It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้น แนวยูริื : กาลนาน บทที่ ๔

บทที่ ๔

จากภาพที่ปรากฏตรงหน้าบริเวณสนามหน้าโรงเรียนปรากฏเป็นภาพของหินศิลาอยู่บนยอดของดินบางส่วน ราวกับเป็นประติมากรรมธรรมชาติเช่นแพะเมืองผีหรือเสาดินที่อำเภอนาน้อย ดินบริเวณโดยรอบโดยฝนชะล้างทิ้งไปให้หลงเหลือเพียงแท่งศิลาเหล่านั้นผุดขึ้นมา ดูไปราวกับว่าแผ่นศิลาเป็นดอกเห็ดที่เป็นผลจากฝนตกเมื่อคืนที่ผ่านมา

ตรีทิพย์คว้ากล้องที่เธอคล้องคอออกมาถ่ายภาพที่เธอเห็นไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเธอกว่าจะได้หลักฐานทางประวัติศาสตร์สักชิ้นต้องใช้ทั้งแรงคนและเงินจำนวนมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นเล็กๆ สักชิ้น แต่นี่เพียงแค่ฝนตกคืนเดียวเท่านั้น แผ่นศิลาก็ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด

แผ่นศิลาเป็นเหมือนจิกซอว์ที่จะนำทางไปสู่การเปิดเผยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากหลักศิลาเมืองสุโขทัยทำให้เรารู้ว่าในสมัยพ่อขุนรามคำแหงผู้คนดำเนินชีวิตอย่างไร ค้าขายอย่างไร และติดต่อสัมพันธ์กับเมืองใดบ้าง

และแผ่นศิลาที่ตรีทิพย์เห็นอยู่กระจัดกระจายมากมายเหล่านี้เล่า จะบอกประวัติของเวียงกุมกามเมื่องใต้พิภพที่สาปสูญมานานแห่งนี้ได้มากแค่ไหน ไม่ต้องบอกว่าความรู้สึกดีใจของนักโบราณคดีอย่างตรีทิพย์จะเป็นเช่นไร เธอดีใจจนออกนอกหน้า รอยยิ้มผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าที่เคร่งขรึมของตรีทิยพ์จนทศพลเพื่อนรักของเธอสังเกตได้

“ยิ้มยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเลยนะคุณตรี”

“แน่นอนสิคุณทศหรือว่าคุณไม่ดีใจที่อยู่ๆ หลักฐานที่เราพยายามตามหามาตลอดเวลาหลายเดือนมันเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยจริงๆ นะ”

“สงสัยวันนี้ผมจะไม่ได้ดื่มกาแฟสดฟรีแล้วมั๊งนี่”

“แหมเห็นใจคนที่รอคอยบ้างสิคะกว่าจะได้เห็นอะไรที่เรารอคอยแบบนี้คุณก็คงรู้ว่ามันยาวนานแค่ไหน อีกอย่างนะคุณถ้าเรารออะไรมานานแสนนานเมื่อเราได้พบกับสิ่งที่เรารอคอยความรู้สึกเหมือนกับโลกทั้งโลกเป็นของเรา”

“ก็เข้าใจครับ งั้นเอางี้ดีกว่าเดี๋ยวผมไปซื้อกาแฟมาให้ และผมก็จะรอคอยให้คุณเลี้ยงกาแฟผมบ้างดีไหมเผื่อว่าวันที่คุณเลี้ยงกาแฟผม ผมจะได้รู้สึกแบบคุณบ้างว่าโลกทั้งโลกเป็นของผมเหมือนกันดีไหมครับ”

“โหคุณทศคุณก็พูดเกินไปแค่เลี้ยงกาแฟแก้วสองแก้วทำอย่างกับว่าคุณเจอแหล่งขุมทรัพย์เลยนะนั่น”

“ก็หรือไม่จริงล่ะคุณตรีผมว่างมเข็มในมหาสมุทรยังง่ายกว่าหาเวลาว่างให้คุณไปนั่งดื่มกาแฟกับผมซะอีก ผมคงโชคไม่ดีนึกว่าจะได้กินฟรีแล้วเชียวอดจนได้”

“อะจ้างั้นคุณไปซื้อกาแฟเถอะตรีขอเข้มๆ หน่อยนะคะ ไม่ต้องเติมนมมากนักเดี๋ยวแม่ค้าจะบีบจนไม่เหลือให้ลูกค้าคนอื่น”

“โอเช กาแฟรสขมม่ายส่ายนมเยอะ จะจัดให้คร๊าบทั่น” ทศพลล้อเลียนตรีทิพย์ด้วยการโยกตัวไปมาแถมยังยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่าประคองหน้าอกแบนราบของเขา

ทศพลรู้ดีว่าเมื่อเวลาที่ตรีทิพย์ทำงานเวลากินแทบจะไม่มี อย่าถามถึงเวลานอนเลย เขาเคยเห็นตรีทิพย์ผู้หญิงบ้างานคนนี้นั่งทำงานหามรุ่งหามค่ำเมื่อคราวที่ขุดพบเมืองโบราณแถวๆ ทางภาคอีสาน งานไม่เสร็จตรีทิพย์ไม่มีวันเอนกายลงนอน เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตรีทิพย์ถึงได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กับงานมากมายถึงเพียงนี้

เมื่อตรีทิพย์อยู่ในโลกของงาน โลกภายนอกไม่สามารถเข้าไปแทรกตรีทิพย์กับงานของเธอได้แม้สักวินาทีเดียว ทศพลเดินคอตกจากมา เขารู้ว่าจากนี้ไปนับเวลาเป็นเดือนๆ เขาจะไม่ได้พูดคุยเล่นกับตรีทิพย์อย่างแน่นอนหากตรีทิพย์ยังไขปริศนาจิกซอว์หินศิลาหลายชิ้นที่เขาเห็นอยู่บนลานดินกว้างนั้นไม่ออก

............

ตรีทิพย์พยายามแกะอักษรเหล่านั้นบนแผ่นศิลา อักษรที่ปรากฏไม่เหมือนอักษรที่ตรีทิพย์นั้นเคยเห็น เธอจัดการเก็บรวบรวมอักษรเหล่านั้นเป็นหมวดหมู่ แบ่งตามความรู้ที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมา ถ่ายรูปศิลาเหล่านั้นและสั่งให้ขยายเท่าของจริงและให้นำกลับมาให้เธอโดยด่วน ไม่ว่าจะเสียงเงินเท่าไหร่ก็ยอมขอให้ได้งานด่วน นั่นคือนิสัยของตรีทิพย์ จากนั้นเธอก็นำรูปเหล่านั้นมาตัดไปตามรูปของศิลาที่ปรากฏ

ตรีทิพย์รู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นั้นมันท้าทายกับความสามารถของตัวเองมากแค่ไหน อักษรที่ปรากฏนั้นมีทั้งอักษรมอญ อักษรไทยปนมอญและอักษรสุโขทัย ทำให้ตรีทิพย์ไม่สามารถที่จะนำอักษรเหล่านั้นมารวมกันให้เป็นหนึ่งเดียวได้

ตรีทิพย์จัดการลงทะเบียนศิลาเหล่านั้น จัดเป็นหมวดหมู่ตามอักษรที่ปรากฏบนแผ่นศิลา จากนั้นก็ลอกลายออกมาอย่างแผ่วเบา ราวกับว่ากลัวว่าศิลาเหล่านั้นจะบอบซ้ำ เธอจัดการเก็บรวบรวมลงในกล่องไม้ใบเขื่องที่เธอเก็บศิลาที่ทีมงานได้พบแผ่นแรกไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน และปิดกล่องลงช้าๆ พร้อมกับล็อกด้วยกุญแจที่มีเพียงเธอเท่านั้นเป็นผู้เก็บรักษา

ตรีทิพย์หมกมุ่นอยู่กับกองเอกสารและภาพถ่ายมาทั้งวัน ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า

“หรือว่าศิลานี้จะเป็นเหมือนศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง มีสี่ด้านกันหว่า” ตรีทิพย์บ่นกับตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่เธอก็จำไม่ได้ เพราะตั้งแต่เช้าเธอได้แต่พูดกับตัวเองมาโดยตลอด จนคนที่อยู่ด้านนอกนั้นคิดว่าตรีทิพย์เป็นบ้า ชอบพูดคนเดียว จะมีก็แต่ทศพลเท่านั้นที่รู้ว่าการพูดคนเดียวของตรีทิพย์เป็นเหมือนคำถามจากตัวเองส่งไปถึงสมองให้พยายามหาคำตอบออกมา

“คุณตรีไม่พักสัหน่อยเหรอจะเย็นแล้วคุณยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ” ทศพลเดินเข้ามาถามด้วยความห่วงใย

“อีกนิดคุณ อีกนิดเดียวจะเสร็จแล้ว” ตรีทิพย์ตอบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองทศพลเลยสักนิด

“ขอให้นิดอย่างที่คุณว่าเถอะงั้นเดี๋ยวผมไปซื้อข้าวกล่องมาให้คุณก็แล้วกันนะ” ทศพลบอกและเดินจากมา เขาไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากตรีทิพย์ เขาเข้าใจคนอย่างตรีทิพย์เป็นอย่างดี ไม่เสร็จไม่มีวันละวาง

ทศพลกลับมาพร้อมกับถุงใส่ข้าวกล่องในมือของเขา

“คุณตรีผมวางไว้ตรงนี้นะว่างก็มากินด้วยผมไปล่ะ มีนัดกินเหล้ากับคุณนิพนธ์” เขาวางถุงข้าวไว้ข้างๆ แก้วกาแฟที่ตนเองเป็นผู้ซื้อมาให้กับตรีทิยพ์เมื่อตอนกลางวันแต่ดูหมือนว่าตรีทิยพ์นั้นจะยังไม่ได้แตะต้องแก้วกาแฟที่เขาซื้อมาเลยสักนิด

ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากตรีทิพย์เช่นเคย

“ผู้หญิงอะไรบ้างานชะมัด ระวังจะขึ้นคานนะคุณ แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน”

เสียงตอบรับก็คือความเงียบอีกเช่นเคย ตรีทิพย์เดินวนไปวนมาปากก็คาบดินสอเหมือนๆ กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ทศพลรู้ดีว่าเวลานี้สำหรับตรีทิพย์ไม่ใช่เวลาว่างที่จะมาเล่นหัวอะไรกับเขาอีกแล้ว และคงอีกนานเลยจริงๆ ที่ตรีทิพย์จะว่ามาคุยเล่นกับเขาอีกครั้ง

................

ตรีทิพย์เหนื่อยล้าทั้งสมองและร่างกายเธอตัดสินใจเดินออกไปสูดอากาศด้านนอก ดูเหมือนว่าท้องฟ้าในคืนนี้จะไร้เงาตะคุ่มของเมฆฝน สามทุ่มแล้วบ้านที่อยู่รอบๆ บริเวณก็ปิดไฟนอนกันหมด ลุงยามยังคงเดินตรวจรอบๆ บริเวณ

ตรีทิพย์กระชับกระบอกไฟฉายอันโตของเธอให้เข้ากับมือเรียวนั้นเป็นมั่นเหมาะ และค่อยๆ ก้าวที่ละก้าวอย่างมั่นคง เดินไปที่บริเวณสนามที่เมื่อเช้าได้พบกับแผ่นศิลา มองไปรอบๆ บริเวณอยากจะพบกับแผ่นศิลาอีกสักแผ่นหรือสองแผ่น จิกซอว์ยังไม่สมบูรณ์ คืนนี้เธอกะว่าจะอ่านอักษรตัวนั้นและเขียนออกมาเป็นภาษาปัจจุบันสักแผ่นหรือสองแผ่นจึงจะพักผ่อน

แต่ตอนนี้ขอมาเดินดูบรรยากาศด้านนอกสักหน่อย ท้องฟ้าโปร่งๆ แบบนี้ ดาวมากมายขนาดนี้ ไม่ได้เห็นง่ายๆ ในตัวเมืองที่มีแสงไฟจากท้องถนน

“กลิ่นดอกไม้อะไรหอมจัง” ตรีทิพย์พูดกับตัวเอง เธอได้กลิ่นดอกไม้ที่ไม่เคยได้กลิ่นและเดินตามกลิ่นนั้นไปจนถึงบ้านของอุ้ยหนานคำ

“ไม่น่าเชื่อกลิ่นดอกสารภีจะหอมได้ขนาดนี้”

“ไผมายืนตังปู้น” เสียงของชายชราเอ่ยทักออกมาทำเอาตรีทิพย์ถึงกับสะดุ้ง เพราะเธอไม่คิดว่าจะมีคนยืนอยู่ใต้ต้นสารภีต้นเดียวกับเธอ

“ตรีเองคะพ่ออุ้ย คนที่มาหาพ่ออุ้ยเมื่อวานนี้”

“อ๋อคุณก๋าเชิญๆ เข้ามาตังในบ้านก่อนเอาก่อ” ชายชราเอ่ยชักชวนตรีทิพย์ให้เข้ามาในบ้านของเขา

“ได้ค่ะพ่ออุ้ย” ตรีทิพย์เองก็รับคำเชิญอย่างว่าง่าย

“จังใดเดินมาตางนี้ได้ล่ะคุณ” เจ้าของบ้านเป็นประตูรั้วต้อนรับตรีทิพย์อย่างเต็มใจ

ตรีทิพย์เดินตามชายชราไปนั่งอยู่ใต้ถุงบ้านยกสูงหลังนั้น

“เดินตามกลิ่นดอกไม้มาคะพ่ออุ้ย”

“หอมเน้อดอกสารภี”

“ค่ะหอมมากจนไม่คิดว่าเป็นกลิ่นดอกสารภี” ตรีทิพย์หลับตาและสูดกลิ่นของดอกสารภีเข้าไปเต็มๆ ปอด

“เมินละตี๋บ่ได้หันมันออกดอก”

“นานๆ จะออกดอกสักครั้งหรือคะพ่ออุ้ย”

“เมินขนาดต้นนี้เมินๆ ออกดอกเตี้ยนึ่ง”

“ปกติไม่ได้ออกดอกทุกปีหรือคะ”

“ต้นอื่นก่าออกกุปี๋หนาแต่ต้นนี้เป็นจะไดบ่ฮู้เมินๆ ตึงออกเตี้ยนึ่ง มันคงแก่แล้วกี่ปี๋แล้วก่าบ่ฮู เกิดมามันก่าอยู่ตี๋นี่แล้ว”

“โห แสดงว่านานมากๆ เลยสิคะพ่ออุ้ยตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วคะ”

“แฮมสองปี๋ครบร้อยปอดี”

“อู้วเก้าสิบแปดยังแข็งแรงอยู่เลยนะคะพ่ออุ้ย”

“กิ๋นกำน้อย ยะก๋านไป๋เรื่อยๆ ก่าบ่ามีโรคอายุก่ายื่น คนเฒ่ายะหยังนักบ่าได้”

“แล้วนี่พ่ออุ้ยยังไม่นอนอีกเหรอคะ ดึกแล้ว”

“คนเฒ่าเนอะนอนน้อยกิ๋นน้อย ยะก๋านน้อย ปักโฮกเต๋มตั๋วหมดแระ”

“พ่ออุ้ยทำอะไรบ้างล่ะคะ”

“ก่านั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ”

“หนังสืออะไรคะ” พ่ออุ้ยหนานคำหยิบสมุดใบลานออกมาให้ตรีทิพย์ดู

ตรีทิพย์พึ่งจะรู้ว่าพ่ออุ้ยหนานคำคนนี้อ่านภาษาล้านนาออก เพราะหนังสือที่เขียนลงบนใบลานนั้นเป็นภาษาล้านนาที่คนสมัยใหม่ไม่เคยร่ำเรียนหรืออ่านออก

“พ่ออุ้ยเก่งนะคะอ่านภาษาเก่าๆ นี้ออกด้วย”

“สมัยปู้นเปิ้นสอนในวัด ป๋ออุ้ยก่าไปเฮียนกับเปิ้น หนังสือไทยใหม่อ่านบ่าออกหรอก”

“อ๋อแบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนี้ตรีมีเรื่องให้พ่ออุ้ยช่วยจะได้หรือเปล่าคะ พอดีตรีมีเอกสารบางอย่างเขียนเป็นตัวล้านนาอยากให้พ่ออุ้ยแปลให้ตรีหน่อย”

“ได้ก่าอินายน้อยคนปะเก่าอย่างเฮายะก๋านยะงานได้กะดีแล้ว”

“ขอบคุณนะคะพ่ออุ้ยดึกแล้วตรีไม่รบกวนพ่ออุ้ยแล้วนะคะให้พ่ออุ้ยพักผ่อนดีกว่า งั้นตรีลานะคะพ่ออุ้ย”

“ไปดีมาดีเน้อ บ่าไปส่งหนาแข็งขามันแข็งหมด”

“ค่ะพ่ออุ้ยไม่ต้องไปส่งตรีหรอกคะ เดี๋ยวตรีจะปิดประตูรั้วให้” ตรีทิพย์เดินออกมาจากบ้านของพ่ออุ้ยหนานคำ ระหว่างที่เธอกำลังปิดประตูรั้วนั้นสายตาของเธอก็เหลือบไปเป็นต้นสารภีที่อยู่ข้างๆ ประตู เธอสังเกตเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้โอบแทบจะไม่รอบแถมยังมีผ้าสีผูกติดไว้ด้วย ด้านข้างๆ กันมีศาลเล็กๆ ปลูกอยู่คู่กัน

“ต้นนี้สินะที่เจ้านางแสงคำลอยไปปะทะจนสิ้นชีพ เรานี่นะเอาเรื่องความฝันมาปนกับความจริง ท่าจะบ้าอย่างที่เค้าว่ากันจริงๆ ด้วยสิเรา”

ตรีทิพย์เดินกลับไปยังที่พักของเธอพร้อมกับรอยยิ้มที่นึกขบขันตัวเอง ที่เอาความฝันกับความจริงมาปะปนกัน

.....................

ระหว่างทางเดินกลับที่พักตรีทิพย์เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวัยไล่เลี่ยกับเธอเดินนำหน้าเธอไปยังที่พักของเธอ เธอเดินตามไปได้สักพักผู้หญิงคนนั้นก็หายไป

“จะว่าตาฝาดก็ไม่น่าใช่ ก็เดินตามมาอยู่ดีๆ หายไปไหนได้นะ หรือว่าบ้านอยู่แถวนี้”

ตรีทิพย์รีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป เธอต้องรีบกลับไปทำงานต่อให้เสร็จ เพราะงานของเธอสำคัญกว่าเรื่องใดๆ ทั้งหมด

แต่เมื่อเธอไปถึงที่พักก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวคนที่เธอเดินตามมานั้นนั่งทำหน้าแป้นแล้นอยู่ในที่พักของเธอ

“คุณเข้ามาได้ยังไง” ตรีทิพย์ร้องทักอย่างตกใจเพราะบริเวณที่พักของเธอนั้นเป็นเขตหวงห้ามคนภายนอกเข้ามาอย่างเด็ดขาด

“ก็เดินเข้ามาสิคะ ไม่เห็นจะยากเลย”

“ยามปล่อยให้คุณเข้ามายามวิกาลได้ยังไง หรือว่าแอบไปหลับยามที่ไหน”

“ยามก็ยังเดินยามอยู่นั่นแหละคะ แต่ฉันเข้ามาได้ก็แล้วกัน”

“แล้วคุณเข้ามาทำอะไรในนี้”

“ก็เข้ามาดูคุณทำงานสิคะ ว่าทำไปถึงไหนแล้ว”

“คุณมาดูทำไม ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณสักหน่อย”

“ทำไมฉันจะไม่เกี่ยวก็ฉันเป็นคนของที่นี่ เข้ามาดูการทำงานของคุณมันผิดตรงไหน”

“ถึงคุณเป็นคนที่นี่ แต่ก็ไม่มีสิทธิที่จะเข้ามาระหว่างที่พวกเรากำลังขุดค้นกันอยู่”

“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณไม่ได้ขโมยอะไรไป คุณอาจจะมีอะไรที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนแล้วเก็บเอาไปขายก็ได้ใครจะรู้”

“ฉันไม่ใช่พวกขายชาติแบบนั้นหรอกน่า”

“ฉันก็พูดได้ว่าฉันไม่ได้ขายชาติฉันไม่ได้เอาสมบัติใต้ดินไปขาย ใครๆ ก็พูดได้ทั้งนั้น”

“นี่คุณ บุกรุกเข้ามาแล้วยังจะมาพูดบ้าๆ แบบนี้อีกเหรอ”

“ก็หรือไม่จริง ถ้าคุณแน่จริงคุณต้องให้ฉันอยู่สังเกตการณ์สิ”

“ประสาทแล้วคุณก็บอกแล้วว่าที่นี่เป็นเขตหวงห้าม เค้าไม่ให้คนนอกหรือคนแปลกหน้าเข้ามา”

“ก็นี่ไงฉันเขามาแล้วคุณก็เคยเห็นฉัน แล้วตอนนี้ฉันก็ไม่ได้อยู่ข้างนอกด้วยฉันก็เลยไม่ได้เป็นคนนอก”

“จะบ้าไปกันใหญ่แล้วคุณ ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรือไงกัน”

สาวแปลกหน้าไม่ได้ต่อปากต่อคำกับตรีทิพย์อีก เธอเดินไปหยิบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและอ่านข้อความนั้นราวกับเป็นภาษาปัจจุบัน

“กุมกามไผใคร่ค้า ได๋ค้า ไผใคร่เฮียน ได๋เฮียน ไผจักยะก๋านใด อยู่ได้เนืองๆ”

“คุณว่าอะไรนะ” ตรีทิพย์ฉงนเมื่อสาวแปลกหน้าอ่านข้อความที่เธอพยายามแปลมาทั้งวันได้อย่างง่ายดาย

“ก็บอกแล้วว่าฉันเป็นคนที่นี่ ดังนั้นฉันก็เลยอ่านออกไงไม่เห็นจะยากอะไรเลย”

“คุณเป็นลูกศิษย์ของพ่ออุ้ยหนานคำหรอกเหรอ” ตรีทิพย์พอจะปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้บ้างแล้ว และเธอก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้คงเป็นลูกศิษย์หรือคนใกล้ชิดกับพ่ออุ้ยหนานคำอย่างแน่นอน

“ก็ไม่เชิงฉันเพียงแต่เคยเรียนภาษาล้านนามาบ้างก็เท่านั้น ถ้าฉันอ่านออกแบบนี้คุณถือว่าฉันเป็นคนในได้หรือเปล่าคะ”

“ก็โออะนะ” ตรีทิพย์ตอบเสียงอ้อมแอ้ม

สาวแปลกหน้าทำหน้าตาบ้องแบ๋วลอยไปลอยมาจนตรีทิพย์ชักรู้สึกโมโห และมีสีหน้าบูดบึ้งตอบกลับ

“ทำหน้าแบบนี้แก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ” สาวแปลกหน้าทำท่าทางล้อเลียนตรีทิพย์

“เอาอย่างนี้ คุณถ้าคุณอ่านได้จริงๆ ลองอ่านแผ่นนี้สิ” ตรีทิพย์ยื่นภาพถ่ายอีกรูปให้กับหญิงสาวคนนั้น

“ถ้าฉันอ่านได้คุณจะให้อะไรฉัน”

“อะไรก็ได้ให้ทุกอย่าง”

“แน่ใจนะ” ใบหน้านั้นยังลอยไปลอยมาอยู่ตรงหน้าของตรีทิพย์ แถมยังคงทำหน้าทะเล้นกับตรีทิพย์อีกด้วย

“แน่ใจฉันพูดคำไหนคำนั้น”

“งั้นดีฉันจะอ่านแล้วนะอย่าลืมสัญญาด้วยแล้วกัน เวียงแว่นแคว้นกุมกาม แปงบ้านแปงเมืองพร้อมพ่อขุนมังราย ยกพลพร้อมแปงเมือง” เสียงของหญิงสาวอ่านภาษามอญโบราณได้อย่างขัดเจน

“คุณอ่านได้จริงๆ ด้วย” ตรีทิพย์หยิบแผ่นกระดาษที่เธอพยายามแปลเป็นภาษไทย และเอามาเทียบเคียงกับคำพูดของสาวแปลกหน้า และเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อหญิงสาวคนนั้นอ่านออกมาได้ตรงกับที่เธอแปลขาดๆ เกินๆ ได้อย่างแม่นยำ

“ก็จริงนะสิใครว่าฉันพูดโกหกล่ะ อย่าลืมนะที่สัญญาไว้” สาวแปลกหน้ายังคงทวงคำสัญญาเช่นเดิม

“ไม่ลืมแน่ๆ ว่าแต่คุณจะขออะไร” ตรีทิพย์เริ่มอ่อนใจ เพราะหญิงสาวคนนี้ดูเหมือนว่าจะเล่นไม่เลิก แต่ก็ทำให้เธอไขปริศนาที่เธอพยายามไขมาทั้งวันออกอย่าง่ายดาย

“ฉันขอมาดูคุณทำงานทุกวันเท่านั้นเอง”

“เอ๊ยไม่ได้” ตรีทิพย์ร้องเสียงหลง

“ไหนว่าพูดคำไหนแล้วจะไม่คืนคำ”

“เปล่าคืนคำแต่มันผิดกฎ ถ้าใครมาเห็นว่าคุณกับฉันอยู่ด้วยกันฉันคงโดนรายงานแน่ๆ ว่าเอาคนนอกมาอยู่ในเขตหวงห้าม”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่คนนอก นี่คุณฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรือไงนะ” สาวแปลกหน้านำคำพูดของตรีทิพย์มาย้อนตรีทิพย์อีกครั้ง

“ไม่ใช่อย่างนั้นกฎก็ย่อมเป็นกฎ ฉันแหกกฎไม่ได้หรอกนะ”

“เอางี้ฉันจะมาโดยที่ไม่ให้ใครเห็น แล้วก็จะมาดูคุณทำงานทุกวันก็แล้วกัน คืนนี้ดึกแล้วฉันคงต้องไปก่อน อะๆ ไม่ต้องเดินมาส่งฉันหรอกส่งกันไปส่งกันมาไม่ต้องนอนกันพอดี” สาวแปลกหน้าร้องห้ามตรีทิพย์ที่กำลังจะขยับตัวเดินออกไปส่ง

“ก็ได้แต่ถ้ามีคนพบคุณแล้วจับไปส่งตำรวจฉันไม่รับผิดชอบด้วยนะ”

“ไม่ต้องห่วงไม่มีใครเห็นฉันแน่นอนรับรองได้ นอกจากคุณคนเดียวเท่านั้น ไปล่ะ เหนื่อยใจกับคนขี้เก๊กจริงๆ” พูดจบสาวแปลกหน้าก็เดินจากไป

“ชื่ออะไรไม่ได้ถามเลย เรานี่นะ ทำไมขี้ลืมแบบนี้ก็ไม่รู้” ตรีทิพย์กลับไปนั่งจดคำพูดของสาวแปลกหน้าลงในสมุดจดเพราะเธอกลัวเหลือเกินว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเธอจะลืมคำแปลที่สาวแปลกหน้าคนนั้นได้แปลไว้ให้ เพราะหากว่าเธอแปลเองคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ อย่างแน่นอน

..................

ภายนอกที่พักเห็นเงาตะคุ่มๆ ของตรีทิพย์เดินไปเดินมา พร้อมกับเสียงพูดคนเดียวในยามค่ำคืน

“คุณตรีท่าจะเป๋นเอามากเนอะสู”

“นั่นสิอู้คนเดียวก่าได้โตย จะอี้ไผหันคงกึดว่าเธอบ้าวะคิงว่าก่อ”

“นั่นกะ ยังสาวยังสวยหยังมาเป๋นผีบ้าได้ก่าบ่าฮู้เน๊อะ”

“ไปเต๊อะเดี๋ยวเปิ้นเดินออกมาก่าหันหมู่เฮามายืนมองเปิ้นจะมาไล่เหิบเฮาออกจากงานเน้อคิง”

“เออนั่นกะไปเต๊อะ เกือบเจ๋าแล้วกำเดียวก่อได๋ออกเวรละ ฮื้อเปิ้นอู้คนเดียวไปเต๊อะเฮายะก๋านฮื้อแล้วจะได้ปิ๊กไปนอนกั๋น ฮาง่วงขนาด”

สองยามที่เดินยามปล่อยให้ตรีทิพย์พูดเสียงดังๆ อยู่ในที่พักของเธอไปเรื่อยๆ เพราะพวกเขารู้มาโดยตลอดว่าตรีทิพย์นั้นชอบพูดอะไรลอยๆ อยู่คนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่แปลกที่จะได้เห็นตรีทิพย์พูดอะไรคนเดียวแบบนี้ในเวลาค่ำคืน

.................

รุ่งขึ้นเช้าตรีทิพย์หยิบเอกสารทั้งหมดที่เธอมีไปยังบ้านของพ่ออุ้ยหนานคำ เธอต้องการได้คำแนะนำจากพ่ออุ้ยหนานคำคนเก่าคนแก่ ที่สามารถอ่านภาษาล้านนาออกและเขียนได้ เธอถือว่าพ่ออุ้ยหนานคำเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญคนหนึ่งของแถวนี้เลยก็ว่าได้

เพราะนานๆ จะได้พบคนที่อ่านภาษาที่กำลังจะหายสาบสูญไปจากเมืองไทย ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาภาษาล้านนายังคงมีใช้กันโดยทั่วไป ผู้คนยังใช้ภาษาล้านนาเขียนลงในสมุดหรือจารลงใบลานเก็บไว้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของชนชาติ

แต่เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองและเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนโดยบังคับให้เรียนและเขียนแต่ภาษาไทยเท่านั้น คนที่อ่านออกเขียนได้แบบพ่ออุ้ยหนานคำก็ค่อยๆ ล้มหายตายจากลงไปทีละคนสองคน จนปัจจุบันแทบจะไม่เหลือคนที่มีความสามารถที่จะอ่านอักษรล้านนาอีกแล้ว

เป็นไปตามปกติของสังคม เมื่อถูกกลืนจากวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่า วัฒนธรรมที่เล็กกว่าก็จะสูญสลาย จะมีก็แต่คนที่เรียนหรือทำงานแบบตรีทิพย์เท่านั้นที่จะพออ่านออกบ้างเล็กๆ น้อยๆ โดยใช้การเทียบเคียงจากการเขียนที่คล้ายๆ กัน

ไม่ว่าภาษาไหนก็เหมือนกันหมดอย่าว่าแต่ภาษาล้านนาเลย แม่แต่ภาษาเฮโรกริฟฟิค ซึ่งเคยใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศอียิปต์สมัยโบราณยังถูกกลืนไปโดยภาษาโรมันและภาษาอาหรับ แล้วนี่แค่ภาษาล้านนาทำไมถึงจะถูกกลืนไปเพราะภาษาไทยที่ใช้กันดาษดื่นทั้งประเทศไม่ได้เชียวหรือ

“พ่ออุ้ยอยู่หรือเปล่าค่ะตรีเองค่ะ”

“อยู่เปิดประตูเข้ามาเองเน้อ” เสียงชายชราที่ตอบกลับมาทำให้ตรีทิพย์เปิดประตูเข้าไปในบ้านของชายชราและไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ศาลที่อยู่ข้างๆ ต้นสารภีต้นนั้น

“มาแต่เจ๋าเน้ออินาง”

“ค่ะ ก็อย่างที่บอกพ่ออุ้ยไว้เมื่อวานว่ามีเรื่องจะรบกวนพ่ออุ้ยให้ช่วยอ่านอักษรนิดหน่อย”

“ได่ก่าอันหยังน้อลองผ่อก่อนเน้อ”

ตรีทิพย์หยิบรูปถ่ายออกมายื่นให้กับพ่ออุ้ยหนานคำได้ดู พ่ออุ้ยยื่นมืออันสั่นเทาของเขาไปรับรูปจากมือของตรีทิพย์ขึ้นมาดู

“อักษรโบราณขนาดนัก”

“ใช่ค่ะ โบราณจนตรีอ่านบางคำไม่ออก เพราะไม่มีในพจนานุกรมที่พวกฝรั่งเขียนเอาไว้”

“แปลกเนอะภาษาบ้านเฮาต้องฮื้อฝรั่งมาแป๋ฮื้อ”

“ฮ่าๆ นั่นสิคะ ภาษาบ้านเราแท้ๆ ต้องให้พวกฝรั่งมังค่ามาแปลไว้เป็นภาษาฝรั่งแล้วก็ต้องแปลกลับมาเป็นภาษาไทยอีกหน ยุ่งยากจริงๆ เลย”

“คนเฮาเน้อฮืมฮีตตั๋วเก่า บ่าเมินก่าได๋ฮืมตั๋วตนตั๋วเอง แฮมบ่าเมินเปิ้นก่าต๋ายละ บ่ามีไผยอมมาเฮียนภาษาสืบทอดอีกเล๊ย กึดแล้วก่าน้อยใจ๋นัก”

“พ่ออุ้ยไม่มีคนเรียนเหรอคะ แต่เอ๋เมื่อคืนมีผู้หญิงคนนึงเธอบอกว่าเป็นลูกศิษย์ของพ่ออุ้ยเมื่อคืนเธอยังช่วยตรีอ่านและแปลเอกสารอยู่เลยนะคะ”

“บ่ามี๋บ่าเกยมีไผเป๋นฮูกศิษย์สักเตี้ย”

“มีแล้วพ่ออุ้ยลืมหรือเปล่า”

“บ่าเกยแต้ๆ หนา มีแต่เปื้อนตี๋เกยเฮียโตยกั๋น แต่ก่าเป๋นฮุ่นสุดท้ายแล้ว จากนั้นมาก่าบ่าเกยมีไผเฮี้ยนแฮมเลย”

“เหรอคะ เอแล้วเธอเป็นใครกันนะ”

“บ่าต้องไปกึดนัก จะเอาอันไหนฮื้อป้ออ่าน”

“อ๋อนี่คะพ่ออุ้ย” ตรีทิพย์หยิบรูปที่เป็นอักษรโบราณของล้านนาออกมาให้พ่ออุ้ยหนานคำได้อ่านทวนอีกครั้ง เธอได้แปลมาแล้วเมื่อวานและเมื่อคืนแต่เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดเธอจึงต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างพ่ออุ้ยหนานคำได้แปลอีกครั้ง

ระหว่าที่คนสองวัยนั่งทำงานด้วยกันนั้นก็มีเสียงหัวเราะใสๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งลอยมาตามลม ตรีทิพย์พยายามจะเงี่ยหูฟังแต่ก็ไร้ผล ครั้งจะถามพ่ออุ้ยหนานคำเธอก็ออกจะเกรงใจ เพราะเธอรู้มาอย่างหนึ่งว่าคนสูงอายุนั้นมีเพียงอย่างเดียวที่ยังตึงอยู่นั่นก็คือการรับฟังเสียง เมื่อหูตึงทุกอย่างก็จบ ไม่ต้องได้รับรู้หรือได้ยินอะไรทั้งนั้น ตรีทิพย์เก็บความข้องใจไว้กับตัวเอง เสียงหัวเราะสนุกสนานนั้นยังคงดังแว่วมาไม่เลิกรา

… จบบทที่ ๔ ...



Create Date : 21 กันยายน 2551
Last Update : 21 กันยายน 2551 12:39:05 น. 0 comments
Counter : 456 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.