It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้นแนวยูริ : ดำเนินทราย บทที่ ๘ ความลับ

บทที่ ๘ ความลับ

เมืองสวยงามแห่งองค์ตามะแนถูกซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ผาเดียวดาย เมืองแห่งนี้ลี้ลับซับซ้อนหากผู้ใดไม่มีอาคมถึงขั้นเป็นจอมขมังเวทย์ผู้นั้นจะไม่ได้เห็นแม้กระทั่งทางเข้า กาลเวลาผ่านไปหลายพันปี องค์ตามะแนยังคงปกครองบ้านเมืองโดยสงบตลอดมา

เมืองตามะแนไม่ได้เจริญแต่เพียงด้านเดียว ทุกคนในเมืองอยู่ด้วยคาถาร่ายเวทย์แห่งองค์สุริยะชัยเชรษฐ ผู้เป็นพระอัยกาแห่งแม่เมืองตามะแน บัดนี้เมืองทั้งเมืองเริ่มเกิดการเสื่อมของคาถาร่ายเวทย์ องค์ตามะแนทรงรับรู้ได้จากการที่ชาวบ้านด้านนอกมักจะเล็ดรอดเข้าไปยังคูหาทางเข้าของเมืองได้ในคืนราหูเต็มดวง

“คำสาปแห่งพระอัยกากำลังจักเลือนหาย พวกเจ้าทุกผู้ทุกนามจักต้องร่ายเวทย์บดบังเมืองแห่งเราอีกครา” สุรเสียงก้องกังวานไปทั่วเขตคามแห่งเมืองลับแล ยังมีนางหนึ่งเล็ดลอดออกมาด้านนอกเพื่อเที่ยวไปทั่วไพร

“เหตุใดแสงตะวันมิอยู่ ณ ที่นี้” องค์ตามะแนตรัสถามถึงพระพี่เลี้ยงแห่งนาง

ไม่มีเสียงตอบรับอันใดให้พระองค์ได้ล่วงรู้

“พวกเจ้ามิตอบข้าจักรู้เอง” องค์ตามะแนหลับพระเนตรอยู่ครู่หนึ่งจึงทอดพระเนตรเห็นพระพี่เลี้ยงแสงตะวันแปลงกายเป็นกวางดาวออกวิ่งเล่นไปทั่วแดนไพร

“จงกลับมาบัดเดี๋ยวนี้แสงตะวัน หากเจ้ามิกลับเจ้าจักกลายเป็นธุลี” สุรเสียงส่งผ่านห่วงอากาศจนถึงกวางดาวตัวน้อยที่กำลังวิ่งวนปีนป่ายในพงไพร ดูเหมือนว่ากวางดาวตัวนั้นจะตกใจวิ่งตะกุยพื้นดินอย่างรวดเร็วฉับพลันร่างของกวางดาวกลับลอยเหนือพื้นดินวิ่งตะกุยอากาศหายวับไปกับตา

ร่างของพระพี่เลี้ยงแสงตะวันหมอบราบอยู่กับพื้นท่าทางลนลาน

“เหตุใดเจ้าจึงขัดคำสั่งแห่งข้า”

“หม่อมฉันมิเคยคิดจักขัดพระกระแสรับสั่งแห่งพระองค์ดอกเพคะ เพียงแต่หม่อมฉัน”

“เพียงแต่อันใด”

“เพียงแต่หม่อมฉันออกไปสำรวจเหตุเพราะเมื่อราตรีที่ผ่านมามีผู้บุกรุกทั้งอาคเนย์แลหรดี”

“เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนั้น”

“เพราะเวทย์คลุมครอบเริ่มจักเสื่อมลงเพคะพระนาง”

“มันเป็นผู้ใด”

“มันเป็นพรานหนุ่มผู้แก่กล้าในเวทย์ผู้หนึ่งเพคะพระนาง”

“หากเป็นเยี่ยงดังเจ้ากล่าวจริงเจ้าจงไปดักมันผู้นั้นมิให้กล้ำกลายมาถึงปากประตูทวารแห่งเมืองเรา หากเจ้ากระทำมิได้หัวเจ้าจักหลุดจากบ่า”

“เพคะพระนาง”

“แสงดาวเจ้าจงช่วยแสงตะวันทำการให้แล้วเสร็จในเร็ววัน”

………………

สองพี่น้องพรานป่าบุญและมาก ทั้งคู่ร่ำเรียนคาถาอาคมมาจากพระธุดงค์และพ่อของเขา ดังนั้นภัยต่างๆ จึงไม่อาจคุกคามพรานทั้งสองพี่น้องได้ พรานบุญผู้เป็นพี่ตัดสินใจที่จะบุกรุกเข้าป่าต้องห้ามโดยไม่ฟังคำทัดทานจากผู้เป็นแม่ของเขา จึงทำให้พรานมากผู้เป็นน้องต้องคอยติดตามพี่ชายของเขาเองเข้าป่าต้องห้ามไปด้วยกัน

“อย่าเข้าไปเลยบุญพ่อของลูกก็ตายในป่านั้น มันอันตรายนะลูก”

“ให้ข้าไปเถอะแม่ข้าอยากรู้ว่าในป่ามันมีอะไร พ่อถึงได้พลาดท่าเสียทีและหายไปแบบนั้น”

“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันแม่ว่าป่ามันทำไมถึงได้น่ากลัว” นายมากผู้เป็นน้องบอกกับแม่ของตัวเองเพราะเขาและพี่ชายมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เป็นทุนเดิม

“แม่คงห้ามพวกเอ็งไม่ได้อีกแล้ว ระวังตัวด้วยนะลูก”

“แม่จ๋าข้ากับไอ้มากจะหาของป่าออกมาขายเอาเงินมารักษาแม่ แม่ไม่ต้องห่วงพวกเราสองคนหรอกนะแม่ ฉันรับรองว่าพวกฉันจะปลอดภัยและกลับมาพร้อมกับของป่าแปลกๆ เอามาขายเอาเงินมารักษาแม่นะจ๊ะ”

“เออพระคุ้มครองเอ็งทั้งสองคนไปดีมาดีลูก”

พรานบุญและพรานมากสองพี่น้องก้มลงกราบแม่ของตัวเองและเข้าป่าต้องห้าม พวกเขาเข้าป่าไปคนละทิศ พรานบุญบุกเข้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนพรานมากบุกเข้าไปทางทิศตะวันตก ด้วยความชำนาญการเดินป่าทั้งสองคนนัดหมายกันว่าจะมาเจอกันที่ใจกลางป่าต้องห้าม

“แยกย้ายกันไป หากใครมีอันเป็นไปจะได้ไม่ตายหมู่นะไอ้มาก”

“ได้เลยพี่บุญแล้วไปเจอกันกลางป่า”

พรานบุญแม้จะมั่นใจเพียงใดแต่เขาเองก็ต้องพบกับความยากลำบากในการปีนป่ายเขาและหน้าผาสูงจากทางทิศตะวันออกเพื่อไปยังใจกลางป่า ส่วนพรานมากเดินทางสบายๆ เพราะหนทางที่เขาเลือกเดินมานั้นเป็นทางลาด ลงไปยังป่าต้องห้าม

ทั้งสองคนเก็บของป่าและต้นไม้แปลกๆ เอาใส่ย่ามของตัวเอง พรานทั้งสองเดินทางอยู่หลายวันก็มาพบกันที่เนินก่อนถึงหน้าผารูปร่างแปลกๆ

“เอ็งดูสิไอ้มากผาที่เราเห็นทำไมเดี๋ยวก็มีถ้ำเดี๋ยวก็ไม่มี”

“นั่นสิพี่บุญข้าก็ว่ามันแปลกๆ”

“เราเอาของทิ้งไว้ที่นี่ก่อนดีไหมข้าอยากรู้ว่าไอ้ผานั้นมันทำไมเปลี่ยนรูปร่างได้”

“ดีพี่ข้าก็อยากรู้” สองพี่น้องรีบเดินไปยังหน้าผาที่มองเห็นอยู่ไม่ไกล แต่เดินเท่าไหร่ก็เดินไม่ถึง

“เฮ้ยทำไมมันไม่ถึงสักทีวะ หรือว่ามันขยับได้” พรานมากบ่นอุบเพราะเขาเริ่มเหนื่อยและอ่อนล้า

“ข้าว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างพรางตาเราสองคน”

“เออจริงสิพี่ทำไมข้าไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย”

“เอางี้ข้าจะร่ายมนต์ก่อนเอ็งช่วยข้าหน่อย” พรานสองพี่น้องใช้มนต์สะกดการพรางตาที่ร่ำเรียนมาและก็จริงอย่างที่ทั้งสองได้คาดเดาเอาไว้ เมื่อสองพี่น้องเริ่มร่ายมนต์ก็เห็นสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเปลี่ยนไป เขาทั้งสองมายืนอยู่ด้านล่างของหน้าผาที่ตนเองคิดว่าเดินยังไม่ถึง เมื่อมองขึ้นไปยังหน้าผาก็พบกับปากถ้ำ

“นั่นไงพี่บุญปากถ้ำ” พรานมากชี้ให้พี่ชายของตัวเองเห็นปากถ้ำที่ทั้งสองคนเดินตามหามาทั้งวัน และจัดแจงปีนป่ายขึ้นไปด้านบนหน้าผาด้วยความระมัดระวัง

“ถ้าข้างในมีขี้ค้างคาวเราก็รวยแล้วไอ้น้อง”

“ข้าว่านะพี่บุญถ้าข้างในมีรังนางแอ่นเราจะรวยมากกว่า” สองพี่น้องพยายามปีนไปจนถึงปากถ้ำ แต่ดูเหมือนว่าปากถ้ำแห่งนี้ไม่เหมือนปากถ้ำแห่งอื่นๆ มันดูสะอาดไม่มีหินแหลมคมหรือก้อนหินกระจัดกระจายอะไรเลย

“พี่ว่าปากถ้ำนี่มันแปลกๆ ไหมพี่บุญ”

“อื่มมันแปลกๆ ถ้าเป็นถ้ำอื่นๆ มันต้องมีหินหรืออะไรสักอย่างขึ้นบดบังปากทางเข้าบ้างแต่ที่นี่ไม่มี”

“งั้นเอ็งกับข้าคงต้องระวังตัวหน่อยเผื่อมีสัตว์ร้ายอยู่แถวนี้ ผลัดกันอยู่ยามก็แล้วกัน”

“ข้าไปหาฟืนก่อนดีกว่าพี่บุญกลางคืนมันคงหนาว”

“ไม่ต้องไอ้น้องข้ามีสมุนไพรแก้หนาวชะงัดนัก” พรานบุญหยิบกิ่งไม้จากในย่ามของตัวเองส่งให้กับน้องชาย

“ไว้เคี้ยวตอนหนาวๆ จะได้ไม่หนาว พรุ่งนี้ฟ้าสางเราค่อยเข้าไปในถ้ำ” สองพี่น้องผลัดกันอยู่ยาม ผลัดแรกเป็นของพรานมาก เขานั่งเพ่งมองเข้าไปในถ้ำเห็นแสงวาบๆ ของอะไรสักอย่างจากนั้นได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรหนักๆ ครูดมากับพื้นดิน พรานมากเริ่มสะกิดพี่ชายตัวเอง

“พี่บุญ”

“ข้ารู้แล้วได้ยินแล้ว” พรานบุญกระชับมีดหมอในมือของตนเองให้แน่นขึ้น

งูสีเหลืองและสีแดงตัวโตเลื้อยออกมาจากด้านในถ้ำ เข้าบุกรุกหวังทำร้ายพรานสองพี่น้อง แต่ด้วยความเร็วของพรานทั้งคู่จึงสามารถหลบพ้นการจู่โจมรวดเร็วของงูสองตัวได้ การต่อสู้โรมรันระหว่างคนกับงูเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง งูทั้งสองแผ่พังพานขู่เสียงดัง

“ฟ่อ” จนสะท้อนไปทั่วบริเวณถ้ำ

“มันเป็นงูมีวิชาไอ้มากระวังตัวด้วย” พรานบุญตะโกนบอกน้องชายของเขา เพราะเขาเริ่มรู้แล้วว่างูขนาดมหึมาที่กำลังเล่นงานเขาอาจจะเป็นงูเจ้าที่เจ้าทางหรือที่ใครๆ เรียกว่างูเจ้าก็เป็นได้

ระหว่างต่อสู้พรานทั้งสองใช้มีดหมอลงอาคมที่ตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่นปักลงไปกลางลำตัวของงูทั้งสองตัว และไม่นานนักงูทั้งสองตัวก็ต้องพ่ายให้แก่พรานทั้งสอง จากนั้นก็พยายามจะเลื้อยหนีไปพรานบุญและพรานมาก จับหางงูทั้งสองตัวเอาไว้และสะบัดอย่างแรง เพื่อให้กระดูกงูทั้งสองตัวเคลื่อนจากนั้นก็จับมัดด้วยเชือกที่ทั้งสองคนพกมา มันเป็นเชือกล้วยธรรมดาแต่ลงอาคม

เมื่องูทั้งสองสิ้นฤทธิ์ก็กลายร่างเป็นผู้หญิงสองคนหน้าตาสะสวย จนพรานทั้งสองตะลึงงันกับความสวยของสองสาว

“พวกแกเป็นใครเจ้าป่าเจ้าเขาหรือผีสางนางไม้” พรานบุญถามเชิงขู่หญิงสาวทั้งสองที่กลายร่างมาจากงูแต่ทั้งสองก็ไม่มีคำตอบให้กับพรานทั้งสองคน

“พี่ข้าถามพวกเอ็งไม่ได้ยินหรือไงวะ” พรานมากชักฉุน

“ในเมื่อพูดดีๆ กันไม่รู้เรื่องมันต้องโดนอาคมของข้า” พรานบุญบริกรรมคาคาอีกพักใหญ่และเป่าพรวดไปที่ผู้หญิงทั้งสองคน เพื่อสะกดจิตคนทั้งสองให้พูดความจริง

“เจ้าเป็นใคร” เสียงพรานบุญขู่อีกครั้ง

“ข้าสองคนเป็นผู้อาศัยในเมืองตามะแนปุระ” แสงตะวันที่โดนมนต์สะกดตอบคำถามพรานบุญอย่างง่ายดาย

“เมืองนั้นอยู่ที่ไหน” พรานมากถามเชิงขู่อีกคน

“อยู่ด้านในหลังถ้ำแห่งนี้” แสงดาวตอบและชี้ไปด้านในของถ้ำ

“พวกแกพาพวกข้าเข้าไปได้ไหม” พรานบุญถามเพราะอยากรู้ทางเข้าและการเดินเท้าเข้าไปในเมืองหากเขาได้เข้าไปด้านในอาจจะมีอะไรดีๆ เอาออกไปขายเพื่อนำเงินมารักษาแม่ของตัวเอง

“มิได้ดอกเรามิมีฤทธีพอที่จักนำพวกท่านเข้าไป” แสงตะวันตอบคำถามท่าทางเหม่อลอย

“เมืองลับแลอย่างนั้นเหรอพี่บุญ” พรานมากหันมาถามพี่ชาย

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ สองคนนี้สวยบาดใจข้าวะไอ้มาก” พรานบุญที่ยังหนุ่มแน่นเริ่มมีใจต่อสาวสวยตรงหน้า

“มันจะผิดไหมวะถ้าเราใช้วิชาขุนแผนสะกดใจ” พรานบุญถามน้องชายตัวเอง

“ไม่ผิดมั๊งพี่ข้าก็อยากใช้เหมือนกัน” เมื่อสองพี่น้องตัดสินใจได้แล้วต่างคนก็เสกคาถาที่ได้ร่ำเรียนมา แม้ว่าจะผิดต่อหญิงทั้งสองคนแต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิด เพราะทั้งคู่ยังอยู่ในวัยหนุ่มขาดการยับยั้งชั่งใจตัวเอง การที่จะได้ครอบครองผู้หญิงสวยสักคนมาเป็นเมียของตัวเอง คนที่มีอำนาจมากกว่าอย่างเช่นพวกเขาก็สามารถที่จะทำได้โดยไม่ต้องยั้งคิด

ชายสองหญิงสองอาศัยอยู่ในถ้ำลืมวันลืมคืนจนหญิงสาวทั้งสองคนตั้งท้อง พรานบุญและพรานมากหลงอยู่ในโลกแห่งโลกีย์จนลืมว่าแม่ของทั้งสองคนกำลังป่วยกระเสาะกระแสะและต้องการได้เงินไปรักษาตัว เมื่อแสงตะวันคลอดลูกแล้วเธอก็มอบลูกให้กับพรานบุญ และมนต์สะกดของพรานบุญที่สะกดหญิงสาวไว้เริ่มเสื่อมลง

“นำลูกกลับไปที่แห่งพี่ท่านเถิดข้าจักต้องกลับไปยังเมืองแห่งข้าแล้วพี่” แสงตะวันหายลับไปกับตาของพรานบุญ ทำให้เขานั้นโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก

ส่วนแสงดาวเธอตัดสินใจหลีกลี้หนีหน้าพรานมาก ทำให้พรานมากถึงกับขาดสติเมื่อตื่นขึ้นมาพบกับที่นอนข้างกายที่ว่างเปล่า เขาเดินเปะปะไปทั่วตามหาเมียของตัวเองที่ท้องแก่ใกล้คลอดจนตกลงไปจากปากถ้ำและสิ้นใจลงในไม่ช้า พรานบุญอุ้มลูกกลับไปที่บ้านของตัวเองก็พบว่าแม่ของเขาได้สิ้นใจไปได้หลายเดือนแล้ว จากความคิดที่จะต้องหาเงินมาพาแม่ไปหาหมอ และเขาไม่ได้ทำ ทำให้พรานบุญโศกเศร้าเสียใจเขามีลูกชายคนเดียวที่จะต้องดูแลและเลี้ยงดูให้เติบโตอาศัยนมแพะที่เลี้ยงไว้ให้ลูกดื่มกิน

พรานบุญแบกลูกเข้าออกป่าต้องห้ามเป็นว่าเล่น ปีนป่ายไปบนหน้าผาแต่ก็หาปากถ้ำไม่พบคาถาของเขาเสื่อมลงเพราะเขาได้ทำผิดศีลใช้คาถาในทางมิชอบ เมื่อมียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ มีคาถาดีแต่ผู้ใช้ใช้ไปในทางที่ผิดคาถานั้นก็เสื่อมไปตามกาล

.................

องค์ตามะแนหยั่งรู้ล่วงรู้ล่วงหน้าว่าจักเกิดเหตุกับสองพระพี่เลี้ยง พระนางปล่อยไปตามครรลองแห่งกรรมที่สองพระพี่เลี้ยงจักต้องประสบ จักทำสิ่งใดก็มิได้เพราะพระนางเองได้ตัดสินใจและนับวันรอคอยการปลดปล่อยแห่งดวงดาว สองปีแห่งเมืองมนุษย์ที่แล้วมาพระนางทรงดำรัสให้พระพี่เลี้ยงกระทำการแลกชีวิตด้วยเนื้อแห่งพระวรกายของพระนาง

เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมาท่ามกลางขุนเขา พระนางทรงทอดพระเนตรด้วยทิพญาณแห่งพระนางเอง “ใบเงิน” หญิงสาวที่มีชีวิตด้วยการชุบชีวิตจากพระนางเติบโตขึ้น พระนางรอคอยวันแห่งการปลดปล่อยและมีตัวตายตัวแทน

“เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ใบเงิน”

“เพคะพระนาง” ใบเงินก้มหมอบแทบพระบาทขององค์ตามะแน

“เจ้าจักทำในสิ่งที่ข้าหวังไว้ได้ฤาไม่”

“เพคะพระนาง”

“เจ้ายินดีแน่ฤาที่จักเป็นตัวแทนแห่งข้า” สุรเสียงนั้นอ่อนโยนราวกับแพรไหมเนื้อนุ่ม

ใบเงินนิ่งเงียบ เธอรับรู้ทุกอย่างจากองค์ตามะแนและเธอรู้แล้วว่าเธอต้องทำอะไร ชีวิตของเธอที่มีอยู่ทุกวันนี้เพราะองค์ตามะแนเป็นผู้มอบให้ กายหยาบของเธอได้มาจากพระนางทรงเฉือนเนื้อและปลุกเธอให้ฟื้นคืนมีชีวิตจากการตายในท้องของแม่

“เจ้าจักมีเพลาตรึกตรองอีกมินานนัก จันทร์เพ็ญคราหน้า ดวงดาวจักเรียงรายเป็นเส้นตรง จักเกิดราหูแห่งดาวทั้งเก้าดวงอีกครา นานนับพันปีจักเกิดสักคราเวลาแห่งการรอคอยแห่งข้าจักสิ้นสุดฤาต้องคอยต่อไปขึ้นอยู่กับเจ้าใบเงิน”

“เพคะพระนาง”

“ข้ามินำเจ้ามาเป็นบาทบริจาริกาแห่งข้าดอก อย่างไรเสียเจ้ายังเปรียบเป็นธิดาแห่งข้า มารดามิสมสู่กับบุตรฉันใดอันตัวข้ายิ่งมิทำฉันนั้น เจ้าจักรักข้าเยี่ยงข้ารักเจ้าได้ฤาไม่ลูกรัก”

“เพคะพระนาง”

“เรียกข้าว่ามารดาเถิดลูกแม่”

“เพคะพระมารดา”

“อีกมิกี่เพลาข้าจักมาทวงสัญญา ณ เพลานี้เจ้ามีสิทธิ์เลือกว่าจักทำหรือมิทำ แลหากเจ้าเลือกข้าเจ้าจงปลดปล่อยตนเองจากทุกสิ่งหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ตั้งจิตเจ้าให้มั่นกาลนั้นมาถึงเจ้าจงกล่าวแก่ข้า”

“เพคะพระมารดา”

“ได้เพลาที่ข้าจักต้องไปแล้วใบเงินลูกรัก” พระนางตามะแนสะบัดพระองค์ทรงลุกยืนจากแท่นหินที่พระนางประทับอยู่ พระภูษาสะบัดพรายพลิ้ว กลิ่นหอมอ่อนจางๆ จากพระองค์ฟุ้งกระจายไปทั่ว พระพักตร์ยิ้มกระจ่างแลเห็นพระเนตรคลอด้วยพระอัสสุชล

“พระมารดาทรงพระกรรแสงหรือเพคะ”

“ข้าดีใจที่ได้พบเจ้าอีกคราใบเงิน”

ใบเงินก้มกราบแทบพระบาทของพระนางตามะแนอีกครั้ง เธอรู้สึกถึงความรักที่องค์ตามะแนทรงพระทานแก่เธอ แม้ไม่เคยกอดไม่เคยหอมแก้มกันเหมือนแม่ลูกทั่วไป แต่ใบเงินก็สัมผัสได้

“เป็นพระมหากุรณาธิคุณยิ่งแล้วเพคะพระมารดา”

“กลับไปเถิดลูกรัก กลับไปสู่โลกแห่งเจ้า ใกล้รุ่งสางแล้วทุกอย่างจักคลี่คลาย” องค์ตามะแนทรงลอยจากพื้นขึ้นสู่อากาศและหายไปในพริบตา

ใบเงินหยิกแขนตัวเองเธอไม่ได้ฝันไป องค์ตามะแนผู้เป็นพระมารดาของเธอเสด็จมาจริงๆ เธอเป็นเลือดเนื้อของพระองค์จริงๆ พระพักตร์ของพระองค์นั้นเหมือนกับเธอราวกับแกะ ถ้าเธอไม่ใช่ธิดาของพระนางแล้วเธอจะเป็นอะไร

ในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเรกะติไม่ใช่น้องแท้ๆ ของเธอ เรกะติเป็นลูกที่เกิดจากพระพี่เลี้ยงแสงดาวและพรานมาก แต่เธอจะบอกเรื่องนี้กับกานแก้วได้อย่างไร หากเธอบอกก้านแก้วต้องหาว่าเธอบ้ากินมากฝันมากจนละเมอเพ้อพก

หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเรกะติต้องได้รับรู้ที่มาที่ไปของตัวเอง และเมื่อวันนั้นมาถึง เธอจะบอกลาทุกคนได้อย่างไรกัน ใบเงินเดินกลับบ้านพักครูที่อยู่ไม่ไกลจากผาเดียวดายด้วยสีหน้าหวั่นวิตกไปตลอดทาง

...............

น้อมใจและเรกะติกลับมาตัดต่อสารคดีที่เมืองไทย เพราะทั้งคู่ต้องส่งสารคดีให้กับต้นสังกัด ในอีกไม่กี่วัน ระหว่างที่สองคนกำลังตัดต่อภาพและเช็คความเรียบร้อยของภาพเหล่านั้นอยู่ สายตาของน้อมใจก็เหลือบไปเห็นมุมเล็กๆ มุมหนึ่งของภาพที่ทางทีมงานถ่ายไว้ได้

ภาพที่เห็นเป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งผ้าซิ่นลายแปลกตาและคลุมกายด้วยผ้าคลุมไหล่ ทรงผมรวบสูงเกล้ามวยไว้ทางด้านหลัง ส่งรอยยิ้มเยือกเย็นมาให้กับทีมงาน น้อมใจเห็นภาพนั้นถึงกับขนลุก

“เดี๋ยวหยุดภาพสิ” น้อมใจบอกกับเรกะติที่กำลังตรวจเช็คภาพ

“ทำไมคะแม่ภาพไม่ดีเหรอคะ”

“ไม่ใช่เร เรลองซูมภาพทางซ้ายจอออกมาหน่อยสิ ตรงมุมเหลี่ยมปราสาทแถวๆ บริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น”

“ค่ะแม่” เรกะติซูมภาพตามที่น้อมใจบอกกับเธอ

“ซูมเข้าไปอีกลูก ตรงข้างๆ ปรางค์ด้านซ้าย นั่นแหละอีกนิดหยุด” น้อมใจสั่งให้หยุดภาพ

“แล้วย้อนกลับไปสักห้าวิแต่อยู่ในมุมเดิม”

ภาพที่ทีมงานเห็นและต้องตกตะลึงขนลุกซู่ก็คือภาพที่น้อมใจได้เห็นก่อนหน้านี้ ภาพของหญิงสาวส่งรอยยิ้มเยือกเย็นมาให้ทางทีมงาน แต่ที่สำคัญบนยอดปรางค์ปราสาทแห่งนั้นไม่มีที่สำหรับยืนมันเป็นพื้นที่ว่างโล่ง อย่าว่าแต่ยืนเลยแค่ปีนขึ้นไปบนนั้นมักก็ยากลำบาก

คนของทีมงานพยายามจะจับภาพจากมุมสูงแบบนั้นแต่ก็ทำไม่ได้เพราะทางทีมงานไม่ได้เอาเครื่องมือหนักหรือลิฟท์เครนไปด้วย เนื่องจากไม่ต้องการที่จะทำให้โบราณสถานที่ตนเองไปถ่ายทำเกิดการกระทบกระเทือนหรือถูกขุดเจาะอะไร

ดังนั้นภาพที่ได้จึงเป็นภาพดิบจริงๆ ที่ ยังไม่ได้รับการตัดต่ออะไร

“ใครเล่นตลกอะไรหรือเปล่า” น้อมใจเสียงกร้าวเพราะเธอเริ่มไม่นึกสนุกกับการแกล้งกันแบนี้

“ไม่มีครับบอสพวกผมยังไม่ได้ทำอะไรกับเทปม้วนนี้เลย”

“แล้วภาพมันมาได้ยังไงกัน ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะมุมภาพนี้มันเป็นมุมภาพที่สำคัญที่สุดขององค์ปรางค์ปราสาท ถ้าไม่มีภาพนี้ก็เท่ากับว่าพวกเราต้องกลับไปถ่ายซ่อมใหม่ แล้วไอ้ภาพนี้ถ้าปล่อยผ่านให้หลุดออกไป เกิดมีใครเห็นเหมือนที่ฉันเห็น ไม่เป็นข่าวใหญ่โตเหรอว่าทีมงานฉันจับภาพนางอัปสรตัวเป็นๆ ได้ ฉันไม่อยากมีชื่อเสียงในเรื่องแปลกๆ แบบนี้นะ” น้อมใจโวยวายลั่นห้องตัดต่อ

แม้ว่าน้อมใจจะเป็นคนใจเย็นกับทุกเรื่องแต่สำหรับเรื่องงานน้อมใจไม่เคยไว้หน้าใคร งานของเธอต้องออกมาดีและดีที่สุด

“แม่คะใจเย็นๆ สิคะแม่คงไม่มีใครกล้าแกล้งพวกเราหรอกคะ” เรกะติพยายามทำให้น้อมใจลดความร้อนแรงทางอารมณ์ของเธอลงอีกนิด

“จะให้เย็นได้ไงเร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ งานทั้งงานมันพังเพราะไอ้ภาพนี้”

“แต่ไม่มีใครแตะต้องเทปม้วนนี้เลยนะครับนาย” นิพนธ์พยายามจะอธิบายว่าไม่มีใครมาทำอะไรกับเทปม้วนนี้เพราะทุกคนก็เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยก็แยกย้ายกันพักผ่อนคงไม่มีใครกล้าหาญที่จะมากลั่นแกล้งทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้

“ไม่มีใครแตะแล้วมันมีภาพแบบนี้ออกมาได้ไง”

“แม่คะแม่ใจเย็นๆ แม่ลองดูสิค่ะว่าผู้หญิงในภาพหน้าตาเหมือนใคร” เรกะติตั้งสติได้เธอจ้องมองไปยังภาพนั้น แม้ว่าเมื่อซูมเข้าไปชัดๆ แล้วภาพจะแตกเป็นจุดๆ บ้างแต่เค้าความงามของคนในภาพบอกให้รู้ว่าใบหน้าในภาพนั้นมันเหมือนกับใบเงิน

“ใบเงิน ใช่เรใบเงินจริงๆ ด้วย เรไหนลองหาภาพที่ลูกถ่ายนางที่ขี่กวางออกมาสิ” จากนั้นทีมงานก็ระดมกันหาภาพของนางฟ้าที่ขี่กวางจากอีกปราสาทขึ้นมา

“ลอง Crop เอามาเทียบกันสิ”

นิพนธ์จัดการทำการตัดต่อภาพให้กับเจ้านายผู้เอาแต่ใจของเขา เมื่อจัดการเอาภาพสองภาพมาวางเคียงกัน นิพนธ์ก็ตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ได้เห็น

“เรลูกมีภาพของหนูใบเงินถ่ายติดไว้บ้างหรือเปล่า”

“มีค่ะแม่”

“งั้นเอามาให้นิพนธ์เดี๋ยวนี้” น้อมใจสั่งลูกสาวของเธอทันทีเธอต้องการที่จะรู้ว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นมันคืออะไรพิสูจณ์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์หรือไม่เธอไม่เคยเชื่อเรื่องไศยศาสตร์อะไรทั้งสิ้น โลกพัฒนามาจนถึงศตวรรษที่ยี่สิกว่าๆ แล้ว จะให้หันหลังกลับไปเชื่อเรื่องงมงายอีกคนอย่างน้อมใจทำไม่ได้อย่างแน่นอน

เรกะติหยิบม้วนเทปที่เธอแอบถ่ายใบเงินตอนสอนหนังสือก่อนที่เธอจะเดินทางไปป่าต้องห้ามออกมายื่นให้กับนิพนธ์ เธอไม่คิดว่าจะมีใครสนใจที่จะดู เพราะเธอแอบถ่ายทุกอริยาบถของใบเงินเก็บไว้ดูเอง มันออกจะดูแปลกและละลายละล้วง แต่เธอชอบที่จะได้เห็นใบเงิน เพราะเธอรู้สึกว่าทุกท่วงท่าทุกการกระทำของใบเงินนั้นน่ามองน่าประทับเก็บไว้ในความทรงจำ

“นี่ค่ะคุณนิพนธ์” เรกะติยื่นเทปให้กับนิพนธ์เพื่อทำตามคำสั่งของน้อมใจ

“คุณนิพนธ์หาท่าทางหรือการผินใบหน้าของหนูใบเงินให้เหมือนกับรูปทั้งสองรูป แล้วเอามาเปรียบเทียบกัน” น้อมใจสั่งอีกครั้ง

นิพนธ์จักการทำตามคำสั่งของนายเขาเลือกรูปของใบเงินที่เกือบๆ จะคล้ายรูปของผู้หญิงประหลาดและนางฟ้าขี่กวางมาจัดเรียงไว้ในหน้าเดียวกัน เมื่อได้เห็นทีมงานทั้งหมดก็ต้องตะลึงครั้งที่เท่าไหร่ไม่มีใครนับ

ผู้หญิงลึกลับนางฟ้าขี่กวางและใบเงินเหมือนกันราวกับฝาแฝด เพียงแต่ใบเงินนั้นมีใบหน้าที่เรียวและผอมกว่าคางยาวกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

“น่าประหลาดมากๆ” น้อมใจครางออกมา

“เรติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์เขมรให้แม่ด่วนเลยลูกแม่อยากรู้ว่ารูปนางฟ้ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังมาจากไหน

“ค่ะแม่เดี๋ยวเรจะจัดการให้”

“ขอด่วนและด่วนที่สุดนะลูกแม่จะตีแผ่เรื่องนี้ถ้ามันมีมูลความจริง”

เรกะติเองก็อยากรู้เรื่องราวต่างๆ ไม่ต่างจากน้อมใจเช่นกันเธอต้องการจะรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ๆ ก็โผล่มาที่ข้างๆ ปรางค์ปราสาท และมีใบหน้าละม้ายกับใบเงินคนนั้นเป็นใครเช่นกัน อาการร้อนรนของเรกะติแสดงออกให้น้อมใจเห็นได้อย่างชัดเจน น้อมใจเข้าใจลูกที่เธอเลี้ยงมากับมือหากเรกะติยังมีสิ่งที่ค้างคาใจก็จะไม่มีวันยอมลามือ น้อมใจเองก็เช่นกัน

สองแม่ลูกครุ่นคิดและกังวลกับเรื่องที่พวกเธอประสบมันไม่ใช่ผีสาง แต่เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อก็ไม่อยากจะลบหลู่ น้อมใจและเรกะติรู้ดี สิ่งที่เธอจะขุดคุ้ยต่อไปนี้อาจนำมาซึ่งการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตก็เป็นได้

... จบบทที่ ๘ …



Create Date : 28 สิงหาคม 2551
Last Update : 28 สิงหาคม 2551 10:43:57 น. 6 comments
Counter : 280 Pageviews.

 
เขียนดีค่ะ แน่ใจหรือว่าคุณไม่ใช่เข้าวัดวา

เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เลย ถ้าลงเร็วกว่านี้คงเข้าสมัยกันน่าดู

รออ่านตอนต่อไปนะคะ ว่าเรจะทำยังไงถ้ารู้ความจริง ว่าใบเงินจะต้องไปอยู่ ณ อีกดินแดนหนึ่ง ที่ตนไม่สามารถติดต่อได้ นอกเสียจาก...... (คิดคนเดียวดีกว่า)


โดย: ต้นรัง IP: 118.172.167.128 วันที่: 28 สิงหาคม 2551 เวลา:11:33:50 น.  

 
ขยันจังน๊า
สู้ๆ



โดย: พลังชีวิต วันที่: 28 สิงหาคม 2551 เวลา:11:54:51 น.  

 
กำลังเช้มข้นเลยว่าไหม๊ค่ะคุณทั้งสอง


โดย: หมอก IP: 124.121.67.56 วันที่: 28 สิงหาคม 2551 เวลา:13:35:10 น.  

 
คุณหมอก คุณเชียร์ให้คุณผิงดาวเขาเขียนให้จบแบบไหนค่ะ ระหว่าง
1. มีความท้วนหน้า หม่อมแม่ตามะแนได้ไปเกิดที่ชอบๆ แม่หญิงใบเงินได้ครองรักกับน้องหญิงเรกะติกในดินแดนไร้กาลเวลา หรือ



2. พี่ใบเงินต้องอยู่ดินแดนลึกลับเพียงลำพัง เรกะติกนั่งร้องให้ที่ผาเดียวดาย ลำพัง หรือ


3. พี่ใบเงินเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่ก้าน น้องเรฟัง แล้วตัดสินใจไม่ไปดินแดนลึกลับนั่น ให้หม่อมแม่อยู่ค้างฟ้าต่อไป


ขำๆ นะคุณผิงดาว อย่าถือกันนา




โดย: ต้นรัง IP: 118.172.167.214 วันที่: 28 สิงหาคม 2551 เวลา:21:37:59 น.  

 
เอ่อ พิมพ์หล่น แถมผิด
ข้อ 1. มีความสุขถ้วนหน้า

555

ขำความคิดตัวเองอ่ะ

แต่ขอจบสวยๆ นะคะ


โดย: ต้นรัง IP: 118.172.167.214 วันที่: 28 สิงหาคม 2551 เวลา:21:41:26 น.  

 
555555555555

ขำๆ ค่ะ ไม่เครียด หรอกคุณต้นรังขา


อะลองโหวดคะ แต่จะบอกว่าฉันเขียนจบแล้ว แต่ ยังไม่ได้ เกลา เท่านั้นเอง เพราะหากโพสไป ก็ต้องแก้ไขอยู่ดี ถ้าจะตามไปดู ที่แก้ไข นิดๆ หน่อยๆ เพิ่มเติมบางตอนติดตามได้ที่เด็กดีนะคะคุณต้นรัง

ฉันเขียนไว้ เหมือนๆ จะเอาข้อ1+2+3 เลยนะรนี่ เห่อๆๆ

ขอดูโหวดหน่อยแล้วกันคะ เพราะยังไม่ได้โพส แก้ไขได้อีกเรื่อยๆ

จริงปะ จ๊ะ


โดย: รันหณ์ วันที่: 28 สิงหาคม 2551 เวลา:22:40:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.