lozocat

petchpum
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




hits
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add petchpum's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว

สวยใสจากภายใน ด้วย 4 อาหารผิว
Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง


Antiaging Medicine หรือ การรับประทานอาหารที่มีสารต่อต้านริ้วรอย ชะลอวัย กำลังมาแรง ทั้งในประเทศอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ส่วนใหญ่สารอาหาร ดังกล่าวจะคัดสรร สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ การเลือกรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารเสริม ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้านความชราจึงเป็นอีกทางเลือกของความสวยที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีคำว่าช้าเกินไป แต่ใครเริ่มเร็วกว่าก็ยิ่งยืดความอ่อนเยาว์ให้ตัวเองได้ยาวนานกว่า และนี่คือสารอาหารที่จะช่วยคงความงามแห่งผิวพรรณจากภายใน สู่ภายนอก ที่เราขอแนะนำ


Niacin / Vitamin B3
ไนอาซินหรือวิตามินบี 3 เป็นวิตามินตัวเดียวที่ร่างกายสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโน ช่วยบำรุงสมองและประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ไนอาซินมีในอาหารทั่วไปที่ได้จากสัตว์และพืช แหล่งที่มีมากคือ เนื้อสัตว์, เนื้อปลา, ถั่ว, ข้าว, เครื่องในสัตว์ แหล่งที่มีปานกลางได้แก่ มันฝรั่ง, ธัญพืช, แหล่งที่มีน้อยคือ น้ำนม, ไข่, ผัก และผลไม้


วิตามินเอ
วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (Retinoids) และแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนัง และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งและเสริมสุขภาพตา แหล่งอาหารที่พบคือ ไข่, นม, เนย, ปลาแซลมอน, ปลา Halibut, ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี, ผักโขม, แอสพารากัส, มะละกอ, แคนตาลูป, มะเขือเทศ, ฟักทอง



วิตามินบี-คอมเพล็กซ์
วิตามินในกลุ่มนี้ มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น วิตามินบี 2 ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้ กรดโฟลิกยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง แหล่งอาหารที่พบมากคือ บร็อกโคลี, มันฝรั่ง, เห็ด, แครอท, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, ผักโขม, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะเขือ, ผลไม้ในกลุ่มส้ม, ไข่, เนื้อไก่, เนื้อปลาแซลมอน และปลาทูน่า


Vitamin C
วิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์และช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนจะไม่สามารถทำงานได้หากขาดวิตามินซี นอกจากนี้วิตามินซียังมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Women Plus




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2552 13:23:52 น.
Counter : 211 Pageviews.  

ผลไม้เปรี้ยวอาจไม่มีวิตมินซี

ผลไม้เปรี้ยวอาจจะไม่มีวิตามินซี

ฝรั่ง มะม่วง มะละกอ ลำไย ลิ้นจี่ พุทรา มะกอก เงาะ แคนตาลูป เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ที่ว่ามากคือเนื้อผลไม้สด 100 กรัม มีวิตามินซี 40 มิลลิกรัม หรือมากกว่า ฝรั่งสด 100 กรัม มีวิตามินซีถึง 160 มิลลิกรัม จะว่ามีมากหรือมีน้อยจะต้องคิดต่อไปด้วยว่า เรากินได้มากหรือน้อย กินฝรั่ง 100 กรัม ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะให้กินมะขามป้อมสด ๆ 100 กรัม คงยาก เราจึงไม่สนใจแม้ว่ามะขามป้อมจะมีวิตามินซีมากกว่าผลไม้อื่น ๆ

ผักต่าง ๆหลายชนิดให้วิตามินซี แต่ผักก็เช่นเดียวกับผลไม้ ต้องกินสด ๆจึงจะได้รับวิตามินซีเต็มที่ เพียงลวกน้ำเดือด 5 วินาที วิตามินซีก็ลดลงแล้ว ถ้าต้มนานเทน้ำทิ้งจะสูญเสียวิตามินซีไปมาก ยังคงเหลือวิตามินเอ เกลือแร่และเส้นใยอาหาร ผักที่ให้วิตามินซีมาก ได้แก่ ผักคะน้า กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ พริกทุกชนิด มะละกอดิบ ผักกาดและผักที่มีใบสีเขียวทั้งหลาย ผักผลไม้ไม่ได้ให้แต่วิตามินซีเท่านั้น สิ่งอื่น ๆในผักมีประโยชน์ ช่วยรักษาโรคเบาหวานและป้องกันมะเร็งได้

วิตามินซีเป็นสารที่จำเป็นมาก แต่ถูกทำลายได้ง่าย จึงต้องได้กินทุกวัน ความที่ถูกทำลายได้ง่ายนี้ เป็นคุณสมบัติที่ช่วยรักษาความเป็นหนุ่มเป็นสาว เพราะตัวเองถูกทำลาย ช่วยรักษาเนื้อเยื่อของร่างกายไว้ ช่วยป้องกันโรคได้ คลินิกแพทย์หลายแห่งจัดวิตามินซีไว้ให้เป็นของแถม หรือให้เด็กอมเป็นขนม

วิตามินซีช่วยสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งมีความยืดหยุ่น ทำให้เส้นเลือดยืดหดตัวเมื่อหัวใจเต้น ถ้าขาดวิตามินซีเส้นเลือดจะเปราะ แตกง่าย เห็นได้ชัดที่เยื่ออ่อนหุ้มฟัน อาการขาดวิตามินซีที่เห็นได้ง่ายคือเลือดออกตามไรฟัน ผิวหนังช้ำง่าย เมื่อเป็นแผลจะหายยาก เพราะไม่มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันประสานให้ติดกัน การสร้างความแข็งแรงให้แก่เนื้อเยื่อ ทำให้วิตามินซีมีประโยชน์ในการป้องกันโรค เพราะทำให้ผิวหนังแข็งแรง เชื้อโรคเข้าร่างกายไม่ได้

วิตามินซีช่วยบรรเทาอาการเครียด ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อเครียด เช่นเมื่อตกใจกลัว ตื่นเต้น สนุกสนาน เป็นไข้หรือเมื่อรู้สึกหนาว วิตามินซีช่วยสร้างฮอร์โมนไธร็อกซินที่ร่างกายหลั่งออกมา เพื่อควบคุมการเผาผลาญสารอาหาร ในขณะที่เครียด ความต้องการวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น

เมื่อเป็นไข้หวัดหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ความต้องการวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น วิตามินซีช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหลเมื่อเป็นหวัด โดยลดฮีสตามีนในเลือด ยาแก้หวัดจะเป็นตัวยาที่ลดฮีสตามีน การได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้นจึงดีกว่ากินยาที่มักจะทำให้ง่วงนอน เป็นอันตรายถ้าทำงานกับเครื่องจักร หรือต้องขับรถ

เมื่อรู้สึกว่าจะเป็นหวัด กินวิตามินซีเพิ่มขึ้นอาจจะไม่เป็นหรือหายเร็วขึ้น คนที่ได้รับวิตามินซีทุกวันจะเป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กิน อาหารเช้าแบบฝรั่งจะต้องเริ่มต้นด้วยน้ำส้มคั้นเสมอ น้ำผลไม้อื่นให้วิตามินซีน้อยกว่าน้ำส้มคั้น จึงแทบจะเป็นสูตรตายตัวว่า อาหารเช้าคือน้ำส้มคั้นสด หรือน้ำส้มแช่แข็ง น้ำส้มแบบอื่น ๆจะมีวิตามินซีน้อย หลายแห่งมีน้ำส้มเทียม หรือน้ำส้มผสมน้ำเชื่อมและเติมน้ำเปล่า คุณค่าทางโภชนาการจึงน้อยมาก

น้ำส้มให้วิตามินซีน้อยกว่าผลไม้สดที่กล่าวถึงข้างต้น แต่เราดื่มน้ำส้มแต่ละครั้งได้มากกว่า 100 กรัม เมื่อดื่ม 150 หรือ 200 กรัม จะได้วิตามินซีเพียงพอกับความต้องการใน 1 วัน แต่ถ้ากินผลไม้จะเสียเวลาเคี้ยว ส่วนมากคนที่ทำงานต้องรีบกินอาหารเช้า การดื่มจึงได้รับอาหารเร็วกว่า ยิ่งถ้าเปิดกล่องรินใส่แก้วดื่ม จะยิ่งประหยัดเวลากว่าปอก หั่น ผลไม้ และเคี้ยวกิน

ร่างกายดูดซึมและขับถ่ายวิตามินซีออกเร็วมาก เพียงไม่กี่ชั่วโมง วิตามินซีที่เหลือใช้จะออกมากับปัสสาวะ เราจึงควรกินผลไม้ที่มีวิตามินซีมากเป็นขนมและของว่าง ถ้ามีเวลา ควรได้เคี้ยวกินผลไม้บ่อย ๆ ได้ออกกำลังฟัน เส้นใยอาหารช่วยการย่อยและการขับถ่าย สารอาหารอื่น ๆในผลไม้ทำงานร่วมกับวิตามินซีและสารอาหารอื่น ๆ วิตามินซีช่วยการดูดซึมของธาตุเหล็ก แม้ว่าวิตามินซีจะไม่ได้ป้องกันโรคโลหิตจาง แต่วิตามินซีช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก จึงช่วยป้องกันโรคโลหิตจางทางอ้อม

สารอาหารต่าง ๆทำงานร่วมกัน ไม่มีสารใดทำงานเองอย่างเดียวโดด ๆ การได้รับสารอาหารจากอาหารจึงดีกว่าการกินแบบยาเม็ด ไม่มีอาหารใดมีสารอาหารอย่างเดียว นอกจากจะนำไปแยกออกเช่นน้ำตาลทราย ถ้าเป็นน้ำอ้อยจะมีสารอาหารหลายอย่าง แต่เมื่อนำไปทำเป็นน้ำตาลบริสุทธิ์แล้ว สารอาหารอื่น ๆจะไม่มีเหลือ เมื่อเลือกใช้น้ำตาล น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลที่ไม่ขาวจะดีกว่าน้ำตาลสีขาว

เมื่อฟังโฆษณาสินค้าว่ามีสิ่งที่มีประโยชน์ จะต้องถามต่อไปว่ามีเท่าไร การอ้างว่าผลไม้รสเปรี้ยวมีวิตามินซี เป็นข้อความที่เป็นจริง แต่มีเท่าไร มีเพียง 3 มิลลิกรัม กับมี 45 มิลลิกรัม ต่างกัน 15 เท่า น้ำส้มผสมต่าง ๆที่วางขายทั่วไปมีวิตามินซีก็จริง แต่มีน้อยมาก ไม่พอที่จะเกิดประโยชน์ มีโทษมากกว่า เพราะเติมน้ำตาลทำให้อ้วน สมัยที่โรคอ้วนกำลังระบาด หัดกินหวานให้น้อยลง ผลไม้อร่อยเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องเติมรสหวาน การเติมน้ำตาล เป็นการลดคุณค่า เท่ากับปลอมปนทำให้ปริมาณมากขึ้น ดีไม่ดีอาจเติมจุลินทรีย์ทำให้ท้องเสีย กินส้มตามธรรมชาติ ถ้าได้เนื้อส้มด้วยจะมีคุณค่ามากขึ้นอีก




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2552    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2552 13:20:18 น.
Counter : 151 Pageviews.  

กินแคลเซียมเม็ดดีมั๊ย

ข้อมูลโดย : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
Monday, 20 April 2009


--------------------------------------------------------------------------------
กินแคลเซียมเม็ด ดีมั้ย?
แคลเซียมเม็ดดังกล่าวทำมาจากอะไร แล้วใครอยู่ในข่ายที่ต้องกินบ้าง



เห็นสุภาพสตรีหลายคน ที่อายุมากแล้ว หันมากินแคลเซียมเม็ดกัน ก็เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่า
เพื่อให้หายข้องใจ ผู้เขียนจึงมาพูดคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุร วัฒน์นานาชาติ

นพ.กฤษดา อธิบายว่า แคลเซียมเม็ด ทำมาจากหินปูนชนิดกินได้ นั่นก็คือ แคลเซียมคาร์บอเนต โดยแคลเซียมเม็ดนี้มักมีสิ่งที่นิยมใส่ร่วมด้วย คือ บางชนิดทำจากแคลเซียมร่วมกับกรด เช่น แคลเซียม ซิเตรท ซึ่งจะดูดซึมได้ดีกว่าชนิดหินปูนคาร์บอเนต หรือใส่วิตามินซีกับวิตามินดีร่วมไปด้วย โดยเฉพาะแบบเม็ดฟู่ แต่ต้องระวังในคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร

ส่วนแคล เซียมแบบที่ควรระวัง คือ แคลเซียมเม็ดราคาถูกมาก เพราะอาจทำมา จากกระดูกวัวควายป่น ซึ่งอาจได้ของแถมเป็นสารตะกั่ว ปรอทและโลหะหนักอื่น หรือทำ มาจากหินปูนจากภูเขา ซึ่งร่างกายไม่สามารถ ดูดซึมได้ อาจสะสมให้เกิดนิ่วหรือกินเข้าไปเป็นเม็ดก็ยังถ่ายออกมาเป็นเม็ดได้เหมือนเดิม

มีงานวิจัย ชี้ว่า แคลเซียมจากอาหารสดจะช่วยลดการเกิดนิ่วในไตได้ แต่ถ้าเป็นแคลเซียมเสริมกินมากไปควรระวังการจับตัวเป็นนิ่วในไตได้

เคล็ดสำคัญในการกินแคลเซียมมีดังนี้ 1.อย่ากินร่วมกับผักที่มีผลึกออกซาลิก มาก เพราะจะทำให้เกิด นิ่ว เช่น ใบชะพลู ขึ้น ฉ่าย ยอดมะม่วงอ่อน 2.ถ้าเป็นแคลเซียมเม็ดขอให้แบ่งกินเป็น 2 มื้อจะ ดูดซึมได้ดีกว่ากินพร้อมกัน ในคราวเดียว ยกเว้นถ้าวันใดกินอาหารอุดมแคลเซียม อยู่แล้วก็กินแคลเซียมเม็ดเพียงมื้อเดียวก็พอ

ผู้ที่ควรกินแคลเซียม คือ 1.ผู้ที่กินอาหารสดไม่พอ โดยเฉพาะกุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย 2.ผู้ที่ มีการใช้แคลเซียมเยอะมากกว่าปกติ เช่น สตรีมีครรภ์ ไม่อย่างนั้นอาจถูกลูกแย่งแคลเซียมจนฟันผุ หรือคน ที่มีปัญหาต่อมไร้ท่อทำให้มีการดึงแคลเซียมออกจาก กระดูกมากกว่าปกติ 3.ผู้ที่เข้าวัยทอง เพราะมีโอกาสกระดูกพรุนสูงมาก โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสันหลังบั้นเอว ข้อตะโพกและข้อมือ 4.ผู้เสี่ยงกระดูกพรุน เช่น คนที่ผอมบางกระดูกเล็ก คนสูบบุหรี่ มีประวัติครอบครัวเป็นกระดูกพรุน

ส่วนคนที่ไม่ควรกิน คือ 1.คนที่มีปัญหาเรื่องขับแคลเซียมออกไปไม่ได้ เช่น คนที่เป็นโรคไต 2.คนที่มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ เพราะแคลเซียมที่เกินอาจไปเกาะเป็นตะกรันหลอดเลือดหัวใจทำให้แข็งแต่เปราะและตีบตันง่าย 3.คนที่มีปัญหาเรื่องแคลเซียมสะสมตามตัว เช่น มีกระดูกงอกหรือเป็นนิ่วทางเดินปัสสาวะ

สำหรับการกินแคลเซียมต่อวัน แบ่งตามวัยเป็น 3 ช่วง ดังนี้ 1.วัยเด็ก วันละ 200-500 มิลลิกรัม 2.วัยผู้ใหญ่ วันละ 1,000 มิลลิกรัม 3.วัยทองกับสตรีมีครรภ์ วันละ 1,200 มิลลิกรัม

ถ้ากะประมาณก็กินราว 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดจนเกินไป เพราะลำพัง เรากินอาหารถ้าได้ปริมาณที่เหมาะสมดังที่บอกก็จะเพียงพอมากแล้ว หรือถ้าท่านกินแคลเซียมเม็ดอยู่แล้วกลัวว่าจะได้เกินไป ก็ขอให้กินแคล เซียมเม็ดเพิ่มอีกเพียงเม็ดหรือครึ่งเม็ดก็พอ

สำหรับอาหารที่มีแคลเซียมเยอะ หากคนที่ไม่มีเงินพอซื้อแคลเซียมเม็ดกิน เช่น แกงคั่วหอยขม ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม อึ่งแห้ง เขียดย่าง หมกปลาแก้ว แจ่วปลาร้า และกุ้งชุบแป้งทอด โดยพบว่า ปลาร้าสับ กุ้งจ่อม หมกเคย กุ้งฝอยชุบแป้งทอด จะมีปริมาณแคลเซียมระหว่าง 393.6-915.3 มก. ต่อ 100 กรัม เรียกว่ากินแค่ 1 ขีดก็ได้แคลเซียมพอ ๆ กับกินแคลเซียมเสริม 1 เม็ดเลยทีเดียว

วัตถุดิบอาหารแคลเซียม ที่เลือกกินง่ายแบบไทย ๆ นอกจากที่เราเคยรู้มีดังนี้ 1.งาดำ รับประทานให้ได้ราว 2 ช้อนโต๊ะต่อวันจะได้แคลเซียมเกือบเท่ากับแคลเซียมเสริมทั้งเม็ดเช่นกัน 2.พริก กระถิน ใบยอ กะเพราโหระพา กระเจี๊ยบ ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง ปวยเล้ง คะน้า เหล่านี้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีแต่มักถูกมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นผัก ให้กินวันละอย่างน้อย 3 ทัพพีร่วมกับอาหารแคลเซียมชนิดอื่น โดยเฉพาะพริกนั้น การกินพริกป่นวันละ 1-2 ช้อนชาได้แคลเซียมถึง 1 ใน 3 ของที่ต้องการต่อวัน 3.กะปิและกุ้งแห้ง 4.เต้าหู้ แต่ขอให้เลือกชนิดแข็งเช่นเต้าหู้ขาวแข็งจะดีกว่าแบบนิ่ม เพราะผ่านกระบวนการที่ช่วยเติมแคลเซียมโดยไม่รู้ตัว นั่นคือการใส่ เจียะกอ ซึ่งก็คือ ยิปซัม หรือแคลเซียมซัลเฟตนั่นเองครับ จึงทำให้เต้าหู้ชนิดนี้เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีมากครับ 5.นอกจากนั้นยังมีมากใน โยเกิร์ต และชีส ไม่ต้องกลัวอ้วนเพราะส่วนใหญ่เป็นโปรตีน แต่ถ้าเนยจะเป็นไขมัน

อย่างไรก็ตาม การกินแคลเซียมอย่างเดียวอาจทำให้ท้องผูกได้ เคล็ดลับ คือ ต้องกินร่วมกับ แมกนีเซียม ซึ่งได้จากผักและผลไม้ จะเห็นว่าเดี๋ยวนี้แคลเซียมเม็ดมักเติมแมกนีเซียมไปด้วย.



นวพรรษ บุญชาญ : สัมภาษณ์

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2552    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2552 13:20:37 น.
Counter : 194 Pageviews.  

วิตมินซี

กินวิตามินซี (เม็ด) ดีมั้ย ?
วิตามินซีชนิดเม็ดที่ปัจจุบันมีหลากหลายยี่ห้อและหลายรส ทำมาจากอะไร หรือมีประโยชน์อย่างไร


ตอนเด็ก ๆ หลายคนชอบกินวิตามินซีชนิดเม็ด เพราะคุณพ่อคุณแม่หาซื้อมาประเคน นัยว่าป้องกันโรคลักปิดลักเปิด พอโตขึ้นหลายคนก็ยังกินอยู่ เพราะสะดวก หรือบางคนอาจจะไม่ชอบกินผลไม้ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า

ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลในเรื่องนี้ X-RAY สุขภาพ จึงมาพูดคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

นพ.กฤษดา กล่าวว่า วิตามินซีชนิดเม็ดที่ขายกันอยู่มีทั้งวิตามินซีธรรมชาติ และสังเคราะห์ โดย ชนิดที่เป็นสารสัง เคราะห์ ประกอบด้วย กรดแอสคอบิก ผสมกับน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ คอร์นไซรัป มีการเติมสี แต่งกลิ่น แต่งรส ดังนั้นการกินวิตามินซีชนิดเม็ดจะได้ความหวานด้วย โดยเฉพาะที่เป็นชนิดแบบอมเล่น รสผลไม้ ทั้งหลาย

ถามว่าวิตามินซีชนิดเม็ดให้คุณค่าเช่นเดียวกับผลไม้ที่มีวิตามินซีหรือไม่ ขอเรียนว่า ถ้าเป็นวิตามินซีธรรมชาติจะให้คุณค่าไม่ต่างจากผลไม้อุดมวิตามินซีทั่วไป แต่ถ้าเป็นวิตามินซีสังเคราะห์มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าอาจทำให้เกิดมะเร็งมากขึ้นในหนูทดลองและทำให้หลอดเลือดแข็งตีบในคนได้

โดยหลักในการเลือกซื้อวิตามินซีธรรมชาติไม่ให้ดูแค่คำว่า ธรรมชาติ หรือ Natural ข้างฉลากเท่านั้น หากแต่ต้องดูคำว่า ผลิตจากผักและผลไม้ในสภาวะที่เหมาะสม หรือ Made from fruits and vegetables below 70 degrees แทน

สำหรับความจำเป็นในการกินวิตามินซีชนิดเม็ด นพ.กฤษดา บอกว่า หากกินผักผลไม้ไม่ค่อยไหวก็อาจรับประทานได้บ้าง แต่ไม่ใช่ใช้แทน เพราะอย่างไรก็ดีวิตามินจะดูดซึมได้ดีต้องมีสารธรรมชาติบางชนิดในผลไม้นั้น ๆ ช่วยด้วย ดังนั้นสูตรสำเร็จสำหรับผู้รักที่จะกินวิตามินซีก็คือ กินอาหารเสริมบวกอาหารสดนั่นเอง

อาหารที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ฝรั่งกลมสาลี่ มะขามเทศ มะขามป้อม มะละกอแขกดำ พุทรา แอปเปิ้ล และส้มโอขาวแตงกวา ซึ่งจะสังเกตได้ว่าความเปรี้ยวไม่ใช่ตัวบอกวิตามินซี เพราะจะเห็นว่าผลไม้เปรี้ยวจัดอย่างมะยมหรือลูกเสาวรสไม่ติดอันดับต้น ๆ เลย

นอกจากนี้อาหารธรรมชาติที่นึกไม่ถึงอีกชนิดที่มีวิตามินซีมาก คือ ปลาทะเลดิบ มีกรด แอสคอบิกมากเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าชาวเอสกิโมนั้นแม้ไม่ค่อยได้บริโภคพืชผักผลไม้ ก็ยังไม่เป็นโรคขาดวิตามินซี

กลุ่มคนที่ควรรับประทานวิตามินซี คือ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่เป็นโลหิตจางและผู้รับประทานมังสวิรัติ เพราะบุหรี่หนึ่งมวนจะผลาญวิตามินซีไปเท่ากับส้มเขียวหวานราว 1 ผลเลยทีเดียว ส่วนโลหิตจางบางชนิดกับคนกินมังสวิรัตินั้นมักขาดธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์จึงต้องอาศัยวิตามินซีช่วยจับธาตุเหล็กให้มากขึ้นแทน รวมถึงผู้ที่เริ่มสูงวัยหรือผิวพรรณเริ่มเสื่อมไป วิตามินซีจะช่วยกวาดสนิมแก่ ช่วยเพิ่มคอลลาเจน ซึ่งเป็นเสมือนกระดูกของผิวให้คงรูปไม่เหี่ยวย่นเร็วเกินวัย วิตามินซียังช่วยเสริมภูมิให้กับผู้ป่วยภูมิแพ้เรื้อรัง ไอเรื้อรังหรือเป็นหวัดบ่อย นอกจากนี้ยังแก้เครียดด้วย เพราะเกี่ยวพันกับต่อมหมวกไตในการสร้างฮอร์โมนต้านเครียดและการอักเสบชื่อว่า คอติซอล

กินมากไปมีผลเสียหรือไม่ ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า มีแน่นอน การกินนับสิบ ๆ เม็ดหรือบ้างก็ใช้ฉีดเข้าเส้นกันโดยหวังว่าจะรักษามะเร็งและโรคร้ายอื่นได้ มีงานวิจัยที่แสดงว่าวิตามินซีปริมาณมากอาจทำให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ เพิ่มอัตราการเกิดมะเร็งในหนูทดลอง ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบแข็งในมนุษย์ ทำให้ขาดธาตุทองแดงและน้ำย่อยสำคัญในร่างกาย

ส่วนอาการเตือนในช่วงแรกที่กินมากไปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ที่สังเกตได้ อาทิ คลื่นไส้ ถ้ากินมากถึงแก่อาเจียน แสบร้อนกระเพาะอาหาร จุกใต้ลิ้นปี่ ระคายทางเดินอาหาร ถ่ายเหลว ปัสสาวะสีเข้ม

อย่างไรก็ตามไม่ต้องตระหนกอกสั่นกับ วิตามินซีเป็นพิษ มาก เพราะว่ามันละลายน้ำได้ ถ้าได้เยอะเกินไปร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เป็นอันตรายอะไร จะแย่หน่อยก็ตรงเสียดายว่ามันจะกลายเป็นฉี่แพงไปหน่อยเท่านั้นเอง.


นวพรรษ บุญชาญ รายงาน
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2552    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2552 13:20:57 น.
Counter : 165 Pageviews.  

1  2  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.