การใช้และความแตกต่างระหว่าง AHA และ BHA
Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2548 |
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2548 19:49:07 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1217 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Start now วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:19:49:28 น. |
|
|
|
โดย: เขียว IP: 203.150.217.114 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:0:04:51 น. |
|
|
|
โดย: a pharmacist IP: 202.183.173.223 วันที่: 7 ตุลาคม 2548 เวลา:2:12:52 น. |
|
|
|
| |
ทั้ง AHA และ BHA นั้นต่างก็เป็นสารที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวด้วยกันทั้งสิ้น ทั้ง 2 ตัวนั้นต่างทำหน้าที่เดียวกันนั่นก็คือการผลัดเซลล์ผิวเฉพาะเซลล์ผิวที่ตายแล้วเท่านั้น ให้หลุดลอกออกไปโดยการทำลายพันธะที่ยึดเหนี่ยวเซลล์ที่ตายเหล่านี้ให้หลุดออกจากผิวชั้นบนสุดของเราได้ง่ายขึ้น โดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเซลล์ผิวที่ยังดีอยู่แต่อย่างใด AHA (alpha hydroxy acid) / BHA (beta hydroxy acid) นั้น เป็นการผลัดเซลล์ผิวทางเคมีหรือ chemical peeling โดยอาศัยกรดชนิดต่างๆเข้าทำการผลัดเซลล์ผิว
การผลัดเซลล์ผิวถือว่ามีความจำเป็น เพราะว่ามีผลดีหลายด้านเช่นช่วยทำความสะอาดรูขุมขน, ช่วยทำให้ผลิตภัณ์บำรุงต่างๆซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น ช่วยเผยผิวใหม่ที่มีสุขภาพดี กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ที่หมองคล้ำ ที่หยาบกร้านให้หลุดออกไป ช่วยลดการเกิดสิวอันมีสาเหตุมาเนื่องจากรูขุมขนที่อุดตัน การผลัดเซลล์ผิวที่ดีควรจะทำทั้งแบบสารเคมีและแบบกายภาพควบคู่กันไป (การผลัดเซลล์ผิวทางกายภาพ คือการใช้สครับ หรือ physical peeling) เพราะเมื่อเซลล์ผิวเมื่อได้รับการทา AHA/BHA แล้ว การขัดทางกายภาพจะช่วยนำซากเซลล์ที่ตายแล้วเหล่านั้น ให้หลุดออกจากผิวหน้าและรูขุมขนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทั้งหมดที่เขียนมาข้างบนนั้น ทั้งคู่คือ AHA และ BHA ต่างมีประสิทธิภาพเหมือนกัน ทำอย่างเดียวกัน ในเรื่องของข้อแตกต่างนั้น จะอยู่ที่เรื่องการทำงานในระดับความลึก
AHA : สกัดได้จากกรดผลไม้ต่างๆ ตัวที่นิยมใช้กันนั่นก็คือ Glycolic acid ส่วนค่าความเข้มข้นที่นิยมใช้กันส่วนมากจะอยู่ที่ประมาณ 10% อาจน้อยกว่านั้นในรายที่ผิวบอบบางแพ้ง่าย, AHA จะเหมาะสมกว่าสำหรับผิวที่แห้งเพราะว่ามันจะทำการผลัดเซลล์ผิวที่ระดับความลึกที่ตื้นกว่า ไม่ซึมผ่านเข้ารูขุมขนไปถึง sebum ดังนั้นจึงรักษาความชุ่มชื่นได้ดีกว่า และระคายเคืองน้อยกว่า และยังมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นให้ผิวสังเคราะห์ collagen อีกด้วย
BHA : คือ Salicylic acid ทำงานที่ระดับความลึกมากกว่า สามารถซึมผ่านรูขุมขนเข้าไปได้และลึกไปถึงต่อมไขมัน ดังนั้นจึงช่วยลดความมันได้มากกว่า จึงเหมาะสมกับผู้ที่มีผิวมัน และผิวค่อนข้างแข็งแรง ไม่ระคายเคืองง่าย และ salicylic นั้นยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งการการะจายและการเติบโตของสิวอีกด้วย ซึ่งพวกผลิตภัณฑ์ต่อต้านสิวหลายๆยี่ห้อมักจะใช้เป็นส่วนผสม, ค่าความเข้มข้นที่ใช้ตามปรกติจะอยู่ที่ 1-1.5% ไม่มากเกิน 2% เพราะว่าอาจจะทำให้ผิวลอกออกมาได้ ถ้ามากกว่านั้นอีกหน้าคงจะไหม้นะครับ :-)
ทั้ง AHA และ BHA นั้น สามารถใช้ได้ทั้งเช้าและเย็น โดยขึ้นอยู่กับค่าความเข้มข้นเป็นหลักนะครับ เช่น BHA ประมาณ 1% สามารถใช้ตอนเช้าได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นไม่ควร เพราะว่าอาจจะทำให้หน้าแสบหรือระคายเคืองเมื่อถูกแสงแดด ซึ่งไม่ว่าจะใช้ตัวไหนก็ตาม การใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะว่าผิวจะไวต่อแสงแดดมากขึ้น และสำหรับผู้ที่มีผิวผสมนั้น การใช้ AHA เฉพาะ U-zone (ส่วนที่แห้ง ไม่รวมคาง) และ BHA เฉพาะ T-zone (ส่วนที่มัน) ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน