มะละกาและสุมาตราในบันทึกของ Varthema


กะลำพัก (แก่นขึ้นราของต้นสลัดได ญาติๆโป๊ยเซียน ใช้ทำของหอม) จากเมืองโสน (สยาม) มีขายที่สุมาตรา
..................
บันทึกของ Ludovico di Varthema 2046-2051 ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
.
.
ในวันถัดมา เราได้ลงเรือไปยังเมืองมะละกาซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตก สามารถไปถึงได้ใน 8 วัน ที่นั่นเราได้พบช่องแคบใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาช่องแคบนั้นกว้างถึง 25 ไมล์ ฝั่งตรงข้ามเป็นเกาะชื่อว่าเกาะสุมาตราสุมาตรา ชาวพื้นเมืองกล่าวกันว่าเกาะนั้นมีเส้นรอบวงกว้างถึงสี่พันห้าร้อยไมล์ แล้วเราจะกล่าวถึงเกาะนี้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเรามาถึงเมืองมะละกา เราได้เข้าไปเฝ้าสุลต่านทันที พระองค์เป็นแขกมัวร์ นับถือศาสนาอิสลามเช่นเดียวกับผู้คนของพระองค์ เมืองนี้ตั้งอยู่ในแผ่นดินและถวายบรรณาการให้กับเมืองสยาม ซึ่งเป็นต้นเหตุให้มีการสร้างเมืองนี้ขึ้นเมื่อ 80 ปีก่อน เนื่องจากเมืองแห่งนี้เป็นท่าเรือชั้นดี เป็นเมืองท่าหลักสำหรับติดต่อกับมหาสมุทร และข้าพเจ้าเชื่อว่ามะละกาคงจะเป็นหนึ่งในเมืองท่าที่มีเรือแวะเข้ามาจอดมากที่สุดในโลก บรรดาพ่อค้ามาที่นี่เพื่อซื้อเครื่องเทศชั้นเลิศ และสินค้าอื่น ๆ
.
.
มะละกาเป็นประเทศที่มิได้อุดมสมบูรณ์นัก มีธัญญาหารไม่มาก เนื้อสัตว์มีน้อย ต้นไม้และนกนั้นเหมือนกับในอินเดีย ยกเว้นนกแก้วที่ดูงามกว่า ที่นี่ยังมีไม้จันทน์คุณภาพดีและตะกั่วเป็นจำนวนมาก ช้าง ม้า แกะ วัวควาย เสือดาว นกยูง ก็มีอยู่อย่างล้นเหลือ ผลไม้บางอย่างหน้าตาคล้ายกับที่ศรีลังกา ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงการค้าอย่างอื่นนอกจากเครื่องเทศและผ้าไหม ผู้คนมีผิวสีมะกอก ผมยาว แต่งกายคล้ายกับแฟชั่นที่กรุงไคโร มีดวงตากลมโต และจมูกโด่ง เมืองนั้นค่อนข้างอันตราย ไม่สามารถออกจากบ้านได้หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน เพราะผู้คนที่ออกมาเพ่นพ่านจะถูกฆ่าได้ง่ายเหมือนสุนัข และบรรดาพ่อค้าต่างก็อาศัยนอนในเรือ
.
.
ประชาชนที่นี่มีเชื้อสายชวา พระราชาเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายและให้ความยุติธรรมกับชาวต่างชาติ แต่กระนั้นก็ดี พวกเขาก็แค่ถือกฎหมายไว้ในมือเท่านั้น อาจถือได้ว่าชนชาตินี้เป็นชนชาติที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยถูกสร้างขึ้นในโลก เมื่อพระราชาต้องการจะปราบปรามคนร้าย พวกนั้นก็กล่าวว่า ไม่ได้เป็นคนของประเทศนี้ เป็นแต่เพียงพวกเดินเรือเร่ร่อนในทะเลเท่านั้น อากาศที่นี่ร้อนมาก ชาวคริสเตียนที่เดินทางมากับเรากล่าวว่า เราไม่ควรจะอยู่ที่นี่นาน เพราะว่าชนชาตินี้มีนิสัยเลวร้ายนัก ดังนั้นเราจึงรีบลงเรือสำเภาไปยังเกาะสุมาตรา เข้าไปยังเมืองที่ชื่อ Pedir ซึ่งห่างออกไป 80 ลีก
.

.
พวกเขากล่าวกันว่าเมืองนี้เป็นเมืองท่าที่ดีที่สุดบนเกาะที่ข้าพเจ้าบันทึกไว้ว่ามีเส้นรอบวงถึง 4500 ไมล์ เมืองนี้ปกครองด้วยกษัตริย์นอกศาสนา ความเชื่อประเพณี การแต่งกายต่าง ๆ คล้ายกับเมืองตะนาวศรี ยังมีธรรมเนียมการเผาภรรยาทั้งเป็นด้วย พวกเขามีผิวที่ค่อนข้างขาว ใบหน้ากว้าง ดวงตากลมสีเขียว จมูกกว้างและแบน มีโครงร่างค่อนข้างเล็ก มีระบบการศาลที่ค่อนข้างดีเหมือนกับในเมืองกาลิกัต พวกเขาใช้ทอง เงินและตะกั่วที่ประทับตราแทนเงิน ตราด้านหนึ่งเป็นรูปปีศาจ ตราอีกด้านหนึ่งเป็นรูปรถที่เทียมด้วยช้าง เหรียญเงินนั้นมีราคา 10 เหรียญต่อ 1 ดูกัต ส่วนเหรียญตะกั่วนั้นมีราคา 25 เหรียญต่อ 1 ดูกัต มีการเพาะเลี้ยงช้างที่นี่ด้วย และเป็นช้างขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยเห็น ชาวบ้านมิใช่นักรบแต่ดูเหมือนพ่อค้ามากกว่า และเป็นมิตรกับชาวต่างชาติมาก
.
.
ในเมือง Pdedir แห่งนี้ เพาะปลูกพริกไทยที่มีคุณภาพดี มีพริกไทยเม็ดยาวที่เรียกว่า molaga มีขนาดใหญ่กว่าพริกไทยที่ขายกันในยุโรป และมีสีขาวกว่ามาก แต่ข้างในเม็ดนั้นกลวง และไม่เผ็ดเท่ากับของเรา พริกไทยที่นี่ขายราคาเท่าเท่ากับธัญพืชเท่านั้น ท่าเรือที่นี่มีเรือมาจอดปีละถึง 18-20 ลำ ซึ่งจะเดินทางต่อไปยังเมืองจีน พริกไทยที่นี่ให้ผลผลิตยาวนาน มีต้นใหญ่กว่า ใบกว้างกว่า และนุ่มกว่าพริกไทยที่เราพบเห็นในอินเดีย มีการผลิตผ้าไหมเนื้อดีด้วย
.
.
การตกลงซื้อขายพริกไทยกระทำกันในป่า ซึ่งจริงๆก็ไม่มีใครปลูกมันขึ้นมา แล้วคุณภาพก็ไม่ได้ดีนัก มีการผลิตกำยานจากยางไม้ด้วย ซึ่งเก็บมาจากป่าลึกห่างไกลออกไปจากชายฝั่ง
สินค้าของป่าที่มีมากมายของเกาะแห่งนี้ เชื้อเชิญให้บรรดาพ่อค้ามาเยี่ยมเยือน อย่างไรก็ดีเราสังเกตว่า ไม้หอมชั้นดีบางประเภทไม่เคยถูกส่งไปขายยังเมืองท่าของชาวคริสเตียนในยุโรปเลย ต้องเข้าใจก่อนว่ามีไม้หอม 3 ประเภทซึ่งมีราคาแพงมาก ผลิตจาก 3 แหล่งในเอเชีย และไม่ใช่ว่าไม้หอมทุกชนิดจะผลิตบนเกาะสุมาตรา ตัวอย่างเช่น กะลำพัก (Kalambak) หรือต้นสลัดไดซึ่งไม่มีถิ่นกำเนิดบนเกาะแห่งนี้ แต่ลำเลียงมาจากเมืองโสน หรือกรุงสยาม ไม้หอมชนิดที่ 2 เรียกว่า loban ขึ้นอยู่ตามริมแม่น้ำ และชนิดที่ 3 เรียกว่า bochor
.

.
พ่อค้าชาวคริสเตียนอธิบายกับเราว่า เหตุที่ไม้หอมทั้ง 3 ประเภทนั้นไม่ถูกส่งไปขายในเมืองท่าของชาวคริสต์เนื่องจากเป็นเพราะว่า ข่านแห่งคาเธ่ย์ หรือจักรพรรดิจีน พระเจ้าอยู่หัวแห่งเมืองโสน และกษัตริย์แห่งชวา ทรงร่ำรวยด้วยทองคำยิ่งกว่าชาวยุโรปมากนัก พวกพ่อค้ายังเล่าให้ฟังว่า ในดินแดนเหล่านั้นมีขุนนางผู้ร่ำรวยอาศัยอยู่มากเสียยิ่งกว่าในทวีปยุโรป กษัตริย์และขุนนางเหล่านั้นปรารถนาสินค้าเครื่องหอมเป็นยิ่งนัก เพราะว่าเมื่อผู้ปกครองเหล่านั้นสิ้นชีพลง ก็จะมีการใช้จ่ายทองคำอย่างไม่อั้นสำหรับซื้อไม้หอมชั้นเลิศ ด้วยเหตุนี้เครื่องหอมต่าง ๆ จึงไม่อาจส่งไปขายในยุโรปได้ ในเมืองโสนไม้หอมเหล่านี้มีราคาถึง 10 ดูกับต่อ 1 ปอนด์ เพราะเป็นของหายากและมีจำนวนน้อยมาก
.
.
พ่อค้าคริสเตียนได้นำไม้หอม 2 ชนิดมาให้เราดู มันมีขนาดเล็กมาก กะลำพักนั้นมีน้ำหนักเพียง 2 ออนซ์ เขาได้ให้เพื่อนของเรากำมันไว้ในมือ พร้อมกับสวดว่า “โปรดทรงเมตตาเทอญพระเจ้าข้า” 4 รอบเป็นเวลาสักครู่ จากนั้นเขาก็ให้แบมือออก เป็นความจริง ข้าพเจ้าไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมเช่นนี้ กลิ่นน้ำหอมยิ่งกว่าน้ำหอมทั้งหมดของเรา จากนั้นเขาก็หยิบกำยานขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มีขนาดเท่าผลวอลนัท ใส่ลงไปในภาชนะเผาที่จุดไฟ พร้อมกับกะลำพักจากเมืองโสน ข้าพเจ้าพูดจริง ๆว่า กลิ่นนั้นยิ่งหอมหวนมากขึ้น มันนุ่มนวลและหอมหวาน ยิ่งกว่าเครื่องหอมใดๆทั้งสิ้น และยากที่จะพรรณนาออกมาได้เทียบเท่ากับกลิ่นสองชนิดที่ผสมตลบอบอวลกันในห้อง ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจึงเพิ่งจะทราบเหตุผลว่า เหตุใดสินค้าบางอย่างจึงไม่ตกมาสู่เราชาวยุโรปเลย นอกจากนั้นพวกเขายังเก็บเกี่ยวยางรักชั้นเลิศที่ให้สีแดง จากต้นที่หน้าตาคล้ายวอลนัท
.
.
ในประเทศนี้ข้าพเจ้าอย่างได้พบเห็นงานศิลปะชั้นยอด มันเป็นกล่องทำจากทองหนัก 2 ดูกัตแต่สำหรับเรามันมีค่าเท่ากับ 100 ดูกัต อีกครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้เห็นถนนสายใหญ่ที่มีพ่อค้าแลกเงินถึง 500 คน นั่นแปลว่ามีพ่อค้าจำนวนมากมายมหาศาลเดินทางมายังเมืองแห่งนี้ และทำให้การจราจรดูติดขัดไปเลย
ชาวบ้านมีเตียงอย่างดีทำจากฝ้าย ห่อหุ้มด้วยผ้าไหมและผ้าฝ้าย ในเกาะแห่งนี้มีไม้สักอย่างล้นเหลือ พวกเขาใช้มันต่อเรือที่เรียกว่า giunchi มีเสากระโดง 3 เสา มีหางเสือทั้งข้างหน้าและข้างหลังอย่างละ 2 ใบ พวกเขาเดินเรือด้วยความชำนาญราวในกับเดินทางในคลอง และเป็นชนชาติที่ทำงานในเรือด้วยความ Active เป็นอย่างยิ่ง พวกเขายังเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งกาจ
.
.
บ้านของชาวบ้านใช้หินเป็นผนังไม่สูงมากนัก หลังคาหลายแห่งหนึ่งด้วยกระดองเต่าทะเล เพราะที่นี่พบได้เป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าได้เห็นกระดองเต่าอันหนึ่งหนักกว่า 103 ปอนด์ และยังได้ เห็นงาช้าง 1 คู่ที่มีน้ำหนัก 3,035 ปอนด์ งูเหลือมของที่นี่มีขนาดใหญ่กว่าที่กาลิกัตมากนัก
.
เพื่อนชาวคริสเตียนของข้าพเจ้าอยากจะเดินทางกลับไปยังประเทศของพวกเขา ที่เคยชักชวนให้พวกเราเดินทางร่วมไปด้วย เพื่อนของข้าพเจ้าบอกพวกเขาว่า เรามาที่นี่เพื่อที่จะดูแหล่งปลูกเครื่องเทศ และเราอยากจะเห็นเครื่องเทศบางชนิดก่อนที่เราจะกลับไป เพื่อนชาวคริสเตียนตอบเขาว่า ไม่มีเครื่องเทศชนิดอื่นแล้ว ที่นี่ก็มีเท่าที่คุณเห็นเท่านั้น
.
แต่เพื่อนของข้าพเจ้าอยากจะเห็นแหล่งปลูกกานพลู และลูกจันทน์เทศ เขาตอบว่า แหล่งปลูกนั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไปมากถึง 300 miles เราถามเขาว่าจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร โดยปลอดภัยจากบรรดาโจรสลัดและหัวขโมย ชาวคริสเตียนตอบว่า ถ้าปลอดภัยจากหัวขโมยเราก็คงจะไป แต่ไม่แน่ใจนักสำหรับความแปรปรวนในท้องทะเล เขายังสำทับว่าเราไม่ควรจะไปที่นั่นโดยเรือใหญ่ เพื่อนข้าพเจ้าถามว่าแล้วเราจะไปที่นั่นได้อย่างไร พวกเขาตอบว่า เราจำเป็นจะต้องซื้อเรือสำปั้น (sampan) ซึ่งเป็นเรือขนาดเล็กและมีอยู่มากมายแถบนั้น เพื่อนข้าพเจ้าขอร้องให้พวกเขาหามาให้สัก 2 ลำเพื่อที่เราจะได้ซื้อ ชาวคริสเตียนก็หามาให้ได้ทันที พร้อมกับลูกเรือที่คุมเรือได้ เรือนั้นพร้อมออกเดินทางทันที และขายให้เราในราคา 400 pardai ซึ่งเพื่อนของข้าพเจ้าก็ตอบตกลง



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2561
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2561 20:55:39 น.
Counter : 220 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ปลาทองสยองเมือง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 23 คน [?]



New Comments