มาร่วมเปิดมุมมองที่ผ่านมา สาลิกาเริงร่าจะพาเพื่อน ๆ ท่องโลกผ่านตัวอักษรแล้ว
 
 

กระทู้ร้อนสื่อเมืองไทย หมอขลิบชุ่ย

หลังจากดูคุณหมอสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์คุณสรยุทธเรื่องขลิบเมื่อเย็นแล้ว
ฟังแล้วขนาดผมเป็นหมอเองยังรู้สึกว่าอาจารย์ตอบได้ไม่ดีเลยครับ
ตอบไม่ตรงคำถามและพาเข้ารกเข้าพงอีกต่างหาก
แถมทำให้คนดูทางบ้านยิ่งมองภาพพจน์หมอตกลงไปอีก
จริง ๆ เรื่องนี้มันเหตุสุดวิสัยตามที่ทุกคนรู้เหมือนอาจารย์รู้
แต่แค่คำขอโทษคำเดียว อาจารย์กลับไม่พูดแต่ตอบไปเกือบสิบนาทีโดยไม่หลุดคำนี้มาเลย ทั้งที่หมอเจ้าของคลีนิคเค้าก็พร้อมรับผิดชอบ
เลยทำให้หลาย ๆ คนดูแล้วยิ่งเครียดนะครับ

รู้ว่าโพสเสร็จ ต้องโดนถล่มแน่ ๆ แต่ก็ยอมครับ
แต่อยากให้หลาย ๆ คนใจเย็น ๆ ก่อน เพราะต้องแยกเป็นเรื่อง ๆ นะครับ


1. ในรายนี้ ปัญหาเกิดที่การสื่อสารจริง ๆ คือหมอเขียนอย่าง พยาบาลอ่านไปอีกอย่าง สุดท้ายน้องก็เลยเจ็บตัวไปและไม่หายปากเจ็บ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่สามารถฟ้องร้องคนทำได้นะครับ ถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายแม้จะไม่เจตนาก็ถือว่าเป็นคดีอาญาครับ แต่ถ้ามีเวชระเบียนที่ยืนยันว่าหมอเขียน excision จริง ๆ งานนี้คนที่โดนคือพยาบาลครับ เพราะหมอตามหลักการก็ถือว่าสั่งการรักษาถูกต้อง แต่คนรับคำสั่งแปลความหมายผิด (จากที่คุณหมอเองก็บอกตั้งแต่วันแรกแล้วว่าง่วงนอน แต่คุณแม่เด็กอยากให้รักษา คุณหมอเลยเขียนคำสั่งการรักษาไปให้เจ้าหน้าที่ทำให้ แต่คนอ่านดันเข้าใจไปอีกทาง)

2. หลายคนบอกว่าหมอก็ผิดที่ปล่อยให้พยาบาลทำ พยาบาลจะมาผ่าตัดได้อย่างไร อันนี้ต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่าพยาบาลที่ผ่านการอบรมมาแล้วอีกขั้นนึงหรือที่เรียกว่าพยาบาลเวชปฏิบัติ สามารถทำการผ่าตัดได้นะครับ เย็บแผล ฉีดยาได้หมด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะตามปกติโรงพยาบาลที่ตองเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และมีหมอไม่พอที่จะอยุ่เวรทั้งวันทั้งคืนได้ ก็อาศัยพี่ ๆ พวกนี้แหละครับ ช่วยทำการรักษาในคนไข้ที่ดูแล้วว่าไม่รุนแรง

3. หลายคนก็คงถามอีก ว่าแล้วการขลิบนี่นะ เป้นการผ่าตัดเล็กที่พยาบาลทำได้ อันนี้ต้องไปดูตามต่างจังหวัดเลยนะครับ ว่าเวลาที่มีการทำสุหนัดหมู่ของอิสลามตามมัสยิดนี่ ก็อาศัยพี่ ๆ พยาบาลที่ได้รับการฝึกนี่แหละครับ เป็นคนทำให้ โดยถือว่าเป็นเรื่องปกติเลยครับเวลาได้รับการติดต่อจากพวกกรรมการอิสลาม เพราะเด็ก 70 กว่าคน หมอมี 3 คน ยังไงก็ทำไม่ทันในหนึ่งวัน ก็ต้องอาศัยพี่ ๆ พวกนี้แหละครับ และบางคนยังทำเก่งกว่าหมอด้วยซ้ำ เพราะหมอบางท่านเพิ่งจบใหม่ นาน ๆ เย็บแผลที กับพี่พยาบาลที่เย็บแผลคนไข้มา 10 กว่าปี ประสบการณ์เชี่ยวชาญกว่าเยอะครับ อีกอย่างในรายนี้พอพยาบาลอ่านปุ๊บ ก็ทำให้ปั๊บ ก้แสดงว่าต้องเคยทำการผ่าตัดแบบนี้มาก่อน ถึงกล้าทำ เหมือนคนทั่วไปถ้าขับรถไม่เป็น แล้วมีคนโยนกุญแจให้ คุณจะกล้าขับหรือครับ

4.หลายคนออกมาบอกว่า คำว่า excision ที่แปลว่าตัด กับ circumcision ที่แปลว่าขลิบ ต่างกันตั้งเยอะ จะทำผิดได้อย่างไร คำตั้ง 3 กับ 4 พยางค์แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่าเวลาเขียนด้วยลายมือหวัด ๆ นี่คล้ายมากนะครับ ยิ่งถ้าใครเคยเห็นใบสั่งยาหมอนี่จะรู้เลยว่าลายมือหวัดแค่ไหน ซึ่งพบได้มากตามโรงพยาบาลต่างจังหวัดที่คนไข้เยอะ ๆ หมอก็รีบ ๆ ตรวจ ก็เลยติดเขียนหวัดเป็นนิสัย บางทียิ่งย่อยิ่งสั้น ยิ่งในคนไข้รายนี้ผมว่าหลังจากพยาบาลเห็น order แล้ว พออ่านเป็น circumcision ที่แปลว่าขลิบ และพอให้เด็กถอดกางเกงก็คงพบว่ามีหนังหุ้มอยู่ ก็เข้ากันได้กับคำสั่งการรักษา ก็เลยขลิบให้เด็กซะ เลยเป้นปัญหาอย่างคดีนี้ครับ

5.หรือเป็นการโยนความผิดให้พยาบาลหรือไม่ อันนี้ถ้าตามดูข่าวตั้งแต่วันแรก(ลองค้นดูนะครับ) ไม่มีใครบอกว่าหมอเจ้าของคลีนิคเป้นคนขลิบนะครับ เพราะแม่เด็กก็บอกว่าพอให้เด็กตรวจเสร็จ หมอก็สั่งการรักษา แม่ก็มารอด้านนอก จากนั้นเด็กก็ร้อง แม่ก็มาเจอ ก็ไปแจ้งความ หมอเจ้าของคลีนิคทราบเรื่องก็รีบไปพบตำรวจเพื่อขอรบผิดชอบ โดยบอกชื่อจริง นามสกุลจริงเรียบร้อย แต่ไม่ได้แจ้งชื่อผู้ที่ทำการผ่าตัด พร้อมยินยอมชดใช้ค่าเสียหายทุกอย่าง ดังนั้นคนที่ทำการผ่าตัดไม่ใช่หมอแน่ครับ

6.แล้วงานนี้แพทยสภาออกมาปกป้องหมอกันเองหรือไม่ ก็ถ้าพูดตามสิ่งที่เกิดจริง ๆ จะให้ลงโทษหมอตามข้อไหนครับ วินิจฉัยผิดก้ไม่ใช่เพราะก็บอกว่าเป็นฝีที่ปาก สั่งการรักษาผิดก็ไม่ใช่เพราะถ้าสั่งให้ excision ฝีที่ปากมันก็ถูกตามตำราการรักษา ใช้คนผิดก็ไม่ใช่เพราะพยาบาลก็ทำการผ่าตัดได้ แล้วถ้าพยาบาลอ่านผิดนี่หมอต้องติดคุกหรือครับ ซึ่งก้ไม่ make sense นะครับ แต่ถามว่าหมอต้องรับผิดชอบไหม อันนี้สิครับถึงจะถูก หมอต้องรับผิดชอบแน่นอนครับเพราะเหตุเกิดในคลีนิค หมอต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว และตามข่าวหมอก็เข้าคุยกับคุณแม่ของน้องตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ ก็ขอโทษและพร้อมรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นในคลีนิคทุกอย่าง แต่พอมาบอกสังคมกลับกลายเป็นแพทยสภาปกป้องกันเอง ก็อย่างที่เล่าครับว่าความผิดพลาดในการสื่อสาร คนส่งกับคนรับเข้าใจไม่ตรงกัน จะต้องให้แพทยสภาทำอย่างไรครับ บอกว่าผิดมหันต์ จำคุกตลอดชีวิตให้สะใจหรือ ถึงจะว่าแพทยสภาเข้าข้างประชาชน

7.สื่อสารมวลชนบ้านเราหรือเปล่าครับที่เป็นปัญหา เช่นไทยรัฐพาดหัวหมอชุ่ย ทั้งที่ไม่รู้ว่าหมอทำหรือเปล่า อีกฉบับบอกขริบชุ่ย ทั้งที่เนื้อข่าวก็ไม่ได้บอกว่าแผลมีปัญหาเพียงแต่ทำผิดวัตถุประสงค์ หรือบอกว่ากลัวเด็กมีปมด้อย แต่ทั้งพวกเล่าข่าวนี่คุยกันเป็นเรื่องตลก ช่องสามก็คุณสรยุทธถามย้ำอยู่สามรอบ ช่องเก้าคุณกนกก็เฮฮาในคนเล่าข่าวทั้งสีหน้าและน้ำเสียง แถมย้ำแล้วย้ำอีก เด็กเค้าจะได้เกิดเข้าวงการก็เพราะคุณ ๆ พวกนี้ไม่ใช่หรือครับ นี่หรือคือการเสนอแบบสร้างสรรและปกป้องเด็ก

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่ากระทู้นี้ผมไม่ได้บอกว่าหมอไม่ผิด
คุณหมอต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วครับ
และก็เท่าที่ตามข่าวก็คือตั้งแต่วันแรกคุณหมอก็เข้าไปคุยกับผู้เสียหายแล้วครับ
โดยยอมรับผิดและก็รับผิดชอบทุกอย่าง อันนี้คือสิ่งที่ถูกต้องและควรทำครับ
แต่ที่ผมตั้งกระทู้นี้ คือแค่อยากแปลภาษาที่ฟังไม่ค่อยเข้าหูของอาจารย์สมศักดิ์ ให้คนภายนอกเข้าใจบ้างครับ และไม่ค่อยสบายใจกับการทำงานของสื่อสารมวลชนบ้านเรา

คนไข้หรือชาวบ้านไม่รู้ พวกผมเข้าใจและพยายามอธิบาย
สื่อไม่รู้ ดันไม่ถาม แถมบางทีรู้แต่เสริมข่าว อันนี้น่าปลื้มไหมครับ
สังคมไทยเหมือนโดนสะกดจิตหมู่มาตลอด ให้เชื่อแต่สีสรรมากกว่าข้อเท้จจริง
สังคมอุดมปัญญา แต่สื่อใส่แต่ผักชีกับผงชูรสให้เกิดอารมณ์ร่วม
บอกปกป้องเด็ก แต่ทีวีถ่ายจู๋เด็กมาออกข่าว แลวบอกกลัวเด็กอาย
ข่าวดี ๆ คนรับรางวัล มีกรอบเท่าเสี้ยว ข่าวคนฆ่ากัน ข่าวเน่า ๆ ล่อซะครึ่งหน้าหนึ่ง
แล้วคิดว่าพวกเราที่อ่านข่าวกันทุกวันตั้งแต่เด้กจนโตจะเป้นแบบไหนครับ
มีใครเหมือนผมบ้างไหมครับ ที่ทุกวันนี้เวลาอ่านนสพ.แล้วรุ้สึกว่าบ้านเรามันดูสิ้นหวังไงไม่รู้
ลองเปลี่ยนเป็นเอาข่าวดี ๆ ลงหน้าหนึ่งเยอะ ๆ แล้วเอาข่าวอาชญากรรมลงหน้าหลังบ้างได้ไหมครับ ไม่ต้องตัดข่าว เพียงแต่สลับหน้าเฉย ๆ
เผื่อคนไทยจะพอมีกำลังใจในการต่อสู้วิกฤติมากขึ้นครับ

อ้อ อีกอย่างนะครับที่ว่าแพทยสภาปกป้องแต่หมอกันเอง
นั่นเพราะต้องถามว่าเราตามข่าวจากข้อเท้จจริงหรือตามจากสื่อใส่ไข่ครับ

คนไข้แพ้ยาโดยทีตัวเองก้ไม่รู้ สื่อบอกหมอชุ่ย ผลสอบคือแพ้ยาจริง ๆ แต่คนอ่านบอกปกป้องกันเอง

คุณดอกรักแพ้ยาแล้วตาบอด ทั่วโลกเกิดได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวมาก่อน สื่อลงหมอชุ่ยทำคนไข้ตาบอด พอผลสอบบอกแพ้ยาจริง คนอ่านว่าแพทยสภาปกป้องหมอ

คนไข้ไม่รุ้ว่าตัวเองเป็นโรคเลือดออกไม่หยุดมาตลอดชีวิต เจอหมอ หมอถามก็บอกไม่มีดรค พอถอนเสร็จเลือดออกไม่หยุด คนไข้ตาย สื่อลงหมอชุ่ยถอนฟันตาย ผลสอบคือเป้นโรคที่หมอไม่ได้ทำ แล้วคนอ่านว่าปกป้องกันเอง

ล่าสุดคนไข้ไปฝากท้อง ฉีดยาบาดทะยัก แล้วจากนั้นคนไข้มาฝากท้องแล้วเด้กแท้ง สื่อลงว่าหมอฉีดยาพลาดทำเด้กแท้ง มองตำราไหนในโลกครับว่าบาดทะยักหรือฉีดยาทำให้แท้งลุก ต่อให้ฉีดจนมิดเข็ม เด้กยังดิ้นเฉยเลย แล้วสื่อบอกประชาชนว่าไงครับ แล้วพอสอบเสร็จก็จะกลายเป็นแพทยสภาปกป้องกันเองอีกเพราะหมอไม่ผิด

ผมเหนื่อยใจกับสื่อสารมวลชนบ้านเรานี่แหละครับ
ข้อมุลทางการแพทยืหลายอย่าง มันมีผลต่อการวินิจฉัยนะครับ การที่รีบสรุปมาประกาศโดยไม่ถาม แล้วใส่สี ใส่ไข่ ประดิษฐ์คำ มันก็ทำร้ายคนทั้งนั้นแหละครับ รับผิดชอบต่อสังคมหน่อยครับ

มาเจอกระทู้หมอชุ่ย หมอสะเพร่า
แล้วก็ช่วยกันออกความเห็นใส่กันอย่างสุดฤทธ์ทั้งที่ไม่เห็นเหตุการณ์

พูดไม่ออกครับ

ปล.อยากบอกอาจารย์สมศักดิ์หลายครั้งแล้ว ว่าอาจารย์อย่าให้สัมภาษณ์มาก หลายอย่างที่อาจารย์พูดมันถูก แต่ทั้งน้ำเสียง ทั้งลีลา มันทำให้หลาย ๆ อย่างแย่ลง อีกทั้งอาจารย์มักโดนพวกเทพ ๆ อย่างสรยุทธต้อนซ้าย ยั่วขวา จนอาจารย์คุมอารมณ์ไม่อยู่ สุดท้ายพาเอาภาพพจน์วงการหมอกลายเป็นผู้ร้ายโดยปริยายนะครับ




 

Create Date : 24 มกราคม 2552   
Last Update : 24 มกราคม 2552 14:06:33 น.   
Counter : 714 Pageviews.  


สุดจะทน รพ.ราชวิถี (ขอตอบหน่อยนะครับ เคยมีคนไปโพสว่าในห้องสวนลุม)

1.ถ้าคนไข้ไม่มีเงิน แล้วใช้บัตรทอง จะได้รับการปฏิบัติแบบเลวร้ายจากทั้งหมอ และ พยาบาลที่ราชวิถีใช่มั๊ย?? คนจนไม่มีสิทธิ์ได้รับการดูแล/พูดจาดีๆ เหรอ??

ไม่เกี่ยวครับ ขึ้นอยู่กับนิสัยแต่ละคน เพียงแต่อยากให้ทราบระบบของโรงพยาบาลรัฐด้วยครับ ว่ามันมีขั้นมีตอน และมีคนไข้อีกจำนวนมาก ที่เค้าก็สำคัญเหมือนกัน ในเมื่อเครื่องมือมีจำกัด หมอมีจำกัด จะให้รวดเร็วทันใจก็คงไม่ได้ครับ เอาง่าย ๆ หลายคนบอกทำไมรอรับยาชา ก็ในเมื่อรพ.มี 15 แผนก แต่ละแผนกมี 10 ห้องตรวจ สรุปคือใบสั่งยาจากทั้งหมดมาที่ห้องยา นาทีนึงก็ 10 กว่าใบแล้วครับ จะให้จนท.ทำไงครับ

2.ถ้าเป็นยาที่คนไข้มีสิทธิ์จะได้ ทำไมไม่ให้ แล้วถ้าคนไข้ไม่หาย คุณจะให้เค้ามาหาไปเรื่อยๆ เหรอ?

การให้ยาในรพ.รัฐเองก็มีต้นทุนนะครับ เพียงแต่ทางรัฐบาลไม่เคยพูดถึง ในแต่ละปีจะมีงบมาให้ 1 ก้อนสำหรับรพ.ใช้บริหารทั้งปี เช่นราชวิถีปีที่แล้วได้งบมา 500 กว่าล้าน ฟังดูเยอะไหมครับ แต่ถ้าคิดว่าราชวิถีมีคนไข้ในการดูแลกี่ล้านคน หารมาก็คือใช้แค่คนละ 500 กว่าบาททั้งปีครับ ดังนั้นหมอเองก็ต้องบริหารยาให้รพ.อยู่รอดด้วย ถ้าคนไหนคนไหนพอเบิกได้ หรือพอจ่ายได้ก็อยากให้จ่ายครับ แต่ถ้าคนไหนจ่ายไม่ได้ เราก็จะพยายามใช้ยาที่เหมาะสมที่สุดและปลอดภัยที่สุดแต่ก็ต้องไม่ทำให้รพ.ล้มละลายครับ

3.ถ้าหมอห้องฉุกเฉินบอกให้ทำด่วน ทำไมเจ้าหน้าที่รพ.ไม่ปฏิบัติให้สอดคล้อง ตอบมาว่าให้ไปตรวจอีก 2 เดือนเนี่ย ถ้าเค้าเป็นอะไรขึ้นมาก่อนหน้านั้น ใครจะรับผิดชอบ

อันนี้เป็นเรื่องปกติของรพ.รัฐเลยครับ ยังดีที่เป็นราชวิถีนะครับแค่ 2 เดือน ถ้าเป็นต่างจังหวัดนี่ 2 ปีครับ ที่รพ.มหาราชในนคร คิวผ่านิ่วนี่ ปีครึ่งนะครับ หมอก็อยากผ่าให้เร็ว ๆ อยากให้หาย แต่เมื่อหมอมีจำกัด เครื่องมือมีจำกัด ห้องผ่าตัดก็มีจำกัด จะให้ทำอย่างไรครับ

และก็ไม่ใช่แค่ที่เมืองไทยนะครับ ที่ประเทศออสเตรเลีย เอาแค่รัฐเมลเบิรน์ ทั้งรัฐมีหมอออร์โธปิดิก์ที่เป็นส่วนของรัฐ 5 คนครับ นั่นคือถ้าคุณไปตรวจวันนี้ คิวนัดเจอหมออีกทีคือ 2 ปีครับ อย่างที่บอกครับ ก็คนมีจำกัด และทุกคนก็สำคัญ หมอจะทำไงครับ

4.อยากให้ราชวิถีปรับปรุงด่วน ทั้งการพูดจาของเจ้าหน้าที่ / หมอ / พยาบาล และปรับปรุงวิธีการให้บริการด้วย ดูแลคนจนให้มันดีดีหน่อย เค้าก็เสียภาษีมาเป็นเงินเดือนคุณนะ

ข้อนี้เป็นข้อที่ฟังแล้วจี๊ดขึ้นสมองที่สุดเวลาที่คนไข้มาพูดประโยคแบบนี้ หมอ พยาบาล จนท.ในรพ.ทุกคนมีใครไม่เสียภาษีครับ แถมต้องเสียเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วย ไม่มีช่องให้เลี่ยงเพราะใบสลิปเงินเดือนขึ้นกับกระทรวงการคลังเลย คำว่าจ่ายภาษีมาเป็นเงินเดือนนี่ เจ็บครับ อ้อและอย่างที่บอกนะครับ อย่าเอามาตรฐานรพ.เอกชนมาเทียบกับรพ.รัฐครับ จะทำให้อารมณ์เย็นขึ้น ในเมื่อรพ.เอกชน แพง หมอเยอะ คนไข้น้อย แล้วทำไมจะบริการไม่ดีครับ แต่รพ.รัฐ คนไข้มหาศาล หมอก็จำกัด ก็ต้องแบ่ง ๆ กันไป เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขครับ

5.ถ้าบัตรทอง หรือ บัตร 30 บาท ได้รับการดูแลแบบนี้ คนจนคงป่วยหนักไม่ได้อ่ะ เพราะคงตายก่อนหาย

อันนี้เป็นสิ่งที่หมอทั้งหลายเรียกร้องข้อเสียมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วและครับ แต่ก็โดนว่า หาว่าไม่ช่วยคนจน หาว่าบริหารไม่เป็น พูดไปก็หาว่าสนใจแต่คนมีตังค์ แล้วตอนนี้ปัญหาที่บอกไว้ ทุกอย่างมันก็เป็นความจริงหมด ก็ในเมื่องบประมาณมันมีจำกัด หมอมีจำกัด แต่คนไข้มากขึ้น มันก็เป็นแบบนี้แหละครับ

เราอยู่ในโลกความจริงไหมครับ เงิน 30 บาทคุณเอาไปซื้อยาพาราดี ๆ แบบไทลีนอล อย่างดีก็ได้ 2 แผง แต่คุณมารพ.รัฐ โรคที่คุณเป็นทั้งหมดต้องสั่งยาให้อยู่ในงบไม่เกิน 30 บาท แล้วยาจะได้ระดับไหนครับ อยากให้มองตรงนี้ครับ และปัญหานี้ไม่ได้มีเฉพาะประเทศไทยนะครับ เป็นกันทั่วโลก มี่อเมริกาเองก็เป็น ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของอเมริกาก็หลายแสนล้านเหรียญต่อปี ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพอ

หมอและจนท.เองก็อยากช่วยคนไข้ทุกคนครับ เราถูกเรียนถูกสอนมาว่าให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แต่ในเมื่อเครื่องมือมีจำกัด แรงงานมีจำกัด แล้วจะให้ทำอย่างไรครับ แนะนำผู้รู้ด้วยครับ

ไม่อยากให้มองว่าปกป้องให้พวกหมอกันเองครับ
เพียงแต่อยากอธิบายอีกมุมนึง ที่คนไข้ไม่รู้ทราบครับ
ว่าหลังฉากจริง ๆ มันไม่ได้สบายอย่างที่เราเห็น

ในรพ.รัฐบาล
เจ้าหน้าที่มีจำกัด
เครื่องมือ มีแบบที่ดีที่สุด เท่าที่งบประมาณรัฐจะอำนวยให้
เจ้าหน้าที่ก็ต้องทำตามสภาพครับ คือทำตามสภาพที่ดีที่สุดที่มีให้
คนไข้มากมายมหาศาลที่เค้าไม่โอกาสไปโรงพยาบาลเอกชน
หมอและเจ้าหน้าที่ก็ต้องช่วยกันทำงานเพื่อให้คนหมู่มากพอใจที่สุด
แต่ด้วยกำลังที่มีจำกัด บางครั้งคนนึงดีมั่ง บกพร่องมั่ง
ความเหนื่อยล้าจากปริมาณงาน
หมอรพ.รัฐ 1 คน ตรวจคนไข้ 200
หมอรพ.เอกชน 1 คน ตรวจคนไข้วันละ 30
อยากให้ช่วยกันเข้าใจและเห็นใจบ้างครับ




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2550   
Last Update : 5 ธันวาคม 2550 15:11:00 น.   
Counter : 3020 Pageviews.  


ทางออกที่พวกเราสามารถช่วยกันแก้ได้ เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของคนทั้งประเทศครับ

เรื่องระบบสาธารณะสุขที่เละ ผมว่าส่วนนึงเป็นเพราะคนไทยนี่แหละ ลองดูหนังสือพิมพ์สิครับ ข่าวแต่ละวันแสดงให้เห็นว่าเราพัฒนาประเทศมาแบบไหน คนไทยทุกคนเรียกร้องแต่สิทธ์ของตัวเอง แต่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง และไม่รับผิดชอบตัวเองโยนแต่ให้เพื่อน ถ้าคนไทยทุกคนรู้จักนึกถึงส่วนรวมมากกว่าตัวเอง ปัญหาเราจะลดลงเยอะเลยครับ

หมอรักษาคนไข้ให้ดีที่สุด รักษามาตรฐานของตัวเอง

คนไข้ก็ช่วยดูแลสุขภาพตัวเองและเข้าใจในข้อจำกัดแต่ละอย่างของรพ.รัฐ

รัฐบาลก็แจกแจงสิทธ์ของคนไข้ตามจริง ไม่ขายฝันหรือชวนเชื่อว่าบัตรทองเป็น platinum card ประเภทรักษาได้ทุกโรค หรือว่ายาองค์การเภสัชมาตรฐานเท่ายาเมืองนอก

ต้องลดปริมาณคนไข้ที่จะมาโรงพยาบาลครับ เพราะโรคหลายอย่างสามารถบำบัดรักษาได้ด้วยตัวเอง หรือสามารถซื้อยาสามัญประจำบ้านมารับประทานเองได้
ถ้าอาการไม่ดีขึ้น จึงมาโรงพยาบาลครับ
จะทำให้คนไข้ที่ต้องเจอหมอจริง ๆ จะลดลงไปได้เกินครึ่ง ทำให้หมอได้มีเวลามาดูแลผู้ป่วยที่อาการหนักและต้องดูแลโดยหมอได้ใกล้ชิดขึ้นครับ

วิธีที่คิดนะครับ

1.สร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้กับประชาชน รู้จักการดูแลตัวเอง หมั่นสังเกตุการเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างสม่ำเสมอ สอนวิธีปฏิบัติเบื้องต้นเวลาเกิดโรคภัยต่าง ๆ ที่สามารถช่วยตัวเองอย่างง่าย ๆ ปัญหาสุขภาพหลายอย่างไม่ได้จำเป็นต้องพบหมอทุกโรคนะครับ ประเทศไทยเรามีอะไรนิดนึงก็กินยา หมอคนไหนให้ยามาก ๆ แสดงว่าเป็นหมอเก่ง กินยาต้อง 2 วันหาย ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ประชากรของเค้านี่เวลาเป็นไข้ แค่เช็ดตัว พักผ่อน นอนเยอะ ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ ถ้า 2-3 วันไม่ดีขึ้นจึงไปพบแพทย์เพื่อเอายามาทาน ยาฆ่าเชื้อไม่จำเป็นก็ไม่กิน แต่เมืองไทยนะครับเป็นไข้เช้า สายหาหมอ เที่ยงไม่ดีมาใหม่ บ่ายไม่หายขอฉีดยา เย็นไม่ดีขึ้นเปลี่ยนหมอเลย คนไข้ถึงล้นโรงพยาบาลไงครับ

2.คนไทยชอบปล่อยให้มีปัญหาเกิดก่อนแล้วถึงแก้ ชอบมองว่าการรักษาเป็นหน้าที่หมอ ทำยังไงก็ได้ให้หาย บางคนเช้าข้าวขาหมู เที่ยงแกงกะทิ เย็นกินโต๊ะจีน วันรุ่งขึ้นมารพ.บอกหมอขอยาลดไขมันหน่อย ไม่รู้จะไขมันสูงหรือเปล่า เราต้องพยายามสร้างนิสัยรักสุขภาพให้กับทุกคนครับ อย่าหวังพึ่งแต่โรงพยาบาล

3.ปลูกฝังจิตสำนึกในการเคารพต่อตนเองครับ คนเราเมื่อเคารพตนเอง ก็จะไม่เอาสิ่งไม่ดีเข้าตัว ไม่ทำตัวประมาทเช่นเมาแล้วขับ หรือกินเหล้าสูบบุหรี่ เอาสารเสพติดเข้าตัว



4.เรื่องนี้พูดไปอาจจะโดนมองว่าไม่ดีนะครับ แต่ต้องพูดคือเรื่องค่าตอบแทน รัฐบาลต้องพยายามสร้างระยะห่างค่าตอบแทนระหว่างโรงพยาบาลรัฐกับเอกชนให้น้อยที่สุดครับ เอกชนให้หมอเดือนละ 200000+ ทำราชการได้เดือนละ 30000 ในขณะที่ปริมาณงานก็ต่างกัน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หมอลาออกจากราชการไปอยู่เอกชนกันหมด เอาง่าย ๆ ตอนนี้ 14 จังหวัดภาคใต้มีหมอผ่าหัวใจ cvt ที่อยู่ในระบบราชการทั้งหมดไม่เกิน 5 คนนะครับ แล้วคิดดู ประชากร 14 จังหวัด มีหมอ 5 คน เหตุเพราะหมอลาออกไปอยู่รพ.เอกชนกันหมด รัฐต้องมีมาตรการรองรับครับ ซึ่งผมเองก็เคยคิดทางออกไว้เหมือนกันดังนี้
4.1 เพิ่มเงินค่าปรับสำหรับหมอที่จะลาออกจากราชการไปเอกชนให้สูงขึ้น ที่พูดเพราะเวลาหมอไปเรียนต่อแล้วเอาทุนไปเรียน กลับมาต้องอยู่ให้หลวง 2 เท่าของเวลาเรียนเช่นเรียน 4 ปีต้องกลับมาทำงาน 8 ปี ไม่งั้นโดนปรับ 2 ล้าน ซึ่งค่าปรับ 2 ล้าน ทำเอกชนปีเดียวก็ได้แล้วครับ จึงแห่กันจ่ายเงินคืนหลวงกันหมด ทำให้สร้างหมอเท่าไหร่ก็สมองไหลครับ ดังนั้นจึงต้องเพิ่มค่าปรับให้สูงขึ้น แล้วเอาค่าปรับที่ได้มาเฉลี่ยเพิ่มให้กับหมอที่อยู่ในระบบครับ
4.2 รัฐต้องสร้างแรงจูงใจในการอยู่ระบบราชการ เช่นสวัสดิการต่าง ๆ หมอบางคนไม่ได้มองเรื่องเงินเป็นใหญ่ แต่อยากได้การดูแลที่ดีจากรัฐมากกว่า เช่นการหาโรงเรียนให้ลูก ค่ารักษาพยาบาล (แต่ที่เห็นทุกวันนี้คือมีแต่พยายามตัดงบราชการ)
ซึ่งวิธีแก้ในส่วนของหมอ เกิดได้ยากมากเพราะกรรมการแพทยสภาส่วนใหญ่ ก็รับจ๊อบในรพ.เอกชนทั้งนั้น การเพิ่มค่าปรับหรือการทำให้ดึงหมอออกจากระบบยากขึ้น มันจะไปสะเทือนถึงโรงพยาบาลเอกชนไงครับ

5.ปลูกฝังให้พวกเราทุกคน ช่วยกันทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและอย่ามองว่าเป็นงานของคนใดคนหนึ่ง เราต้องช่วยกันสอดส่องผิดปกติช่วยตำรวจ ช่วยกันแจ้งเบาะแสสิ่งผิดปกติแก้ทหาร ช่วยเก็บขยะบ้างลดงานคนกวาดถนน อย่ารอว่านี่เป็นงานตำรวจ เป็นงานหมอ เป็นงานครู เป็นงานคนเก็บขยะ ถ้าทุกคนช่วยกันดูช่วยกันทำ ภาระงานแต่ละคนก็จะลดลง แถมคุณภาพก็จะดีขึ้นเยอะครับ

6.เปลี่ยนค่านิยมที่ว่า ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้ ให้เป็น ทำอะไรมีวินัยคือไทยแท้ครับ

7.ช่วยกันสร้างสังคมให้น่าอยู่ โดยสอนปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ๆ เลยว่า สังคมที่น่าอยู่ คือสังคมที่ทุกคนนึกถึงความสุขของตัวเองให้น้อยที่สุด และอยากทำให้เพื่อนมนุษย์มีความสุขมากที่สุด จะทำให้เราไปไหน เราจะมองโลกในแง่ดีขึ้น และรู้จักเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันครับ

อาจเครียดหน่อยนะครับ และหลายเรื่องก็พยายามทำกันอยู่ แต่ปัญหาสำคัญคือพวกเราชอบแบบรอคนนั้นทำก่อนแล้วชั้นถึงจะทำ หรือว่ารอดูคนนั้นก่อนว่าทำแล้วเป็นอย่าไง สุดท้ายปัญหาทุกอย่างในบ้านเราก็เลยวุ่นวายแบบนี้แหละครับ เพราะ

ทุกคนนั่งรอแต่ให้เพื่อนเริ่มทำดีครับ




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2550   
Last Update : 5 ธันวาคม 2550 14:41:55 น.   
Counter : 412 Pageviews.  


สื่อเมืองไทย คุณก็มีส่วนช่วยวงการสาธารณสุข เข้าใจหมอบ้างนะครับ

ที่บ่นมาก็แค่อยากให้เข้าใจครับว่าทุกอาชีพมีความสำคัญ และก็มีโอกาสเกิดความผิดพลาดกันได้
แต่ทุกวันนี้เหมือนเรากำลังมองว่าหมอเป็นอาชีพที่ห้ามพลาดหรือเปล่าครับ

ผมบอกเสมอว่าถ้าความผิดที่เกิด ถ้าเกิดจากประมาทจริง เช่น ลืมเครื่องมือไว้ในท้อง หรือถ้าจะผ่าแขนซ้ายกลายมาผ่าแขนขวา ผมยินดีที่ต้องฟ้องหมอครับ และจะเป็นพยานให้ด้วยว่าหมอชุ่ยจริงให้เอาหนัก ๆ ไม่เข้าข้างกันเองแน่นอนครับ
จรรยาบรรณหมอและพยาบาลต้องมีครับ หมอแย่ ๆ ก็เยอะ อันนี้ต้องเล่นให้หนักครับ พวกรับทำแท้ง หรือเลี้ยงไข้ อันนี้ต้องช่วยกันตรวจสอบครับ

แต่ที่ผมพูด เพียงแค่อยากอธิบายว่าหลาย ๆ ครั้ง
เราตัดสินหมอจากสื่อมากเกินไป
จากประสบการณ์ตรง (ตอนนี้ผมเป็นหมออยู่รพ.อำเภอ)
และเรียบเรียงใหม่เป็นเหตุการณืในประเทศสารขัณท์
บางคนแพทย์ถามแพ้ยาไหม คนไข้ตอบจำไม่ได้ หมอ...เอ่อ..
แล้วเคยกินยาแล้วคันไหม คนไข้ตอบเคย แต่นานแล้ว ไม่ได้จำ หมอ..เอ่อ..
แล้วคุณป้ามีโรคประจำตัวไหมครับ ป้าตอบ...ไม่รู้สิ ป้าไม่เคยตรวจ คงไม่มีมั๊ง หมอ...เอ่อ...
แล้วตอนนี้ป้ามีอาการอย่างไรบ้างครับ ป้าตอบ..มันเจ็บตรงนี้ ตรงนี้ก็เจ็บ มันแปร๊บ ๆ นะ เอ๊ะไม่สิบางทีก็ชา ไม่รู้อะหมอ ลองดูเองละกัน หมอ...เอ่อ...
แล้วป้าจะเอายาอะไรมั่งครับ ป้าตอบ...ยาอะไรก็ได้แล้วแต่หมอ เอามาเยอะ ๆ ละกัน ป้าอยู่ไกล ขี้เกียจมา

จากข้อมูลที่ได้รับ เราก็ต้องมาประมวล แล้วนึกถึงโรคที่ควรจะเป็นมากที่สุด พบถึงบ่อยที่สุด แล้วก็ให้ยาไป
ข้อมูลที่ได้ก็ไม่พอ ถ้าหายขึ้นมาก็ถือเป็นหน้าที่หมอ แต่ถ้าพลาดหละ
...หมอชุ่ย จ่ายยายังไงให้ยาที่คนไข้แพ้มา หมอจะรับผิดชอบอย่างไร บลา ๆๆๆ...
วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์หัวเขียวก็ช่วยลงข่าวสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
"หมอสะเพร่า จ่ายยาคนไข้แพ้ทั้งตัว ญาติฟ้อง 5 ล้าน กระทรวงดูดาย"
ส่วนสังคมส่วนใหญ่ก็พร้อมจะเห็นใจคุณป้าอย่างเต็มที่ และพูดเหมือนสคริปว่าหมอก็ชั่วแบบนี้แหละ ตรวจแบบชุ่ย ๆ
อ้าว ซะงั้น
หลังจากนั้นมีการตั้งกรรมการสอบ โดยผู้รู้ แพทย์ผู้เกี่ยวข้อง องค์การเภสัช ตัวแทนจากผู้ป่วย ผลออกมาสรุปผู้ป่วยแพ้ยา และจากข้อมูลทางการแพทย์ทั่วโลกการแพ้ยาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและเป็นเรื่องสุดวิสัย
ยกเว้นในเมืองไทยครับ ห้ามเกิด



หันกลับมามองสื่อหัวเขียวหลังจากผลสอบสวนออกมาแล้วว่าไม่ผิด ด้วยคิดว่าจะลงแก้ข่าวให้ ผลปรากฎว่า
วันที่ 1 เดือน x ดาราสาวเล่นผีผ้าห่ม
วันที่ 2 เดือน x หลังจากผีผ้าห่มออกฤทธืแฟนหนุ่มขอเลิก
วันที่ 3 เดือน x คู่กรณีผีผ้าห่มแจง ไม่ได้ไปทำ
วันที่ 4 เดือน x สรุปผีผ้าห่ม ผิดคนเนื่องจากคนที่เห็นจำผิด (อ่าว แล้วที่ลงหน้าหนึ่ง มา3 วันหละ)
วันที่ 5 เดือน x คู่ดาราเลิกแล้ว สงสัยจากข่าวผีผ้าห่ม หมอลักฟันธงแม่น
วันที่ 6 เดือน x มือที่ 3 คือแมงมุม
วันที่ 7 เดือน x กลับมาดีกันแมงมุมเน่า
วันที่ 8 เดือน X คู่ดารากลับมาดีกัน สงสัยว่าเลิกสร้างภาพ
วันที่ 9 เดือน x พ่อแมงมุม บอกฝ่ายชายกุข่าวว่าโสด
วันที่ 10 เดือน x ฝ่ายชายเซ็ง บอกไม่ขอตอบโต้

อ้าว แล้วข่าวที่พาดหัวว่าหมอชุ่ยคราวก่อนหละ หายไปแล้ว สรุปคือหมอเน่าไปฟรี ๆ ในสังคม พร้อมกับสิ่งที่ค้างในความรู้สึกประชาชนว่าเรื่องเงียบไปแล้ว สงสัยหมอใช้เงินยัดคนไข้...เป็นซะงั้น

เพียงแต่อยากให้ใจเย็น ๆ และมองหมอแบบคนธรรมดาครับ
อย่ามีอคติ แล้วฟันธงไปก่อนเพียงเพราะข่าวลง
หาข้อมูลก่อนครับ

อีกอย่างนะครับ
ที่บอกหมอเหนื่อยขนาดไหนคุณก็ต้องห้ามพลาดเพราะเค้าฝากชีวิตไว้
ลองกลับกันนะครับ
มีทหารเฝ้ายามคนเดียวทั้งหมู่บ้าน ยืน 24 ชม. สุดท้ายล้าเพราะร่างกายไม่ไหวแล้ว
สมมติว่าคนในหมู่บ้านตายไปซักคน ทหารคนนั้นผิดมากไหมครับ
เพียงเพราะเค้าทำหน้าที่ทั้งที่ร่างกายรับไม่ไหว แต่ก็ต้องทำเพราะนึกถึงส่วนรวม
เข้าใจและเห็นใจกันมาก ๆ นะครับ
ทุกอาชีพมีความสำคัญ แต่คนไม่ใช่เครื่องจักรนะครับ ขนาดคอมยังมีแฮงค์
ไม่มีใครอยากให้เกิดการสูญเสียครับ

สมัยนี้การรักษาคนไข้ หมอก็เหมือนกับเอาขาข้างนึงไปอยู่ในคุกแล้วครับ
รักษาหายก็ดีไป พลาดขึ้นมานี่ คุกกับล้มละลายแน่ ๆ ครับ
สมัยนี้ถึงเห็นหมอเปลี่ยนทางเดินกันเยอะครับ ทั้งมาเล่นเกมโชว์ ออกเทป
บางคนไปรักษาสิวดีกว่า ยังไงก็พลาดยาก
เหลือแต่หมอบางคนที่ยังทนอยู่ในระบบ เพราะรู้ว่าคนไข้ไม่ได้มีเงินไปเอกชนกันทุกคน
แถมเหนื่อยกันสุดชีวิต สุดท้ายมาเจอกระทู้หมอชุ่ย หมอสะเพร่า
แล้วก็ช่วยกันออกความเห็นใส่กันอย่างสุดฤทธ์ทั้งที่ไม่เห็นเหตุการณ์

พูดไม่ออกครับ




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2550   
Last Update : 5 ธันวาคม 2550 14:33:13 น.   
Counter : 471 Pageviews.  


ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซนต์ในการแพทย์

เมื่อเช้าคงมีหลายคนได้อ่าน คนไข้ฟ้องหมอชุ่ย ทำคลอดลูกติดไหล่พิการฟ้อง 57 ล้าน
คนที่อ่านนสพ.โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะคล้อยตามว่าหมอชุ่ย ทำไมไม่ดูแล ดูยังไงให้ติดไหล่ สมควรต้องฟ้อง

แต่จากตำราการแพทย์ที่เรียนกันทั่วโลก
การคลอดติดไหล่ มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ และเป็นฝันร้ายของหมอสู
เพราะมีโอกาสสูงมากที่เด็กจะเสียชีวิต หรือบางทีอาจเสียทั้งแม่และลูก
ต้องเข้าใจนะครับว่าช่องคลอดคนก็มีขนาดพอเหมาะ ทีนี้เมื่อเกิดกรณีติดไหล่
ซึ่งอาจเพราะเด็กตัวโต หรือหัวไม่หมุนตามธรรมชาติ ทำให้เด็กออกมาไม่ได้
หมอก็ต้องรีบช่วยให้คนไข้คลอด

หลายครั้งที่ต้องหักกระดูกไหปลาร้าเด็กเพื่อทำให้ขนาดของเด็กเล็กลงและคลอดออกมา

หลายครั้งที่เด็กค้างอยู่ในช่องคลอดของแม่นานจนขาดอากาศ แล้ว brain death ขณะที่หมอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เด็กออกแต่มันไม่ออก

ช่องคลอดไม่ใช่ซิบนะครับที่ว่าพอมีอะไรค้างแล้วรูดขยายหรือฉีกกระเป๋าออกมาได้

เราไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าคนไหนจะมีโอกาสคลอดติดไหล่หรือไม่ หรือเพื่อความสบายใจจะให้ผ่าคลอดทุกคน ก็มีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้อีก

คำว่าสุดวิสัย หลายคนชอบบอกว่าเป็นข้อแก้ตัว
แต่มันคือชีวิตจริงครับ
คุณฝากท้อง 9 เดือน ดูแลอย่างดี ใครจะบอกได้ว่าตอนคลอดลูกจะปลอดภัย การที่เด็กหมุนหัวคลอดผิดองศาไปนิดเดียวอาจทำให้ติดไหล่ได้
และเด็กก็อาจเกิดแบบนี้

และฟ้องหมอ 57 ล้านครับ
ขอบคุณครับ เงินเดือนหมอเอกชนผมให้หมอสู 3 แสนเลย
ทำ 10 ปีได้ 36 ล้าน กรณีนี้ยังไม่หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นะครับ
และไม่ต้องพูดถึงหมอรพ.รัฐเงินเดือน 3 หมื่น
ทำ 100 ปีได้ 36 ล้านครับ
แต่คุณฟ้องหมอ 57 ล้าน
เพราะได้อย่างหลาย ๆ คดีที่ฟ้องหมอกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
และหลายครั้งเมื่อพิสูจน์กันจริงว่าหมอไม่ผิด ทุกคนพูดแค่ว่าหมอปกป้องกันเอง
ส่วนสื่อก็หันไปเล่นข่าวผีผ้าห่มซะแล้ว ไม่เคยมาลงข่าวแก้ให้

ขอบคุณสื่อไทยครับ ที่ช่วยกันทำให้วงการสาธารณสุขบ้านเรา
ก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมเร็วขึ้น
อีกหน่อยไม่ต้องกลัวครับ บ้านเราจะเป็นแบบเมกามากขึ้น
คุณหกล้ม หมอต้องเอ๊กซ์เรย์ ct-scan ทุกเคส เพราะกลัวเลือดคั่งทั้งที่มีโอกาส 0.01 เปอร์เซนต์ แต่ถ้าหลุดมาก็โดนฟ้อง
ต้องเจาะเลือดหาเชื้อเพราะพอหกล้มมีแผลถลอกเชื้อโรคอาจเข้าได้
ต้องเอ๊กซเรย์ทั้งตัว เผื่อมีกระดูกบางอย่างกระเทาะตอนหกล้มเพื่อกันพลาด
ให้ยาฆ่าเชื้อที่ดีที่สุดเพื่อคุมเชื้อโรคทุกชนิดที่อาจเกิดขึ้น
สรุปคุณหกล้มหนึ่งครั้ง
จ่ายค่ายา + ค่า ct -scan + ค่าเอ๊กซเรย์ทั้งตัว
20000+
พอไหวไหมครับ

อีกอย่างเอาง่าย ๆ นะครับ
ทุกคนข้ามถนน มองซ้าย มองขวาดี
กล้ายืนยันไหมว่าไม่มีทางถูกรถชนตาย
แล้วถ้าอยู่ดี ๆ เลนตรงข้ามคนขับเมาข้ามเกาะกลางมาชนหละ
อยากให้เข้าใจการทำงานของหมอบ้าง
ก็แค่นั้นครับ

อ้อและที่ผมบอกเสมอ ๆ นะครับ
ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซนต์ในวงการแพทย์
สูบบุหรี่วันละ 2 ซองคุณอาจอยู่ได้ 80 ปี ไม่สูบบุหรี่เลยแต่ตายตอน 50 เพราะมะเร็งปอดก็มีเยอะไปครับ
ที่เราเรียนรู้มาคือเราเรียนและรักษาจากคำว่าน่าจะเป็นครับ

งานพวกนี้เป็นศาสตร์และศิลป์ครับ
ไม่มีอะไร 100 เปอร์เซนต์ในวงการแพทย์
ปวดท้องขวาล่าง มีไข้ เม็ดเลือดขาวขึ้น
ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไส้ติ่งเสมอไป
แต่จะให้ผ่าคนไข้ทุกคน คนไข้ก้ไม่ยอม
แต่ถ้าหากหลุดมากลายเป็นไส้ติ่งซักคน
สมัยนี้ก็จะฟ้องหมอถึงขั้นหมดตัวได้ครับ

100 ปีก่อนเรารักษาโรคแผลในกระเพาะด้วยการกินยาตัวนึง ต่อมา 50 ปีเราพบว่าเกิดแผลในกระเพาะเกิดจากกรด เราก็เลยให้กินยาลดกรด แต่หลังจากนั้นปัจจุบันเราพบว่าเกิดจากเชื้อโรค H.pylori หมอจึงเริ่มเปลี่ยนวิธีการรักษาโรคกระเพาะมาให้กินยาฆ่าเชื้อแทน

พูดเพื่อให้เห็นว่าวงการแพทย์เรายังมีอะไรที่ไม่รู้เกี่ยวกับกลไกในร่างกายอีกเยอะครับ

ที่บ่นมาก็แค่อยากให้เข้าใจครับว่าทุกอาชีพมีความสำคัญ และก็มีโอกาสเกิดความผิดพลาดกันได้
แต่ทุกวันนี้เหมือนเรากำลังมองว่าหมอเป็นอาชีพที่ห้ามพลาดหรือเปล่าครับ

ขอบคุณครับ




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2550   
Last Update : 5 ธันวาคม 2550 15:16:18 น.   
Counter : 477 Pageviews.  


1  2  

สาลิกาเริงร่า
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




ยินดีต้อนรับเข้าสู่ blog แห่งนี้นะครับ
สาลิกา มาจากการเชียร์ newcastle ครับ
ส่วนเริงร่า หมายถึงการดีใจที่ได้มาเกิดในโลกของไซเบอร์
โลกที่ความรู้ สิ่งดี ๆ ต่าง ๆ มากมาย เพื่อนดี ๆ มากมาย
ถูกทำให้มาอยู่ใกล้ชิดกัน ให้เราได้มีโลกทัศน์กว้างขึ้น
ก็ขอฝากบล๊อกนี้ไว้ด้วยนะครับ
มีอะไรก็แนะนำกันมาได้ครับ
ขอบคุณครับ
[Add สาลิกาเริงร่า's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com