเพราะเธอต้องสอนเด็กๆ ว่าเหตุการณ์นั้นเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่สิ่งที่เธอได้รับรู้จากองค์ตามะแนมันคือลางบอกเหตุ ลางที่จะบอกว่าเวลาแห่งการสับเปลี่ยนผู้ปกป้องนครตามะแนปุระได้มาถึงแล้ว

ก้านแก้วพาคณะของศาสตราจารย์ที่สอนเกี่ยวกับดาราศาสตร์มายังดอยเดียวดายและให้คณะนั้นมาพักที่โรงเรียนที่ใบเงินสอนอยู่เพราะบนดอยแห่งนี้ไม่มีวัดหรือไม่มีสถานที่ให้คนกลุ่มนั้นได้พักแรมนอนค้าง คงจะมีก็แต่โรงเรียนที่มีสถานที่ใหญ่และกว้างขวางพอให้คนกลุ่มใหญ่ได้พักอาศัย และคนกลุ่มนี้ก็ได้ช่วยใบเงินสอนเด็กๆ เกี่ยวกับเรื่องสุริยะจักรวาลและการเกิดสุริยุปราคา

ใกล้เวลาที่จะเกิดเงาของดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์แล้ว เด็กๆ และพวกนักดาราศาสตร์ก็เตรียมพร้อมกันที่ลานหน้าเสาธงกันพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อเงาเข้าทาบทับดวงอาทิตย์เสียงเด็กๆ ฮือฮากันใหญ่

“บังแล้ว บังแล้ว”

“อย่าจ้องมองไปที่ดวงอาทิตย์นะเด็กๆ ตาจะบอดให้ดูผ่านกระจกรมควันนะ” เสียงก้านแก้วตะโกนบอกเด็กๆ ให้ทำตามคำสั่งของเธอ และเด็กๆ ก็เชื่อฟังทำตามที่ก้านแก้วบอกกันทุกคน

เงาค่อยๆ ทาบทับไปเรื่อยๆ แสงแดดอ่อนแสงลงทุกทีจนดูเหมือนกับว่าเป็นเวลาใกล้ค่ำ นกกาบินกลับรังเป็นฝูงใหญ่ เมื่อเงานั้นบังพระอาทิตย์จนมิด เกิดแสงออร่าสว่างไสว เสียงของก้านแก้วก็สั่งว่า

“เอากระจกลงแล้วมองไปให้เต็มตาเด็กๆ ดูว่ามันสวยมากแค่ไหน”

เด็กๆ ทุกคนทำตามคำบอกของก้านแก้วอย่างว่าง่าย แสงสว่างเรืองรองนั้นสะกดให้ทุกคนอยู่ในความเงียบไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ ใบเงินเห็นใบหน้าขององค์ตามะแนลอยอยู่ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่บดบังแสงนั้นเหมือนๆ กับจะยิ้มให้กับเธอ

ใบเงินยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพภาพที่เธอได้เห็น องค์ตามะแนส่งยิ้มอันอบอุ่นให้กับใบเงินและใบเงินเองก็เช่นกัน

“อีกเพียงสิบห้าราตรีเท่านั้นลูกรัก เพียงสิบห้าราตรี” เมื่อสิ้นพระสุรเสียงราหูที่อมดวงอาทิตย์ไว้ก็เริ่มเคลื่อนออก เกิดเป็นแสงสว่างวาบขึ้นมาจนแสบตา

“ยกกระจกขึ้นมาเร็วๆ เด็กๆ เดี๋ยวตาบอด” เป็นเสียงของก้านแก้วอีกเช่นเคยที่ส่งเสียงสั่งเด็กที่ยืนนิ่งราวกับถูกมนต์สะกดของราหูสะกดไว้ เด็กบางคนทำตามบางคนยืนนิ่ง

“เร็วเข้ายกขึ้นมา” ก้านแก้วกระทุ้งสั่งด้วยเสียงอีกครั้ง เด็กๆ รอดูจนราหูผ่านไปและทุกคนก็แยกย้ายกันไปกินข้าวเที่ยงเพราะได้เลยเวลาพักเที่ยงมานานแล้ว

“สวยจังเลยนะพี่ใบ” ก้านแก้วเดินมายกปิ่นโตออกจากเถาและวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะม้านั่งยาวๆ ที่ใช้สำหรับให้เด็กๆ ได้เรียนหนังสือ

“อืมสวยมากเลยก้านสุริยุปราคาครั้งนี้” ใบเงินบอกกับก้านแก้วที่กำลังจะนั่งลงกินข้าวมื้อเที่ยงกับเธอ

“นั่นสิพี่นานๆ จะได้เห็นอะไรแบบนี้สักที ก้านไม่เคยเห็นเลยนะพี่ใบ ไม่เคยสนใจจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าในตอนกลางวันด้วยซ้ำไป นี่ถ้าทางพวกนักดาราศาสตร์ไม่ได้ติดต่อไปทางกรมนะพี่ ก้านไม่มีทางรู้หรอกว่ามันจะเกิดสุริยุปราคาที่สวยแบบนี้ในบ้านเราแถมบนดอยของเรายังเห็นได้นานกว่าที่อื่นอีกด้วย” ก้านแก้วตักข้าวเข้าปากเมื่อเธอพูดจบ

“นั่นสิพี่ก็เหมือนกัน” ใบเงินไม่อยากจะพูดอะไรมากได้แต่เออออไปกับก้านแก้วที่กินข้าวเคี้ยวตุ้ยๆ เต็มปากเต็มคำ

สักพักผู้นำของกลุ่มนักดาราศาสตร์ก็เดินเข้ามาสมทบ เมื่อพวกเขาเก็บเครื่องมือที่ใช้ดูดาวและถ่ายภาพเรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณนะครับผู้หมวดที่ให้ความกรุณา” ศาสตราจารย์ดำเกิงเอ่ยกับก้านแก้ว

“ยินดีค่ะท่าน ก้านซะอีกสิคะที่ต้องขอบพระคุณท่านมากๆ ที่พาก้านมาเห็นอะไรสวยๆ แบบนี้ ก้านไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ นะคะท่านมันสวยเหลือเกิน” ก้านแก้วยกมือไหว้ขอบคุณศาสตราจารย์ดำเกิงด้วยความจริงใจ

“นี่ถ้าอยากเห็นอะไรสวยๆ แบบนี้อีก ผมจะมาอีกรอบอีกสิบห้าวันมาด้วยกันอีกไหมครับ”

“โหท่านขามันจะเกิดสุริยุปราคาพร้อมๆ สองหนเลยหรือคะ” ก้านแก้วชักสนใจ

“ไม่ใช่ครับจันทรุปราคาต่างหาก แต่คราวนี้จะสวยกว่าวันไหนๆ เพราะว่าดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกเราไม่ไกลมากนักมันจะสวยจนบอกไม่ถูกเลยล่ะคุณ”

“อ๋อค่ะ งั้นก้านจะมากับท่านอีกรอบ อิอิไหนๆ ก้านก็มีที่พักมีข้าวฟรีทาน ได้อู้งานแถมยังได้ดูอะไรสวยๆ อีกด้วยรับรองงานนี้ไม่พลาดแน่ๆ แต่ท่านก็อย่าลืมทำหนังสือมาขอตัวก้านนะคะ ก้านจะได้ติดสอยห้อยตามท่านมาอีกหนอิอิ” ก้านแก้วรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะแถมติดปลายนวมขอให้ศาสตราจารย์ดำเกิงขอตัวเธอมาช่วยงานครั้งนี้อีกด้วย

“แน่นอนผู้หมวดผมขอตัวผู้หมวดมาแน่ๆ เพราะทีมงานผมชอบผู้หมวดกันทุกคน ไม่เชื่อลองไปถามเจ้าสิทธิ์ดูสิดูเหมือนว่าเจ้าหมอนั่นมันจะชอบดูผู้หมวดก้านมากกว่าดูดาวไปแล้ว” ดำเกิงแอบแซวก้านแก้วเพราะเขารู้ดีว่าลูกศิษย์ของตัวเองแอบปลื้มก้านแก้วอยู่เหมือนกัน

ก้านแก้วพูดอะไรไม่ถูกเพราะเธอกำลังเขินอายกับคำพูดของศาสตราจารย์ดำเกิงจนหน้าแดงไปหมด

“งั้นเดี๋ยววันนี้พวกผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับเดี๋ยวลงไปไม่ทันมืดขับรถตอนนั้นมันอันตรายคนขับไม่คุ้นทางด้วยสิ”

“ค่ะท่านก้านไม่ไปส่งนะคะท่านเดินทางปลอดภัยค่ะท่าน”

“แล้วพบกันผู้หมวดก้านแก้ว ขอบคุณนะครับครูใบเงินที่กรุณาให้ที่พักพวกผมแล้วอีกสิบห้าวันพบกันครับ”

“ค่ะท่านเดินทางด้วยความปลอดภัยคะท่าน”

ศาสตราจารย์ดำเกิงเดินทางกลับไปเรียบร้อยแล้ว ก้านแก้วขอตัวกลับไปบ้านก่อนเพราะไม่อยากรอใบเงินที่ต้องสอนหนังสือเด็กๆ ต่อ

...................

หลังเลิกสอนใบเงินเดินไปที่บ้านของผู้ใหญ่อาเค่อ เธอต้องการใครสักคนที่คอยเป็นที่ปรึกษาให้กับตัวเธอในเรื่องที่เธอต้องการที่พึ่งคอยให้คำแนะนำเธอมากที่สุด และตอนนี้เธอไม่เห็นใครที่จะเป็นที่พึ่งให้กับเธอได้นอกจากผู้ใหญ่อาเค่อ หมอผีประจำหมู่บ้านที่ผู้คนเคารพนับถือมากที่สุด

เมื่อไปถึงใบเงินก็ต้องแปลกใจเมื่อได้พบกับพระสองรูป นั่นคือพระสังคมและพระเย็นอยู่ที่หน้าบ้านของผู้ใหญ่อาเค่อด้วย

“นมัสการค่ะหลวงพ่อหลวงพี่”

“เจริญพรโยม”

“หลวงพ่อสบายดีไหมคะ ตั้งแต่เจอกันคราวนั้นใบก็ไม่พบหลวงพ่ออีกเลย”

“อาตมาสบายดีโยมสบายตามอัตภาพของบรรพชิต”

“ใบมีเรื่องไม่สบายใจค่ะหลวงพ่อ”

“อาตมารู้แล้วโยม”

“หลวงพ่อคะ ถ้าหากว่าใบไม่ทำตามที่หลวงพ่อสัญญาเอาไว้ใบจะผิดไหมคะ”

“ไม่ผิดหรอกโยมอาตมาไม่สามารถที่จะลิขิตชีวิตคนได้ เรื่องมันก็ล่วงเลยมานานแล้วอาตมาเองก็ได้แต่สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้กับโยมและเจ้ากรรมนายเวรของโยมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สิ่งที่อาตมาทำไปและตอบตกลงไปนั้นพรหมได้ลิขิตเอาไว้แล้วว่าเรื่องทั้งหมดจะต้องเกิดเพราะชีวิตของโยมกำหนดมาอย่างนั้น”

“ใบเข้าใจค่ะหลวงพ่อแต่ใบก็ทุกข์เหลือเกินแล้ว ทุกวันนี้ใบยังคิดไม่ตกเลยคะหลวงพ่อว่าชีวิตของใบมันจะเป็นแบบไหน”

“ปล่อยไปตามครรลองของชีวิตเถอะโยมอย่าไปคิดอะไรมากนัก เกิดแก่เจ็บตายล้วนอนิจจังหากโยมไม่สบายใจมานั่งสมาธิกับอาตมาไหมโยม จิตใจจะได้สงบมากขึ้น”

“ได้หรือคะท่าน”

“ได้สิโยมถ้าโยมตั้งใจที่จะทำ”

“ต้องนุ่งขาวห่มขาวหรือเปล่าคะท่าน”

“ไม่จำเป็นหรอกโยมอยู่ที่ใจของโยมเท่านั้น เสื้อผ้ามันเป็นเพียงเครื่องนุ่งห่มหากใจเราไม่ขาวต่อให้เสื้อผ้าขาวแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของเราสะอาดขึ้น ถ้าโยมสนใจที่จะนั่งสมาธิโยมตามไปพบอาตมาได้ที่ชายป่าก่อนถึงหน้าผาก็แล้วกันนะโยม”

“ค่ะหลวงพ่อ”

……………

ใบเงินกลับไปที่บ้านและบอกกับก้านแก้วว่าเธอจะไปนั่งสมาธิกับหลวงพ่อสังคม ก้าวแก้วถึงกับนั่งอ้าปากค้างเพราะเธอไม่เคยคิดว่าพี่สาวของเธอนั้นจะเข้าใจธรรมะหรืออยากจะไปนั่งสมาธิแบบนี้มาก่อน

“งั้นก้านเฝ้าบ้านให้พี่ใบแล้วกัน ก้านไม่เอาดีกว่าเรื่องแบบนี้ ก้านคนทนนั่งได้ไม่นานหรอกพี่ใบ” ก้านแก้วปฏิเสธที่จะไปกับใบเงินเมื่อใบเงินถามว่าจะไปด้วยกันหรือเปล่า

“ว่าแต่พี่ใบเถอะจะไปนั่งได้ยังไงในเมื่อไม่มีอะไรเลย น้ำค้างแรงออกเอางี้เดี๋ยวก้านไปทำที่ให้พี่ใบดีกว่ายุงก็เยอะแมลงก็เยอะนั่งสมาธิตากน้ำค้างจะไม่สบายไปเปล่าๆ พอดีก้านมีเต็นท์สำหรับนอนคนเดียวติดมาด้วยก้านไปกางให้พี่ใบก่อนก็แล้วกัน”

“ขอบใจนะก้านที่เป็นธุระให้พี่”

“เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ พี่ใบถ้าก้านไม่ทำให้พี่แล้วใครจะทำให้ล่ะพี่สาวคนสวย”

“อะจ้าน้องสาวสุดที่รัก”

.........

ก้านแก้วจัดการกางเต็นท์ให้กับใบเงินเสร็จเรียบร้อย เต็นท์ของใบเงินอยู่ไม่ไกลจากกรดของพระสังคมและพระเย็นมากนัก เพราะก้านแก้วกลัวว่าใบเงินจะกลัวผีแบบเดียวกับที่เธอกลัว ก็เลยกางเต็นท์ไม่ไกลจากที่พระทั้งสองรูปมากนัก แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ดีที่พระและสีกาจะอยู่ใกล้กันแต่จะแปลกอะไรก็ในเมื่อพระและสีกาคนนี้เคยเป็นพ่อลูกและมีเชื้อสายสืบต่อกันมาก่อนที่พระจะสละทางโลกไปบวช

“ก้านไปก่อนนะพี่ใบ” ก้านแก้วจัดการธุระให้ใบเงินเรียบร้อยแล้วก็เดินจากไปเพราะเธอเห็นว่าค่อนข้างดึกแล้ว จะมานั่งตากยุงตากน้ำค้างกับใบเงินก็ใช่ที่ เพราะวันรุ่งขึ้นเธอเองก็ต้องออกพื้นที่ทำงาน

ส่วนใบเงินก็เดินกลับไปหาพระสังคมที่นั่งสมาธิอยู่ในกรด เธอรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระสังคม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดีของเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย

“โยมพร้อมแล้วหรือยัง”

“พร้อมแล้วค่ะท่าน”

“กลับไปที่พักของโยมแล้วนั่งในท่าที่คิดว่าโยมสบายใจที่สุด ภาวนาในใจง่ายๆ หายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ คืนนี้เอาแค่นี้ก่อน ถ้าเหนื่อยเมื่อยล้าก็นอนพักเถอะไม่ต้องโหมอดทนมันจะทรมานเปล่าๆ”

“ค่ะหลวงพ่อ”

ใบเงินกลับมานั่งหัดทำสมาธิที่เต็นท์ของเธอ ด้วยการกำหนดลมหายใจแบบที่หลวงพ่อสังคมได้บอกกล่าวกับเธอ แรกๆ ใบเงินก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นเหน็บชาไปทั้งสองขา แต่พอนั่งไปเรื่อยๆ ใบเงินกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด

จนใกล้เวลารุ่งสางใบเงินเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์ของพระสองรูป เธอจึงลืมตาขึ้นและกลับไปทำกับข้าวมาถวายพระทั้งสองรูปเพื่อนถวายเป็นภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุทั้งสองรูป

ก้านแก้วตื่นขึ้นมาก็เห็นใบเงินทำกับข้าวใส่ปิ่นโตไว้เรียบร้อยแล้ว

“พี่ใบจะเอากับข้าวพวกนี้ไปไหน”

“พี่จะเอาไปถวายหลวงพ่อ”

“อ๋อ ดีจังเลยพี่ใบ ก้านไปด้วยสิพี่ใบ”

“ไปสิรีบๆ อาบน้ำแต่งตัวเร็วๆ เข้าด้วยเดี๋ยวจะเลยเวลาฉันท์เช้า”

ก้านแก้วและใบเงินถวายภัตตาหารเช้าเรียบร้อยก็กลับไปทำงานของตัวเองระหว่างทางเดินกลับบ้านสองพี่น้องคุยกันมาตลอดทาง

“ก้านรู้สึกสบายใจไงไม่รู้พี่ใบมันบอกไม่ถูก”

“ทำไมเหรอ”

“ก็ก้านได้ถวายเช้าให้หลวงพ่อ แล้วก็ได้อยู่กับพี่ใบ มันเหมือนกับว่าครอบครัวของเรากลับมาอีกครั้งไงไม่รู้”

“พลวงพ่อท่านจะกลับมาอยู่กับเราได้ไงก้าน ท่านเดินทางธรรมเราเดินทางโลก มันต่างกันตั้งเยอะ”

“ไม่รู้สิพี่ใบ ก้านว่ามันดูดีออก แม้ว่าหลวงพ่อท่านจะไม่ได้มาเดินทางเดียวกับเราแต่ก้านก็อุ่นใจที่มีหลวงพ่ออยู่ใกล้ๆ พวกเราไม่เหมือนเมื่อก่อนก้านเหงาๆ ไงไม่รู้สิ มันเหมือนอะไรมันขาดๆ หายๆ ไปจากชีวิต ตั้งแต่ตอนกิ่งตกลงไปจากผา แล้วแม่ก็ต้องมาตายจากเราไป แถมหลวงพ่อก็ยังจะบวชไม่สึก พี่ใบรู้ไหมว่าก้านเหงาแค่ไหน” ก้านแก้วมีสีหน้าสลดลงได้สักพักก็ปรับเปลี่ยนสีหน้าของตัวเอง

“แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้วนะพี่ใบ ตอนนี้ก้านมีทั้งพี่ใบ มีทั้งหลวงพ่อ แถมข่าวดีก็คือกิ่งยังไม่ตายมันสุดยอดของความสุขแล้วนะพี่ใบ”

“แล้วถ้าเกิดพี่ไม่ได้อยู่กับก้านอีกตลอดทั้งชีวิต ไม่ใช่หมายถึงว่าพี่ตายนะ แต่หมายถึงพี่ย้ายไปอยู่ที่อื่นที่ไหนสักแห่งไกลแสนไกลก้านจะเหงาไหม”

“โหพี่ใบอย่าบอกนะว่าพอน้องมาพี่ก็จะตามน้องไปอยู่อเมริกาแล้วทิ้งก้านไว้คนเดียว”

“ไม่หรอกพี่แค่ถามดูเฉยๆ น่ะ”

“ถ้าพี่ใบไปอยู่อเมริกาก้านก็คงเหงา แต่โลกเราพัฒนาแล้วนะพี่ใบโทรศัพท์มีไว้ทำไมก้านก็จะโทรหาพี่ใบตอนก้านเหงาก็ได้ จริงไหมพี่”

“จริงจ้าแม่น้องปัญญาใส”

“นี่พี่ใบดีนะไม่เรียกว่าแม่น้องหัวใสหรือแม่น้องแสนรู้ ไม่อย่างนั้นก้านโกรธพี่ใบตายแน่ๆ เลย”

“ใครจะกล้ามาว่าน้องสุดสวยของตัวเองได้เล่าก้านจริงไหม” ก้านแก้วโอบกอดใบเงินแถมหอมแก้มพี่สาวตัวเองอีกฟอดใหญ่

“อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าพี่น้องกันจริงๆ”

สองพี่น้องแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง ใบเงินทำงานทั้งวันด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่ง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเพราะเธอนั่งทำสมาธิแต่จิตใจกับอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูก

...............

เรกะติรีบจัดการงานทุกอย่างเธอต้องรีบทำให้เสร็จก่อนวันขึ้นสิบห้าค่ำที่ใกล้เข้ามาถึงทุกวินาที นี่คงจะเป็นการนับถอยหลังที่เรกะติไม่อยากจะนับ เธอเองผ่านอะไรมาเยอะแต่ก็ไม่ได้หมายความถึงการนับถอยหลังแห่งการลาจากไปตลอดกาลแบบนี้ เธอรู้สึกว่าทำใจไม่ได้

น้อมใจผู้เป็นแม่ของเธอก็ดูเหมือนว่าจะเงียบลงกว่าที่เคยเป็น เรกะติเริ่มจำเรื่องราวต่างๆ เมื่อสมัยยังเป็นเด็กได้ทีละเล็กละน้อย และทุกครั้งที่เธอจำได้เธอเองก็จะปวดหัวจนแทบจะระเบิด

วันนี้ศาสตราจารย์ทุติมาที่บริษัทของน้อมใจอีกครั้งเขามาพร้อมกับกล่องใบใหญ่หนึ่งใบ และพร้อมที่จะเดินทางไปดอยเดียวดายพร้อมๆ กับน้อมใจและทีมงาน

“อะไรคะอาจารย์”

“ก็ที่ผมบอกคุณไง จารึกรูปเขากวาง” ทุติไม่พูดเปล่า เปิดกล่องใบโตนั้นและให้คนของตัวเองช่วยกันยกเขากวางรูปร่างสวยออกมากจากกล่องที่ต้องเรียกว่าลังใบโต

น้อมใจสังเกตเห็นว่าบนเขากวางนั้นแกะสลักคำโบราณเอาไว้ มากมาย น้อมใจก็ได้แต่มองเพราะเธอดูไม่ออกอ่านไม่ได้ว่าจารึกบนนั้นเขียนอะไรเอาไว้

“นี่เหรอคะที่อาจารย์บอกว่าฝังไว้ใต้ศิลาจารึก”

“ใช่แล้วคุณน้อม แต่มันเหมือนๆ กับไม่สมบูรณ์ คุณดูนี่สิ เหมือนว่าเขาอันนี้ยอดข้างบนมันหักหายไป แล้วอักษรก็หายไปด้วย” ทุติชี้ให้ดูที่ปลายยอดของเขากวางอันนั้น

“มันเป็นเขากวางที่สวยมากเลยนะค่ะอาจารย์ สวยและใหญ่มากๆ ด้วย”

“ใช่คุณน้อม เขาอันนี้สวยแล้วก็ใหญ่มากๆ ผมคำนวณคร่าวๆ นะว่ามันคงจะยาวประมาณเกือบสองเมตรไม่อยากจะคิดเลยว่ากวางเจ้าของเขาอันนี้จะตัวโตขนาดไหน”

“นั่นสิคะ แล้วนี่อาจารย์เอามาให้น้อมดูเฉยๆ หรือว่าจะเอาไปทำอะไรคะ”

“ผมว่าจะเอาไปที่ดอยเดียวดายกับคุณด้วย”

“โหอาจารย์ขา อาจารย์จะยกไอ้เจ้าเขานี่ไปด้วยไม่ต้องใส่รถบรรทุกเลยเหรอคะ”

“ก็นั่นนะสิผมถึงได้เอามาที่นี่เพราะผมคิดว่าคุณต้องยกกองถ่ายไปอยู่แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ เอาเขานี้ไปด้วยเลยก็แล้วกัน ผมใส่กล่องมาอย่างดีรับรองได้ว่าไม่แตกหักหรือบุบสลายอย่างแน่นอน”

“เอางั้นเลยหรือคะอาจารย์”

“เอางั้นสิ เอาน่าน้อมใจถือว่าช่วยๆ กัน” ทุติตบไหล่ของน้อมใจเหมือนกับเป็นการขอร้องแกมบังคับให้น้อมใจทำตามที่เขาต้องการ

“ว่าแต่ว่าน้อมจะไม่โดนหาว่าขนของเก่าออกไปขายนอกชายแดนแน่นะอาจารย์”

“นี่คุณผมไม่หาเรื่องแบบนั้นหรอก ที่ผมเอาเขานี่ไปด้วยก็เพราะว่าผมจะพิสูจณ์อะไรบางอย่างเท่านั้นเอง”

“ก็ได้ค่ะอาจารย์ แล้วนี่อาจารย์พร้อมที่จะเดินทางหรือยังคะ”

“พร้อมแล้วไปได้เลย คนอย่างผมชุดนอนชุดเที่ยวชุดเดียวกันอยู่แล้วเรื่องแบบนี้สบายมาก”

..............

ทีมงานของน้อมใจมาปักหลักที่ดอยเดียวดายเป็นทีมแรก เธอต้องการจะเก็บภาพบรรยากาศของการเกิดจันทรุปราคาที่สวยงามบนดอยแห่งนี้ เพราะเมื่อครั้งก่อนที่เธอมาเธอรู้ว่าบนดอยแห่งนี้ยิ่งเฉพาะที่ผาเดียวดายมองได้รอบด้านเกือบสามร้อยหกสิบองศา ไม่มีอะไรมาบดบังทัศนียภาพรอบด้าน ถ้าจะถ่ายทำเธอคิดว่าโลเคชั่นของผาเดียวดายน่าจะสวยที่สุด และอีกอย่างเรกะติลูกสาวของเธอก็อยากที่จะมาที่ดอยเดียวดายแห่งนี้ด้วย

ดังนั้นเมื่อมาแล้วก็อย่าให้เสียเปล่า ทำงานไปด้วยพร้อมๆ กับมาส่งลูกสาวไปด้วยมันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรสำหรับคนทำงานอย่างน้อมใจ

มาครั้งนี้น้อมใจเอาเต็นท์ผ้าใบมากางเองเพราะเธอไม่อยากจะรบกวนที่พักของโรงเรียนอีก เนื่องจากทีมงานของน้อมใจนั้นมาเป็นจำนวนค่อนข้างมากพอสมควรเรียกว่ายกกันมาทั้งบริษัทก็ว่าได้ เพราะงานครั้งนี้น้อมใจอยากจะให้งานถ่ายทำออกมาแบบไม่มีข้อบกพร่อง

กล้องบันทึกภาพหลายตัวถูกจัดเตรียมอย่างดี พร้อมด้วยเลนส์ขนาดใหญ่ที่สามารถซูมให้เห็นไปได้ถึงผิวขรุขระของดวงจันทร์เรียกได้ว่าเกือบๆ จะเป็นกล้องที่ดีที่สุดตัวหนึ่งที่ประเทศไทยเคยมี น้อมใจมาถึงที่ดอยเดียวดายเพื่อเตรียมงานก่อนหน้าถึงห้าวัน วันนี้เป็นคืนขึ้นสิบค่ำ เวลาอีกหลายวันทำให้น้อมใจสามารถที่จะเก็บภาพและทำงานเรื่องชีวิตของคนบนดอยเดียวดายแห่งนี้ได้อีกหลายเรื่อง

ส่วนทุตินั้นเดินออกไปที่บ้านของผู้ใหญ่อาเค่อ เขาต้องการที่จะรู้ประวัติของชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นนี้ อย่างน้อยก็รู้ไว้ไม่เสียหลาย และอีกอย่างเขาเป็นคนแปลกถิ่นเมื่อมาถึงก็ต้องไปทำความรู้จักกับเจ้าของถิ่นก่อนเป็นดีที่สุด

ผู้ใหญ่อาเค่อพูดคุยกับทุติอย่างถูกคอแถมยังเล่าถึงที่มาที่ไปของชนเผ่าของเขาที่อพยบมาจากทางตอนกลางของเขมร แต่เมื่อมาตั้งรกรากที่นี่ก็ถูกลืนกินไปกับชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ ณ ดอยแห่งนี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้นคนในเผ่าจึงพูดได้หลากหลายภาษา เขาเองก็เช่นกัน ที่พยายามตกทอดคำว่าเลือดบริสุทธิ์จากรุ่นสู่รุ่นเพราะครอบครัวของเขาเป็นหมอผีประจำหมู่บ้านและเป็นหมอผีประจำชนเผ่าของเขาเอง

“ผู้ใหญ่ถ้าเป็นเผ่าที่สืบทอดกันมายาวนานแบบนี้ก็ต้องมีเครื่องรางของขลังที่ตกทอดกันมายาวนานสิผู้ใหญ่” ทุติถามเพราะเขานั้นเคยรู้มาว่าแต่ละชนเผ่าก็จะมีสิ่งที่เคารพนับถือของชนเผ่าตัวเองไม่เหมือนกัน

“มีสิคุณ”

“แล้วอยู่ที่ไหนครับ”

“นั่นไงอยู่บนแท่นพิธีนั่น” ผู้เฒ่าอาเค่อชี้ไปทางแท่นพิธีของเขา

เมื่อสายตาของทุติได้เห็นสิ่งที่ถือว่าเป็นของเคารพบูชาของชนเผ่านี้เขาเองก็ถึงกับตะลึง เพราะมันเป็นเหมือนยอดเขากวางที่หายไปจากเขากวางที่ตัวเขานั้นหอบเอามาด้วยแต่สภาพมันดูแตกต่างเพราะเขากวางอันนั้นเพราะมันถูกปิดทับไปด้วยแผ่นทองมากมายจนมองไม่เห็นรอยจารึกอะไรบนนั้น

“ผมขอดูหน่อยได้ไหมผู้ใหญ่”

“ไม่ได้มันเป็นของศักดิ์สิทธิ์เอาลงมาเล่นมาดูง่ายๆ ไม่ได้หรอกขรับคุณ”

“แต่ผมรับรองนะผู้ใหญ่ว่าผมจะไม่ทำให้เผ่าของผู้ใหญ่ต้องได้รับความเดือดร้อน”

“ไม่ได้จริงๆ ขรับคุณ”

“เอางี้งั้นผมเอาของที่เหลือที่ผมเอามาด้วยมาให้ผู้ใหญ่ดูแล้วผู้ใหญ่จะรู้ว่าทำไมผมถึงได้อยากดูเครื่องรางของผู้ใหญ่มากนัก คุณรุ้งช่วยให้ใครไปยกกล่องนั้นมาที่นี่หน่อยได้ไหม” ทุติหันไปบอกกับรุ่งพรายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาให้ไปยกกล่องหนักๆ ใหญ่ๆ กล่องนั้นมาให้เขา

รออยู่ไม่นานทีมงานของทุติก็ยกกล่องที่ว่ามาถึงบ้านของผู้ใหญ่อาเค่อ ทุติให้คนของเขาช่วยกันยกเขากวางนั้นออกมาและนำขึ้นมาไว้บนบ้านเปิดโล่งของผู้ใหญ่อาเค่อ ที่ใช้สำหรับทำพิธีกรรมของหมอผี

เมื่อผู้ใหญ่อาเค่อเห็นเขากวางเก่าแก่นั้นก็ได้แต่อุทานว่า

“มาแล้วจริงๆ ของคู่กันมาอยู่เคียงกันแล้วจริงๆ” เขาเดินไปยกมือไหว้เขากวางอันใหญ่ท่วมหัวและกลับไปหยิบเขากวางที่วางอยู่บนแท่นพิธีออกมาวางแปะประกบลงไปที่ยอดเขากวางที่ทุตินำมาให้เขาดู และก็เหมือนกับว่าเขากวางอันนั้นจะส่องแสงประกายเจิดจ้า

เขากวางสองอันสนิทแนบกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างดี ราวกับว่าไม่เคยถูกตัดแบ่งออกจากกันมาก่อน ทั้งทุติและทีมงานได้แต่จ้องไปที่เขากวางเพราะตอนนี้ทุติเองก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดนี้ขึ้น

อาเค่อก้มลงกับพื้นทำความเคารพเขากวางอันนั้น เขาทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาตั้งแต่บรรพบุรุษเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว คำสั่งที่ถูกถ่ายทอดกันมานับพันปี บัดนี้ธุระหน้าที่ของคนในตระกูลเขาได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว

“คราวนี้ผู้ใหญ่จะบอกได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ได้สิคุณผมจะเล่าให้ฟัง” จากนั้นคำบอกเล่าต่างๆ ก็พร่างพรูออกมาจากปากของผู้เฒ่าอาเค่อ

นับบตั้งแต่บรรพบุรุษของผู้เฒ่าอาเค่อหลายช่วงอายุคนได้เล่าสืบต่อกันมาว่าเจ้าเมืองเมืองหนึ่ง ในสมัยนั้นซึ่งตัวของผู้เฒ่าอาเค่อเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่คาดเดาไว้ว่ากาลเวลานั้นน่าจะเนิ่นนานนับพันๆ ปี เจ้าเมืองเมืองนั้นได้ทำการฆ่ากวางเพราะหมายมั่นที่จะเอาเขากวางตัวโตเกือบเท่าช้างตัวหนึ่งที่สวยงามมาประดับปราสาทของพระองค์

ในครั้งนั้นมีคนทักท้วงมากมายว่าจะเกิดอาเพทกับบ้านเมืองเพราะเมืองแห่งนั้นมีเทพเจ้าที่เป็นกวางดูแลปกป้องรักษาเมืองอยู่ แต่เจ้าเมืองก็ไม่เชื่อคำทักท้วงทั้งปวงยังตามล่าเอาเขากวางนั้นมาเป็นของตนให้ได้ ใช้อุบายทุกอย่างที่จะล่อกลางตัวนั้นให้เข้ามาอยู่ในกับดักและสุดท้ายเจ้าเมืองก็ได้เขากวางข้างหนึ่งมาเป็นของตัวเองด้วยการทำร้ายกวางที่เป็นเทพอารักษ์เมืองจนบาดเจ็บสาหัส

ส่วนกวางตัวนั้นหลังจากที่โดนตัดเขาไปก็ได้หายวับไปกับตาของเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงได้รู้ว่าเขาเองนั้นได้ลบหลู่ดูหมิ่นเทพเจ้าที่ปกปักษ์รักษาเมืองของเขาเอง จากนั้นไม่นานทุกอย่างในเมืองก็แปลเปลี่ยนไป เมืองทั้งเมืองล่มสลายแผ่นดินสูบลงไปแทบจะไม่หลงเหลือร่องรอยอะไรไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ว่าเคยมีเมืองแห่งนั้นมาก่อน

แต่ก่อนที่เมืองจะล่มสลาย เจ้าเมืองก็ได้ให้แบ่งตัดเขากวางที่ลงอักขระและคาถาข่มเอาไว้ออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาไปสะกดไว้ใต้หินศิลาแลงหน้าปราสาทที่สร้างขึ้นถวายแด่องค์เทพ อีกส่วนหนึ่งให้บรรพบุรุษของพวกผู้เฒ่าอาเค่อเอามาเก็บไว้ และให้ดูแลอย่างดี

ตามคำบอกเล่าได้กล่าวไว้ว่าเมื่อถึงเวลาเขากวางทั้งสองส่วนจะกลับมาอยู่ในที่ของมันเอง และเวลานั้นเจ้าหญิงที่เป็นพระนัดดาของเจ้าเมืองจะได้ไปผุดไปเกิด เพราะเจ้าเมืองได้สะกดไว้

“เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละขรับคุณ” ผู้เฒ่าอาเค่อเล่าจบลงก็มีอาการหอบอย่างเห็นได้ชัด เพราะตัวของผู้เฒ่าเองนั้นตอนนี้อายุก็เกือบๆ จะถึงร้อยปีอยู่อีกไม่กี่วันเท่านั้น

“ผู้ใหญ่อย่าบอกผมนะครับว่าเมืองๆ นั้นชื่อเมืองตามะแนปุระ” ทุตินั่งฟังคำบอกเล่าเขาไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลยว่าเรื่องที่เขาเฝ้าเพียรพยายามขุดค้นหามาประวัติมานานนับสิบๆ ปีจะมาคลี่คลายด้วยคำบอกเล่าของชายชราที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเขาเอง

“ใช่ขรับคุณ เมืองนั้นชื่อเมืองตามะแนปุระ เมืองแห่งเจ้าสุริยะชัยเชษฐและพระนางตามะแนผู้เลอโฉม”

“โอ้วพระเจ้าผมไม่อยากจะเชื่อจริงๆ คุณรุ้งคุณช่วยหยิกหรือตบหน้าผมทีสิว่าผมไม่ได้ฝันไป” ทุติหันไปบอกกับรุ้งพรายให้ช่วยปลุกเขาขึ้นมาจากความจริงที่เหมือนกับความฝัน

“รุ้งก็ไม่อยากจะเชื่อคะอาจารย์แต่มันเป็นไปแล้วจริงๆ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินอะไรที่มันแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อนเลยคะอาจารย์”

“เอางี้แล้วกันผู้ใหญ่ ผมฝากเขาอันใหญ่นี้กับผู้ใหญ่ก็แล้วกันเพราะผมคงยังไม่ได้ใช้อะไรตอนนี้ แล้ววันที่จะใช้ผมจะมาบอกคุณอีกครั้ง”

“โผ้มจะใช้มันในคืนสิบห้าค่ำที่จะถึง แต่โผ้มก็ไม่รู้ว่ามันจะได้กลับไปอยู่ในมือของคุณอีกหรือเปล่านะขรับ”

“ผมเข้าใจคุณผมพอจะเริ่มจับต้นมาชนปลายได้แล้ว ถ้ามันจะหายไปพร้อมๆ กับการปลดปล่อยคนที่ถูกสะกดไว้ในเมืองนั้นผมเองก็ยินดีเช่นกัน”

“ขอบคุณขรับที่เข้าใจโผ้ม”

... จบ บทที่ ๑๐ ...



Create Date : 30 สิงหาคม 2551
Last Update : 30 สิงหาคม 2551 7:57:31 น. 1 comments
Counter : 308 Pageviews.

 
เหอๆ
นั่งอ่านไปลุ้นไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นหนอเอิ๊กๆ


โดย: หมอก IP: 124.121.67.42 วันที่: 30 สิงหาคม 2551 เวลา:12:38:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.