|
"เจียะทึง (กินน้ำแกง)" แบบชาวกว่างตง
การกินน้ำแกง สำหรับชาวกว่างตง (กวางตุ้ง) แล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ ใครก็ตามเมื่อได้ไปเยือนกว่างตง(กวางตุ้ง) กิจกรรมการกินถือว่าเป็นเรื่องหลักอันดับต้นๆ ของการมาเยือนดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ แต่สิ่งที่อยู่เหนือสุดยอดของกิจกรรมดังกล่าว นั่นก็คือ " วัฒนธรรมการกินน้ำแกง " ที่มีทั้งความละเมียดละไมในการคัดสรรเครื่องปรุงอย่างประณีตบรรจง ในทุกขั้นตอน กว่าจะมาเป็นน้ำแกง 1 หม้อ จนมีคำกล่าวในวงการอาหารว่า น้ำแกงเป็นเคล็ดลับสำคัญของการทำอาหารกว่างตง แต่สิ่งที่ยิ่งไปกว่านั้น คือ การเป็นรากฐานความสุขแห่งชีวิตของคนมณฑลนี้ทุกเพศทุกวัย
เมื่อไหร่ที่ร่างกายอ่อนเพลียหรือร้อนใน คนกว่างตง ในที่นี้กล่าวถึงชาวเมืองกว่างโจวและเมืองใกล้เคียง จะต้องเสริมด้วย ดอกแก้วมังกรแห้งตุ๋นด้วยกระดูกหมู หรือ โสมอเมริกาตุ๋นปลาสด แต่ถ้าอากาศเย็นลง ก็คงต้องถึงคราวตั้งหม้อตุ๋น ลูกตาลแห้ง เมล็ดชวนเป่ย(ชวนป๋วย) กับ น้ำตาลกรวด กันแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างสมดุลให้กับร่างกาย ไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไป ซึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อสุขภาพของชาวกว่างตงได้ดี
" บำรุงสุดๆ ด้วยน้ำแกงถ้วยนี้ มาจากการตุ๋นไก่กับเห็ดหลินจือ, หวยซัน(ห่วยซัว), ลำใยแห้ง, ผิวส้ม, พุทราแดง และ ฉี่จือ(เก๋าคี้)"
และเมื่อพูดถึงการต้มน้ำแกงของที่นี่แล้ว สำหรับคนต่างถิ่นอาจถึงขั้นต้องใช้คำว่า " สุรุ่ยสุร่าย " กันเลย เนื่องจากว่าน้ำแกง 1 หม้อ หรือ 1 ถ้วย ต้องมีส่วนประกอบที่เป็นสมุนไพร มากน้อยแล้วแต่สูตร ทั้งยังต้องมีเนื้อสัตว์ เช่น กระดูกหมู เนื้อสันใน ปลาสดทั้งตัว เนื้อไก่ และอาจจะต้องเติมเครื่องปรุงพิเศษ เช่น หอยเชลล์ เป๋าฮื้อ เนื้อหอยสังข์แผ่น เป็นต้น แล้วจึงค่อยนำไปตั้ง ไฟอ่อน หรือ ไฟแรง แล้วแต่สูตรนานนับชั่วโมง จนได้น้ำแกงที่มีคุณค่าทางอาหารอย่างครบครัน แล้วเครื่องปรุงที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหลายนั้น เมื่อผ่านการต้มเคี่ยวจนครบเวลาแล้ว ก็ถือเป็น "กาก" และไม่มีใครใคร่รับประทานนัก เพราะถือว่าได้ดึงส่วนที่ดีที่สุดออกมาอยู่ในน้ำแกงหมดแล้ว นอกจากนั้นเนื้อสัตว์ที่ต้มเป็นเวลานานก็มักจะเหนียว หรือ แข็ง จนไม่มีความอร่อยเหลืออยู่
" ส่วนที่อยู่ในจาน แม้จะเป็นวัตถุดิบที่มีราคาแพงเพียงใด แต่ถ้าได้นำไปตุ๋นน้ำแกงเรียบร้อยแล้วก็เท่ากับเป็นกาก ไม่นิยมนำมารับประทานอีก "
สำหรับอุปกรณ์แนะนำที่ใช้ในการ ต้ม หรือ ตุ๋น(นึ่ง)น้ำแกง ก็คือ " หม้อดินเนื้อละเอียด " แต่ในปัจจุบันก็เริ่มมีการใช้หม้อกระเบื้องเคลือบ และ หม้อสแตนเลส ด้วยแล้ว ศัพท์สำคัญของการทำน้ำแกงของชาวกว่างตง มีอยู่ 2 คำ คือ - " ซันเปา " หมายถึง การใช้ไฟต้มน้ำแกงเป็นเวลา 3 ชั่วโมง และ - " ซื่อตุ้น " หมายถึง การตุ๋นที่นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในภาชนะแล้วนำไปนึ่ง เป็นเวลา 4 ชั่วโมง
โดยปกติแล้ว หากเป็นแขกทั่วไป ชาวกว่างตงจะรับรองด้วยน้ำแกงที่ต้ม 3 ชม. แต่หากเมื่อไหร่ที่ใช้ "ซื่อตุ้น หรือน้ำแกงตุ๋น 4 ชั่วโมง" ในการรับรองแขกท่านนั้นแล้วล่ะก็ เท่ากับเป็นการให้ความสำคัญกับแขกท่านนั้นมากทีเดียว ทั้งนี้ ชาวกว่างตงจะกินน้ำแกงก่อนที่จะรับประทานอาหาร โดยให้เหตุผลว่า น้ำแกงเหล่านี้มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ในระหว่างที่ท้องยังว่าง ก็จะสามารถดูดซึมคุณค่าดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ ซึ่งแตกต่างจากทางเหนือที่จะกินน้ำแกงเป็นเมนูหลังสุด
นอกจากนั้นในการลิ้มรสน้ำแกงโดยการซดด้วยเสียงดังๆ หรือ ส่งเสียงดังนั้น เป็นเรื่องปกติสำหรับวัฒนธรรมการกินอาหารของชาวจีน อย่างไรก็ตาม เริ่มมีการรณรงค์ให้ใช้เดซิเบลที่ต่ำลงในการทานน้ำแกงแล้ว นอกจากนั้น สำหรับวิธีกินน้ำแกงอย่างถูกต้อง ต้องเริ่มจากกินเนื้อให้หมดก่อน (หากมีอยู่ในถ้วยน้ำแกงด้วย) แล้วจึงเริ่มดื่มด่ำกับรสน้ำแกง ซึ่งสามารถทำได้ทั้งใช้ช้อนค่อยๆ ตักขึ้นมา หรือยกถ้วยขึ้นซดน้ำแกงที่เริ่มเย็นลงแล้วก็ได้
ตัวอย่างน้ำแกงทั่วไป - ในฤดูที่อากาศแห้ง ควรเลือกน้ำแกงที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับปอด เช่น เหมยไช่(บ่วยไฉ่) ต้มกับปอดหมู หรือ กระดูกหมูต้มเห็ดหูหนูขาวและมะละกอ
- หากร้อนใน ควรเลือกน้ำแกงที่มีฤทธิ์เย็น ที่จะช่วยระบายความร้อนและ ดับความร้อนในร่างกาย เช่น ไก่ทั้งตัวต้มจีกูเฉ่า (โกยกุกเฉ้า หรือ มะกล่ำตาหนู) หรือ ถั่วเขียวตุ๋นเนื้อหมูไม่ติดมัน - หากร่างกายเย็นเกินไป ก็ต้องสรรหาน้ำแกงที่ให้ฤทธิ์ร้อน เช่น เป็ดตุ๋นโสม หญ้าหนอนตุ๋นนกพิราบ เป็นต้น ทั้งนี้ หญ้าหนอน โสมทั้งโสมจีน และโสมอเมริกันล้วนมีฤทธิ์ร้อน ซึ่งไม่เหมาะกับการรับประทานในฤดูร้อน
" ตำรับน้ำแกงที่มีหลากหลายจนต้องพิมพ์ออกมาเป็นตำราน้ำแกงโดยเฉพาะ "
ตำรับพิเศษสำหรับผู้หญิง - ผิวพรรณไม่ผ่องใส นอนหลับไม่สนิท ใช้หญ้าหนอน (ตั่งถั่งแห่เฉ้า, ตงฉงเซี่ยเฉ่า) ตุ๋นพร้อมเต่า มีฤทธิ์บำรุงปอดและไต ลดการอักเสบ ช่วยทำให้จิตใจสงบและผิวพรรณขาว สดใส เป็นน้ำแกงที่ผู้หญิงกินได้ตลอดทั้งปี - ประจำเดือนไม่ปกติ ผิวพรรณหยาบกร้าน ต้องกินซุปไก่ดำตุ๋นพุทราแดง ไก่ดำ มีฤทธิ์บำรุงกำลัง บำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิง ส่วนพุทราแดง มีฤทธิ์บำรุงเลือด เมื่อรับประทานเป็นประจำจะปรับประจำเดือนให้มาปรกติ ขณะเดียวกันก็ส่งผล ให้ผิวพรรณสดใสด้วย
- ร้อนใน เป็นสิวทั่วหน้า ตุ๋นถู่ฝูหลิง (โถ่วฮกเหลง, ข้าวเย็นใต้) กับเต่า มีฤทธิ์ระบายความร้อนและพิษ ในร่างกาย บำรุงม้าม นอกจากนั้น หากปัสสาวะเป็นสีเหลืองปนแดง ก็ต้องกินน้ำแกงชนิดนี้เช่นเดียวกัน ทั้งนั้น รสชาติของ ถู่ฝูหลิง ค่อนข้างเข้มข้น ดังนั้นจึงต้องมีการปรับรสด้วยเกลือให้ถูกปากและทานง่ายเพิ่มขึ้นด้วย
" ขาไก๋ตุ๋นมะละกอ พุทราแดงและถั่วชนิดต่างๆ " คือ เคล็ดลับความงามของสาวกว่างตง
- ทำงานหนัก เครียด กินโสมอเมริกันตุ๋นตะพาบน้ำ ด้วยสรรพคุณบำรุงสุขภาพของโสมอเมริกัน ประกอบกับตะพาบน้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของดีต่อระบบสืบพันธุ์สตรี ทั้งมีฤทธิ์ระบาย ความร้อน บำรุงกระเพาะ จึงเป็นน้ำแกงที่เหมาะสมกับสตรีที่ทำงานหนัก และ สามารถรับประทานได้โดยไม่เลือกฤดูกาล - ไอ ระบบทางเดินหายใจอักเสบ ใช้หญ้าหนอนตุ๋นไก่ อันมีคุณสมบัติบำรุงปอดและไต ระงับเลือดและบรรเทา อาการอักเสบ สำหรับในตำราแพทย์แผนจีนแล้ว สัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ มีฤทธิ์เย็น ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับการรับประทานในฤดูร้อน เช่นเดียวกัน ในคนที่ ม้ามไม่แข็งแรง กลัวหนาว รวมถึงกระเพาะมีบาดแผลไม่ควรกินน้ำแกงนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงกว่าเดิม - ปวดหัวเพราะความเครียด ต้องกินน้ำแกงเทียนหมา(เทียงมั้ว) ตุ๋นนกพิราบ เนื่องจากเทียนหมาจะช่วยใน เรื่องอาการเวียนศีรษะ ชาตามแขนขาได้เป็นอย่างดี ส่วนนกพิราบนั้นมีคุณค่า ทางอาหารสูง นอกจากนั้นยังมีรสชาติดี หากได้ดื่มน้ำแกงนี้เป็นประจำ จะช่วย ผ่อนคลายให้กับผู้หญิงที่ทำงานหนัก ใช้สมองมากได้เป็นอย่างดี
* หมายเหตุ ขอเรียนว่า น้ำแกงต่างๆ เหล่านี้เป็นสูตรของประเทศจีน เครื่องปรุงบางอย่าง อาจขัดกับความเชื่อและขนบธรรมเนียมของไทย แต่ที่นำมาเผยแพร่เพื่อเป็น ความรู้เท่านั้น มิได้สนับสนุนให้ทานตามแต่อย่างใด
*** ขอขอบคุณ (Thank You) ที่มาของข้อมูล, บทความและภาพประกอบ - ผู้จัดการออนไลน์ 4 พฤษภาคม 2548 - ซินหัวเน็ต - //www.ycwb.com
Create Date : 21 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 21 กันยายน 2550 22:46:31 น. |
Counter : 2350 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ซอสไข่เค็ม
ไม่มีอะไรมากแค่ทำกินเองแล้วชอบ กลัวจะลืมสูตรเลยมาเก็บไว้ก่อน เพื่อนๆคนไหนอยากลองทำกินก็ไม่ว่า แต่ระวังนี๊ดนึงมันทำจากไข่แดงนะจ๊ะ ส่วนผสม -ไข่แดงไข่เค็มสุกแล้วบดละเอียด 3 ฟอง -น้ำมันพืช 3 ชต. -กระเทียมสับละเอียด 3 ชต. -น้ำตาลทราย, เกลือป่น อย่างละ 1 ชต. -เนื้อมะเขือเทศสุกบดละเอียด 3 ชต.
วิธีทำไม่ยาก -ผัดกระเทียมกับน้ำมันให้หอมพอทั่วบ้าน แล้วใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดลงไป ผัดให้เข้ากันจนข้นแห้ง พักให้เย็น ตักใส่ขวดที่มีฝาปิด เก็บใส่ตู้ย็นไว้ทานได้หลายสัปดาห์ แค่เนี้ยะเอง
วิธีหม่ำยิ่งง่าย -คลุกซอสกับข้าวสวยร้อนๆ ใส่กระทียมเจียว หอมเจียว พริกขี้หนูป่น น้ำมะนาว ปรุงรสตามชอบ ทานกับกุ้งทอดกรอบ ผักสด อร่อยนะลองทำดูซิ
Create Date : 22 เมษายน 2548 | | |
Last Update : 28 มิถุนายน 2550 0:53:30 น. |
Counter : 4370 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|