ธรรมาสน์วัดชลอ ที่รอการซ่อมมานานแสนนาน


วัดชลอ เป็นวัดโบราณ เขียนว่า ชลอ ผิดกับคำว่า ชะลอ ในสมัยปัจจุบัน (บ้านผมอยู่ใกล้วัดนี้ ทำให้เขียนคำนี้ผิดมาตลอด) ตอนเด็กๆก็ต้องพึ่งพาอาศัยวัดนี้เป็นที่ลงเรือไปเรียนเอย ไปทำงานเอย เพราะวัดนี้อยู่ตรงทางแยก ระหว่างคลองบางกรวย กับคลองอ้อมนนท์ พูดง่ายๆ คือ มีแม่น้ำกระเพาะหมู 2 คด คดแรกคือบางกอกน้อย คดสองคืออ้อมนนท์ สมัยพระมหาจักรพรรดิโปรดให้ขุดคลองเชื่อม 2 กระเพาะหมูเข้าด้วยกัน กลายเป็นคลองบางกรวย

วัดชลอก็อยู่ตรงแยกนี้พอดี เลยมีข้อสันนิษฐานกันว่า ชื่อของวัดมาจาก ช้า และ รอ คือหยุดรอดูว่า 3 แยกนั้นจะมีเรือมาจากทิศไหนบ้าง เดี๋ยวจะชนกันตูมตามตกน้ำตาย ตรงปากคลองนอกจากวัดแล้ว ก็ยังมีศาลเจ้าจีน (ทรงไทย) ทำด้วยไม้เหลืออีกหลังหนึ่ง เป็นศาลเล็กๆ เท่านั้นเอง โบราณเขาเล่ากันว่าเป็นเจ้าพ่อไชยสิทธิ เจ้าแม่ไชยศร มีบริวารเป็นตะเข้ใหญ่ขุดวังอยู่ตรงคุ้งน้ำหน้าวัด ใครอยากเห็นก็ไปขอเจ้าพ่อดู ปัจจุบันคงไม่มีอะไรเหลือ เพราะลงเขื่อนล้ำคลองกันจนแม่น้ำเก่าเหลือนิดนึง

ปากคลองบางกรวยแต่ก่อนก็เจริญ มีตึกแถวร้านค้า มีธนาคารออมสินด้วย ตลาดแต่เดิมอยู่ริมน้ำ ตอนผมเด็ก ๆ ก็ได้มาฝากเงินแบงค์นี้เป็นครั้งแรก แต่ทุกวันนี้ทุกอย่างเป็นอดีต น้ำท่วมหลายรอบทำให้ตลาดย้ายมาอยู่บนบก ธนาคารออมสินก็ย้ายไปที่อื่น เหลือแต่ตึกเก่าๆร้างๆเท่านั้นเอง

ตัววัดนั้น แม้จะติดคลอง แต่ก็หันหน้าเข้าแผ่นดิน คือถือทิศตะวันออก - ตะวันตก เคร่งครัดมาก ดังนั้น ใครมาขึ้นเรือที่ท่า จะต้องเดินอ้อมโบสถ์ไปเข้าประตูอีกทิศหนึ่ง สมัยผมเด็กๆ โบสถ์นี้โทรมมาก เกือบจะปิดตาย ข้างในมีพระโลหะขนาดยักษ์เต็มไปหมด ล้วนแล้วแต่เป็นสกุลช่างเสาชิงช้า ไม่เก่าแก่อะไร บดบังพระประธานเดิมสมัยอยุธยา ปัจจุบันพระเหล่านี้กรมศิลป์จัดแจงย้ายออกมาตั้งหน้าวัดหมดแล้ว

กลับมาเรื่องธรรมาสน์ละกันนะครับ

ผมก็อาศัยวัดชลอขึ้นลงเรือหางยาวมาหลายสิบปี แต่ไม่เคยรู้เลยว่าวัดนี้มีธรรมาสน์เก่าแก่ อายุกว่า 200 ปี

ธรรมาสน์วัดชลออาจจะประสบเคราะห์กรรมเลวร้ายหน่อย คนที่มาเที่ยววัดดนี้ คงจะเคยเห็นโบสถ์รูปเรือสุพรรณหงษ์ขนาดยักษ์ ที่สร้างมา 30 กว่าปีแล้วก็ไม่เสร็จสักที เพราะฉันนัั้น ธรรมาสน์จึงซวยไปด้วย ไม่มีใครเหลียวแล สักสองสามปีก่อน กรมศิลป์มาบูรณะโบสถ์เก่าจนงดงามไปแล้ว แต่คิดว่าคงไม่มีใครเห็นธรรมาสน์นี้ เพราะมันซุกอยู่ก้นศาลา มีโต๊ะหมู่บังไปหมด

ถ้าให้ผมกำหนดอายุ ผมว่าน่าจะเป็นอยุธยาตอนปลาย สุดๆ ครับ หรืออาจจะเลทลงมาถึงต้นกรุง แต่ฝีมือมันบ้านๆ เลยกำหนดอายุยาก แต่ถึงจะบ้าน เขาก็ลูกเล่นแปลกตา เช่น แถวกระจังรวนที่กลายรูปมาจากขาสิงห์ลอย ยังรักษาโครงของขาสิงห์เอาไว้ น่าจะมีแค่องค์เดียวในไทยที่มีลูกเล่นเช่นนี้

หรือการใส่ลายนกคาบลงไปในพนัก ดูแปลกตาน่าเอ็นดู ไม่เคยเห็นที่ไหน

หรือการใส่ครุฑแบก ที่พบน้อย เพราะหายกันไปหมดแล้ว เหลืออยู่ครึ่งตัวเท่านั้นเอง กระจกเกรียบสีเขียวปีกแมลงทับก็ยังวูบวาบเหมือนเดิม รีบมาชมกันนะครับ เดี๋ยวจะผุพังไปหมดเสียก่อน




(ภาพชิ้นส่วนที่ถอดแยกออกของธรรมาสน์วัดชลอ)






Create Date : 03 กันยายน 2560
Last Update : 3 กันยายน 2560 19:52:00 น.
Counter : 2117 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปลาทองสยองเมือง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 23 คน [?]



New Comments