ออมไว้ในหุ้น
Group Blog
 
All Blogs
 

เงินคือพระเจ้า

เงินคือพระเจ้า

โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากรเงินคือพระเจ้า
ถ้าจะให้ผมจัดลำดับแนวความคิดหรือสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดในโลกที่ทำให้โลกเรานี้เจริญก้าวหน้ามาได้ถึงทุกวันนี้แล้วละก็  ผมคิดว่าหนึ่งในนั้นก็คือ  “เงิน”   ดังนั้น  คำพูดที่ว่า  “เงินคือพระเจ้า”  นั้น  น่าจะมีความเป็นจริงอย่างยิ่ง  นี่ก็เป็นเรื่องที่พูดโดยรวม  เป็นการพูดระหว่างเงินกับมนุษยชาติ  คือมองว่าถ้าไม่มีเงิน  มนุษยชาติก็คงยังล้าหลังและพวกเราทุกคนที่อ่านบทความนี้ก็น่าจะลำบากกว่าที่เป็นอยู่นี้มาก  ว่าที่จริงตัวผมเองก็คงจะต้อง  “อดมื้อกินมื้อ”  เพราะเรี่ยวแรงและความสามารถที่จะไป  “ทำมาหากิน”  นั้น  ดูจะน้อยกว่าคนอื่น  ผมเองนั้น  น่าจะทำเก่งหรือทำเป็นเฉพาะอย่าง   ส่วนอย่างอื่นรวมถึงอาหารนั้น  ผมต้อง  “ซื้อมากิน”  และการซื้อนั้น  มันต้องใช้เงินเป็นหลัก  ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  “เงินคือพระเจ้า”  อย่างแน่นอน    มาดูกันว่าทำไม?  และประวัติคร่าว ๆ ของพระเจ้าองค์นี้

               ก่อนที่จะมีเงินเกิดขึ้นในโลกนั้น  มนุษย์มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน   นี่เป็นเรื่องที่จะจำเป็น  เพราะมันทำให้คนแต่ละคนสามารถสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างซึ่งทำให้เขามีประสิทธิภาพสูงขึ้น  แทนที่คนสองคนต่างก็ปลูกข้าวและผลไม้เพื่อเอาไว้กิน  ก็ให้คนหนึ่งปลูกข้าวและอีกคนหนึ่งปลูกผลไม้  แล้วเอาข้าวครึ่งหนึ่งมาแลกกับผลไม้ครึ่งหนึ่ง  แบบนี้ทั้งคู่จะได้ข้าวและผลไม้มากขึ้นเนื่องจากแต่ละคนจะมีความเชี่ยวชาญในการปลูกมากกว่าต่างคนต่างปลูก  การแลกเปลี่ยนสินค้านี้   มนุษย์เราทำมานานมาก  น่าจะเป็นหมื่นปีนับจากที่เราเริ่มเป็นเกษตรกรและที่จริงน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่เกิดมนุษย์ขึ้นในโลกด้วยซ้ำ   เพียงแต่เมื่อมนุษย์ตั้งถิ่นฐานแล้ว   การแลกเปลี่ยนก็เกิดขึ้นมากมายเนื่องจากเราสามารถผลิตอาหารได้มากเกินกว่าการบริโภคส่วนตัวจึงต้องนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าอย่างอื่นจากคนที่หันไปทำอาชีพอื่น  สังคมของการแลกเปลี่ยนนั้นน่าจะดำรงอยู่เป็นพัน ๆ  ปี

               การเกิดขึ้นของเงินนั้น  น่าจะมาจากความต้องการในการแลกเปลี่ยนสินค้าที่เป็นรายการเล็ก ๆ  ที่ทำให้การใช้สินค้ามาแลกกันนั้นไม่สะดวก  ดังนั้น  ก้อนโลหะที่หายากจึงเริ่มถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเมื่อประมาณ 6000 ปีมาแล้ว  ซึ่งก็คงน่าจะเกิดขึ้นในย่านตะวันออกกลางเช่นที่อียิปต์ซึ่งเป็นแหล่งอารยะธรรมแรก ๆ  ของโลก   ต่อมาในราวช่วง   2500-2700 ปีที่ผ่านมา  โลหะเช่นบรอนซ์  เงิน  และทองได้ถูกนำมาใช้เป็นเงินโดยการขึ้นรูปเป็นแบบต่าง ๆ  เช่น  ทำเป็นรูปมีด  หรือพลั่ว  ในจีน  และเป็นเหรียญ ในตุรกี  เป็นต้น    โดยแต่ละแบบก็จะมีค่าที่แตกต่างกัน  พูดถึงเรื่องนี้  แม้แต่ในประเทศไทยเอง  เมื่อไม่นานมานี้  อาจจะแค่ 200 ปี  เราก็ยังใช้เงินพดด้วงซึ่งก็น่าจะมีคุณลักษณะคล้าย  ๆ  กันในการเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนสินค้า

เงินที่เป็นกระดาษหรือ  “แบงค์”  นั้น  เพิ่งจะเกิดขึ้นประมาณไม่เกิน 1000 ปี ในประเทศจีนตามที่มาร์โคโปโลได้เขียนบันทึกไว้เมื่อเขาเดินทางมาเมืองจีน   อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนว่าเงินกระดาษที่ว่านั้นก็ยังไม่ใคร่ได้รับความนิยมมากนัก  คงคล้าย  ๆ กับเงิน  “กงเต็ก”  ค่าที่ว่าคุณภาพของกระดาษคงจะแย่มากจนมันขาดวิ่นได้ง่าย ๆ  เมื่อใช้ผ่านไปไม่กี่มือ  ส่วนเงินกระดาษยุคใหม่นั้น  ก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน  และมันก็คือ  “ใบรับฝากทอง”  ที่คนเอามาใช้แลกสินค้าแทนทองและโลหะต่าง ๆ  และนี่เองคือสิ่งเดียวที่ผมรู้จักและใช้มันเมื่อผมยังเป็นเด็ก 

               บัตรเครดิตเป็นนวัตกรรมของเงินที่สำคัญมากโดยเฉพาะในการซื้อขายแลกเปลี่ยนของผู้คนข้ามประเทศและทั่วโลก  แนวความคิดเรื่องบัตรเครดิตนั้นเริ่มในอเมริกา  โดยคนที่ออกบัตรแรก ๆ  ก็คือธุรกิจที่เห็นผลประโยชน์ที่จะให้เครดิตแก่ลูกค้าที่มาซื้อของ  นั่นคือ  ลูกค้าจะชอบและกลับมาซื้อของอีกเพราะสามารถ  “ซื้อเชื่อ” ได้  ต่อมาก็มีร้านค้ามากขึ้นที่เข้ามาร่วมเป็น  “ชมรม”  โดยการรับบัตรเครดิตของบริษัทอื่น ๆ  ด้วยเวลาลูกค้ามาซื้อของที่ร้านตัวเอง  แนวความคิดและการเริ่มใช้บัตรเครดิตนี้เพิ่งจะเริ่มไม่เกิน 100 ปีมานี้เอง   แต่บัตรเครดิตที่เป็นทางการหรือเป็นบัตรที่สามารถใช้ได้ทั่วไปอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้เพิ่งจะเริ่มเมื่อปี 1950 หรือประมาณ 60 ปีมานี้เองโดยบริษัท  ไดเนอร์สคลับ  และต่อมาบริษัท  อเมริกันเอ็กเพรส  ก็ได้ออกบัตรเครดิตที่สามารถใช้ได้ทั่วโลกในปี 1958  และนี่ก็คือ  บริษัทที่ วอเร็น บัฟเฟตต์  ได้ซื้อหุ้นจำนวนมากแบบ  “ตีแตก”  ในช่วงต้น ๆ  ของชีวิตการลงทุนของเขา

               ถ้าจะพูดถึงบทบาทของเงินนั้น  นอกจากจะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันแล้ว  มันยังมีบทบาทสำคัญมากอย่างน้อยอีกสองสามเรื่อง  เรื่องแรกก็คือ  มันเป็นเครื่องมือในการเก็บสินค้าหรือข้าวของต่าง ๆ  ที่เราทำได้มากเกินกว่าที่เราจะใช้ได้หมด  นั่นคือ  เราแปลงมันเป็นเงินแล้วเก็บรักษาและลงทุนให้มันงอกเงยขึ้นเพื่อที่ว่าในอนาคตเมื่อเราไม่มีแรงที่จะทำงานหรือทำมาหากิน  เราก็สามารถเอาเงินที่เราเก็บไว้มาใช้ซื้อสินค้าที่เราต้องการได้   นอกจากนั้น  เงินจะเป็นตัวบอกถึงความมั่งคั่งที่เรามี  ทำให้เรารู้ว่าเรามีศักยภาพที่จะใช้สินค้าต่าง ๆ  ได้เท่าไรซึ่งจะช่วยบอกให้รู้ว่าเรามี  “อิสรภาพ”  ในการที่จะสามารถอยู่ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องทำมาหากินได้หรือไม่  ซึ่งเรื่องแบบนี้  ในสังคมที่ไม่มีเงินหรือมีเงินที่ไม่มีประสิทธิภาพ  เช่น  สังคมที่ยังใช้การแลกเปลี่ยนสินค้าหรือใช้เงินที่เป็นเหรียญโลหะอยู่  จะไม่สามารถทำได้   ลองนึกถึงมนุษย์ยุคหินที่ยังต้องหาของป่าล่าสัตว์อยู่ว่า  คุณจะเป็นอย่างไรถ้าคุณเกิดมาไม่แข็งแรงหรือคุณเจ็บป่วยหรือแก่ตัวลงไม่สามารถหากินได้?

 เงินทำให้คนทำงานหนักเพื่อเก็บสะสมสิ่งที่จะต้องใช้ในวันข้างหน้าไว้  เงินทำให้คนทำงานที่มีประโยชน์หรือมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น  ที่สำคัญที่สุดก็คือ  เงินทำให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำสิ่งที่มนุษย์ต้องการและสร้างความก้าวหน้าให้แก่มนุษยชาติ   เพราะงานเหล่านั้น  “ทำเงิน”  มากกว่างานอื่น  แน่นอน  งานบางอย่างนั้น  อาจจะไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรมากนักแต่ก็ทำเงินได้มาก  เพราะมันเป็นเรื่องของการหลอกลวงและเอาเปรียบคนอื่น  งานบางอย่างก็ดูเหมือนว่าจะทำได้อย่างสบาย ๆ  แต่ก็ได้เงินมากในขณะที่งานบางอย่างนั้นต้องทำอย่าง  “อาบเหงื่อต่างน้ำ”  แต่คนทำกลับได้เงินน้อยแทบไม่พอกิน  ความแตกต่างกันของความมั่งคั่งที่เกิดจากการทำงานบ่อยครั้งทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีนักในสังคม  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  การคิดว่าคนที่มีเงินมากนั้นมี  “ความโลภ”  มีเงินแล้วไม่รู้จักพอ  หรือ  เห็นเงินเป็น  “พระเจ้า”  หรือต้องทำทุกอย่างเพื่อเงิน  เป็น “ทาส” ของเงิน  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ทุกคนก็ยังต้องพึ่งเงิน  อยากมีเงินมากขึ้น

                ในฐานะของคนที่เคยเป็นคนที่แทบจะไม่มีเงินเลยและกลายเป็นคนที่มีเงินเหลือเกินพอ  และในฐานะของคนที่เคยทำงานแบบอาบเหงื่อต่างน้ำแต่ได้เงินน้อยมากและกลายเป็นคนที่ทำงานอย่างที่ดูเหมือนว่าแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ได้เงินมากมาย  ผมอยากจะบอกว่า  เงินนั้น  เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น  ว่าที่จริงมันช่วย  “นำทาง”  ให้รู้ว่าเราควรทำอะไรได้มากมาย  การทำอะไรโดยไม่คิดถึงเงินเลยนั้น  ผมคิดว่ามันไม่ยั่งยืน  แต่ก็เช่นเดียวกัน  การทำอะไรก็คิดถึงแต่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียวนั้น  ผมก็คิดว่ามันไม่ยั่งยืนและจะนำไปสู่หายนะได้  สิ่งที่สำคัญที่สุดในประเด็นของเรื่องเงินก็คือ  อย่าไปคิดว่าเงินกับความสุขเป็นเรื่องเดียวกัน  เงินนั้นจะซื้อความสุขได้ถึงจุดหนึ่งเท่านั้น  หลังจากนั้นแล้ว  เงินที่มากเกินก็ไม่สามารถซื้อความสุขเพิ่มขึ้นได้   ว่าที่จริงอาจจะกลายเป็นความทุกข์ได้ถ้าเราหมกมุ่นกับมันมากเกินไป   ดังนั้น  เวลาคิดถึงเงิน  คิดถึงว่ามันคือ “พระเจ้า”  แต่เราจะต้อง  “บูชา”  อย่างถูกต้อง

Credit : board.thaivi.org




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2555    
Last Update : 24 สิงหาคม 2555 0:07:38 น.
Counter : 3595 Pageviews.  

อะไรคือความแตกต่างระหว่างลงทุนกับเก็งกำไร

ถ้าเราไม่ได้เอาหลักการของ Graham มาพูดแล้ว พี่ๆคิดว่าความแตกต่างระหว่างการลงทุนกับการเก็งกำไรคืออะไร สำหรับผมๆคิดว่าการลงทุนเหมือนเราซื้อเครื่องผลิตเงิน ฉะนั้นก่อนซื้อต้องดูก่อนว่าประสิทธิภาพของมันดีรึเปล่า แต่การเก็งกำไรคือการค้าหุ้น ฉะนั้นสิ่งที่ต้องดูกลับเป็นว่าจะมีความต้องการที่จะซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่ ไม่ทราบพี่ๆน้องๆคิดกันว่าอย่างไรบ้างครับ


การเก็งกำไรคือการตกปลา บางคนก็ได้ปลามาเป็นกอบเป็นกำทุกครั้ง บางคนก็เสียเหยื่อไปฟรีๆ บางคนอาจถึงขั้นตกเรือโดนปลากินอีกต่างหาก 

การลงทุนคือการสร้างบ่อเลี้ยงปลา ค่อยๆสร้าง แรกๆได้ปลานิดเดียวแต่ลงทุนไปเยอะ นานๆเข้าก็แค่คอยดูแลไปเรื่อยๆก็มีปลาให้กินทุกวัน 

เวลาผ่านไปสิบปี 

คนตกปลาก็ต้องออกไปหาปลาเรื่อยๆถ้าอยากได้ปลา 
คนเลี้ยงปลาไม่ต้องออกไปหาก็ได้ปลามากินทุกวัน 

การเก็งกำไรเปรียบเหมือนการเล่น หุ้นขึ้นและหุ้นตกซื้อมาในราคาส่วนต่าง
การลงทุน เปรียบเหมือน การได้ดอกเบี้ยธนาคาร ซื้อกองทุน ตราบใดที่เรายังมีบ่อ ไม่เอาเงินต้นมาใช้เราก็มีกินตลอดไป

ไม่สงวนลิขสิทธิ์ กรุณาเผยแพร่




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2555    
Last Update : 19 สิงหาคม 2555 22:48:59 น.
Counter : 3359 Pageviews.  

เทคนิค ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม.....เอทีเอ็ม รายปี

บัตรเอทีเอ็มใบหนึ่งๆ ที่อยู่ในกระเป๋าคุณนั้น เสียค่าธรรมเนียมถึง 200 บาทต่อปี จะทำใหม่ก็ต้องเสียค่าทำบัตรอีก ครั้งจะกดเงินต่างธนาคารหรือต่างจังหวัดก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมจุกจิกเป็นรายครั้งไป
ขอนำเสนอสองวิธีประหยัดค่าธรรมเนียมบัตร ATM ดังนี้ครับ

1. TMBAM Extracash

* ถอนเงินได้ทุกตู้ ATM ในไทยที่มีสัญลักษณ์ ATM Pool (เกือบ 100% ของ ATM ในไทย ยกเว้นอิออนเท่านั้น) ไม่เสียค่าธรรมเนียมต่างธนาคารหรือต่างเขต
* ไม่มีค่าธรรมเนียมทำบัตร
* ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี

เพียงลงทุนในกองทุนรวมทหารไทยธนบดี ของ บลจ. ทหารไทย ท่านจะได้วงเงินถอนได้ผ่านบัตร Extracash ~80% ของวงเงินการลงทุน แต่ไม่เกิน 20,000 บาท ต่อหนึ่งวันทำการ (วงเงินอาจสูงกว่านี้สำหรับผู้ถือหน่วยมูลค่า 10 ล้านบาทขึ้นไป)  หากท่านถอนเงินหลังเวลาขายหน่วยลงทุน จะได้ผลตอบแทนเพิ่มจากกองทุนอีก เพราะว่าคำสั่งขายหน่วยลงทุนจะต้องเลื่อนไปอีกอย่างน้อยหนึ่งวัน ราคาหน่วยลงทุนที่ขายได้ก็เพิ่มขึ้นอีก

เคล็ดลับ: เพื่อให้ได้วงเงินสูงสุดในการใช้บัตร (20,000 บาทต่อวันทำการ) แต่ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนัก เราแนะนำให้ท่านคงเหลือยอดการลงทุนไว้ที่ 25,000 บาท ซึ่งเป็นยอดต่ำที่สุดที่ทำให้ท่านได้วงเงิน 20,000 บาท  นอกจากนี้ยังมีคนรายงานว่ามีสามารถเปิดบัญชีกองทุนมากกว่าหนึ่งบัญชี และขอบัตร Extracash ใบที่สองได้อีก (วิธีนี้อาจใช้ได้ในเวลาจำกัดจนกว่า บลจ. จะตรวจสอบพบ)

2. ผูกบัญชีออมทรัพย์ (หรือกระแสรายวัน) ของท่านกับบัตรเครดิตที่ใช้

* ถอนเงินได้ทุกตู้ ATM ในไทยที่มีสัญลักษณ์ ATM Pool (เกือบ 100% ของ ATM ในไทย ยกเว้นอิออนเท่านั้น) เสียค่าธรรมเนียมต่างธนาคารหรือต่างเขตตามปกติเช่นเดียวกับบัตรเอทีเอ็มหนึ่งใบ
* ไม่มีค่าธรรมเนียมทำบัตร (มีบัตรเครดิตอยู่แล้ว)
* ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี (หากมีค่าธรรมเนียมรายปีบัตรเครดิต ก็เป็นไปตามเงื่อนไขของบัตรนั้นๆ)

ข้อควรระวัง ถ้าใช้กดเงินในต่างประเทศ หรือ ตู้ที่ไม่ใช่ ATM Pool จะไม่ตัดเงินจากบัญชีออมทรัพย์ (หรือกระแสรายวัน) ของท่าน แต่จะตัดวงเงินเครดิตทันที และทำให้เสียค่าธรรมเนียมเบิกเงินสดล่วงหน้า 3% ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมใช้วงเงินรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาจำนวนมาก

ธนาคารที่รองรับ
* ธนาคารกรุงเทพ (หากใช้จ่ายบัตรเครดิตถึงยอดที่กำหนด ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีบัตรเครดิต)
* ธนาคารกสิกรไทย (หากใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตครบ 12 ครั้งต่อปี ถือบัตร 5 ปีขึ้นไป หรือถือบัตรแพลทตินัม ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีบัตรเครดิต)
* ธนาคารไทยพาณิชย์ (หากใช้จ่ายบัตรเครดิตถึงยอดที่กำหนด ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีบัตรเครดิต)

ท่านควรสำรวจความต้องการของตนเองว่ามีความจำเป็นต้องถอนเงินสดในวงเงิน เท่าใดต่อวัน วงเงินการถอนเงินสดของแต่ละวิธีที่เสนอในที่นี้ต่อบัตรอาจไม่เพียงพอใน เบื้องต้นสำหรับผู้ที่ใช้เงินสดจำนวนมาก แต่ท่านสามารถทำบัตรหลายใบรวมกันเพื่อให้ได้วงเงินตามที่ต้องการได้ อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในกรณีที่ระบบใดระบบหนึ่งล่มอีกด้วย

ดูข้อมูลการติดต่อธนาคารและ บลจ. ที่เกี่ยวข้องได้ที่ Directory

หมายเหตุ บางธนาคารได้ออกรายการส่งเสริมการขายพิเศษลดค่าธรรมเนียมการใช้บัตรออกมา แต่เราพบว่ามีเงื่อนไขบางประการที่สร้างความไม่สะดวกอย่างมาก เช่น 
* ต้องรักษายอดคงเหลือในบัญชีในระดับหนึ่ง ซึ่งสูงพอที่ธนาคารจะได้ค่าธรรมเนียมชดเชยกลับมา
* การฝากเงินผ่านทางไปรษณีย์ อาจถอนไม่ได้จนกว่าระยะเวลาหนึ่งผ่านไป
* รายการส่งเสริมการขายมีอายุจำกัด หรือ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

ข้อมูลจาก //thaimonet.no-ip.biz/th/banking/ATM_th




 

Create Date : 16 สิงหาคม 2555    
Last Update : 16 สิงหาคม 2555 23:39:20 น.
Counter : 6780 Pageviews.  

1  2  

nut_dev
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




- รับทำ crystal report , รับสอน Crystal Report
- รับ customize ระบบ ERP, MRP II
- รับแก้ bug โปรแกรม
Line ID & Mobile: 0928132654
Contact Email: nut.developer@gmail.com
Friends' blogs
[Add nut_dev's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.