สีข้าวตามสั่ง ผลิตเองขายเอง
ข้าวกล้องอินทรีย์ หอม นุ่ม สด ใหม่ จากชาวนาตรงสู่ผู้บริโภค จากยุ้งฉางส่งตรงถึงหม้อข้าว ผลิตผลจากสวนสันป่ากาย ที่ราบลุ่มน้ำแม่ปิงและน้ำแม่กวง อำเภอสารภี เชียงใหม่ นาเราเป็นนาข้าวอินทรีย์ เพาะปลูกตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ซึ่งได้รับการรับรองโดยกรมวิชาการเกษตร รหัสรับรอง TAS : 3413 เป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ( Organic Thailand ) ใช้ตราสัญลักษณ์ได้ตามกฎหมายข้าวกล้องของเรา เป็นข้าวทำมือผลิตกันเองภายในครัวเรือน เล็กๆ ผ่านกระบวนการเพาะปลูกที่ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในทุกขั้นตอนการผลิต จึงเป็นข้าวที่ดีที่สุดต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เราปลูกเอง ดูแลทุกขั้นตอนด้วยความใส่ใจ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปัจจัยการผลิตที่ผลิตเองและหาได้ภายในท้องถิ่น ทุกขั้นตอนการผลิต การทำงานเราเน้นพึ่งพาตัวเอง ใช้แรงงานคนเป็นหลัก และเป็นคนในท้องถิ่นเพื่อการกระจายรายได้ สร้างความมั่นคงของเราร่วมกับชุมชนในระยะยาว และเป็นการช่วยกันรักษาวัฒนธรรมการทำนาแบบดั้งเดิมด้วย ไม่เพียงแค่อิ่มกายเท่านั้น เรายังเติมเต็ม ชีวิตและจิตวิญญาณอีกด้วยผลิตเองขายเอง นาเรามีเนื้อที่ 6 ไร่เศษ ปีหนึ่งนาเราผลิตข้าวได้ไม่มากนัก เลี้ยงคนได้ไม่กี่ครอบครัวเท่านั้น เหลือจากกินก็พอแบ่งขายได้บ้าง เราต้องการขายสินค้าในระบบสมาชิก เพื่อให้ครอบครัวที่สั่งข้าวกับเรา มีข้าวกินตลอดทั้งปี เรามีของดีมีคุณภาพเราก็อยากนำเสนอ แน่นอนเรากินอย่างไร ท่านก็ได้กินอย่างนั้น ได้แบ่งปันสิ่งดีๆสู่กันมันสุขใจเราจึงโฆษณาหาลูกค้าเอง จากชาวนาสู่ผู้บริโภคโดยตรง เป็นการเกื้อกูลกันทั้งสองฝ่าย ท่านก็ได้ของดี มีคุณภาพ มีความปลอดภัยกิน กินทุกมื้อ กินทุกวัน เราเองก็ได้จำหน่ายข้าวในราคาที่มีเหตุผล มีแรง มีพลัง ที่จะทำเกษตรอินทรีย์ต่อไป โดยท่านอาจสั่งซื้อเป็นครั้งคราว หรือจองซื้อแบบประจำตลอดปีตามความสะดวก เราก็จะเก็บสต็อกข้าวไว้สำหรับท่านทั้งปี สีข้าวตามสั่ง ทันทีที่ท่านสั่งซื้อ เราจะนำข้าวเปลือกออกมาจากยุ้ง สีเป็นข้าวกล้องตามท่านสั่ง นำมาเข้าเครื่องกะเทาะเปลือก แล้วคัดแยก ฝัดเอาเอาข้าวลีบ เศษฟาง เปลือกข้าวที่ปะปนอยู่ออกจนสะอาดได้ข้าวกล้อง แล้วนำมาบรรจุในถุงๆ ละ 1 กก. พร้อมระบุวันที่ผลิตที่แน่นอน ข้าวทุกถุงต้องผ่านมือเราอย่างพิถีพิถัน มีที่มาที่ไปสามารถตรวจสอบได้ และเพื่อความมั่นใจว่า นาเราเพาะปลูกแบบอินทรีย์เป็นอย่างไร ท่านสามารถเยี่ยมชมนาของเราได้ตลอดทั้งปี และในอนาคตเราจะสร้างกระท่อมที่พักไว้บริการแบบโฮมสเตย์อีกด้วยเนื่องจากเปลือกข้าว เป็นบรรจุภัณฑ์ธรรมชาติที่สามารถรักษาและคงคุณภาพข้าวไว้ได้ดีที่สุด ฉะนั้นข้าวกล้องจะเริ่มเสื่อมคุณภาพทันที หลังจากวินาทีแรกที่โดนกะเทาะเปลือกออกไม่ว่าจะเก็บรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม อายุการเก็บรักษาข้าวกล้องที่มีคุณภาพจะอยู่ที่ไม่เกิน 1-2 เดือน สำหรับการนำไปทำข้าวกล้องงอกนั้นไม่ควรเกิน 15 วัน เพื่อป้องกันข้าวกล้องมีมอด กลิ่นอับ เหม็นหืน และเพื่อผลประโยชน์ที่คุ้มค่า ควรซื้อข้าวกล้องที่ผลิตสด ใหม่ จากแหล่งที่เชื่อถือได้ พร้อมระบุวันผลิตที่แน่นอน และสุดท้ายถ้าเป็นไปได้ ควรเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาคุณค่าของสารอาหาร ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่มีสต๊อกข้าวกล้อง แต่เราจะเก็บสต๊อกไว้ในรูปข้าวเปลือก และสีข้าวตามสั่งเท่านั้นเหมาะสำหรับ ผู้ที่รักและใส่ใจต่อสุขภาพทั่วไป ผู้สูงอายุที่ขาดวิตามินและเกลือแร่ ผู้ป่วยที่ต้องการบริโภคข้าวที่ไร้สารปนเปี้อน หรือเป็นของฝากแด่ผู้ที่เคารพนับถือในโอกาสต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ข้าวอารมณ์ดี ข้าวกล้องงอก
ขออินเทรนด์กับเขาบ้าง...นะ พลัน....ที่เข้าสู่ศักราชใหม่ ๒๕๕๒ กระแสข้าวกล้องงอกก็ดังเป็นพลุแตก ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ก็มีแต่คนพูดถึงข้าวกล้องงอก หรือไม่ก็น้ำข้าวกล้องงอก แอบดีใจเล็กๆ แทนเกษตรกรชาวนา อย่างน้อยพวกเขาก็มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มมูลค่าหรือแม้แต่การต่อยอดไปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่นเหตุผลของเรื่องพลุแตกที่ว่า ก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่อง"สุขภาพ" เพราะว่าคนเราหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ คำว่าสุขภาพเนี่ยะแหละสามารถนำมากล่าวอ้าง แล้วอยู่เหนือประเด็นอื่นได้ทุกประเด็นบางครั้งสิ่งที่มีคุณค่าใกล้ตัวก็ถูกมองข้าม ไม่เห็น ไม่รู้คุณค่าอยู่บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น เรื่องของ พืช ผักพื้นบ้าน สมุนไพร หรือแม้แต่ วิถีชีวิต ภูมิปัญญาชาวบ้านตลอดจนสัญชาติญาณที่จะเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานของการดำรงค์ชีวิตยอมรับว่าตัวเองก็เคยเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะความเผอเลอหรือความตั้งใจ ที่ปล่อยตัวเองไปตามกระแสแห่งการบริโภคแบบไม่บันยะบันยัง มาพักหลังนี้ เริ่มรู้สึกและคิดได้ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด ชี้ทางนำพา (หรือว่าอายุมากขึ้น)หันกลับมาเริ่มเรียนรู้ สังเกตุ และใช้ชีวิต อย่างเรียบง่าย ละเอียด พึงพาตัวเองมากขึ้น มีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าหากคนเราเดินช้าลง จะมองโลกได้งดงามขึ้น เราคงมองโลก(เบี้ยวๆ)ใบนี้ อย่างแปลกแยกต่อไปไม่ได้อีกแล้วชักจะปรัชญาเกินไปแล้ว หันมาเรื่องข้าวกล้องงอกอารมณ์ดีกันเถอะในฐานะที่เป็นชาวนา(คนสุดท้าย) เลยไปค้นหาข้อมูลเรื่องข้าวกล้องงอกอารมณ์ดีมาฝากกันข้าวกล้องงอก ข้าวอารมณ์ดีปัจจุบันกระแส การรักสุขภาพขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะท่ามกลางสถานการณ์ความเร่งรีบของวิถีประจำวันที่ทำให้คนใช้ร่างกายหนักขึ้น เผชิญมลพิษมากขึ้น ประกอบกับมีโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้มีการหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นตามไปด้วย จนในขณะนี้ แม้กระทั่งอาหารหลักอย่าง "ข้าว" ก็มี "ข้าวสุขภาพ" หลากหลายรูปแบบ ออกมาให้เลือกรับประทานกัน หนึ่งในข้าวสุขภาพที่กำลังอยู่ในความสนใจในกลุ่มรักสุขภาพก็คือ "ข้าวงอก" เดชา ศิริภัทร ผู้อำนวยการมูลนิธิข้าวขวัญ จังหวัดสุพรรณบุรี ผู้ใช้เวลากว่า 20 ปี ในการค้นคว้าและพัฒนาการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้าวงอก ว่า การกินข้าวงอกเพื่อสุขภาพนั้นเริ่มต้นจากประเทศจีน จากนั้นก็เลยไปที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะแพร่ไปทั่วโลก "ใน ข้าวทุกประเภททุกสายพันธุ์จะมีสารที่เรียกว่า กาบา (Gaba - Gamma-Aminobutyric acid) แต่ก็จะมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป มีงานวิจัยออกมาว่า สารกาบามีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งทำให้จิตใจสงบ ช่วยบำรุงเซลล์ประสาท และยังมีแป้งน้อยกว่าข้าวธรรมดาถึง 4 เท่า เหมาะต่อผู้ป่วยเบาหวาน ความดัน ทั้งยังทำให้คลายเครียด ลดความกังวล และทำให้อารมณ์ดี หลายๆ คนเลยให้ชื่อเล่นของข้าวงอกว่า ข้าวอารมณ์ดีครับ" ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ อธิบายต่อไปว่า สำหรับคนที่ไม่เคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับข้าวงอกมาก่อนเลยนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่า "ข้าวงอก" คือ ข้าวที่เอาเปลือกออกแล้ว แต่ยังไม่ได้ขัดสี ลักษณะก็คือ "ข้าวกล้อง" ทั่วไปที่รู้จักกันนั่นเอง การจะนำข้าวมาทำข้าวงอกนั้น ต้องใช้ข้าวกล้องเท่านั้น จะพันธุ์ใดก็ได้ งอกได้เหมือนกันหมด "ส่วน ที่จะงอกได้ คือ ส่วนที่เป็นจมูกข้าว นั่นเป็นสาเหตุให้การทำข้าวงอก ต้องทำจากข้าวกล้องเท่านั้น เพราะข้าวกล้องยังไม่ได้สีเอาจมูกข้าวออกไป ถ้าเป็นข้าวสารขาวๆ นั่น เขาสีออกไปหมดแล้ว จมูกก็หลุด เอามาแช่ยังไงก็ไม่งอก เพราะส่วนที่งอกได้มันไม่มีแล้ว ในส่วนของสารกาบา ในข้าวกล้องธรรมดาก็มี แต่ในข้าวงอกจะมีมากที่สุด คือ ประมาณ 15 เท่าของข้าวกล้องธรรมดา ถ้ามองในเชิงปรัชญา การงอกของข้าวงอกมันหมายถึงชีวิต เมล็ดข้าวจะมีพลังชีวิตขณะที่มันกำลังงอก" เดชาอธิบายว่า ในความเป็นจริงแล้ว ข้าวงอกก็ไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียวนักในประเทศไทย เพราะมีภูมิปัญญามานานแล้วในภาคเหนือและอีสาน ที่มีการทำ "ข้าวฮาง" ที่มีกรรมวิธีคล้ายคลึงกับการทำข้าวงอก แต่จุดประสงค์ไม่ใช่ทำไปรับประทานเพื่อสุขภาพ แต่เป็นการทำให้ข้าวนุ่มขึ้น รับประทานง่ายขึ้น โดยในแต่ละชุมชนก็จะมีวิธีการทำแตกต่างกันออกไปตามการสืบทอดของแต่ละแห่ง สำหรับวิธีการทำข้าวงอกสูตรของ ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ ก็ไม่ยากเย็นอะไร เคล็ดลับเพียงอย่างเดียวที่เขาแนะนำ ก็คือ ข้าวที่จะนำมาเพาะ ต้องเป็นข้าวกล้องใหม่ๆ ที่สีเอาเปลือกออกมาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จึงจะดี แต่ข้าวกล้องที่บรรจุในถุงขายตามศูนย์การค้าทั่วไปก็พอจะเพาะได้ เพียงแต่ก่อนจะนำมาเพาะ ควรทดลองเพาะแต่น้อยๆ ประมาณ 5-10 เมล็ดเสียก่อน เพื่อตรวจสอบว่าเพาะแล้วจะขึ้นหรือไม่ "ไม่ ยากเลยครับ นำข้าวกล้องที่เราต้องการจะเพาะเป็นข้าวงอกไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้น พอเช้า เราก็เทน้ำทิ้ง แล้วเอาผ้าเปียกมาห่อข้าวนั้นไว้ให้ชื้นและอุ่นๆ จากนั้นพอเย็น เราก็มาเปิดดู ถ้ามันงอก ตรงจมูกข้าวมันจะมีตุ่มสีขาวๆ นูนขึ้นมา นั่นแสดงว่าเพาะขึ้น แต่ถ้าเป็นหน้าหนาว อากาศเย็น มันจะขึ้นยากหน่อย พอแช่ไว้ 1 คืน อาจจะต้องห่อผ้าไว้ 2 วันจึงจะขึ้น และจากเท่าที่ทราบว่ามีการวิจัย เห็นว่าจังหวะที่ดีที่สุดที่จะนำมาหุง ก็คือช่วงที่งอกได้ประมาณ 1 มิลลิเมตรครับ" เดชา อธิบายวิธีการเพาะข้าวงอกต่อไปว่า เมื่อเพาะแล้วเห็นว่าข้าวกล้องที่เพาะงอกขึ้นมา 1 มิลลิเมตรแล้ว ก็นำไปหุงตามปกติ ข้าวที่หุงได้จะนุ่มกว่าข้าวกล้องธรรมดา แต่สำหรับคนที่ไม่สะดวกแช่ข้าวทุกครั้งที่จะรับประทาน ก็สามารถทำเก็บไว้ได้ ด้วยการแช่ข้าวและห่อด้วยผ้าเปียกจนงอก พองอกได้ที่ ก็นำไปตากจนแห้ง ใส่โหลไว้เหมือนข้าวสารปกติ แต่ถ้าจะทำเก็บไว้มากๆ ต้องระวังเรื่องของมอดแมลงอยู่สักหน่อย เพราะข้าวกล้องงอกจะมีกลิ่นหอมมากกว่า การรบกวนจากมอดแมลงจะมากกว่าข้าวสาร นักพัฒนาข้าวรายนี้ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ข้าวกล้องที่นิยมรับประทานกันมี 3 สี คือสีขาว จำพวกข้าวกล้องหอมมะลิขาว, สีแดง เช่น ข้าวกล้องมันปู ข้าวกล้องหอมมะลิแดง หรือข้าวหอมกุหลาบแดง และสีดำคือข้าวกล้องหอมนิล เป็นต้น "ใช้ ข้าวกล้องอะไรก็ได้ครับ ข้าวมันปูก็จะเป็นที่นิยม แต่จะหาซื้อยากหน่อย เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสนำข้าวมันปูไปทำน้ำอาร์ซีป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง ข้าวมันปูจึงเป็นที่นิยมซื้อหามากกว่าเพื่อน" เดชา กล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้กระแสข้าวกล้องงอกเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง วิตามินสูง มีวิตามินอี ธาตุเหล็ก แมงกานีส และแร่ธาตุดีๆ อื่นๆ อีกมากมาย และที่สำคัญคือ การเปลี่ยนเป็นน้ำตาลของข้าวกล้องงอกจะน้อยกว่าข้าวสารปกติที่นิยมรับประทาน กัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลอย่างยิ่ง เดชา กล่าวต่อไปอีกว่า ก่อนหน้านี้ ที่จะมีการวิเคราะห์วิจัยข้าวงอก ก็มีการรณรงค์การรับประทานข้าวกล้อง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย หรือคนทั่วไปที่สนใจรักสุขภาพก็หันมาบริโภค แต่ข้าวกล้องหุงสุกมีความแข็ง บางคนที่ไม่ชอบก็จำต้องรับประทานแบบไม่ค่อยมีความสุขนัก แต่ข้าวงอกจะตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ชอบความแข็งของข้าวกล้องธรรมดาได้ "หุง แล้วจะนิ่มกว่าข้าวกล้องธรรมดาครับ และได้คุณค่าทางอาหารสูง เคี้ยวแล้วจะพอดีๆ ไม่เหมือนข้าวสารหอมมะลิที่จะแฉะๆ ก็ทำให้คนที่รักสุขภาพที่ไม่ชอบความแข็งของข้าวกล้องธรรมดา มีทางเลือกของข้าวสุขภาพมากขึ้น และกินอย่างความสุขขึ้น" ถึงตรงนี้ หลายคนอ่านแล้วอาจชักจะเริ่มสนใจเจ้าข้าวงอกนี้ขึ้นมาบ้าง แต่ไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหน เดชาไขข้อสงสัยข้อนี้ว่า ขณะนี้ในเมืองไทยเท่าที่เห็น ยังไม่มีการทำข้าวงอกออกมาขายเป็นถุงอย่างข้าวสาร ข้าวเหนียว หรือข้าวกล้องอื่นๆ ในแต่ต่างประเทศพอจะพบบ้างแล้ว แต่อยู่ในรูปของซุปข้าวงอกสำเร็จรูปที่ชงน้ำร้อนพร้อมดื่ม "ไม่ แน่ใจครับ ยังไม่เห็นว่?ทำเป็นข้าวงอกแพกถุงขาย แต่ถ้าเป็นข้าวกล้องใหม่ๆ นำมาเพาะเองมีเยอะครับ ถ้าอยู่ต่างจังหวัดก็หาซื้อได้ตามกลุ่มเกษตรอินทรีย์ เช่นที่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา สุรินทร์ ยโสธร สุพรรณบุรีครับ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ตามปั๊มที่มีร้านขายของเกษตรอินทรีย์ครับ ซื้อไปเพาะได้" เดชา สรุป ด้าน ผศ.ดร.สุดารัตน์ เจียมยั่งยืน อาจารย์ภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง "ผลของการงอกต่อสมบัติและการเปลี่ยนแปลงทางคุณค่าอาหารบางประการของ ข้าวกล้องหอมมะลิไทย" ระบุว่า เท่าที่ทดลอง ปรากฏว่า ข้าวกล้องหอมมะลิแดงจะแข็งกว่าชนิดขาว ทำให้งอกได้ยากกว่า "ตอน นี้เน้นการศึกษาไปในส่วนของข้าวที่งอกแล้ว เราพบว่า ความแข็งของข้าวจะลดลงเมื่อเพิ่มเวลาการเพาะหรือการแช่ให้นานขึ้น นอกจากนี้ยังมีปริมาณวิตามินอีเพิ่มมากขึ้นประมาณ 2 เท่า และมีปริมาณเอนไซม์อัลฟาอะไมเลสมากขึ้น ข้าวงอกที่ผ่านการหุงสุกมีความนุ่ม มีกลิ่นข้าว การพองตัวของเมล็ดข้าวมากขึ้น และไม่มีจุลินทรีย์หลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ ในส่วนของกรรมวิธีทำให้สุกของข้าวงอกนั้น จะสั้นกว่าข้าวสารปกติ คือใช้เวลาหุงสุกน้อยกว่า หุงสุกเร็วกว่า และข้าวที่ได้ออกมาก็นุ่มมากกว่า" ในขณะที่ ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรประจำโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ผู้ศึกษาด้านคุณประโยชน์ของข้าว กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลก็มีการจัดอบรมรวมถึงเผยแพร่ความรู้ในเรื่องของกรรมวิธีการเพาะ ข้าวงอกและประโยชน์ด้านสุขภาพของข้าวงอก "ใน ข้าวงอกมีสารกาบาสูงกว่าข้าวกล้องธรรมดา 15 เท่า สารกาบานี้มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะมันเป็นสารสื่อประสาททำให้ลดและคลายความกังวล เป็นยาแก้เครียดอย่างอ่อน ซึ่งใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเครียด ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ดีกว่าการให้ยาแก้เครียด ที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการแฮงค์ คือ มีสารจากยาตกค้างจนบางครั้งทำให้เมื่อตื่นในตอนเช้า ผู้ป่วยมีอาการไม่สดชื่น" ภญ.ผกากรอง ให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า งานวิจัยของเธอยังไม่ได้ทำถึงการดูการเปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาลของ ข้าวกล้องงอก แต่ในต่างประเทศ มีการนำข้าวกล้องมาเป็นอาหารประจำของผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากข้าวกล้องมีความหยาบ เนื่องจากไม่ได้ถูกขัดสี ดังนั้น ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยนานกว่า การเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลจึงสม่ำเสมอ "ก็ มีเหมือนกันที่ผู้ป่วยเบาหวานของเรา มีปัญหาน้ำตาลขึ้นสูงแบบพรวดพราดหลังรับประทานข้าวขาวธรรมดา ซึ่งเราพบว่า ข้าวขาวที่ถูกขัดสีออกไปหมดนั้น จะเหลือแต่คาร์โบไฮเดรตล้วนๆ ซึ่งจะย่อยเร็ว ทำให้น้ำตาลในแป้งออกมาสู่ร่างกายมากและไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้น้ำตาลในร่างกายผู้ป่วยเบาหวานจะไม่คงที่และสูงเร็วพรวดพราด และยังไม่ได้วิจัยไปถึงเรื่องน้ำตาลในข้างกล้องงอก แต่เชื่อว่าน่าจะดีกว่าข้าวขาวแน่นอน เพราะในต่างประเทศก็ให้ผู้ป่วยเบาหวานกินข้าวกล้อง เพราะย่อยยาก ร่างกายค่อยๆ ดูดซึม ทำให้น้ำตาลออกมาสม่ำเสมอ ข้าวกล้องงอกซึ่งไม่ได้ขัดสีเหมือนกัน ก็น่าจะดีต่อผู้ป่วย แถมยังมีสารกาบาที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าข้าวกล้องธรรมดา 15 เท่าอีกด้วย" เภสัชกรผกากรอง ทิ้งท้าย หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากร้านเฮลท์มี
กินข้าวกล้อง ไม่ต้องกินยา
เผลอไปหน่อยเดียว อีกไม่กี่วันปี 2551 ก็จะผ่านพ้นไปอีกแล้ว "วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือ" เกินเรามักจะได้ยินประโยคนี้อยู่บ่อยๆ ในห้วงของความสนุก ความสุข ในชีวิต และก็อีกเหมือนกัน "เวลามันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน" ในยามทีพบความมืดมนของชีวิตอีกเหมือนกันอย่างไรก็ตามแต่ เวลาก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรงเสมอมา และก็คงเป็นอย่างนี้ตลอดไป อาจจะไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่า เวลา เป็นสิ่งที่เป็นอมตะในจักภพทุกคนมีเวลาเท่ากัน ซื้อไม่ได้ ขายก็ไม่ได้เช่นกัน ชักนอกเรื่องไปกันใหญ่ ไม่เห็นเกี่ยวกับข้าวกล้องอะไรตรงไหนเลยฟร๊ะ อิอิที่พูดเรื่องเวลาเพราะเหลือบไปเห็น"เวลา" ว่า ในปี 2551 เราไม่ได้เขียนอะไรๆ ลงในบล๊อคเลย ขืนถ้าเหลือบช้าไปอีกไม่กี่วันคงไม่มี record ในปี2551 แน่ๆมาเข้าเรื่องเลยดีกว่า ประมาณเอาว่าปีนี้มีกิจกรรมในชีวิตเยอะซะเหลือเกิน ทำอะไรกสนุกกับชีวิตไปเสียหมด เลยดูเหมือนว่าเวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ข้าวญี่ปุ่น มือใหม่หัดปลูก
หลังจากที่ได้รับคำแนะนำและให้ข้อมูลเป็นอย่างดี จากสถานีทดลองข้าวสันป่าตองโดย พี่วิชัย คำชมพู ก็เลยตัดสินใจปลูกข้าวญี่ปุ่นโดยไม่ลังเล เราจะมีข้าวญี่ปุ่นกินแล้ว ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กวก.1 กวก.1 กวก.1ความคิดชักนำให้มือและเท้าเริ่มต้นออกเดินทางข้าวญี่ปุ่นที่ปรับปรุงสายพันธุ์และเหมาะสมกับประเทศไทยมี 2 พันธุ์กวก.1 ข้าวเจ้ากวก.2 ข้าวเหนียวผมไม่รู้หรอกว่ามันย่อมาจากอะไร แต่เดาว่ากรมวิชาการเกษตร ทั้งสองสายพันธุ์เป็นข้าวที่ไม่ไวแสง หมายความว่าความยาวช่วงแสงตอนกลางวันไม่มีอิทธิพลต่อการออกดอกของข้าว แต่ถ้าเป็นข้าวที่ไวต่อแสง พวกนี้ต้องการความยาวช่วงแสงตอนกลางวันอย่างน้อยค่าหนึ่ง ขึ้นอยู่แต่ละพันธุ์จะไม่เท่ากัน มันถึงจะออกดอออกรวงลักษณะที่ควรรู้เบื้องต้นของข้าวญี่ปุ่น- เม็ดสั้น ป้อม อ้วน ตุ้ย- อากาศหนาวจะให้ผลผลิตดี- ตอบสนองต่อปุ๋ยดีมาก- ไม่ชอบน้ำท่วมขังมากนัก- ระแง้เหนียว ต้องใช้เครื่องนวด- สูญเสียการงอกเร็วถ้าเก็บไม่ดี- อร่อย นุ่ม อิอิ จริงจริง (เคยชิมที่ฟูจิ)ต้นเตี้ยสูงประมาณ 80 ซม.อายุเก็บเกี่ยว 105- 115 วันระยะเวลาตกกล้า 18 - 25 วันการปลูกการดูแลจะเหนื่อย และต้องอดทน อิอิสีสรร สุก เหลืองทอง พลับพลึง ตราตึงใจยิ่งนัก อีกไม่นานก็จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว คราวนี้ชิม กินฟรี เท่าไหร่ก็ไม่ต้องเสียตังค์ 555นกหนู ไม่ค่อยกวนน้ำท่าไม่ท่วมนาน ผลผลิตคงจะดีบ้างนะขอบอก ระแง้ข้าวญี่ปุ่นเหนี่ยวโครตเลย ทดลองฟาดอย่างที่เคยกับข้าวทั่วไปสิบกว่าครั้ง มีเม็ดข้าวกระเด็นมา ไม่ถึง 10 เม็ด สรุปว่า ถ้าไม่ใช่เครื่องนวด ไม่ได้กิน ว่างั้นเถอะคิดหนักอยู่เหมือนกันถ้าจะปลูกข้าวญี่ปุ่นอีก อันนี้ วิถีดั้งเดิมสั่งสมกันมา ชั่วนาตาปี ลองผิดลองถูก ปรับปรุ่งแก้ไข สุดท้ายได้อย่างที่เห็น ภูมิปัญญาคนรุ่นก่อนแท้ๆ ขอขอบคุณบรรพบุรุษจากใจจริงจะพยายามรักษาใว้เท่าที่จะสามารถจากดินกลายเป็นรวง จากรวงในก็ร่วงโรยลงเป็นข้าวเปลือกสุดท้าย อยากบอกว่า มีความสุข อิ่มเอมใจ ที่ได้กินข้าวที่ผลิตเองอย่างนี้จะเรียกระบบเศรษฐกิจแบบ "ผู้บริโภคเป็นผู้ผลิต" ได้มั้ยครับและครั้งต่อไปเราจะปลูกข้าวอะไรดีน้า........ขอขอบคุณผู้ติดตามชม ทุกท่านครับ
ถึงเวลาเขี้ยวงู สันป่าตองบ้าง......
เพื่อป้องกันการสับสน ข้าวพันธุ์ สันป่าตอง 1 หรือที่รู้จักกัน อีกชื่อว่าเขี้ยวงูสันป่าตอง เป็นพันธุ์ข้าวที่ไม่ไวต่อช่วงแสง สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ส่วน ข้าวพันธุ์เหนียวสันป่าตอง เป็นพันธุ์ข้าวที่ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้เฉพาะในฤดูการทำนาเท่านั้น ทั้งสองเป็นข้าวเหนียวเหมือนกันครับ